^วันอยากเขียน^
รวมเรื่องสั้น ฉบับลิขิตราค่ะ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว จับเรื่องสั้นมารวมกันไปเลยดีกว่า
Tags: เรื่องสั้น ลิขิตรา

ตอน: ~ข้าง ๆ หัวใจ~

~ข้าง ๆ หัวใจ~

...เพราะหัวใจคนเรามีพื้นที่จำกัด...ฉันไม่อยากเสี่ยงเดินเข้าไป...

ฉันสูดลมหายใจยาวขณะหยิบหวีขึ้นมาหวีผมอย่างเบามือ แบ่งเป็นช่อแล้วถักรวมเข้าเป็นเปียเส้นเล็กพันรอบตามแนวไรผมไล่มาจนรอบศีรษะ ภาพหญิงสาวที่สะท้อนเงาอยู่ในกระจกไม่ได้ดูสวยงามอย่างเจ้าหญิงในเทพนิยาย แต่ก็ไม่ได้ขี้เหร่จนไม่น่าชม ตรงกันข้าม ใบหน้าเรียวได้รูปนี้มีมนต์ประหลาดที่ทำให้ใครหลายคนมองจนเหลียวหลัง แต่ก็จบที่การมองผ่านไปเพราะสายตาที่ใครหลายคนติว่าดุเสียจนไม่น่าคบ

ตลอดชีวิตกว่าสองทศวรรษครึ่ง ฉันไม่เคยเดือดร้อนกับความร้ายกึ่งไม่เป็นมิตรของตัวเอง ออกจะสบายใจเสียด้วยซ้ำที่ไม่มีใครเข้ามาวุ่นวาย แต่เวลานี้ไม่ใช่

เมื่อฉันนั่งรอที่จะเข้าไปวุ่นวายกับชีวิตใครบางคนอย่างใจจดใจจ่อ รอเวลาเพียงเพื่อจะพบหน้าหรือเพียงได้ยินเสียงเขา ขั้นเบาที่สุดแค่ข้อความบอกเล่าเรื่องราวในชีวิตกันก็ยังดี

แม่ฉันเป็นนักทำนาย เธอเคยบอกว่าหากฉันรักใครจะกลายเป็นหลง ฉันจะทุ่มกับความรักราวคนบ้าที่ไม่ลืมหูลืมตา และเวลานี้ฉันรู้ว่าฉันกำลังจะกลายเป็นอย่างนั้น

ความน่ากลัวของความรัก...เริ่มเมื่อมันทำให้เราไม่เป็นตัวเอง

ผู้หญิงที่ไม่ถนัดในการแต่งตัวอย่างฉัน พยายามจะสวยเพื่อใครบางคน

ทั้งที่พยายามบอกทั้งตัวเองและเขามาตลอดว่ามันไม่ใช่ความรัก แต่เวลานี้ฉันต้องยอมรับ...มันคือความรัก

แต่เป็นรัก...ที่กำลังจะจบลง

ฉันกำลังจะย้ายที่ทำงานไปไกลเกินกว่าที่เขาจะก้าวไปหา และเขาก็มีงานของเขา นี่ยังไม่นับความจริงที่ว่าเขาไม่มีวันจะให้ความสำคัญกับฉันมากพอจะวิ่งไปหาได้ ดังนั้นวันนี้...“ขอเพียงครั้งสุดท้าย...ฉันอยากให้ตัวเองอกหัก”

ฉันลุกขึ้นยืน เดินไปหน้าตู้เสื้อผ้า มองภาพตัวเองในกระจกแล้วคลี่ยิ้มให้เงาที่ปรากฏอยู่ในนั้น ผู้หญิงที่แต่งกายด้วยเดรสแขนตุ๊กตาสีชมพูอ่อนนั้นไม่คุ้นตาฉันเลยสักนิด ใบหน้าแต้มสีสันบางเบาเท่าที่คนไม่ค่อยแต่งหน้าจะทำได้ไม่ได้สวยเลิศเลอ แต่ก็คล้ายไม่ใช่ตัวฉันที่เคยเป็น

“ได้เวลา...กระชากตัวเองลงจากก้อนเมฆแล้ว”



ผู้ชายที่ฉันอยากพบเพื่อบอกลานั่งอยู่ตรงนั้น เขาอ่านหนังสือพิมพ์อยู่หน้าล็อบบี้หอพักสำหรับนักวิจัย ฉันหยุดอยู่หน้าลิฟต์เพื่อเรียกสติตัวเองให้คืนมา ครู่หนึ่งจึงเดินไปหยุดตรงหน้าเขา โน้มตัวไปให้เงาทอดลงเหนือตัวเขา เรียกความสนใจโดยไม่ต้องใช้เสียง

“อ้าว...” เขาร้องเบา ๆ “มาเสียเงียบเชียว”

“ตกใจหรือคะ...ขวัญอ่อนเป็นกระต่ายเชียว”

“พูดอย่างนี้เดี๋ยวพี่ลงโทษให้ปลอบขวัญหรอก” เขากระเซ้าตามประสาชายหนุ่มอารมณ์ดีที่กล้าเล่นกับผู้หญิงไปเรื่อย

ฉันหัวเราะ มองหน้าเขาตาเป็นประกายแบบที่เพื่อนสาวชอบเรียกว่าเป็นดวงตาอ่อยเหยื่อ เป็นสายตาที่ฉันมีเมื่อยามอารมณ์ดี หรือยามต้องการยั่วเย้าคนพิเศษเท่านั้น

“จะให้ปลอบยังไงละคะ”

เขานิ่งไปครู่ “ถ้าบอกว่าให้กอดปลอบละ”

“ได้ค่ะ...” ฉันเอียงคอตอบหน้าตาเฉย แล้วหัวเราะ “ไปที่รถก่อนนะคะ เดี๋ยวให้เท็ดดี้กอดปลอบนะ” ฉันหมายถึงตุ๊กตาหมีตัวโตที่ฉันติดรถไว้สำหรับอุ้มกอดเวลาเดินทางอยู่เสมอ

เขาหัวเราะ “ร้าย...ให้ความหวังพี่แล้วแกล้งกันนี่”

“เพราะฉันไม่รู้ว่าคนที่กอดปลอบกันได้ เขาต้องใช้คำนิยามความสัมพันธ์แบบไหนน่ะค่ะ” ฉันตอบเขาหน้าตาเฉย ขณะที่เราเดินไปด้วยกัน

“แล้วต้องใช้คำไหนละ”

“นั่นสิคะ...ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน”

เราก้าวขึ้นรถ เขาเป็นคนขับ และฉันก็เป็นหนึ่งในตุ๊กตาหน้ารถที่ไม่รู้ว่ามีความสำคัญกับเขามากน้อยเพียงไร “เคยมีแฟนไหม”

“ไม่ค่ะ...”

“จริงหรือ...” เขาเลิกคิ้ว หันมามองแว่บหนึ่งด้วยท่าทางประหลาดใจ

ฉันหัวเราะ พยักหน้าเบา ๆ “จริงค่ะ...ไม่มีใครกล้ายุ่งกับฉันนักหรอก”

“เพื่อนเคยบอกว่า...ฉันเป็นพวกไม่รู้จักความรัก และคงไม่มีวันรักใครได้” ฉันแค่นหัวเราะเบา ๆ คว้าเอาแว่นกันแดดมาสวมทั้งที่แดดไม่ได้จัด แต่มันเป็นการพรางสายตาที่ดี

“เราน่ะเหรอ...”

“ค่ะ...แต่ว่านะ ถ้าพวกนั้นมาเจอฉันตอนนี้คงต้องคิดใหม่” ฉันเอ่ย พลางคลี่ยิ้มให้เขาที่หันมาเหลือบมองคล้ายแปลกใจ

“ฉันไม่มั่นใจ แต่ความรู้สึกบางอย่างก็เป็นเรื่องแปลก” ฉันหลุบตามองมือตัวเอง ตัดสินใจบอกต่อ “พี่รู้ไหมคะ ไม่นานมานี้ฉันเพิ่งรู้สึกแปลก ๆ กับความคิดของตัวเอง”

“หนูน้อยมหัศจรรย์ เธอมีเรื่องประหลาดในหัวที่คนอื่นคาดไม่ถึงตลอดนี่นะ”

เขาล้อด้วยฉายาของฉัน ในฐานะนักวิจัยหน้าใหม่ อายุน้อย ฉันเป็นพวกแหกกฎด้วยสมมติฐานและคำถามที่ใครหลายคนคาดไม่ถึง ประหลาดกว่านั้นคืองานวิจัยทุกชิ้นที่มีชื่อฉันเข้าร่วมผ่านฉลุย นั่นอาจเป็นสาเหตุที่ฉันกำลังจะถูกดึงตัวไปทำงานในสถาบันซึ่งใครหลายคนฝันหา

ชีวิตฉันฟังเหมือนน่าอิจฉา ฉันมีทุกอย่างที่ผู้หญิงหลายคนปรารถนา บางครั้งมันมากเกินไปเสียด้วยซ้ำ

ฉันเคยพอใจในสิ่งที่ฉันมี คิดว่าชีวิตตัวเองเต็มพร้อม แต่ทุกอย่างสะดุดลงเมื่อพบเขา...สิ่งมีชีวิตที่ทำให้ฉันเข้าใจคำว่าอีกครึ่งของชีวิต

“ลองฟังเรื่องที่คาดไม่ถึงอีกสักเรื่องไหมคะ” ฉันเลิกคิ้วอยู่ใต้แว่นกันแดด คลี่ยิ้มขื่น ๆ ที่มุมปาก “บางทีฉันก็สงสัย...ความรู้สึกที่ฉันเพิ่งค้นพบ มันเรียกว่ารักหรือเปล่า”

เขาหัวเราะ “ทำไมเล่าให้พี่ฟังล่ะ”

“ฉันอยากได้คนฟัง...ไม่ใช่คนถามว่าทำไม” ฉันดึงแว่นกันแดดออก ทำแก้มป่องจ้องหน้าเขาตาโต “เว้นแต่พี่ไม่อยากฟัง”

“ฟังสิ...ใครจะกล้าขัดใจ สาวน้อยมหัศจรรย์”

ฉันหัวเราะ “แล้วฉันจะรอดู...ว่าจะมีคนกล้าไหม”

ฉันหลับตาลงเพียงครู่รวบรวมกำลังใจให้ตัวเองเพื่อจะปล่อยให้ความรู้สึกพร่างพรูออกมาให้เขารู้ ถ้านี่เป็นวันสุดท้ายที่เราจะพบกัน ฉันไม่อยากจะเสียใจไปตลอดชีวิต

“พี่รู้อะไรไหม...ฉันไม่มั่นใจ และคิดว่าตัวเองกำลังอกหัก” ฉันคลี่ยิ้มกึ่งหยัน “บางที...ฉันอาจจะกลัว แล้วก็พยายามหักอกตัวเองเสียก่อน ไม่อยากจะแพ้ด้วยเหตุผลอื่นน่ะค่ะ”

“ฟังแล้ว...พี่ชักรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องซีเรียสแล้วสิ”

“มันซีเรียสนะคะที่จริง...” ฉันพูดอย่างนั้น แต่กลับไหวไหล่เบา ๆ ราวไม่ใส่ใจ “พี่ว่าความคิดที่อยากอยู่ข้าง ๆ ใครสักคนโดยไม่ต้องมีนิยามมันเป็นยังไงกันคะ ฉันแค่อยากได้สิทธิ์ที่จะยืนข้าง ๆ เขา จับมือเขาไว้ในวันที่เขาจะล้ม ทำแผลให้ในวันที่เขาเจ็บ และลากเขาขึ้นมายืนในวันที่เขาล้มลง”

“ให้อารมณ์แม่พระยังไงพิลึก ไม่เข้ากับนางมารร้ายอย่างเราเลย” เขาหัวเราะ

แน่สิ ฉันมันนางมารร้ายตัวแม่ ฉันไม่เคยสนใจกับใครบนทางผ่าน ตราบที่ฉันก้าวไปข้างหน้าได้ฉันก็ก้าวไป ต่อให้ปั้นหน้ายิ้มทำเสียงหวานแค่ไหน ทุกคนก็รู้ว่าฉันพร้อมจะโยนทุกความสัมพันธ์และจารีตทั้งปวงทิ้ง เพียงเพื่อจะไปให้ถึงจุดหมาย

ฉันแค่นหัวเราะ “พี่รู้ไหมคะ...มีใครที่ฉันไม่กล้าเหยียบ และไม่คิดแม้จะ...ทำให้เขาเจ็บ”

“พี่ไม่เคยเห็นเธอเหยียบใครจริงจังสักทีนะ” เขาบอกคล้ายไม่ใช่เรื่องสำคัญ “เธอแค่ทำตัวเหมือน...เด็กอเมริกันที่มั่นใจว่าตัวเองเจ๋ง แล้วเดินไปข้างหน้าโดยไม่สนว่าใครจะแก่กว่า หรือมาก่อน”

“ที่สำคัญคือ...ฉันเจ๋งไงล่ะ” ฉันหัวเราะอย่างนางมารร้าย แบบที่ชอบทำให้คนรอบข้างทั้งกลัวและหมันไส้นั่นล่ะ
บอกแล้ว...ฉันเป็นเด็กนิสัยเสีย และร้ายกาจอย่างที่สุด

เขาหัวเราะ พยักหน้ารับ “โอเค...ข้อนั้นยอมรับ แต่...เด็กน้อย เธอน่ะเจ๋งแค่วิชาการ แต่เรื่องของโลกเนี่ย” รถหยุดที่แยกไฟแดง แล้วเขาก็หันมา ยืนหน้ามาใกล้ฉัน ก่อนบอกชัดเจนทีละคำ “ไม่เอาอ่าว...”

ฉันจ้องหน้าเขาที่เลิกคิ้วล้ออยู่ชั่วครู่ ก่อนที่ความบ้าจะเข้าสิง ฉันยืดตัวขึ้น โน้มไปจูบปากเขาเบา ๆ เพียงครู่เดียวแล้วรีบดึงตัวออก รีบบอก “ไฟเขียวแล้วค่ะ”

รถข้างหลังบีบแตรไล่ให้เขาเคลื่อนรถออก ท่าทางจิตหลุดนั่นบอกฉันว่าเขาคงกำลังทำตามสัญชาตญาณมากกว่าจะใช้สมองควบคุม “ใครกันแน่คะไม่เอาอ่าว...แค่จูบเดียวทำเป็นจิตหลุด”

เขานิ่งไปครู่ก่อนบอก “ปากดี”

“ลองชิมอีกรอบไหมจะได้รู้ว่าดีจริงเปล่า” สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าฉันต้องซ่อนความละอายเอาไว้มากแค่ไหนที่จะเอ่ยคำพูดเหมือนก๋ากั่นแบบนี้ออกไป วัฒนธรรมแบบตะวันตกที่ฉันได้มาจากการใช้ชีวิตในต่างประเทศไม่อาจหักล้างขนบประเพณีที่สร้างให้สตรีเก็บงำเรื่องราวและความคิดถึงความรัก

ฉันไม่ใช่ผู้หญิงที่จะกล้าพูดเรื่องเพศอย่างเสรี แต่ก็ไม่ใช่สตรีที่จะงำความจนต้องเสียใจภายหลัง

ถ้าจะให้ปล่อยความรักไปโดยไม่ทำอะไรเลย ฉันคงต้องเสียใจไปตลอดชีวิต

สิ่งที่ฉันไม่คาดคิดคือ เขาเบี่ยงรถเข้าจอดข้างทาง หันมาเผชิญหน้ากับฉัน ยื่นมือดึงแว่นกันแดดที่ฉันเพิ่งสวมกลับเข้าไปออกจากหน้า

สายตาเราสบกัน ฉันรู้ว่าดวงตาฉันคงฟ้องทุกเรื่องราว แต่...ฉันอ่านสายตาเขาไม่ออก

“พี่เป็นผู้ชายคนนั้นหรือ...” เขายังกล้าถาม คำถามที่ควรจะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว ฉันจ้องตาเขาเพียงครู่ ก่อนตัดสินใจพยักหน้ารับ

“ถ้าเราไม่ตอบ พี่ก็ไม่ได้ยินหรอกนะ”

“ต้องให้ฉันจูบพี่อีกรอบเพื่อยืนยันเหรอคะ” ฉันตวัดสายตาค้อนใส่ เขาหัวเราะเบา ๆ แล้วบอก

“เอาสิ...”

ฉันได้แต่กระพริบตาปริบ ๆ ทั้งโกรธ ทั้งอาย นี่เขาคิดว่าคำสารภาพของฉันเป็นเรื่องล้อเล่น และฉันเป็นเด็กอมมืออย่างนั้นหรือถึงมาล้อกันอย่างนี้

คิดว่าฉันไม่กล้าจูบเขาอีกสินะ

ได้...ลืมไปแล้วหรือไงว่าฉันเป็นนางมารร้าย

ฉันมองหน้าเขาตาวาว ก่อนจะยืดตัวขึ้น แนบริมฝีปากลงบนปากเขาอีกครั้ง เพียงสัมผัสอุ่น ๆ แตะทาบลงไป ฉันก็เตรียมจะดึงตัวออกแต่กลับทำไม่ได้ เขารั้งหลังคอฉันเอาไว้ ตามมากดริมฝีปากลงบนเรียวปากฉัน ฟันคม ๆ นั่นกัดปากล่างฉันเบา ๆ หลอกล่อให้ฉันเผยอปากแยกออก แล้วลิ้นอุ่น ๆ ก็ตามเข้ามากวาดแตะสำรวจไปทั่วอย่างเอาแต่ใจ ขณะที่ฉันกำลังมึนงง ตาพร่าเหมือนมีพลุระเบิดอยู่ในหัว

...สวรรค์...โปรดบอกฉันทีว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น

เหมือนโลกทั้งใบหายไปจากความรู้สึก ฉันชะงักตัวแข็งค้างจนเขาดึงตัวออกไป ราวสติหลุดลอยไปไกลแม้ยามที่อกกำลังไหวเหมือนมีบางอย่างระเบิดอยู่ภายใน คงเพราะฉันกำลังหอบ สูดหายใจเข้าไปชดเชยอากาศที่หายไปนาน

“แบบนี้สิ เขาถึงเรียกว่าจูบ” เขามองหน้าฉันนิ่ง ดวงตาคมนั้นมีร่องรอยที่ฉันอ่านไม่ออก “ทีหลัง อย่าทำปากดีกับผู้ชายคนไหนอีกล่ะ เข้าใจไหม...เด็กน้อย”

ฉันได้แต่นิ่งงัน ขณะที่เขากำลังจะหันไปสตาร์ทรถอีกครั้ง

เหมือนบางอย่างระเบิดอยู่ในหัว ฉันหลับตาลงเพียงครู่ กว่าจะรู้ตัวอีกครั้งร่างกายก็ทำงานไวกว่าความคิด ฉันคว้าไหล่เขาไว้ ก่อนยืดตัวขึ้นไปจูบเขาอีกครั้ง ฉันแตะลิ้นไล่ตามริมฝีปากเขาบ้าง ลอกเลียนเอาสิ่งที่เขาเพิ่งทำกับฉันมาใช้

ฉันไม่เคยแพ้...แม้เขาเป็นผู้ชายที่ฉันรัก ฉันก็จะไม่มีวันยอมแพ้

“ถือว่าเสมอกัน...นะคะ” ฉันบอกเมื่อถอนริมฝีปากออกแล้วยืดตัวผ่านหน้าเขาไปไขกุญแจรถให้หน้าตาเฉย “ฉันอยากกลับแล้ว เรากลับกันเถอะค่ะ”

“เรา...เพิ่งจูบพี่ เพิ่งบอกว่ารู้สึกเหมือนรักพี่ แล้วก็จะกลับง่าย ๆ อย่างนี้น่ะเหรอ” เขาเลิกคิ้วมองหน้าฉัน

ฉันหัวเราะ “ไม่ค่ะ...ฉันว่าฉันไม่ได้รักพี่ แต่มันเป็นมากกว่ารัก ฉันอยากจูบพี่หนูก็จูบ และ...มันจบแล้ว”

เขาเลิกคิ้วก่อนที่ฉันจะอธิบายต่อ “พอแล้วค่ะ...ฉันนิยามความรู้สึกนี้ด้วยคำว่ามากกว่ารัก แต่มันสำคัญอะไรล่ะเมื่อฉันเตรียมใจเต็มที่มาเพื่อการอกหัก เพราะเราจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงหรือทำอะไรเพื่อไปให้ถึงคำว่าเรารักกัน”

“พี่มีที่ของพี่ ฉันมีที่ของฉัน สิ่งเดียวที่ฉันจะขอคือ...เมื่อพี่รู้แล้วว่าฉันต้องการอะไร ก็ขอร้องล่ะค่ะ ให้ฉันยืนตรงนี้...ข้าง ๆ หัวใจพี่ตลอดไป ไม่ต้องให้ฉันเข้าไปก็ได้ แค่ยืนข้าง ๆ และวันไหนที่พี่เจ็บ วันไหนที่พี่เหนื่อย” ฉันนิ่งไปครู่ ก่อนจับมือเขาไว้ แตะปลายคางกึ่งบังคับให้เขาหันมามองตา “เดินมาหาฉัน ให้ฉันได้กอดพี่...นะคะ”

เขานิ่งไปครู่ ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ แล้วเริ่มเหยียบคันเร่ง พารถทะยานออกไปเพื่อจะวกตัวกลับไปตามเส้นทางสู่หอพักที่เราเพิ่งจากมา

ระหว่างทางมีเพียงความเงียบงัน จนเมื่อรถจอดลงที่ลานจอดรถในตึก ฉันกำลังจะเปิดประตูลงไป แต่เขากลับคว้าข้อมือฉันไว้แล้วเอ่ยถามเบา ๆ “ทำไมต้องยืนข้าง ๆ ไม่เข้ามาข้างในเลยล่ะ”

ฉันนิ่งงงไปครู่ก่อนจะคิดได้ เขาคงหมายถึงการที่ฉันอยากยืนอยู่ข้าง ๆ หัวใจเขา

ฉันเอียงคอ จ้องหน้าเขาก่อนตอบเสียงอ่อน ปล่อยความอ่อนล้าและอ่อนแอทั้งหมดออกมากับเสียงนั้น

“ข้างในน่ะมันมีพื้นที่จำกัด ถ้าวันหนึ่งมีคนอื่นเดินเข้าไป ฉันกลัวจะถูกโยนออกมา”

“ให้ฉัน...อยู่ข้าง ๆ เถอะนะคะ มันอิสระ สวยงาม และคงยั่งยืนกว่า” ฉันสบตาเขานิ่ง ก่อนยื่นมือไปคว้ากุญแจรถคืนมา

“ฉันกลัวจริง ๆ ที่จะไม่ได้ยืนข้าง ๆ พี่อีก...ให้ฉันอยู่ตรงนี้ ตลอดไปเถอะนะคะ”

เราออกจากรถพร้อมกัน ฉันต้องการเวลาทำใจเพื่อให้ความสัมพันธ์ของเราก้าวกลับไปบนเส้นทางเดิมที่ฉันได้รับสิทธิ์ให้ดูแลเขาอย่างที่เคยเป็น ฉันกดล็อกรถแล้วเดินออกมาโดยไม่สนใจเขาที่ยังยืนอยู่ในลานจอด


พระเจ้าเท่านั้นที่รู้...ฉันรักเขาเกินกว่าจะเอื้อมมือไปคว้าเอาไว้
เพราะแม้คว้าได้...ก็ไม่มีอะไรรับประกันว่าจะไม่มีวันหลุดลอย


หัวใจคนเราน่ะมีพื้นที่จำกัด...ฉันไม่อยากเสี่ยงเดินเข้าไป

-------------
เรื่องราวความรักครั้งนี้อาจจะดูแปลก น่ารำคาญ และชวนให้งุนงงอยู่สักนิด

แต่ไอซ์คงต้องถามท่านที่เข้ามา...เคยไหมคะ ??? รักโดยไม่รู้สึกอยากครอบครอง เพราะกลัวเหลือเกินที่จะคว้ามากอดเอาไว้

ไอซ์ไม่รู้เลยว่าความรู้สึกแบบนี้เรียกว่ารักได้ไหม แต่ไอซ์คิดว่านี่มันมากกว่ารักไปแล้ว

คิดเห็นอย่างไร...พูดคุยกันได้นะคะ

-------------
คุณ grazioso : เรื่องการจัดการกับอารมณ์ทั้งของผู้ป่วยและตัวเราเองเป็นเรื่องยากที่ทรมานในบางครั้งค่ะ แต่มันก็เป็นงานอย่างหนึ่งของพวกเราเหมือนกัน
เรื่องภาษา ขอบคุณมากเลยค่ะ ดีใจจริง ๆ 5555 เป็นเรื่องยากจริง ๆ ค่ะ บางทีเวลาคุยกันเองรู้สึกว่าเราไม่ได้พูดภาษาปกติ เวลาเขียนเลยปวดหัวพิลึก จะถ่ายทอดเป็นภาษาทั่วไปเวลาพูดกัน พวกหมอ ๆ มาอ่านก็จะเซ็ง ๆ เวลาคุยเราไม่ได้คุยงี้นะ เลยตัดสินใจเอ้า...ตามนี้ล่ะ แต่คงต้องค่อย ๆ ปรับไปเรื่อย ๆ น่ะค่ะ

คุณ mhengjhy : ขอบคุณค่ะ ดีใจที่ชอบ^^

คุณ คิมหันตุ์ : ขอบคุณค่าาา

คุณ เทียนจันทร์ : ขอแสดงความเสียใจด้วยค่ะ และไอซ์เชื่อว่าคุณพ่อของคุณจะไปสู่สุคติ ที่แน่ๆคือท่านจากไปอย่างสงบ

คุณ kraten : จริงค่ะ...ทำใจ เผชิญหน้ากับทุกวันอย่างมีสติ

คุณ yayee62 : ค่าาา

คุณ เพาพะงา : ไอซ์ว่านี่อาจเป็นเหตุผลที่ไม่มีการสอบเทียบในปัจจุบัน เพราะความรู็เรียนทันกันได้ แต่วุฒิภาวะและวิชาโลก...ต้องใช้ประสบการณ์ ภาระที่พวกเราถือมันอาจจะหนัก แต่ความจริงคือ...เราเชื่อว่าทุกคนพร้อมจะทำให้ดีที่สุด ด้วยสมองและหัวใจแล้วน่ะค่ะ

คุณ goldensun : ขอบคุณค่ะ

คุณ หมีสีชมพู : หวานพอไหมคะ อิอิ

คุณ sumiya : โอ๋ ๆ (ส่งกระดาษทิชชู^^)



ลิขิตรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 มี.ค. 2556, 15:17:50 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 มี.ค. 2556, 21:37:57 น.

จำนวนการเข้าชม : 1953





<< ก่อนเสียงสุดท้าย   ...ใครบางคน...ที่ทำให้โลกเปลี่ยนไป >>
คิมหันตุ์ 23 มี.ค. 2556, 16:52:35 น.
เคยเป็นค่ะไม่กล้าจะคว้าเอาไว้ เพราะกลัวจะหลุดลอย

ชอบประโยคที่ว่า "หัวใจมีพื้นที่จำกัด" จริงๆ


เทียนจันทร์ 23 มี.ค. 2556, 17:28:15 น.
รักโดยไม่รู้สึกอยากครอบครอง
ไม่รู้สิคะ อาจเป็นเพราะกลัวการครอบครอง บอกได้เลยว่าเจ็บ แต่ดีใจที่ได้รู้ว่ารัก


picky 23 มี.ค. 2556, 17:41:28 น.
เข้าใจความรู้สึกของ "ฉัน" ในเรื่องนี้เป็นอย่างดี เมื่อไรที่เข้าใกล้ความรู้สึกนั้น ก็จะเริ่มกลัว แล้วถอยจากเขาออกมา ก็หัวใจมันมีพื้นที่จำกัดนี่นะ หากวันนึงมีคนมาร่วมแบ่งพื้นที่ที่มีอย่างจำกัดนี้ มันก็จะอึดอัด และเขาอาจจะเหวี่ยงเราก็ออกไป เพื่อเพิ่มพื้นที่ให้ใครอีกคน ดังนั้น อยู่ข้างๆ ปลอดภัยกว่าการเข้าไปอยู่ข้างในตั้งเยอะ ชิงหักอกตัวเองก่อนดีกว่า ^^


sumiya 23 มี.ค. 2556, 18:18:56 น.
เคยค่ะคุณไอซ์ แต่ไม่รู้ว่ามันจะเหมือนกับคุณไอซ์รึเปล่า
ของเราเป็นแบบเมื่อใกล้ถึงจุดที่รู้สึกว่ากำลังจะก้าวข้ามเปลี่ยนไปเป็นอีกความสัมพันธ์นึง
เราจะดึงตัวเองออกมาทันที จะดึงตัวเองออกมาโดยไม่ให้เขารู้ตัว
และเราก็จะปิดตัวเอง ไม่ให้เขารู้เลยว่ากำลังคิดอะไรอยู่
และสุดท้ายเราก็กลายเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม
ไม่รู้ว่าโรคจิตมั้ยที่ทำแบบนี้ แต่คุยมากี่คนเราทำแบบนี้หมดเลย แฮ่


หมีสีชมพู 23 มี.ค. 2556, 19:12:29 น.


เพาพะงา 24 มี.ค. 2556, 00:33:45 น.
ดีใจจัง วันนี้ไม่เหงาละ .. เปิดมาแล้วมีเรื่องราวของลิขิตราให้อ่าน
ปล. 3 ตอนหลังมานี้ แลดูนางเอกจมกับอาการเฮิร์ททุกคนเลยนะ .. ขอใหันางเอกกลับมาร่าเริง เฉียบ สุขุม อีกไใวๆนะคะ


เรือใบ 24 มี.ค. 2556, 09:59:35 น.
กรี๊สสสส ตอนนี้กรี๊สสสได้คำเดียว ก๋ากั่นมากจ้ะหนู เป็นอารมณ์แนวๆ bitter sweet มากเลยค่ะ


sai 24 มี.ค. 2556, 20:48:14 น.
เคยรู้สึกค่ะ และก็แอบเห็นด้วยกับที่คุณไอซ์เขียน ว่าพื้นที่ในหัวใจมันจำกัด ถ้าโดนโยนออกมามันเจ็บ เจ็บจริงๆ


ใบบัวน่ารัก 24 มี.ค. 2556, 21:17:18 น.
เข้าใจยากๆๆๆจัง


grazioso 25 มี.ค. 2556, 12:57:13 น.
ตอนเห็นชื่อพี่ไอซฺเอาเรื่องใหม่มาลง กรี๊ดมากกกก :)
ความรู้สึกแบบนี้ยังไม่เคยกับตัวเองแฮะ แต่อ่านแล้วก็พอจะนึกออกหน่อยๆ ..แบบว่า..อยู่อย่างนี้ดีกว่า สบายกว่า ไม่ต้องกังวล อะไรแบบนั้นป้ะคะ? แหะๆ

รอติดตามผลงานต่อๆ ไปอยู่นะคะ :))


bow 29 มี.ค. 2556, 00:04:46 น.
เคยรู้สึกและเคยทำแบบนี้มาแล้วค่ะ รู้ว่ารัก แต่ไม่กล้าที่จะเริ่มต้นความสัมพันธ์จริงๆ ทั้งๆ ที่ความรู้สึกก็ตรงกัน กลัวไปหมดทุกอย่าง เลย fade ออกมา อยากให้เป็นเพื่อน เพราะมั่นคงกว่า แต่สุดท้าย ก็เสียใจค่ะ ว่าทำไมถึงไม่ลองเริ่มต้นความสัมพันธ์นั้นก่อน รู้สึกว่าตอนนั้นขี้ขลาดเกินไป เพราะสุดท้าย ก็ไม่สามารถเป็นเพื่อนเหมือนแต่ก่อนได้.. ทั้งๆ ที่คิดเหมือนกันว่าจะขอแค่ยืนข้างๆ เขาในตอนนั้น.. แต่ทำได้ยากนะคะในความเป็นจริง.. (ทั้งเราและเขาเลยค่ะ) เลยรู้สึกว่า "สูญเสีย" เพราะยังไม่ได้ลองพยายามสานต่อความสัมพันธ์นั้นให้ดีที่สุดก่อน

เสียดายค่ะ ถ้ายังไงๆ ก็รักไปแล้ว หักอกตัวเองหรืออกหักหลังจากคบกันก็เจ็บอยู่ดี สู้ลองพยายามด้วยกันทั้งคู่ เก็บช่วงเวลาดีๆ ด้วยกันดีกว่าค่ะ
กอปรกับเป็นคนที่รักคนยาก ให้คนเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวได้น้อยจริงๆ มันน่าเสียดายนะคะ ถ้าคนที่ถูกใจเข้ามาแต่เรากลับกลัวไม่กล้าเริ่มต้น จากนั้นก็ถือคติ Do my best ค่ะ ในเมื่อเรารับคนเข้ามายาก แต่ถ้าเผลอใจชอบเขาไปแล้ว ก็จะพยายามรักษาความสัมพันธ์ให้ดีที่สุดค่ะ ไม่อยากเสียใจภายหลังเพราะยังไม่ได้ลองพยายาม เพราะมัวแต่กลัวฝน ไม่กล้าเริ่มต้น (อันนี้ ก็เป็นความเห็นส่วนตัวจากประสบการณ์ล้วนๆ เลยค่ะ)


Setia 19 เม.ย. 2556, 21:00:58 น.
อ่านแล้วรู้สึกเศร้าแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก
เราไม่เคยมีแฟน ไม่เคยมีความรัก ก็เลยไม่รู้จักความรักแบบชายหญิง
สงสัยอยู่เนี่ย จะได้รู้จักคำว่าความรักแบบนี้มั้ย


ลูกกวาดสีส้ม 21 พ.ค. 2556, 13:41:17 น.
อารมย์หม่นเศร้าอ่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account