ลิขิตรักในสายลม # จุฬามณี
รัก หวานๆ ขม ของสาวไทยกับหนุ่มมาเลย์
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: 17.

ตอนที่ 17

ออกจากห้องพี่ชายมาแล้ว เพียงออก็นั่งมองหน้าจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุ้ค พลันก็มีเสียงข้อความเข้าดังขึ้น เป็นข้อความจากวุฒินารท “นอนดึกจัง ทำอะไร”

“ต้นฉบับ”

“ไม่มาร้านหลายวันแล้วนะ แวะมาร้านบ้างซี่”

“ไม่มีเรื่องจะไป”

“อ้าว...ต้องมีเรื่องด้วยเหรอ”

“อืม”

“เดี๋ยวนี้มี อืม กับพี่กับเชื้อนะ...”

“ทำอะไรอยู่ไม่หลับไม่นอน ดึกแล้วนะ แล้ววันนี้เมาหรือเปล่า” เพียงออไม่ยอมขอโทษ แต่กลับชวนเขาคุยแทน

“ไม่เมา...พี่ไม่ใช่คนกินเหล้านะ”

“เหรอ...”

แล้วหน้าจอก็นิ่งค้างอยู่อย่างนั้น เพียงออจึงอ่านข้อมูลสำหรับการทางที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้าต่อ แล้วเสียงข้อความเข้าก็ดังขึ้นอีก “พี่นอนแล้วนะ....พรุ่งนี้มีงาน”

“ฝันดีค่ะ”

“คิดถึงนะ”

สั้น ๆ แต่ทำให้เพียงออรู้สึกหวั่นไหว ‘คิดถึงนะ’ ใช่ บางทีเพียงออก็รู้สึกคิดถึงวุฒินารทขึ้นมา

...แต่เธอก็รู้ตัวว่า มันยังไม่ถึงเวลาอันสมควรที่จะคิดถึงใคร

...เพียงออไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดจึงปล่อยให้จอข้อความสนทนาค้างอยู่อย่างนั้น แต่ว่าปุ่มสีเขียวแสดงสถานะว่าเขายังออนไลน์ยังคงมองเห็น ก็แสดงว่าเขายังไม่ได้ปิดคอมพิวเตอร์ และอึดใจใหญ่ ๆ ก็มีข้อความจากวุฒินารทเข้ามาอีก “ออ หลับหรือยัง”

“ยังค่ะ”

“อย่านอนดึกนักนะ”

“ออนอนกลางวันค่ะพี่ กลางคืนเลยนอนไม่หลับ ไม่ต้องห่วงออหรอก พี่นารทเถอะนอนได้แล้ว”

“นอนไม่หลับ”

“ทำไม”

“เหงา ๆ”

ไอ้คำว่าเหงา ๆ ของผู้ชายมันคืออะไรนะ เพียงออครุ่นคิด แต่เพียงออก็ตอบกลับไปว่า “อ้าว”

“ออ ไม่เหงาบ้างเหรอ”

“ไม่มีเวลาจะเหงาค่ะ หนังสือเรียนกองพะเนิน แล้วก็เร่งปิดต้นฉบับก่อนเดินทางอีก”

“จะไปไหนอีก”

“พม่าค่ะพี่”

“ไปเมื่อไหร่ และไปกี่วัน แบกเป้เหมือนเดิมใช่ไหม”

“ค่ะ” เพียงออกเลือกที่จะตอบเพียงคำถามสุดท้ายของเขา

“ดูแลตัวเองด้วยนะ รู้ไว้ด้วยนะ ทุกครั้งที่ออเดินทางตามลำพัง พี่รู้สึกเป็นห่วง ห่วงมาก” ห่วงมาก ทำให้ใจของเพียงออรู้สึกกระตุกอีกครั้ง แล้วปลายนิ้วของเพียงออก็พรมไปบนคีย์บอร์ด ตามความรู้สึกจริง ๆ

“ขอบคุณค่ะพี่ ออจะดูแลตัวเองให้ดีที่สุด”

“อยากไปกับออจังเลย ออไปกี่วัน”

“สิบวันค่ะ”

“เมื่อไหร่”

เพียงออพิมพ์บอกกำหนดการกลับไป...โดยรู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่มีวันได้เดินทางกับเธออย่างแน่นอน

“คงไปไม่ได้ ช่วงนั้นมีงาน ละครเรื่องใหม่กำลังจะเปิดกล้อง ยังไม่เห็นคิวรับปากไม่ได้”

“เล่นกับน้องเอ๋ด้วยนี่”

“อืม เอ๋ เขาก็เล่น... แต่พี่กับเอ๋ไม่ได้มีอะไรกันนะ เพื่อนร่วมงานเท่านั้น”

“ก็เห็นมีข่าวว่าสนิทสนมกลมเกลียวกันน่าดู”

“คนในวงการเดียวกัน เข้าวงการมาพร้อม ๆ กัน ทำงานด้วยกันบ่อย ๆ ก็สนิทกัน ไม่เห็นจะแปลกอะไร”

“ค่ะ...”

“พี่นอนก่อนนะครับ”

“ไปเหอะ บอกหลายรอบแล้ว”

“พรุ่งนี้เข้ามาในร้านนะ พี่ไม่ได้ไปไหน”

“จะไปทำไม”

“มาช่วยกันดูแลแขก แล้วพี่ได้เมนูใหม่มา อยากให้ออได้ลองชิม รับรองจะติดใจ”

“ไปบ่าย ๆ แล้วกัน อยากนอนตื่นสาย ๆ”

“โอเค งั้นพรุ่งนี้เจอกัน บายนะ ฝันดี ราตรีสวัสดิ์ จุ๊บ ๆ”
พอเห็นถ้อยคำท้ายประโยคเพียงออรู้สึกขนลุกพร้อมกับริมฝีปากคลี่ยิ้มบาง ๆ



ขวัญชีวีต้องแปลกใจเมื่อกลับมาถึงบ้านแล้วพบว่าคุณยายแน่งน้อยกับคุณแม่ชนิตนันต์ของตัวเองนั่งดูโทรทัศน์อยู่ด้วยกัน หลังจากยกมือไหว้ผู้เป็นมารดา หญิงสาวก็ตรงไปสวมกอดแล้วหอมแก้มเบา ๆ

“ไปอย่างไรมาอย่างไร ไม่เห็นโทรบอกขวัญก่อนว่าจะมา แล้วมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่คะ”

“คุณพ่อมาประชุม แม่ก็เลยขอตามกลับมาด้วย”

“คุณแม่ไม่กลับมาเยี่ยมพวกเรากี่เดือนแล้วคะคุณยาย”

“สามเดือนได้แล้วนะ”

“ทำเหมือนไม่มีแม่ ไม่มีลูก ไม่มีเต้าเลยนะ หายไปจ้อยเลย”

“ปากดีไปนะเรา เราเองก็ไม่โทรหาพ่อกับแม่เลยทำเหมือนไม่มีพ่อไม่มีแม่”

“ก็ว่าจะโทร ๆ ก็ไม่ได้โทร พอหยิบโทรศัพท์จะโทร ก็เป็นเวลาราชการอีก กลัวพ่อกับแม่ติดภารกิจบำบัดทุกข์บำรุงสุขประชาชนอยู่ แล้วงานขวัญก็เยอะแยะมากมายก่ายกอง ขอโทษด้วยค่ะ”

“เสียดายที่แม่มาไม่ทันได้เห็นหน้าว่าที่ลูกเขยของแม่”

“คุณยาย” ขวัญชีวีหันไปหาคุณยายที่นั่งยิ้มบาง ๆ ยอมรับว่าได้พูดอะไรต่อมิอะไรไปหมดแล้วตามประสา แม่ที่มีลูกสาวคนเดียว และแม่ลูกคู่นี้ก็ไม่มีเรื่องอะไรปิดบังกันเสียด้วย

“คุณยายบอกว่าหล่อใช้ได้ทีเดียว”

“คุณแม่อย่าล้อ ขวัญกับเขายังไม่มีอะไรคืบหน้าหรอกค่ะ”

“เสียงเขาเพราะมากนะ”

“คุณแม่ไปได้ยินเสียงของเขาตอนไหน”

คุณยายกับคุณแม่มองหน้ากันแล้วอมยิ้มที่เห็นหลานสาวทำหน้างุนงงสงสัย

“เมื่อกี้เขาโทรมาถามสารทุกข์สุกดิบของคุณยาย พอดีแม่อยู่ด้วย เขาก็เลยขอคุยกับแม่ พูดไทยชัดเจนดีซะด้วย แม่ก็เลยไม่ต้องรื้อฟื้นภาษาอังกฤษ”

“คุยเรื่องอะไรกันคะ”

“ไม่บอก....แต่บอกไว้ก่อนนะขวัญชีวี ไม่ใช่ว่าแม่หวงลูกหรอก แต่แต่งแล้วต้องอยู่เมืองไทยเท่านั้น พี่ขวัญชัยไปอยู่ซะไกลหูไกลตาคนหนึ่งแล้ว ขวัญชีวีจะไปไหนอีกไม่ได้เด็ดขาด"

“ขวัญยังไม่ได้บอกเลยว่าจะแต่งงานกับเขา”

“แต่หมอดูบอกแล้วว่ามีดวงจะแต่งงาน”

“หมอดูคู่กับหมอเดาค่ะ”

“แต่แม่เชื่อหมอประจักษ์สุดชีวิต ทักอะไรไม่มีพลาด ตั้งแต่รุ่นแม่ยันรุ่นลูก ขวัญก็รู้นี่”
เมื่อเห็นว่าแม่ดูเชื่อมั่นว่าเขาคือเนื้อคู่ของเธอ ยากที่จะมีอะไรเปลี่ยนแปลง ขวัญชีวีจึงได้กะพริบตาปริบๆ เป็นเชิงหยอกเย้าถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะบอกว่า
“แล้วถ้าแต่งกันเร็ว ๆ นี้ ขวัญจะบอกกับนักข่าวอย่างไรดีน้า...”

ขวัญชีวีทำหน้าครุ่นคิดแล้วก็พูดว่า “นึกออกแล้ว ขวัญก็จะบอกนักข่าวว่า บังเอิญไปดูหมอมาค่ะ หมอคนนี้บอกว่าถ้าแต่งงานกับคนต่างประเทศแล้วจะดี แล้วเขา คนต่างประเทศคนนี้ ก็เข้ามาพอดี คุณยายกับคุณแม่ก็เลยยอมให้แต่ง แบบนี้เนอะ”

“อยากเป็นตัวตลกก็ตามใจ”

“คุณพ่อพักโรงแรมเหรอคะ แล้วมากันกี่วัน ขวัญจะได้ไปหา” ขวัญชีวีทำเสียงจริงจังขึ้นมาเพราะไม่อยากดึงเขาให้กลายมาเป็นเรื่องขำ ๆ กันในครอบครัวอีก

“ไม่ต้องไปหรอก เดี๋ยวพรุ่งนี้คุณพ่อก็จะมากินข้าวเย็นด้วย อยู่หรือเปล่า”

“อยู่ค่ะ แต่เราไปหาอะไรอร่อย ๆ นอกบ้านกินดีกว่าค่ะ”

“ฝีมือป้าสนามไม่อร่อยงั้นซิ”

“แหม กินทุกวันก็เบื่อ ๆ บ้าง แล้วอีกอย่างเปลี่ยนบรรยากาศบ้างอะไรบ้างจะได้เจริญอาหาร แล้ว นาน ๆ เจอพ่อแม่สักที ขวัญพร้อมจ่ายค่ะ เท่าไหร่เท่ากัน”

“อะจ้า ลืมไปว่าลูกแม่มันดาราดังค่าตัวแพงระยับ มีเงินเป็นฟ่อน...แต่ว่าตอนนี้แม่อยากชวนคุณพ่อกับคุณยายนั่งเครื่องบินไปเจริญอาหารที่ปีนังจังเลย ออกค่าตั๋วให้ได้เปล่า” คนเป็นแม่ทำหน้าเจ้าเล่ห์ตามประสาคนอารมณ์ดี

“อยากกินอาหารจีนฮกเกี้ยนแล้วอยากจะดูว่าหนุ่มปีนังน่ารักแค่ไหนด้วย เมื่อกี้เขากับคุณยายซิ่วอินคะยั้นคะยอให้แม่พาคุณยายไปเที่ยวบ้านเขานะ...ล้ำลึกจริง ๆ เลยย่าหลานคู่นี้ รู้จักเข้าทางผู้ใหญ่”

“พอ ๆ แล้วไม่พูดถึงเขาแล้ว...”

“ชอบเขามากไหม”

“คุณแม่ พอแล้วไม่เอาแล้ว”

“ก็ได้ แล้วกับปวุฒิล่ะ จะเป็นอย่างไรต่อไป”

“ก็ อีกเดี๋ยวก็มีข่าวว่าทางใครทางมันค่ะ บอกคุณพ่อด้วยว่าอย่าตกใจอะไร” พ่อขจรวิทย์ของขวัญชีวีนั้นชอบ ปวุฒิเป็นอย่างมาก เพราะปวุฒิเติบโตมากับครอบครัวข้าราชการจึงเข้ากับผู้หลักผู้ใหญ่ได้อย่างไม่มีเคาะเขิน

“ไม่นึกเสียดายเขาบ้างเลยเหรอ” น้ำเสียงนั้นอ่อนโยนลงอย่างคนที่ผ่านโลกมานาน จึงรู้และเข้าใจว่าความผูกพันนั้นมันก็น่ากลัวพอ ๆ กับความรักทีเดียว แต่ว่าขวัญชีวีก็ส่ายหน้าเบา ๆ เป็นคำตอบ

“แล้วมั่นใจหรือว่าคนไกลที่เพิ่งรู้จักกัน จะดีกว่าคนใกล้ที่รู้ใจกันดีอยู่แล้ว”
ขวัญชีวีทำท่าครุ่นคิดก่อนจะเอาตัวรอดว่า “สรุปว่า เหมือนขวัญโดนสะกดจิตอย่างไรก็ไม่รู้นะคะเนี่ย ขวัญยังไม่ได้อะไรกับเขา...คุณแม่มาถึงก็ทึกทักพูดเอง เออเอง ฟังความจากคุณยายอย่างเดียว...”

“ปากแข็งนะ”

“ขวัญเหนียวตัวจัง ขอตัวไปอาบน้ำก่อนดีกว่า ถ้าขวัญไม่ลงมาอีก พรุ่งนี้เช้าเจอกันนะคะ” ลุกขึ้นจูบแก้มแม่สองข้างแล้วขวัญชีวีก็ผละหนีขึ้นชั้นบนไป โดยทำเป็นไม่ได้ยินเสียงหยอกเย้าของแม่ที่ไล่ตามหลังมาอีก


“วันนี้ผมได้คุยกับคุณแม่ของคุณขวัญด้วยนะครับ ท่านคุยสนุกดี” พอเปิดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ้คบนโต๊ะทำงานขวัญชีวีได้รับข้อความจากหลินฮันหมิงในทันที

“ค่ะเห็นแม่บอกว่าคุณมาร์คชวนแม่ไปเที่ยวปีนังด้วย”

“ครับ ชวนทุกคนครับ อยากให้มาเที่ยวกัน ที่นี่ยินดีต้อนรับครับ”

“คุณแม่ไปมาหลายรอบแล้วค่ะ คงไม่ไปอีกแล้ว”

“แต่ท่านบอกว่าอยากมาอยู่เหมือนกันนะครับ อยากมากินอาหารจีนที่นี่”

“ค่ะ”

“วันนี้คุณขวัญทำอะไรบ้าง เหนื่อยไหม”

ขวัญชีวีพิมพ์โต้ตอบบอกเขาไปว่าวันนี้ทั้งวันเธอทำงานอะไรบ้าง แต่ลงท้ายว่า “ไม่เหนื่อยหรอกค่ะเพราะมันเป็นงานที่ขวัญรัก”

“แล้วถ้าไม่ได้ทำงานในวงการ คุณขวัญจะทำอะไร”

“นั่งกินดอกเบี้ยค่ะ 5555555+”

“นึกว่าจะตอบว่าเป็นแม่บ้านค่ะ”

“เป็นให้ใครละคะ” เป็นการ ‘หยอด’ เพื่อรอคำตอบที่อยากได้

“ไม่มีใครให้เป็นหรือครับ”

“ก็พอมีค่ะ อยู่ในระหว่างการพิจารณาค่ะ”

“เขียนใบสมัครได้ที่ไหนครับ...ผมอยากเขียนบ้าง”

“ใบสมัครหมดแล้ว...”

“สมัครทางนี้ได้ไหมครับ”

“ถอนใบสมัครจากคุณนิดมาแล้วเหรอคะ...”

“ผมเคยบอกคุณขวัญแล้วว่าผมกับคุณนิดไม่มีอะไรกัน แค่คนบังเอิญรู้จักกันเท่านั้นครับ”

“ค่ะ”

“ครับ”

“แล้วยังไม่นอนอีกเหรอคะ ดึกแล้วนะ”

“นั่งรอคุณขวัญอยู่ครับ ได้คุยแล้ว บรรเทาความคิดถึงไปเยอะเลย เดี๋ยวก็จะนอนแล้วครับ”

ขวัญชีวียิ้มเขินแล้วปล่อยให้หน้าจอคาอยู่อย่างนั้น...เรื่องอะไรที่เธอจะยอมรับว่าเธอมีใจให้เขา คนอย่างเธอผู้ชายอยากจะพล่ามอะไรก็ปล่อยไป...นิ่งเสีย เมินเสีย ทำเป็นไม่ได้ยินเสีย ผู้ชายก็จะรู้เองว่าเธอไม่มีใจให้ แต่กรณีเขานี้แม้จะมีใจให้เขาไม่น้อย พอใจกับถ้อยคำหวาน ๆ แต่ว่า ขวัญชีวีก็คิดว่า ความสัมพันธ์จะคืบหน้าแค่ไหนนั้นจะต้องให้ระยะเวลาเป็นตัววัด...และเธอก็มั่นใจว่าเขาพร้อมที่จะย้ายมาอยู่เมืองไทยอย่างถาวรได้ เธอจะไม่ไปไหนเพราะเธอมีคุณยายคุณพ่อคุณแม่ที่ต้องดูแล เขาจะต้องเข้าใจตรงนี้ และเวลานี้เธอก็คิดว่าเธอยังมีความสุขกับชีวิตโสดของตัวเองอยู่ ยังไม่ได้ฝันถึงการแต่งงานอย่างที่หมอดูได้ทำนายเลยสักนิด

“เงียบไปเลยหลับแล้วเหรอครับ”

“พอดีท่องบทอยู่นะค่ะ ไม่ได้ดูหน้าจอ” เป็นข้ออ้างที่เหมือนจะบอกว่าเขารบกวน และเขาก็ถามกลับมาได้ตรงกับเจตนาที่เธอตั้งไว้

“แสดงว่าผมรบกวน”

“ไม่รบกวนหรอกค่ะ....แต่ตอนนี้ขวัญรู้สึกง่วงนอนแล้วค่ะ”

“คิดถึงนะครับ”

“ค่ะ ขอบคุณ”

“คิดถึงผมบ้างไหมครับ”

“ง่วงแล้วค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ ดึกมากแล้ว บายค่ะ”

แม้จะยุติการสนทนากับเขาทางข้อความเพื่อไม่ให้เขารู้ว่าตัวเองหวั่นไหวกับข้อความหวาน ๆ หวังพิชิตใจของเขา แต่ขวัญชีวีก็คลิ๊กดูรูปและเรื่องราวต่าง ๆ ที่เขาลงไว้ในเฟสบุ๊ค แม้จะไม่เวิ่นเว้อหรือมากเรื่องเท่าเพื่อนของเธอบางคน แต่ว่าขวัญชีวีก็ได้เห็นรูปพี่สาวสองคนของเขากับพี่เขย น่าจะเป็นการถ่ายด้วยกันตอนอยู่ในงานอะไรสักงาน รวมถึงรูปเพื่อนๆ ของเขา และภาพของเขาเองในบางอิริยาบถ นอกจากนั้นขวัญชีวีก็คลิ๊กไปดูรูปเพื่อนที่เป็นผู้หญิงของเขาหลาย ๆ คน ดูหน้าตาแล้ว ไม่น่าจะเป็นคู่แข่งของเธอ นอกเสียจากณิชกานต์

และที่หน้าเพจของณิชกานต์ ขวัญชีวีก็ต้องนิ่วหน้าครุ่นคิด เพราะณิชกานต์โพสต์รูปตัวเองยิ้มแล้วมี ปวุฒินั่งหลับคอพับอยู่เบื้องหลัง ซึ่งข้อความที่เขียนไว้เหนือรูปมีอยู่ว่า ‘แฟนใครก็ไม่รู้?’ และเหล่าแฟนคลับของณิชกานต์บางคนก็คอมเม้นท์ในลักษณะที่ว่าอยากให้ณิชกานต์เป็นแฟนกับปวุฒิจริง ๆ ซึ่งขวัญชีวีจะไม่ยอมให้เป็นไปตามนั้นอย่างเด็ดขาด!!



“พี่ปุ้มทำไมไม่รับงานโชว์ตัวละคะ ติดคิวอะไร” พอรู้ว่าปวุฒิปฏิเสธงานโชว์ตัวที่ต้องออกต่างจังหวัดด้วยกันณิชกานต์ที่ก็รีบเดินมาถามปวุฒิที่นั่งรอเข้าฉากในทันที

“พี่จะไปมาเลเซียน่ะ ไปกับขวัญ”

พอรู้ว่าทั้งคู่กำลังจะไปด้วยกัน แรงริษยาก็พลุ่งพล่านขึ้นมา แต่ณิชกานต์ก็เกลื่อนสีหน้าได้ในทันที เธอจะให้ปวุฒิรู้สึกไม่ได้ว่าเธอก้าวมาไกลเกินคำว่า ‘พี่น้อง’ เสียแล้ว และคำว่า ‘พี่น้อง’ ที่เข้าอกเข้าใจกันนี้ เธอจะค่อย ๆ ทำให้เขามีความผูกพันกับเธอจนถอนตัวไม่ขึ้น

“ตามไปขัดขวางขวัญกับคุณมาร์คเหรอคะ” ณิชกานต์อ้างเรื่องที่เคยสมรู้ร่วมคิดกับเขาและปวุฒิก็ยอมรับตรง ๆ “อืม...”

“ถ้าไม่สำเร็จล่ะ พี่ปุ้มจะทำอย่างไร” น้ำเสียงนั้นบอกให้รู้ว่าเธอเป็นห่วงความรู้สึกของเขาเป็นอย่างมาก ปวุฒินิ่งคิดแล้วก็พูดด้วยเสียงเนือย ๆ ว่า “บางทีมันก็อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่พี่จะทำอะไรบ้า ๆ ก็ได้นิด รั้งกันไว้จนสุดกำลังแล้ว หากไม่ไหวก็คงต้องปล่อย”

“รักษาแผลใจสักพัก แล้วก็ให้โอกาสคนอื่นบ้าง ผู้หญิงไม่ได้มีคนเดียวในโลกหรอกค่ะ”

“ใช่...มีเยอะแยะ”

“นิดชอบพี่ปุ้มตรงนี้แหละ หายากนะคะ รักแล้วรักมั่นคง เสียดายที่นิดไม่ได้เป็นผู้หญิงโชคดีคนนั้น”

ปวุฒิมองหน้าณิชกานต์ หญิงสาวสบตาของเขายิ้มเศร้า ๆ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุย

“ไปมาเลเซียก็อย่าลืมซื้อขนมมาฝากนิดด้วยนะคะ”

“เป็นอะไรถึงอยากได้แต่ขนมจากพี่”

“อันที่จริงนิดไม่ได้อยากได้ขนมหรอกค่ะ...นิดอยากมีเรื่องคุยกับพี่เท่านั้นเอง...”
ปวุฒิยิ้มบาง ๆ เขิน ๆ แต่ว่ายังไม่ทันที่เขาจะโต้ตอบอะไรผู้ช่วยผู้กำกับการแสดงก็เรียกเขาไปเข้าฉาก



วิศรุตบอกกับหลินฮันหมิงแล้วว่างานนี้ขวัญชีวีจะมีปวุฒิและวรรณรดาติดตามมาด้วย โดยวรรณรดานั้นจะตามเพื่อนมาทำงานที่มาเลเซียเพื่อสานความสัมพันธ์กับปวุฒิให้แนบแน่นยิ่งขึ้น โดยมีขวัญชีวีรู้เห็นเป็นใจ ส่วนปวุฒินั้นตามขวัญชีวีมามาเลเซียด้วยเพราะต้องการกันท่าเขา ซึ่งเขาเองถ้าไม่ได้ลูกยุจากณิชกานต์ก็คงไม่กล้าเดินหน้าจีบขวัญชีวี และให้ความร่วมมือไม่ให้ความสะดวกและไม่ใส่ใจกับปวุฒิและวรรณรดาอย่างคนไม่มีมารยาทตามแผนการของวรรณรดาที่ฝากบอกวิศรุตมาเป็นแน่

หลินฮันหมิงสั่งให้ผู้จัดการฝ่ายโฆษณาของบริษัทไปรอรับทีมงานโปรดักชั่นเฮ้าส์และคณะที่สนามบินแล้วตรงเข้าที่พักเก็บสัมภาระก่อนจะพาไปยังสตูดิโอถ่ายทำภาพยนตร์โฆษณาที่อยู่ไม่ไกลจากโรงแรมมากนัก

และที่สตูดิโอเขาก็ยิ้มแย้มให้การต้อนรับขวัญชีวี ปวุฒิ วรรณรดา ก่อนที่ทางทีมงานจะดึงตัวขวัญชีวีไปแต่งหน้าทำผมและเปลี่ยนเสื้อผ้า....

“ช่วงนี้คุณดากับคุณปวุฒิคงจะเบื่อกันแย่เลย” หลินฮันหมิงนั้นทำตัววุ่นวาย หายหน้าไปติดต่อประสานงานกับตรงนั้นบ้างตรงนี้บ้าง แล้วก็วกกลับมาหาวรรณรดากับปวุฒิที่นั่งรอขวัญชีวีทำงานด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย

“ทำอย่างไรได้ละคะ”

“คุณดากับคุณปวุฒิจะออกไปเดินเล่นในเมืองนี่ก็ได้นะครับ ออกไปแล้วเลี้ยวซ้ายมีห้างสรรพสินค้าพอให้แก้เบื่อได้ครับ”

“ดามีข้อมูลกรุงกัวลาลัมเปอร์มาจากเมืองไทยแล้วค่ะ อีกสักพัก ดากับพี่ปุ้มว่าจะออกไปถ้ำบาตูกันค่ะ”

“จะไปกันอย่างไรคับ นั่งแท็กซี่ไปได้นะครับ ไม่ไกลเท่าไหร่ สิบกว่ากิโลเมตรเท่านั้น”

“เห็นว่ามีรถไฟฟ้าไปถึง น่าจะลองนั่งรถไฟฟ้าดูค่ะ ก่อนจะมา คุยกับเพียงออเยอะเหมือนกัน น้องเขาแนะนำวิธีการเดินทาง สถานที่ท่องเที่ยวไว้พอสังเขปแล้วค่ะ แล้วก็มีหนังสือคู่มือท่องเที่ยวมาเลเซียที่คนอื่นเขียนติดมาด้วย”

“ครับ...ผมขอโทษจริง ๆ ที่ไม่มีเวลาอำนวยความสะดวกให้คุณดา”

“ไม่เป็นไรค่ะ ดาเองอยากมาเที่ยวแบบแบ๊กแพ็คด้วยค่ะ แล้วก็เข้าใจว่าคุณมาร์คต้องทำงาน”

“มีอะไรก็โทรเข้ามือถือผมนะครับ มีเบอร์เครื่องมาเลเซียผมแล้วนะครับ”

“มีแล้วค่ะ...แล้วอะไรนี่คืออะไรคะ”

“ประมาณว่าหลงทางหรือไม่รู้จะเดินทางอย่างไร”

“ได้ค่ะ แต่ดาคิดว่าคงไม่หลงหรอก...”

“แต่อย่างไรคุณดากับคุณปุ้มต้องกลับมาให้ทันมื้อเย็นนะครับ ผมจองห้องอาหารไว้แล้ว”

“ค่ะ...ขอบคุณค่ะ ไปค่ะพี่ปุ้ม”

เมื่อเดินออกจากสตูดิโอมาแล้ว วรรณรดาที่ได้ข้อมูลจากประชาสัมพันธ์ของสตูดิโอเมื่อก่อนหน้านั้น ก็พาปวุฒิเดินไปยังสถานีรถไฟฟ้า

...ปวุฒิมองบรรยากาศสองข้างทาง แล้วสรุปว่า ความสะอาดสะอ้านของเมืองกัวลาลัมเปอร์นั้นไม่เท่าสิงคโปร์และที่นี่มีคนอิสลามพักอยู่อาศัยมากกว่าคนจีน ภวังค์นั้นเขานึกถึงน้องสาวของเขา เพียงออคงจะตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้ย่ำเท้าไปถิ่นไม่คุ้นเคย และความตื่นเต้นมันก็มีเป็นสีสันของชีวิตเหมือนกับเขาได้รับบทบาทใหม่ ๆ ทางการแสดง

หลังจัดการเรียนรู้ระบบซื้อบัตรรถไฟฟ้าของประเทศมาเลเซียแล้ว ทั้งสองคนก็มาหยุดรออยู่บนชานชาลา

“น้องออเขาเก่งนะคะเดินทางคนเดียวได้”

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาไปได้แนวคิดประหลาด ๆ นี้จากที่ไหน แต่บอกตรง ๆ ว่าผมเป็นห่วงเขาทุกครั้งที่เขาออกจากบ้าน นี่เขาก็ว่าจะไปพม่าหลังจากที่ผมกลับเมืองไทย”

“ไปกี่วันค่ะ”

“บอกผมไว้สิบวัน แต่ผมคิดว่าเขาคงไปมากกว่านั้น เขาบอกว่าคุณดาเป็นสปอนเซอร์ให้เขานี่”

“บริษัทค่ะ เขายื่นโครงการผ่านพี่รุต พี่รุตเห็นว่าน่าให้การสนับสนุนก็เลยอนุมัติ แต่ดาไม่รู้ว่าเขาเดินทางวันไหน กี่วันนะคะ”

“ส่วนหนึ่งเพราะเพียงออเป็นน้องสาวผมด้วยใช่ไหมครับ”

“ถ้าไม่ช่วยคนกันเองก่อนแล้วจะไปช่วยใครละคะ”

เมื่อรถไฟฟ้าขบวนที่จะพาทั้งคู่ไปยังสถานี KL Sentral จุดเปลี่ยนขบวนรถไฟไปสถานีถ้ำบาตู ทั้งคู่ก็ได้ผจญภัยเล็ก ๆ ด้วยกันเพราะตรงจุดนั้นเป็นจุดเปลี่ยนขบวนรถไฟหลายสายทำให้งุนงงกับตู้จำหน่ายตั๋วและทิศทางเดินไปยังชานชาลาเพื่อรอรถไฟ แต่ว่าในที่สุดทั้งคู่ก็ขึ้นมานั่งอยู่บนรถไฟพร้อมกับพ่นลมหายใจออกจากปากเบา ๆ

“คนเมืองเขามีแค่ล้านกว่า ๆ แต่มีรถไฟฟ้าไม่รู้จักกี่สาย และแต่ละสายก็ยาวมาก แต่ว่าบ้านเราคนสิบกว่าล้านคน...นึกแล้วเพลีย” วรรณรดาชวนคุยเพราะว่าในโบกี้นั้นมีผู้โดยสารนับตัวได้เลย

ปวุฒิถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะบอกว่า “ทุกสังคมก็มีปัญหาทั้งนั้นแหละครับ เพียงแต่ว่าเราจะอยู่กับปัญหาอย่างไร ว่าไปแล้วคนบ้านเราก็เห็นแก่ตัวกันมากขึ้น ๆ จ้องแต่จะกอบโกยผลประโยชน์เขาหาตัวเอง แต่บ้านเราก็แปลกอยู่อย่างหนึ่งนะคุณดา ถึงเวลาบริจาคเงินร่วมแรงร่วมใจกันเพื่อช่วยเหลือกัน กลับเป็นเรื่องที่ง่ายมาก”

“ทำไมเป็นอย่างนั้นละคะ”

“ผมคิดว่ามันเป็นเพราะบ้านเราเป็นเมืองพุทธที่คนส่วนใหญ่เข้าใจเรื่องบุญอยู่แล้ว พอรู้ว่าการช่วยได้มากกว่าช่วยคือได้บุญก็เลยพร้อมจะทำกัน แต่ว่าไปมันก็เป็นการทำเพื่อตัวเองอีกนั่นแหละ มีสวรรค์เป็นเครื่องล่อ ให้แบบเห็นแก่ประโยชน์ของตัวเองนั่นเอง”

“อย่างที่เรากำลังจะไปถ้ำบาตูนี่ก็ถือว่ามีสวรรค์เป็นตัวล่อเหมือนกันนะ...”

“ใช่ แล้วทำไมคุณดาอยากไปถ้ำบาตู ทำไมไม่อยากไปช็อปปิ้ง”

“ช็อปปิ้งที่บ้านเรามีค่ะ มีเยอะแยะมากมายเลย แต่ถ้ำบาตูที่บ้านเราไม่มี และพรุ่งนี้ เราก็จะไปกาสิโนกัน”

“เพราะว่าที่บ้านเราไม่มี”










จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 มี.ค. 2556, 19:20:51 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 มี.ค. 2556, 19:20:51 น.

จำนวนการเข้าชม : 1693





<< 16.   18. >>
mottanoy 5 มี.ค. 2556, 21:25:01 น.
น้องขวัญร้ายได้อีก


คิมหันตุ์ 6 มี.ค. 2556, 01:18:41 น.
หลายคู่ยังไ่ม่ลงตัวสักที


Zephyr 12 มี.ค. 2556, 23:35:43 น.
อ้ะ ถูก ไปสิ่งที่บ้านตัวเองไม่มี
ไม่งั้นจะเรียกว่าเที่ยวเหรอ พี่ปุ้มมมม


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account