ลิขิตรักในสายลม # จุฬามณี
รัก หวานๆ ขม ของสาวไทยกับหนุ่มมาเลย์
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: 17.
ตอนที่ 17
ออกจากห้องพี่ชายมาแล้ว เพียงออก็นั่งมองหน้าจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุ้ค พลันก็มีเสียงข้อความเข้าดังขึ้น เป็นข้อความจากวุฒินารท “นอนดึกจัง ทำอะไร”
“ต้นฉบับ”
“ไม่มาร้านหลายวันแล้วนะ แวะมาร้านบ้างซี่”
“ไม่มีเรื่องจะไป”
“อ้าว...ต้องมีเรื่องด้วยเหรอ”
“อืม”
“เดี๋ยวนี้มี อืม กับพี่กับเชื้อนะ...”
“ทำอะไรอยู่ไม่หลับไม่นอน ดึกแล้วนะ แล้ววันนี้เมาหรือเปล่า” เพียงออไม่ยอมขอโทษ แต่กลับชวนเขาคุยแทน
“ไม่เมา...พี่ไม่ใช่คนกินเหล้านะ”
“เหรอ...”
แล้วหน้าจอก็นิ่งค้างอยู่อย่างนั้น เพียงออจึงอ่านข้อมูลสำหรับการทางที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้าต่อ แล้วเสียงข้อความเข้าก็ดังขึ้นอีก “พี่นอนแล้วนะ....พรุ่งนี้มีงาน”
“ฝันดีค่ะ”
“คิดถึงนะ”
สั้น ๆ แต่ทำให้เพียงออรู้สึกหวั่นไหว ‘คิดถึงนะ’ ใช่ บางทีเพียงออก็รู้สึกคิดถึงวุฒินารทขึ้นมา
...แต่เธอก็รู้ตัวว่า มันยังไม่ถึงเวลาอันสมควรที่จะคิดถึงใคร
...เพียงออไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดจึงปล่อยให้จอข้อความสนทนาค้างอยู่อย่างนั้น แต่ว่าปุ่มสีเขียวแสดงสถานะว่าเขายังออนไลน์ยังคงมองเห็น ก็แสดงว่าเขายังไม่ได้ปิดคอมพิวเตอร์ และอึดใจใหญ่ ๆ ก็มีข้อความจากวุฒินารทเข้ามาอีก “ออ หลับหรือยัง”
“ยังค่ะ”
“อย่านอนดึกนักนะ”
“ออนอนกลางวันค่ะพี่ กลางคืนเลยนอนไม่หลับ ไม่ต้องห่วงออหรอก พี่นารทเถอะนอนได้แล้ว”
“นอนไม่หลับ”
“ทำไม”
“เหงา ๆ”
ไอ้คำว่าเหงา ๆ ของผู้ชายมันคืออะไรนะ เพียงออครุ่นคิด แต่เพียงออก็ตอบกลับไปว่า “อ้าว”
“ออ ไม่เหงาบ้างเหรอ”
“ไม่มีเวลาจะเหงาค่ะ หนังสือเรียนกองพะเนิน แล้วก็เร่งปิดต้นฉบับก่อนเดินทางอีก”
“จะไปไหนอีก”
“พม่าค่ะพี่”
“ไปเมื่อไหร่ และไปกี่วัน แบกเป้เหมือนเดิมใช่ไหม”
“ค่ะ” เพียงออกเลือกที่จะตอบเพียงคำถามสุดท้ายของเขา
“ดูแลตัวเองด้วยนะ รู้ไว้ด้วยนะ ทุกครั้งที่ออเดินทางตามลำพัง พี่รู้สึกเป็นห่วง ห่วงมาก” ห่วงมาก ทำให้ใจของเพียงออรู้สึกกระตุกอีกครั้ง แล้วปลายนิ้วของเพียงออก็พรมไปบนคีย์บอร์ด ตามความรู้สึกจริง ๆ
“ขอบคุณค่ะพี่ ออจะดูแลตัวเองให้ดีที่สุด”
“อยากไปกับออจังเลย ออไปกี่วัน”
“สิบวันค่ะ”
“เมื่อไหร่”
เพียงออพิมพ์บอกกำหนดการกลับไป...โดยรู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่มีวันได้เดินทางกับเธออย่างแน่นอน
“คงไปไม่ได้ ช่วงนั้นมีงาน ละครเรื่องใหม่กำลังจะเปิดกล้อง ยังไม่เห็นคิวรับปากไม่ได้”
“เล่นกับน้องเอ๋ด้วยนี่”
“อืม เอ๋ เขาก็เล่น... แต่พี่กับเอ๋ไม่ได้มีอะไรกันนะ เพื่อนร่วมงานเท่านั้น”
“ก็เห็นมีข่าวว่าสนิทสนมกลมเกลียวกันน่าดู”
“คนในวงการเดียวกัน เข้าวงการมาพร้อม ๆ กัน ทำงานด้วยกันบ่อย ๆ ก็สนิทกัน ไม่เห็นจะแปลกอะไร”
“ค่ะ...”
“พี่นอนก่อนนะครับ”
“ไปเหอะ บอกหลายรอบแล้ว”
“พรุ่งนี้เข้ามาในร้านนะ พี่ไม่ได้ไปไหน”
“จะไปทำไม”
“มาช่วยกันดูแลแขก แล้วพี่ได้เมนูใหม่มา อยากให้ออได้ลองชิม รับรองจะติดใจ”
“ไปบ่าย ๆ แล้วกัน อยากนอนตื่นสาย ๆ”
“โอเค งั้นพรุ่งนี้เจอกัน บายนะ ฝันดี ราตรีสวัสดิ์ จุ๊บ ๆ”
พอเห็นถ้อยคำท้ายประโยคเพียงออรู้สึกขนลุกพร้อมกับริมฝีปากคลี่ยิ้มบาง ๆ
ขวัญชีวีต้องแปลกใจเมื่อกลับมาถึงบ้านแล้วพบว่าคุณยายแน่งน้อยกับคุณแม่ชนิตนันต์ของตัวเองนั่งดูโทรทัศน์อยู่ด้วยกัน หลังจากยกมือไหว้ผู้เป็นมารดา หญิงสาวก็ตรงไปสวมกอดแล้วหอมแก้มเบา ๆ
“ไปอย่างไรมาอย่างไร ไม่เห็นโทรบอกขวัญก่อนว่าจะมา แล้วมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่คะ”
“คุณพ่อมาประชุม แม่ก็เลยขอตามกลับมาด้วย”
“คุณแม่ไม่กลับมาเยี่ยมพวกเรากี่เดือนแล้วคะคุณยาย”
“สามเดือนได้แล้วนะ”
“ทำเหมือนไม่มีแม่ ไม่มีลูก ไม่มีเต้าเลยนะ หายไปจ้อยเลย”
“ปากดีไปนะเรา เราเองก็ไม่โทรหาพ่อกับแม่เลยทำเหมือนไม่มีพ่อไม่มีแม่”
“ก็ว่าจะโทร ๆ ก็ไม่ได้โทร พอหยิบโทรศัพท์จะโทร ก็เป็นเวลาราชการอีก กลัวพ่อกับแม่ติดภารกิจบำบัดทุกข์บำรุงสุขประชาชนอยู่ แล้วงานขวัญก็เยอะแยะมากมายก่ายกอง ขอโทษด้วยค่ะ”
“เสียดายที่แม่มาไม่ทันได้เห็นหน้าว่าที่ลูกเขยของแม่”
“คุณยาย” ขวัญชีวีหันไปหาคุณยายที่นั่งยิ้มบาง ๆ ยอมรับว่าได้พูดอะไรต่อมิอะไรไปหมดแล้วตามประสา แม่ที่มีลูกสาวคนเดียว และแม่ลูกคู่นี้ก็ไม่มีเรื่องอะไรปิดบังกันเสียด้วย
“คุณยายบอกว่าหล่อใช้ได้ทีเดียว”
“คุณแม่อย่าล้อ ขวัญกับเขายังไม่มีอะไรคืบหน้าหรอกค่ะ”
“เสียงเขาเพราะมากนะ”
“คุณแม่ไปได้ยินเสียงของเขาตอนไหน”
คุณยายกับคุณแม่มองหน้ากันแล้วอมยิ้มที่เห็นหลานสาวทำหน้างุนงงสงสัย
“เมื่อกี้เขาโทรมาถามสารทุกข์สุกดิบของคุณยาย พอดีแม่อยู่ด้วย เขาก็เลยขอคุยกับแม่ พูดไทยชัดเจนดีซะด้วย แม่ก็เลยไม่ต้องรื้อฟื้นภาษาอังกฤษ”
“คุยเรื่องอะไรกันคะ”
“ไม่บอก....แต่บอกไว้ก่อนนะขวัญชีวี ไม่ใช่ว่าแม่หวงลูกหรอก แต่แต่งแล้วต้องอยู่เมืองไทยเท่านั้น พี่ขวัญชัยไปอยู่ซะไกลหูไกลตาคนหนึ่งแล้ว ขวัญชีวีจะไปไหนอีกไม่ได้เด็ดขาด"
“ขวัญยังไม่ได้บอกเลยว่าจะแต่งงานกับเขา”
“แต่หมอดูบอกแล้วว่ามีดวงจะแต่งงาน”
“หมอดูคู่กับหมอเดาค่ะ”
“แต่แม่เชื่อหมอประจักษ์สุดชีวิต ทักอะไรไม่มีพลาด ตั้งแต่รุ่นแม่ยันรุ่นลูก ขวัญก็รู้นี่”
เมื่อเห็นว่าแม่ดูเชื่อมั่นว่าเขาคือเนื้อคู่ของเธอ ยากที่จะมีอะไรเปลี่ยนแปลง ขวัญชีวีจึงได้กะพริบตาปริบๆ เป็นเชิงหยอกเย้าถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะบอกว่า
“แล้วถ้าแต่งกันเร็ว ๆ นี้ ขวัญจะบอกกับนักข่าวอย่างไรดีน้า...”
ขวัญชีวีทำหน้าครุ่นคิดแล้วก็พูดว่า “นึกออกแล้ว ขวัญก็จะบอกนักข่าวว่า บังเอิญไปดูหมอมาค่ะ หมอคนนี้บอกว่าถ้าแต่งงานกับคนต่างประเทศแล้วจะดี แล้วเขา คนต่างประเทศคนนี้ ก็เข้ามาพอดี คุณยายกับคุณแม่ก็เลยยอมให้แต่ง แบบนี้เนอะ”
“อยากเป็นตัวตลกก็ตามใจ”
“คุณพ่อพักโรงแรมเหรอคะ แล้วมากันกี่วัน ขวัญจะได้ไปหา” ขวัญชีวีทำเสียงจริงจังขึ้นมาเพราะไม่อยากดึงเขาให้กลายมาเป็นเรื่องขำ ๆ กันในครอบครัวอีก
“ไม่ต้องไปหรอก เดี๋ยวพรุ่งนี้คุณพ่อก็จะมากินข้าวเย็นด้วย อยู่หรือเปล่า”
“อยู่ค่ะ แต่เราไปหาอะไรอร่อย ๆ นอกบ้านกินดีกว่าค่ะ”
“ฝีมือป้าสนามไม่อร่อยงั้นซิ”
“แหม กินทุกวันก็เบื่อ ๆ บ้าง แล้วอีกอย่างเปลี่ยนบรรยากาศบ้างอะไรบ้างจะได้เจริญอาหาร แล้ว นาน ๆ เจอพ่อแม่สักที ขวัญพร้อมจ่ายค่ะ เท่าไหร่เท่ากัน”
“อะจ้า ลืมไปว่าลูกแม่มันดาราดังค่าตัวแพงระยับ มีเงินเป็นฟ่อน...แต่ว่าตอนนี้แม่อยากชวนคุณพ่อกับคุณยายนั่งเครื่องบินไปเจริญอาหารที่ปีนังจังเลย ออกค่าตั๋วให้ได้เปล่า” คนเป็นแม่ทำหน้าเจ้าเล่ห์ตามประสาคนอารมณ์ดี
“อยากกินอาหารจีนฮกเกี้ยนแล้วอยากจะดูว่าหนุ่มปีนังน่ารักแค่ไหนด้วย เมื่อกี้เขากับคุณยายซิ่วอินคะยั้นคะยอให้แม่พาคุณยายไปเที่ยวบ้านเขานะ...ล้ำลึกจริง ๆ เลยย่าหลานคู่นี้ รู้จักเข้าทางผู้ใหญ่”
“พอ ๆ แล้วไม่พูดถึงเขาแล้ว...”
“ชอบเขามากไหม”
“คุณแม่ พอแล้วไม่เอาแล้ว”
“ก็ได้ แล้วกับปวุฒิล่ะ จะเป็นอย่างไรต่อไป”
“ก็ อีกเดี๋ยวก็มีข่าวว่าทางใครทางมันค่ะ บอกคุณพ่อด้วยว่าอย่าตกใจอะไร” พ่อขจรวิทย์ของขวัญชีวีนั้นชอบ ปวุฒิเป็นอย่างมาก เพราะปวุฒิเติบโตมากับครอบครัวข้าราชการจึงเข้ากับผู้หลักผู้ใหญ่ได้อย่างไม่มีเคาะเขิน
“ไม่นึกเสียดายเขาบ้างเลยเหรอ” น้ำเสียงนั้นอ่อนโยนลงอย่างคนที่ผ่านโลกมานาน จึงรู้และเข้าใจว่าความผูกพันนั้นมันก็น่ากลัวพอ ๆ กับความรักทีเดียว แต่ว่าขวัญชีวีก็ส่ายหน้าเบา ๆ เป็นคำตอบ
“แล้วมั่นใจหรือว่าคนไกลที่เพิ่งรู้จักกัน จะดีกว่าคนใกล้ที่รู้ใจกันดีอยู่แล้ว”
ขวัญชีวีทำท่าครุ่นคิดก่อนจะเอาตัวรอดว่า “สรุปว่า เหมือนขวัญโดนสะกดจิตอย่างไรก็ไม่รู้นะคะเนี่ย ขวัญยังไม่ได้อะไรกับเขา...คุณแม่มาถึงก็ทึกทักพูดเอง เออเอง ฟังความจากคุณยายอย่างเดียว...”
“ปากแข็งนะ”
“ขวัญเหนียวตัวจัง ขอตัวไปอาบน้ำก่อนดีกว่า ถ้าขวัญไม่ลงมาอีก พรุ่งนี้เช้าเจอกันนะคะ” ลุกขึ้นจูบแก้มแม่สองข้างแล้วขวัญชีวีก็ผละหนีขึ้นชั้นบนไป โดยทำเป็นไม่ได้ยินเสียงหยอกเย้าของแม่ที่ไล่ตามหลังมาอีก
“วันนี้ผมได้คุยกับคุณแม่ของคุณขวัญด้วยนะครับ ท่านคุยสนุกดี” พอเปิดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ้คบนโต๊ะทำงานขวัญชีวีได้รับข้อความจากหลินฮันหมิงในทันที
“ค่ะเห็นแม่บอกว่าคุณมาร์คชวนแม่ไปเที่ยวปีนังด้วย”
“ครับ ชวนทุกคนครับ อยากให้มาเที่ยวกัน ที่นี่ยินดีต้อนรับครับ”
“คุณแม่ไปมาหลายรอบแล้วค่ะ คงไม่ไปอีกแล้ว”
“แต่ท่านบอกว่าอยากมาอยู่เหมือนกันนะครับ อยากมากินอาหารจีนที่นี่”
“ค่ะ”
“วันนี้คุณขวัญทำอะไรบ้าง เหนื่อยไหม”
ขวัญชีวีพิมพ์โต้ตอบบอกเขาไปว่าวันนี้ทั้งวันเธอทำงานอะไรบ้าง แต่ลงท้ายว่า “ไม่เหนื่อยหรอกค่ะเพราะมันเป็นงานที่ขวัญรัก”
“แล้วถ้าไม่ได้ทำงานในวงการ คุณขวัญจะทำอะไร”
“นั่งกินดอกเบี้ยค่ะ 5555555+”
“นึกว่าจะตอบว่าเป็นแม่บ้านค่ะ”
“เป็นให้ใครละคะ” เป็นการ ‘หยอด’ เพื่อรอคำตอบที่อยากได้
“ไม่มีใครให้เป็นหรือครับ”
“ก็พอมีค่ะ อยู่ในระหว่างการพิจารณาค่ะ”
“เขียนใบสมัครได้ที่ไหนครับ...ผมอยากเขียนบ้าง”
“ใบสมัครหมดแล้ว...”
“สมัครทางนี้ได้ไหมครับ”
“ถอนใบสมัครจากคุณนิดมาแล้วเหรอคะ...”
“ผมเคยบอกคุณขวัญแล้วว่าผมกับคุณนิดไม่มีอะไรกัน แค่คนบังเอิญรู้จักกันเท่านั้นครับ”
“ค่ะ”
“ครับ”
“แล้วยังไม่นอนอีกเหรอคะ ดึกแล้วนะ”
“นั่งรอคุณขวัญอยู่ครับ ได้คุยแล้ว บรรเทาความคิดถึงไปเยอะเลย เดี๋ยวก็จะนอนแล้วครับ”
ขวัญชีวียิ้มเขินแล้วปล่อยให้หน้าจอคาอยู่อย่างนั้น...เรื่องอะไรที่เธอจะยอมรับว่าเธอมีใจให้เขา คนอย่างเธอผู้ชายอยากจะพล่ามอะไรก็ปล่อยไป...นิ่งเสีย เมินเสีย ทำเป็นไม่ได้ยินเสีย ผู้ชายก็จะรู้เองว่าเธอไม่มีใจให้ แต่กรณีเขานี้แม้จะมีใจให้เขาไม่น้อย พอใจกับถ้อยคำหวาน ๆ แต่ว่า ขวัญชีวีก็คิดว่า ความสัมพันธ์จะคืบหน้าแค่ไหนนั้นจะต้องให้ระยะเวลาเป็นตัววัด...และเธอก็มั่นใจว่าเขาพร้อมที่จะย้ายมาอยู่เมืองไทยอย่างถาวรได้ เธอจะไม่ไปไหนเพราะเธอมีคุณยายคุณพ่อคุณแม่ที่ต้องดูแล เขาจะต้องเข้าใจตรงนี้ และเวลานี้เธอก็คิดว่าเธอยังมีความสุขกับชีวิตโสดของตัวเองอยู่ ยังไม่ได้ฝันถึงการแต่งงานอย่างที่หมอดูได้ทำนายเลยสักนิด
“เงียบไปเลยหลับแล้วเหรอครับ”
“พอดีท่องบทอยู่นะค่ะ ไม่ได้ดูหน้าจอ” เป็นข้ออ้างที่เหมือนจะบอกว่าเขารบกวน และเขาก็ถามกลับมาได้ตรงกับเจตนาที่เธอตั้งไว้
“แสดงว่าผมรบกวน”
“ไม่รบกวนหรอกค่ะ....แต่ตอนนี้ขวัญรู้สึกง่วงนอนแล้วค่ะ”
“คิดถึงนะครับ”
“ค่ะ ขอบคุณ”
“คิดถึงผมบ้างไหมครับ”
“ง่วงแล้วค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ ดึกมากแล้ว บายค่ะ”
แม้จะยุติการสนทนากับเขาทางข้อความเพื่อไม่ให้เขารู้ว่าตัวเองหวั่นไหวกับข้อความหวาน ๆ หวังพิชิตใจของเขา แต่ขวัญชีวีก็คลิ๊กดูรูปและเรื่องราวต่าง ๆ ที่เขาลงไว้ในเฟสบุ๊ค แม้จะไม่เวิ่นเว้อหรือมากเรื่องเท่าเพื่อนของเธอบางคน แต่ว่าขวัญชีวีก็ได้เห็นรูปพี่สาวสองคนของเขากับพี่เขย น่าจะเป็นการถ่ายด้วยกันตอนอยู่ในงานอะไรสักงาน รวมถึงรูปเพื่อนๆ ของเขา และภาพของเขาเองในบางอิริยาบถ นอกจากนั้นขวัญชีวีก็คลิ๊กไปดูรูปเพื่อนที่เป็นผู้หญิงของเขาหลาย ๆ คน ดูหน้าตาแล้ว ไม่น่าจะเป็นคู่แข่งของเธอ นอกเสียจากณิชกานต์
และที่หน้าเพจของณิชกานต์ ขวัญชีวีก็ต้องนิ่วหน้าครุ่นคิด เพราะณิชกานต์โพสต์รูปตัวเองยิ้มแล้วมี ปวุฒินั่งหลับคอพับอยู่เบื้องหลัง ซึ่งข้อความที่เขียนไว้เหนือรูปมีอยู่ว่า ‘แฟนใครก็ไม่รู้?’ และเหล่าแฟนคลับของณิชกานต์บางคนก็คอมเม้นท์ในลักษณะที่ว่าอยากให้ณิชกานต์เป็นแฟนกับปวุฒิจริง ๆ ซึ่งขวัญชีวีจะไม่ยอมให้เป็นไปตามนั้นอย่างเด็ดขาด!!
“พี่ปุ้มทำไมไม่รับงานโชว์ตัวละคะ ติดคิวอะไร” พอรู้ว่าปวุฒิปฏิเสธงานโชว์ตัวที่ต้องออกต่างจังหวัดด้วยกันณิชกานต์ที่ก็รีบเดินมาถามปวุฒิที่นั่งรอเข้าฉากในทันที
“พี่จะไปมาเลเซียน่ะ ไปกับขวัญ”
พอรู้ว่าทั้งคู่กำลังจะไปด้วยกัน แรงริษยาก็พลุ่งพล่านขึ้นมา แต่ณิชกานต์ก็เกลื่อนสีหน้าได้ในทันที เธอจะให้ปวุฒิรู้สึกไม่ได้ว่าเธอก้าวมาไกลเกินคำว่า ‘พี่น้อง’ เสียแล้ว และคำว่า ‘พี่น้อง’ ที่เข้าอกเข้าใจกันนี้ เธอจะค่อย ๆ ทำให้เขามีความผูกพันกับเธอจนถอนตัวไม่ขึ้น
“ตามไปขัดขวางขวัญกับคุณมาร์คเหรอคะ” ณิชกานต์อ้างเรื่องที่เคยสมรู้ร่วมคิดกับเขาและปวุฒิก็ยอมรับตรง ๆ “อืม...”
“ถ้าไม่สำเร็จล่ะ พี่ปุ้มจะทำอย่างไร” น้ำเสียงนั้นบอกให้รู้ว่าเธอเป็นห่วงความรู้สึกของเขาเป็นอย่างมาก ปวุฒินิ่งคิดแล้วก็พูดด้วยเสียงเนือย ๆ ว่า “บางทีมันก็อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่พี่จะทำอะไรบ้า ๆ ก็ได้นิด รั้งกันไว้จนสุดกำลังแล้ว หากไม่ไหวก็คงต้องปล่อย”
“รักษาแผลใจสักพัก แล้วก็ให้โอกาสคนอื่นบ้าง ผู้หญิงไม่ได้มีคนเดียวในโลกหรอกค่ะ”
“ใช่...มีเยอะแยะ”
“นิดชอบพี่ปุ้มตรงนี้แหละ หายากนะคะ รักแล้วรักมั่นคง เสียดายที่นิดไม่ได้เป็นผู้หญิงโชคดีคนนั้น”
ปวุฒิมองหน้าณิชกานต์ หญิงสาวสบตาของเขายิ้มเศร้า ๆ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุย
“ไปมาเลเซียก็อย่าลืมซื้อขนมมาฝากนิดด้วยนะคะ”
“เป็นอะไรถึงอยากได้แต่ขนมจากพี่”
“อันที่จริงนิดไม่ได้อยากได้ขนมหรอกค่ะ...นิดอยากมีเรื่องคุยกับพี่เท่านั้นเอง...”
ปวุฒิยิ้มบาง ๆ เขิน ๆ แต่ว่ายังไม่ทันที่เขาจะโต้ตอบอะไรผู้ช่วยผู้กำกับการแสดงก็เรียกเขาไปเข้าฉาก
วิศรุตบอกกับหลินฮันหมิงแล้วว่างานนี้ขวัญชีวีจะมีปวุฒิและวรรณรดาติดตามมาด้วย โดยวรรณรดานั้นจะตามเพื่อนมาทำงานที่มาเลเซียเพื่อสานความสัมพันธ์กับปวุฒิให้แนบแน่นยิ่งขึ้น โดยมีขวัญชีวีรู้เห็นเป็นใจ ส่วนปวุฒินั้นตามขวัญชีวีมามาเลเซียด้วยเพราะต้องการกันท่าเขา ซึ่งเขาเองถ้าไม่ได้ลูกยุจากณิชกานต์ก็คงไม่กล้าเดินหน้าจีบขวัญชีวี และให้ความร่วมมือไม่ให้ความสะดวกและไม่ใส่ใจกับปวุฒิและวรรณรดาอย่างคนไม่มีมารยาทตามแผนการของวรรณรดาที่ฝากบอกวิศรุตมาเป็นแน่
หลินฮันหมิงสั่งให้ผู้จัดการฝ่ายโฆษณาของบริษัทไปรอรับทีมงานโปรดักชั่นเฮ้าส์และคณะที่สนามบินแล้วตรงเข้าที่พักเก็บสัมภาระก่อนจะพาไปยังสตูดิโอถ่ายทำภาพยนตร์โฆษณาที่อยู่ไม่ไกลจากโรงแรมมากนัก
และที่สตูดิโอเขาก็ยิ้มแย้มให้การต้อนรับขวัญชีวี ปวุฒิ วรรณรดา ก่อนที่ทางทีมงานจะดึงตัวขวัญชีวีไปแต่งหน้าทำผมและเปลี่ยนเสื้อผ้า....
“ช่วงนี้คุณดากับคุณปวุฒิคงจะเบื่อกันแย่เลย” หลินฮันหมิงนั้นทำตัววุ่นวาย หายหน้าไปติดต่อประสานงานกับตรงนั้นบ้างตรงนี้บ้าง แล้วก็วกกลับมาหาวรรณรดากับปวุฒิที่นั่งรอขวัญชีวีทำงานด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย
“ทำอย่างไรได้ละคะ”
“คุณดากับคุณปวุฒิจะออกไปเดินเล่นในเมืองนี่ก็ได้นะครับ ออกไปแล้วเลี้ยวซ้ายมีห้างสรรพสินค้าพอให้แก้เบื่อได้ครับ”
“ดามีข้อมูลกรุงกัวลาลัมเปอร์มาจากเมืองไทยแล้วค่ะ อีกสักพัก ดากับพี่ปุ้มว่าจะออกไปถ้ำบาตูกันค่ะ”
“จะไปกันอย่างไรคับ นั่งแท็กซี่ไปได้นะครับ ไม่ไกลเท่าไหร่ สิบกว่ากิโลเมตรเท่านั้น”
“เห็นว่ามีรถไฟฟ้าไปถึง น่าจะลองนั่งรถไฟฟ้าดูค่ะ ก่อนจะมา คุยกับเพียงออเยอะเหมือนกัน น้องเขาแนะนำวิธีการเดินทาง สถานที่ท่องเที่ยวไว้พอสังเขปแล้วค่ะ แล้วก็มีหนังสือคู่มือท่องเที่ยวมาเลเซียที่คนอื่นเขียนติดมาด้วย”
“ครับ...ผมขอโทษจริง ๆ ที่ไม่มีเวลาอำนวยความสะดวกให้คุณดา”
“ไม่เป็นไรค่ะ ดาเองอยากมาเที่ยวแบบแบ๊กแพ็คด้วยค่ะ แล้วก็เข้าใจว่าคุณมาร์คต้องทำงาน”
“มีอะไรก็โทรเข้ามือถือผมนะครับ มีเบอร์เครื่องมาเลเซียผมแล้วนะครับ”
“มีแล้วค่ะ...แล้วอะไรนี่คืออะไรคะ”
“ประมาณว่าหลงทางหรือไม่รู้จะเดินทางอย่างไร”
“ได้ค่ะ แต่ดาคิดว่าคงไม่หลงหรอก...”
“แต่อย่างไรคุณดากับคุณปุ้มต้องกลับมาให้ทันมื้อเย็นนะครับ ผมจองห้องอาหารไว้แล้ว”
“ค่ะ...ขอบคุณค่ะ ไปค่ะพี่ปุ้ม”
เมื่อเดินออกจากสตูดิโอมาแล้ว วรรณรดาที่ได้ข้อมูลจากประชาสัมพันธ์ของสตูดิโอเมื่อก่อนหน้านั้น ก็พาปวุฒิเดินไปยังสถานีรถไฟฟ้า
...ปวุฒิมองบรรยากาศสองข้างทาง แล้วสรุปว่า ความสะอาดสะอ้านของเมืองกัวลาลัมเปอร์นั้นไม่เท่าสิงคโปร์และที่นี่มีคนอิสลามพักอยู่อาศัยมากกว่าคนจีน ภวังค์นั้นเขานึกถึงน้องสาวของเขา เพียงออคงจะตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้ย่ำเท้าไปถิ่นไม่คุ้นเคย และความตื่นเต้นมันก็มีเป็นสีสันของชีวิตเหมือนกับเขาได้รับบทบาทใหม่ ๆ ทางการแสดง
หลังจัดการเรียนรู้ระบบซื้อบัตรรถไฟฟ้าของประเทศมาเลเซียแล้ว ทั้งสองคนก็มาหยุดรออยู่บนชานชาลา
“น้องออเขาเก่งนะคะเดินทางคนเดียวได้”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาไปได้แนวคิดประหลาด ๆ นี้จากที่ไหน แต่บอกตรง ๆ ว่าผมเป็นห่วงเขาทุกครั้งที่เขาออกจากบ้าน นี่เขาก็ว่าจะไปพม่าหลังจากที่ผมกลับเมืองไทย”
“ไปกี่วันค่ะ”
“บอกผมไว้สิบวัน แต่ผมคิดว่าเขาคงไปมากกว่านั้น เขาบอกว่าคุณดาเป็นสปอนเซอร์ให้เขานี่”
“บริษัทค่ะ เขายื่นโครงการผ่านพี่รุต พี่รุตเห็นว่าน่าให้การสนับสนุนก็เลยอนุมัติ แต่ดาไม่รู้ว่าเขาเดินทางวันไหน กี่วันนะคะ”
“ส่วนหนึ่งเพราะเพียงออเป็นน้องสาวผมด้วยใช่ไหมครับ”
“ถ้าไม่ช่วยคนกันเองก่อนแล้วจะไปช่วยใครละคะ”
เมื่อรถไฟฟ้าขบวนที่จะพาทั้งคู่ไปยังสถานี KL Sentral จุดเปลี่ยนขบวนรถไฟไปสถานีถ้ำบาตู ทั้งคู่ก็ได้ผจญภัยเล็ก ๆ ด้วยกันเพราะตรงจุดนั้นเป็นจุดเปลี่ยนขบวนรถไฟหลายสายทำให้งุนงงกับตู้จำหน่ายตั๋วและทิศทางเดินไปยังชานชาลาเพื่อรอรถไฟ แต่ว่าในที่สุดทั้งคู่ก็ขึ้นมานั่งอยู่บนรถไฟพร้อมกับพ่นลมหายใจออกจากปากเบา ๆ
“คนเมืองเขามีแค่ล้านกว่า ๆ แต่มีรถไฟฟ้าไม่รู้จักกี่สาย และแต่ละสายก็ยาวมาก แต่ว่าบ้านเราคนสิบกว่าล้านคน...นึกแล้วเพลีย” วรรณรดาชวนคุยเพราะว่าในโบกี้นั้นมีผู้โดยสารนับตัวได้เลย
ปวุฒิถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะบอกว่า “ทุกสังคมก็มีปัญหาทั้งนั้นแหละครับ เพียงแต่ว่าเราจะอยู่กับปัญหาอย่างไร ว่าไปแล้วคนบ้านเราก็เห็นแก่ตัวกันมากขึ้น ๆ จ้องแต่จะกอบโกยผลประโยชน์เขาหาตัวเอง แต่บ้านเราก็แปลกอยู่อย่างหนึ่งนะคุณดา ถึงเวลาบริจาคเงินร่วมแรงร่วมใจกันเพื่อช่วยเหลือกัน กลับเป็นเรื่องที่ง่ายมาก”
“ทำไมเป็นอย่างนั้นละคะ”
“ผมคิดว่ามันเป็นเพราะบ้านเราเป็นเมืองพุทธที่คนส่วนใหญ่เข้าใจเรื่องบุญอยู่แล้ว พอรู้ว่าการช่วยได้มากกว่าช่วยคือได้บุญก็เลยพร้อมจะทำกัน แต่ว่าไปมันก็เป็นการทำเพื่อตัวเองอีกนั่นแหละ มีสวรรค์เป็นเครื่องล่อ ให้แบบเห็นแก่ประโยชน์ของตัวเองนั่นเอง”
“อย่างที่เรากำลังจะไปถ้ำบาตูนี่ก็ถือว่ามีสวรรค์เป็นตัวล่อเหมือนกันนะ...”
“ใช่ แล้วทำไมคุณดาอยากไปถ้ำบาตู ทำไมไม่อยากไปช็อปปิ้ง”
“ช็อปปิ้งที่บ้านเรามีค่ะ มีเยอะแยะมากมายเลย แต่ถ้ำบาตูที่บ้านเราไม่มี และพรุ่งนี้ เราก็จะไปกาสิโนกัน”
“เพราะว่าที่บ้านเราไม่มี”
ออกจากห้องพี่ชายมาแล้ว เพียงออก็นั่งมองหน้าจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุ้ค พลันก็มีเสียงข้อความเข้าดังขึ้น เป็นข้อความจากวุฒินารท “นอนดึกจัง ทำอะไร”
“ต้นฉบับ”
“ไม่มาร้านหลายวันแล้วนะ แวะมาร้านบ้างซี่”
“ไม่มีเรื่องจะไป”
“อ้าว...ต้องมีเรื่องด้วยเหรอ”
“อืม”
“เดี๋ยวนี้มี อืม กับพี่กับเชื้อนะ...”
“ทำอะไรอยู่ไม่หลับไม่นอน ดึกแล้วนะ แล้ววันนี้เมาหรือเปล่า” เพียงออไม่ยอมขอโทษ แต่กลับชวนเขาคุยแทน
“ไม่เมา...พี่ไม่ใช่คนกินเหล้านะ”
“เหรอ...”
แล้วหน้าจอก็นิ่งค้างอยู่อย่างนั้น เพียงออจึงอ่านข้อมูลสำหรับการทางที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้าต่อ แล้วเสียงข้อความเข้าก็ดังขึ้นอีก “พี่นอนแล้วนะ....พรุ่งนี้มีงาน”
“ฝันดีค่ะ”
“คิดถึงนะ”
สั้น ๆ แต่ทำให้เพียงออรู้สึกหวั่นไหว ‘คิดถึงนะ’ ใช่ บางทีเพียงออก็รู้สึกคิดถึงวุฒินารทขึ้นมา
...แต่เธอก็รู้ตัวว่า มันยังไม่ถึงเวลาอันสมควรที่จะคิดถึงใคร
...เพียงออไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดจึงปล่อยให้จอข้อความสนทนาค้างอยู่อย่างนั้น แต่ว่าปุ่มสีเขียวแสดงสถานะว่าเขายังออนไลน์ยังคงมองเห็น ก็แสดงว่าเขายังไม่ได้ปิดคอมพิวเตอร์ และอึดใจใหญ่ ๆ ก็มีข้อความจากวุฒินารทเข้ามาอีก “ออ หลับหรือยัง”
“ยังค่ะ”
“อย่านอนดึกนักนะ”
“ออนอนกลางวันค่ะพี่ กลางคืนเลยนอนไม่หลับ ไม่ต้องห่วงออหรอก พี่นารทเถอะนอนได้แล้ว”
“นอนไม่หลับ”
“ทำไม”
“เหงา ๆ”
ไอ้คำว่าเหงา ๆ ของผู้ชายมันคืออะไรนะ เพียงออครุ่นคิด แต่เพียงออก็ตอบกลับไปว่า “อ้าว”
“ออ ไม่เหงาบ้างเหรอ”
“ไม่มีเวลาจะเหงาค่ะ หนังสือเรียนกองพะเนิน แล้วก็เร่งปิดต้นฉบับก่อนเดินทางอีก”
“จะไปไหนอีก”
“พม่าค่ะพี่”
“ไปเมื่อไหร่ และไปกี่วัน แบกเป้เหมือนเดิมใช่ไหม”
“ค่ะ” เพียงออกเลือกที่จะตอบเพียงคำถามสุดท้ายของเขา
“ดูแลตัวเองด้วยนะ รู้ไว้ด้วยนะ ทุกครั้งที่ออเดินทางตามลำพัง พี่รู้สึกเป็นห่วง ห่วงมาก” ห่วงมาก ทำให้ใจของเพียงออรู้สึกกระตุกอีกครั้ง แล้วปลายนิ้วของเพียงออก็พรมไปบนคีย์บอร์ด ตามความรู้สึกจริง ๆ
“ขอบคุณค่ะพี่ ออจะดูแลตัวเองให้ดีที่สุด”
“อยากไปกับออจังเลย ออไปกี่วัน”
“สิบวันค่ะ”
“เมื่อไหร่”
เพียงออพิมพ์บอกกำหนดการกลับไป...โดยรู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่มีวันได้เดินทางกับเธออย่างแน่นอน
“คงไปไม่ได้ ช่วงนั้นมีงาน ละครเรื่องใหม่กำลังจะเปิดกล้อง ยังไม่เห็นคิวรับปากไม่ได้”
“เล่นกับน้องเอ๋ด้วยนี่”
“อืม เอ๋ เขาก็เล่น... แต่พี่กับเอ๋ไม่ได้มีอะไรกันนะ เพื่อนร่วมงานเท่านั้น”
“ก็เห็นมีข่าวว่าสนิทสนมกลมเกลียวกันน่าดู”
“คนในวงการเดียวกัน เข้าวงการมาพร้อม ๆ กัน ทำงานด้วยกันบ่อย ๆ ก็สนิทกัน ไม่เห็นจะแปลกอะไร”
“ค่ะ...”
“พี่นอนก่อนนะครับ”
“ไปเหอะ บอกหลายรอบแล้ว”
“พรุ่งนี้เข้ามาในร้านนะ พี่ไม่ได้ไปไหน”
“จะไปทำไม”
“มาช่วยกันดูแลแขก แล้วพี่ได้เมนูใหม่มา อยากให้ออได้ลองชิม รับรองจะติดใจ”
“ไปบ่าย ๆ แล้วกัน อยากนอนตื่นสาย ๆ”
“โอเค งั้นพรุ่งนี้เจอกัน บายนะ ฝันดี ราตรีสวัสดิ์ จุ๊บ ๆ”
พอเห็นถ้อยคำท้ายประโยคเพียงออรู้สึกขนลุกพร้อมกับริมฝีปากคลี่ยิ้มบาง ๆ
ขวัญชีวีต้องแปลกใจเมื่อกลับมาถึงบ้านแล้วพบว่าคุณยายแน่งน้อยกับคุณแม่ชนิตนันต์ของตัวเองนั่งดูโทรทัศน์อยู่ด้วยกัน หลังจากยกมือไหว้ผู้เป็นมารดา หญิงสาวก็ตรงไปสวมกอดแล้วหอมแก้มเบา ๆ
“ไปอย่างไรมาอย่างไร ไม่เห็นโทรบอกขวัญก่อนว่าจะมา แล้วมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่คะ”
“คุณพ่อมาประชุม แม่ก็เลยขอตามกลับมาด้วย”
“คุณแม่ไม่กลับมาเยี่ยมพวกเรากี่เดือนแล้วคะคุณยาย”
“สามเดือนได้แล้วนะ”
“ทำเหมือนไม่มีแม่ ไม่มีลูก ไม่มีเต้าเลยนะ หายไปจ้อยเลย”
“ปากดีไปนะเรา เราเองก็ไม่โทรหาพ่อกับแม่เลยทำเหมือนไม่มีพ่อไม่มีแม่”
“ก็ว่าจะโทร ๆ ก็ไม่ได้โทร พอหยิบโทรศัพท์จะโทร ก็เป็นเวลาราชการอีก กลัวพ่อกับแม่ติดภารกิจบำบัดทุกข์บำรุงสุขประชาชนอยู่ แล้วงานขวัญก็เยอะแยะมากมายก่ายกอง ขอโทษด้วยค่ะ”
“เสียดายที่แม่มาไม่ทันได้เห็นหน้าว่าที่ลูกเขยของแม่”
“คุณยาย” ขวัญชีวีหันไปหาคุณยายที่นั่งยิ้มบาง ๆ ยอมรับว่าได้พูดอะไรต่อมิอะไรไปหมดแล้วตามประสา แม่ที่มีลูกสาวคนเดียว และแม่ลูกคู่นี้ก็ไม่มีเรื่องอะไรปิดบังกันเสียด้วย
“คุณยายบอกว่าหล่อใช้ได้ทีเดียว”
“คุณแม่อย่าล้อ ขวัญกับเขายังไม่มีอะไรคืบหน้าหรอกค่ะ”
“เสียงเขาเพราะมากนะ”
“คุณแม่ไปได้ยินเสียงของเขาตอนไหน”
คุณยายกับคุณแม่มองหน้ากันแล้วอมยิ้มที่เห็นหลานสาวทำหน้างุนงงสงสัย
“เมื่อกี้เขาโทรมาถามสารทุกข์สุกดิบของคุณยาย พอดีแม่อยู่ด้วย เขาก็เลยขอคุยกับแม่ พูดไทยชัดเจนดีซะด้วย แม่ก็เลยไม่ต้องรื้อฟื้นภาษาอังกฤษ”
“คุยเรื่องอะไรกันคะ”
“ไม่บอก....แต่บอกไว้ก่อนนะขวัญชีวี ไม่ใช่ว่าแม่หวงลูกหรอก แต่แต่งแล้วต้องอยู่เมืองไทยเท่านั้น พี่ขวัญชัยไปอยู่ซะไกลหูไกลตาคนหนึ่งแล้ว ขวัญชีวีจะไปไหนอีกไม่ได้เด็ดขาด"
“ขวัญยังไม่ได้บอกเลยว่าจะแต่งงานกับเขา”
“แต่หมอดูบอกแล้วว่ามีดวงจะแต่งงาน”
“หมอดูคู่กับหมอเดาค่ะ”
“แต่แม่เชื่อหมอประจักษ์สุดชีวิต ทักอะไรไม่มีพลาด ตั้งแต่รุ่นแม่ยันรุ่นลูก ขวัญก็รู้นี่”
เมื่อเห็นว่าแม่ดูเชื่อมั่นว่าเขาคือเนื้อคู่ของเธอ ยากที่จะมีอะไรเปลี่ยนแปลง ขวัญชีวีจึงได้กะพริบตาปริบๆ เป็นเชิงหยอกเย้าถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะบอกว่า
“แล้วถ้าแต่งกันเร็ว ๆ นี้ ขวัญจะบอกกับนักข่าวอย่างไรดีน้า...”
ขวัญชีวีทำหน้าครุ่นคิดแล้วก็พูดว่า “นึกออกแล้ว ขวัญก็จะบอกนักข่าวว่า บังเอิญไปดูหมอมาค่ะ หมอคนนี้บอกว่าถ้าแต่งงานกับคนต่างประเทศแล้วจะดี แล้วเขา คนต่างประเทศคนนี้ ก็เข้ามาพอดี คุณยายกับคุณแม่ก็เลยยอมให้แต่ง แบบนี้เนอะ”
“อยากเป็นตัวตลกก็ตามใจ”
“คุณพ่อพักโรงแรมเหรอคะ แล้วมากันกี่วัน ขวัญจะได้ไปหา” ขวัญชีวีทำเสียงจริงจังขึ้นมาเพราะไม่อยากดึงเขาให้กลายมาเป็นเรื่องขำ ๆ กันในครอบครัวอีก
“ไม่ต้องไปหรอก เดี๋ยวพรุ่งนี้คุณพ่อก็จะมากินข้าวเย็นด้วย อยู่หรือเปล่า”
“อยู่ค่ะ แต่เราไปหาอะไรอร่อย ๆ นอกบ้านกินดีกว่าค่ะ”
“ฝีมือป้าสนามไม่อร่อยงั้นซิ”
“แหม กินทุกวันก็เบื่อ ๆ บ้าง แล้วอีกอย่างเปลี่ยนบรรยากาศบ้างอะไรบ้างจะได้เจริญอาหาร แล้ว นาน ๆ เจอพ่อแม่สักที ขวัญพร้อมจ่ายค่ะ เท่าไหร่เท่ากัน”
“อะจ้า ลืมไปว่าลูกแม่มันดาราดังค่าตัวแพงระยับ มีเงินเป็นฟ่อน...แต่ว่าตอนนี้แม่อยากชวนคุณพ่อกับคุณยายนั่งเครื่องบินไปเจริญอาหารที่ปีนังจังเลย ออกค่าตั๋วให้ได้เปล่า” คนเป็นแม่ทำหน้าเจ้าเล่ห์ตามประสาคนอารมณ์ดี
“อยากกินอาหารจีนฮกเกี้ยนแล้วอยากจะดูว่าหนุ่มปีนังน่ารักแค่ไหนด้วย เมื่อกี้เขากับคุณยายซิ่วอินคะยั้นคะยอให้แม่พาคุณยายไปเที่ยวบ้านเขานะ...ล้ำลึกจริง ๆ เลยย่าหลานคู่นี้ รู้จักเข้าทางผู้ใหญ่”
“พอ ๆ แล้วไม่พูดถึงเขาแล้ว...”
“ชอบเขามากไหม”
“คุณแม่ พอแล้วไม่เอาแล้ว”
“ก็ได้ แล้วกับปวุฒิล่ะ จะเป็นอย่างไรต่อไป”
“ก็ อีกเดี๋ยวก็มีข่าวว่าทางใครทางมันค่ะ บอกคุณพ่อด้วยว่าอย่าตกใจอะไร” พ่อขจรวิทย์ของขวัญชีวีนั้นชอบ ปวุฒิเป็นอย่างมาก เพราะปวุฒิเติบโตมากับครอบครัวข้าราชการจึงเข้ากับผู้หลักผู้ใหญ่ได้อย่างไม่มีเคาะเขิน
“ไม่นึกเสียดายเขาบ้างเลยเหรอ” น้ำเสียงนั้นอ่อนโยนลงอย่างคนที่ผ่านโลกมานาน จึงรู้และเข้าใจว่าความผูกพันนั้นมันก็น่ากลัวพอ ๆ กับความรักทีเดียว แต่ว่าขวัญชีวีก็ส่ายหน้าเบา ๆ เป็นคำตอบ
“แล้วมั่นใจหรือว่าคนไกลที่เพิ่งรู้จักกัน จะดีกว่าคนใกล้ที่รู้ใจกันดีอยู่แล้ว”
ขวัญชีวีทำท่าครุ่นคิดก่อนจะเอาตัวรอดว่า “สรุปว่า เหมือนขวัญโดนสะกดจิตอย่างไรก็ไม่รู้นะคะเนี่ย ขวัญยังไม่ได้อะไรกับเขา...คุณแม่มาถึงก็ทึกทักพูดเอง เออเอง ฟังความจากคุณยายอย่างเดียว...”
“ปากแข็งนะ”
“ขวัญเหนียวตัวจัง ขอตัวไปอาบน้ำก่อนดีกว่า ถ้าขวัญไม่ลงมาอีก พรุ่งนี้เช้าเจอกันนะคะ” ลุกขึ้นจูบแก้มแม่สองข้างแล้วขวัญชีวีก็ผละหนีขึ้นชั้นบนไป โดยทำเป็นไม่ได้ยินเสียงหยอกเย้าของแม่ที่ไล่ตามหลังมาอีก
“วันนี้ผมได้คุยกับคุณแม่ของคุณขวัญด้วยนะครับ ท่านคุยสนุกดี” พอเปิดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ้คบนโต๊ะทำงานขวัญชีวีได้รับข้อความจากหลินฮันหมิงในทันที
“ค่ะเห็นแม่บอกว่าคุณมาร์คชวนแม่ไปเที่ยวปีนังด้วย”
“ครับ ชวนทุกคนครับ อยากให้มาเที่ยวกัน ที่นี่ยินดีต้อนรับครับ”
“คุณแม่ไปมาหลายรอบแล้วค่ะ คงไม่ไปอีกแล้ว”
“แต่ท่านบอกว่าอยากมาอยู่เหมือนกันนะครับ อยากมากินอาหารจีนที่นี่”
“ค่ะ”
“วันนี้คุณขวัญทำอะไรบ้าง เหนื่อยไหม”
ขวัญชีวีพิมพ์โต้ตอบบอกเขาไปว่าวันนี้ทั้งวันเธอทำงานอะไรบ้าง แต่ลงท้ายว่า “ไม่เหนื่อยหรอกค่ะเพราะมันเป็นงานที่ขวัญรัก”
“แล้วถ้าไม่ได้ทำงานในวงการ คุณขวัญจะทำอะไร”
“นั่งกินดอกเบี้ยค่ะ 5555555+”
“นึกว่าจะตอบว่าเป็นแม่บ้านค่ะ”
“เป็นให้ใครละคะ” เป็นการ ‘หยอด’ เพื่อรอคำตอบที่อยากได้
“ไม่มีใครให้เป็นหรือครับ”
“ก็พอมีค่ะ อยู่ในระหว่างการพิจารณาค่ะ”
“เขียนใบสมัครได้ที่ไหนครับ...ผมอยากเขียนบ้าง”
“ใบสมัครหมดแล้ว...”
“สมัครทางนี้ได้ไหมครับ”
“ถอนใบสมัครจากคุณนิดมาแล้วเหรอคะ...”
“ผมเคยบอกคุณขวัญแล้วว่าผมกับคุณนิดไม่มีอะไรกัน แค่คนบังเอิญรู้จักกันเท่านั้นครับ”
“ค่ะ”
“ครับ”
“แล้วยังไม่นอนอีกเหรอคะ ดึกแล้วนะ”
“นั่งรอคุณขวัญอยู่ครับ ได้คุยแล้ว บรรเทาความคิดถึงไปเยอะเลย เดี๋ยวก็จะนอนแล้วครับ”
ขวัญชีวียิ้มเขินแล้วปล่อยให้หน้าจอคาอยู่อย่างนั้น...เรื่องอะไรที่เธอจะยอมรับว่าเธอมีใจให้เขา คนอย่างเธอผู้ชายอยากจะพล่ามอะไรก็ปล่อยไป...นิ่งเสีย เมินเสีย ทำเป็นไม่ได้ยินเสีย ผู้ชายก็จะรู้เองว่าเธอไม่มีใจให้ แต่กรณีเขานี้แม้จะมีใจให้เขาไม่น้อย พอใจกับถ้อยคำหวาน ๆ แต่ว่า ขวัญชีวีก็คิดว่า ความสัมพันธ์จะคืบหน้าแค่ไหนนั้นจะต้องให้ระยะเวลาเป็นตัววัด...และเธอก็มั่นใจว่าเขาพร้อมที่จะย้ายมาอยู่เมืองไทยอย่างถาวรได้ เธอจะไม่ไปไหนเพราะเธอมีคุณยายคุณพ่อคุณแม่ที่ต้องดูแล เขาจะต้องเข้าใจตรงนี้ และเวลานี้เธอก็คิดว่าเธอยังมีความสุขกับชีวิตโสดของตัวเองอยู่ ยังไม่ได้ฝันถึงการแต่งงานอย่างที่หมอดูได้ทำนายเลยสักนิด
“เงียบไปเลยหลับแล้วเหรอครับ”
“พอดีท่องบทอยู่นะค่ะ ไม่ได้ดูหน้าจอ” เป็นข้ออ้างที่เหมือนจะบอกว่าเขารบกวน และเขาก็ถามกลับมาได้ตรงกับเจตนาที่เธอตั้งไว้
“แสดงว่าผมรบกวน”
“ไม่รบกวนหรอกค่ะ....แต่ตอนนี้ขวัญรู้สึกง่วงนอนแล้วค่ะ”
“คิดถึงนะครับ”
“ค่ะ ขอบคุณ”
“คิดถึงผมบ้างไหมครับ”
“ง่วงแล้วค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ ดึกมากแล้ว บายค่ะ”
แม้จะยุติการสนทนากับเขาทางข้อความเพื่อไม่ให้เขารู้ว่าตัวเองหวั่นไหวกับข้อความหวาน ๆ หวังพิชิตใจของเขา แต่ขวัญชีวีก็คลิ๊กดูรูปและเรื่องราวต่าง ๆ ที่เขาลงไว้ในเฟสบุ๊ค แม้จะไม่เวิ่นเว้อหรือมากเรื่องเท่าเพื่อนของเธอบางคน แต่ว่าขวัญชีวีก็ได้เห็นรูปพี่สาวสองคนของเขากับพี่เขย น่าจะเป็นการถ่ายด้วยกันตอนอยู่ในงานอะไรสักงาน รวมถึงรูปเพื่อนๆ ของเขา และภาพของเขาเองในบางอิริยาบถ นอกจากนั้นขวัญชีวีก็คลิ๊กไปดูรูปเพื่อนที่เป็นผู้หญิงของเขาหลาย ๆ คน ดูหน้าตาแล้ว ไม่น่าจะเป็นคู่แข่งของเธอ นอกเสียจากณิชกานต์
และที่หน้าเพจของณิชกานต์ ขวัญชีวีก็ต้องนิ่วหน้าครุ่นคิด เพราะณิชกานต์โพสต์รูปตัวเองยิ้มแล้วมี ปวุฒินั่งหลับคอพับอยู่เบื้องหลัง ซึ่งข้อความที่เขียนไว้เหนือรูปมีอยู่ว่า ‘แฟนใครก็ไม่รู้?’ และเหล่าแฟนคลับของณิชกานต์บางคนก็คอมเม้นท์ในลักษณะที่ว่าอยากให้ณิชกานต์เป็นแฟนกับปวุฒิจริง ๆ ซึ่งขวัญชีวีจะไม่ยอมให้เป็นไปตามนั้นอย่างเด็ดขาด!!
“พี่ปุ้มทำไมไม่รับงานโชว์ตัวละคะ ติดคิวอะไร” พอรู้ว่าปวุฒิปฏิเสธงานโชว์ตัวที่ต้องออกต่างจังหวัดด้วยกันณิชกานต์ที่ก็รีบเดินมาถามปวุฒิที่นั่งรอเข้าฉากในทันที
“พี่จะไปมาเลเซียน่ะ ไปกับขวัญ”
พอรู้ว่าทั้งคู่กำลังจะไปด้วยกัน แรงริษยาก็พลุ่งพล่านขึ้นมา แต่ณิชกานต์ก็เกลื่อนสีหน้าได้ในทันที เธอจะให้ปวุฒิรู้สึกไม่ได้ว่าเธอก้าวมาไกลเกินคำว่า ‘พี่น้อง’ เสียแล้ว และคำว่า ‘พี่น้อง’ ที่เข้าอกเข้าใจกันนี้ เธอจะค่อย ๆ ทำให้เขามีความผูกพันกับเธอจนถอนตัวไม่ขึ้น
“ตามไปขัดขวางขวัญกับคุณมาร์คเหรอคะ” ณิชกานต์อ้างเรื่องที่เคยสมรู้ร่วมคิดกับเขาและปวุฒิก็ยอมรับตรง ๆ “อืม...”
“ถ้าไม่สำเร็จล่ะ พี่ปุ้มจะทำอย่างไร” น้ำเสียงนั้นบอกให้รู้ว่าเธอเป็นห่วงความรู้สึกของเขาเป็นอย่างมาก ปวุฒินิ่งคิดแล้วก็พูดด้วยเสียงเนือย ๆ ว่า “บางทีมันก็อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่พี่จะทำอะไรบ้า ๆ ก็ได้นิด รั้งกันไว้จนสุดกำลังแล้ว หากไม่ไหวก็คงต้องปล่อย”
“รักษาแผลใจสักพัก แล้วก็ให้โอกาสคนอื่นบ้าง ผู้หญิงไม่ได้มีคนเดียวในโลกหรอกค่ะ”
“ใช่...มีเยอะแยะ”
“นิดชอบพี่ปุ้มตรงนี้แหละ หายากนะคะ รักแล้วรักมั่นคง เสียดายที่นิดไม่ได้เป็นผู้หญิงโชคดีคนนั้น”
ปวุฒิมองหน้าณิชกานต์ หญิงสาวสบตาของเขายิ้มเศร้า ๆ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุย
“ไปมาเลเซียก็อย่าลืมซื้อขนมมาฝากนิดด้วยนะคะ”
“เป็นอะไรถึงอยากได้แต่ขนมจากพี่”
“อันที่จริงนิดไม่ได้อยากได้ขนมหรอกค่ะ...นิดอยากมีเรื่องคุยกับพี่เท่านั้นเอง...”
ปวุฒิยิ้มบาง ๆ เขิน ๆ แต่ว่ายังไม่ทันที่เขาจะโต้ตอบอะไรผู้ช่วยผู้กำกับการแสดงก็เรียกเขาไปเข้าฉาก
วิศรุตบอกกับหลินฮันหมิงแล้วว่างานนี้ขวัญชีวีจะมีปวุฒิและวรรณรดาติดตามมาด้วย โดยวรรณรดานั้นจะตามเพื่อนมาทำงานที่มาเลเซียเพื่อสานความสัมพันธ์กับปวุฒิให้แนบแน่นยิ่งขึ้น โดยมีขวัญชีวีรู้เห็นเป็นใจ ส่วนปวุฒินั้นตามขวัญชีวีมามาเลเซียด้วยเพราะต้องการกันท่าเขา ซึ่งเขาเองถ้าไม่ได้ลูกยุจากณิชกานต์ก็คงไม่กล้าเดินหน้าจีบขวัญชีวี และให้ความร่วมมือไม่ให้ความสะดวกและไม่ใส่ใจกับปวุฒิและวรรณรดาอย่างคนไม่มีมารยาทตามแผนการของวรรณรดาที่ฝากบอกวิศรุตมาเป็นแน่
หลินฮันหมิงสั่งให้ผู้จัดการฝ่ายโฆษณาของบริษัทไปรอรับทีมงานโปรดักชั่นเฮ้าส์และคณะที่สนามบินแล้วตรงเข้าที่พักเก็บสัมภาระก่อนจะพาไปยังสตูดิโอถ่ายทำภาพยนตร์โฆษณาที่อยู่ไม่ไกลจากโรงแรมมากนัก
และที่สตูดิโอเขาก็ยิ้มแย้มให้การต้อนรับขวัญชีวี ปวุฒิ วรรณรดา ก่อนที่ทางทีมงานจะดึงตัวขวัญชีวีไปแต่งหน้าทำผมและเปลี่ยนเสื้อผ้า....
“ช่วงนี้คุณดากับคุณปวุฒิคงจะเบื่อกันแย่เลย” หลินฮันหมิงนั้นทำตัววุ่นวาย หายหน้าไปติดต่อประสานงานกับตรงนั้นบ้างตรงนี้บ้าง แล้วก็วกกลับมาหาวรรณรดากับปวุฒิที่นั่งรอขวัญชีวีทำงานด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย
“ทำอย่างไรได้ละคะ”
“คุณดากับคุณปวุฒิจะออกไปเดินเล่นในเมืองนี่ก็ได้นะครับ ออกไปแล้วเลี้ยวซ้ายมีห้างสรรพสินค้าพอให้แก้เบื่อได้ครับ”
“ดามีข้อมูลกรุงกัวลาลัมเปอร์มาจากเมืองไทยแล้วค่ะ อีกสักพัก ดากับพี่ปุ้มว่าจะออกไปถ้ำบาตูกันค่ะ”
“จะไปกันอย่างไรคับ นั่งแท็กซี่ไปได้นะครับ ไม่ไกลเท่าไหร่ สิบกว่ากิโลเมตรเท่านั้น”
“เห็นว่ามีรถไฟฟ้าไปถึง น่าจะลองนั่งรถไฟฟ้าดูค่ะ ก่อนจะมา คุยกับเพียงออเยอะเหมือนกัน น้องเขาแนะนำวิธีการเดินทาง สถานที่ท่องเที่ยวไว้พอสังเขปแล้วค่ะ แล้วก็มีหนังสือคู่มือท่องเที่ยวมาเลเซียที่คนอื่นเขียนติดมาด้วย”
“ครับ...ผมขอโทษจริง ๆ ที่ไม่มีเวลาอำนวยความสะดวกให้คุณดา”
“ไม่เป็นไรค่ะ ดาเองอยากมาเที่ยวแบบแบ๊กแพ็คด้วยค่ะ แล้วก็เข้าใจว่าคุณมาร์คต้องทำงาน”
“มีอะไรก็โทรเข้ามือถือผมนะครับ มีเบอร์เครื่องมาเลเซียผมแล้วนะครับ”
“มีแล้วค่ะ...แล้วอะไรนี่คืออะไรคะ”
“ประมาณว่าหลงทางหรือไม่รู้จะเดินทางอย่างไร”
“ได้ค่ะ แต่ดาคิดว่าคงไม่หลงหรอก...”
“แต่อย่างไรคุณดากับคุณปุ้มต้องกลับมาให้ทันมื้อเย็นนะครับ ผมจองห้องอาหารไว้แล้ว”
“ค่ะ...ขอบคุณค่ะ ไปค่ะพี่ปุ้ม”
เมื่อเดินออกจากสตูดิโอมาแล้ว วรรณรดาที่ได้ข้อมูลจากประชาสัมพันธ์ของสตูดิโอเมื่อก่อนหน้านั้น ก็พาปวุฒิเดินไปยังสถานีรถไฟฟ้า
...ปวุฒิมองบรรยากาศสองข้างทาง แล้วสรุปว่า ความสะอาดสะอ้านของเมืองกัวลาลัมเปอร์นั้นไม่เท่าสิงคโปร์และที่นี่มีคนอิสลามพักอยู่อาศัยมากกว่าคนจีน ภวังค์นั้นเขานึกถึงน้องสาวของเขา เพียงออคงจะตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้ย่ำเท้าไปถิ่นไม่คุ้นเคย และความตื่นเต้นมันก็มีเป็นสีสันของชีวิตเหมือนกับเขาได้รับบทบาทใหม่ ๆ ทางการแสดง
หลังจัดการเรียนรู้ระบบซื้อบัตรรถไฟฟ้าของประเทศมาเลเซียแล้ว ทั้งสองคนก็มาหยุดรออยู่บนชานชาลา
“น้องออเขาเก่งนะคะเดินทางคนเดียวได้”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาไปได้แนวคิดประหลาด ๆ นี้จากที่ไหน แต่บอกตรง ๆ ว่าผมเป็นห่วงเขาทุกครั้งที่เขาออกจากบ้าน นี่เขาก็ว่าจะไปพม่าหลังจากที่ผมกลับเมืองไทย”
“ไปกี่วันค่ะ”
“บอกผมไว้สิบวัน แต่ผมคิดว่าเขาคงไปมากกว่านั้น เขาบอกว่าคุณดาเป็นสปอนเซอร์ให้เขานี่”
“บริษัทค่ะ เขายื่นโครงการผ่านพี่รุต พี่รุตเห็นว่าน่าให้การสนับสนุนก็เลยอนุมัติ แต่ดาไม่รู้ว่าเขาเดินทางวันไหน กี่วันนะคะ”
“ส่วนหนึ่งเพราะเพียงออเป็นน้องสาวผมด้วยใช่ไหมครับ”
“ถ้าไม่ช่วยคนกันเองก่อนแล้วจะไปช่วยใครละคะ”
เมื่อรถไฟฟ้าขบวนที่จะพาทั้งคู่ไปยังสถานี KL Sentral จุดเปลี่ยนขบวนรถไฟไปสถานีถ้ำบาตู ทั้งคู่ก็ได้ผจญภัยเล็ก ๆ ด้วยกันเพราะตรงจุดนั้นเป็นจุดเปลี่ยนขบวนรถไฟหลายสายทำให้งุนงงกับตู้จำหน่ายตั๋วและทิศทางเดินไปยังชานชาลาเพื่อรอรถไฟ แต่ว่าในที่สุดทั้งคู่ก็ขึ้นมานั่งอยู่บนรถไฟพร้อมกับพ่นลมหายใจออกจากปากเบา ๆ
“คนเมืองเขามีแค่ล้านกว่า ๆ แต่มีรถไฟฟ้าไม่รู้จักกี่สาย และแต่ละสายก็ยาวมาก แต่ว่าบ้านเราคนสิบกว่าล้านคน...นึกแล้วเพลีย” วรรณรดาชวนคุยเพราะว่าในโบกี้นั้นมีผู้โดยสารนับตัวได้เลย
ปวุฒิถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะบอกว่า “ทุกสังคมก็มีปัญหาทั้งนั้นแหละครับ เพียงแต่ว่าเราจะอยู่กับปัญหาอย่างไร ว่าไปแล้วคนบ้านเราก็เห็นแก่ตัวกันมากขึ้น ๆ จ้องแต่จะกอบโกยผลประโยชน์เขาหาตัวเอง แต่บ้านเราก็แปลกอยู่อย่างหนึ่งนะคุณดา ถึงเวลาบริจาคเงินร่วมแรงร่วมใจกันเพื่อช่วยเหลือกัน กลับเป็นเรื่องที่ง่ายมาก”
“ทำไมเป็นอย่างนั้นละคะ”
“ผมคิดว่ามันเป็นเพราะบ้านเราเป็นเมืองพุทธที่คนส่วนใหญ่เข้าใจเรื่องบุญอยู่แล้ว พอรู้ว่าการช่วยได้มากกว่าช่วยคือได้บุญก็เลยพร้อมจะทำกัน แต่ว่าไปมันก็เป็นการทำเพื่อตัวเองอีกนั่นแหละ มีสวรรค์เป็นเครื่องล่อ ให้แบบเห็นแก่ประโยชน์ของตัวเองนั่นเอง”
“อย่างที่เรากำลังจะไปถ้ำบาตูนี่ก็ถือว่ามีสวรรค์เป็นตัวล่อเหมือนกันนะ...”
“ใช่ แล้วทำไมคุณดาอยากไปถ้ำบาตู ทำไมไม่อยากไปช็อปปิ้ง”
“ช็อปปิ้งที่บ้านเรามีค่ะ มีเยอะแยะมากมายเลย แต่ถ้ำบาตูที่บ้านเราไม่มี และพรุ่งนี้ เราก็จะไปกาสิโนกัน”
“เพราะว่าที่บ้านเราไม่มี”
จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 มี.ค. 2556, 19:20:51 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 มี.ค. 2556, 19:20:51 น.
จำนวนการเข้าชม : 1733
<< 16. | 18. >> |
mottanoy 5 มี.ค. 2556, 21:25:01 น.
น้องขวัญร้ายได้อีก
น้องขวัญร้ายได้อีก
คิมหันตุ์ 6 มี.ค. 2556, 01:18:41 น.
หลายคู่ยังไ่ม่ลงตัวสักที
หลายคู่ยังไ่ม่ลงตัวสักที
Zephyr 12 มี.ค. 2556, 23:35:43 น.
อ้ะ ถูก ไปสิ่งที่บ้านตัวเองไม่มี
ไม่งั้นจะเรียกว่าเที่ยวเหรอ พี่ปุ้มมมม
อ้ะ ถูก ไปสิ่งที่บ้านตัวเองไม่มี
ไม่งั้นจะเรียกว่าเที่ยวเหรอ พี่ปุ้มมมม