ลิขิตรักในสายลม # จุฬามณี
รัก หวานๆ ขม ของสาวไทยกับหนุ่มมาเลย์
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: 18.

ตอนที่ 18

ทั้งสองคนคุยกันพลางมองข้างทางไปพลางจนกระทั่งรถไฟถึงสถานี Batu Caves วรรณรดาก็ฉุดมือของปวุฒิให้เดินตามตัวเองออกมาโบกี้รถไฟ และเมื่อเดินออกมาแล้ว วรรณรดาพาเขาหันซ้ายหันขวาก่อนจะกำหนดทิศทางก้าวเดินไปยังจุดหมาย

“ทางขวามือแน่ ๆ” ไม่ต้องบอกก็รู้เพราะเริ่มมีเทวรูปสีทองตั้งเรียงรายให้เห็นว่าเป็นเทวสถาน

ปวุฒิรู้สึกว่าวรรณรดากระปรี้กระเปร่าและค่อนข้างจะเตรียมตัวเป็นไกด์มาเป็นอย่างดี และเมื่อเดินพ้นชานชาลามาแล้วหญิงสาวก็หยิบกล้องถ่ายรูปออกมาจากกระเป๋าสะพายทรงกระสอบของตัวเอง...

“ขนอะไรมาเยอะแยะหนักไหม” เขาแสดงความเป็นห่วง

“ตามประสาสาว ๆ ค่ะ ถ่ายรูปค่ะพี่ปุ้ม” บอกเขาแล้ววรรณรดาก็กดชัตเตอร์ให้เขาหลายต่อหลายรูป

“มาผมถือกล้องเองดีกว่าครับ คุณดาอยากมาน่าจะมีรูปเก็บไว้เยอะ ๆ”

“ดาถ่ายรูปไม่ขึ้นค่ะ”

“พูดเหมือนกับว่าตัวจริงสวยกว่ารูปถ่าย”

“ตัวจริงสวยนะคะ หรือว่าพี่ปุ้มว่าดาไม่สวย”

พอวรรณรดาถามเขาอย่างนั้นเขาก็หยุดก้าวขาเพ่งพิศใบหน้าหญิงสาวตาสองคู่สบกัน แล้ววรรณรดาก็เมินหนีสายตาของเขาด้วยความอาย

“คุณดา ผมว่า งานนี้เราลืมอะไรไปอย่างหนึ่งแล้วนะ” เมื่อจะเดินพ้นจากตัวอาคารปวุฒิก็เห็นว่าทางไปยังถ้ำบาตูนั้นมีแดดยามบ่ายแรงเหลือเกิน

“หมวกกับร่มใช่ไหมคะ”

“ใช่”

“ดามีร่มมาค่ะ” ว่าแล้ววรรณรดาก็หยิบร่มออกมาจากกระเป๋าดึงออกจากปอกทรงกระบอกแล้วยื่นให้กับเขา “แต่ดามีมาแค่คันเดียวนะคะ”

“งั้นคุณดาใช้เถอะครับ”

“ดามีผ้าพันคอค่ะ” ว่าแล้ววรรณรดาก็ดึงผ้าพันคอออกมาผืน ยัดเยียดร่มใส่มือเขาแล้ววรรณรดาก็เอาผ้าผันคอสีชมพูบาง ๆ คลุมหัวพลางมองเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“บางแค่นั้นเอาอยู่เหรอ”

“ดาทาครีมกันแดดแล้วค่ะ ก็หนักจะได้เป็นเบา พี่ปุ้มกางร่มซิคะจะได้รีบไป” บอกเขาแล้ววรรณรดาก็เดินนำไปก่อน และพอเดินมาได้สามสี่ก้าว ร่มคันนั้นแม้จะเล็กแต่ว่าก็ช่วยให้หนุ่มสาวอาศัยร่มเงาบังแดดได้


“คุณมาร์คเขาไม่น่าเรื่องมากให้ต้องมาถ่ายงานที่มาเลเซียให้เปลืองเงินเปลืองทองเลยนะ” ปวุฒิลองเผยความรู้สึกออกมา เพราะอยากรู้ความคิดของวรรณรดาและอยากรู้ความจริงว่าเขาเดาเจตนาของมาร์คนั้นไม่ผิดไหม

“มันมีฉากเอ้าท์ดอร์ด้วยค่ะ...แล้วอีกอย่าง เมื่อเขาประกาศตัวไปแล้วว่าเป็น เวอซ่าดีโก้ มาเลเซีย เพื่อผิวของคนเอเซีย เขาก็ต้องมีพรีเซนต์ให้รากเหง้าที่มาในตัวสินค้าของเขา เห็นสตอรี่บอร์ดแล้วขวัญก็ไม่ได้กินหมูหรอกค่ะ”

“จะกินได้ไงที่นี่มาเลย์”

“แหม พี่วุฒิก็ ที่นี่คนจีนก็เยอะนะคะ”

สองหนุ่มสาวคุยกันไปพลางเดินเบียดกันไปในร่มบังแดดคันเล็กที่ปวุฒิเป็นคนถือกระทั่งไปถึงด้านหน้าทางขึ้นถ้ำบาตูที่มีรูปปั้นขันธกุมารที่มีความสูงถึง 42.7 เมตร และด้านหลังรูปปั้นมองเห็นบันได 272 ขั้นที่สูงชันพาให้รู้สึกท้อถอย

“รูปปั้นอะไรเหรอครับ”

“ขันธกุมารค่ะ” วรรณรดาอธิบายตามหนังสือท่องเที่ยวที่ซุกตัวอยู่ในกระเป๋า “ท่านเป็นพระโอรสองค์ที่สอง แห่งพระศิวะ และพระแม่อุมา เป็นน้องพระพิฆเนศ พระองค์ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพแห่งกองทัพสวรรค์ เพื่อปกป้องสวรรค์จากการรังควาญของเหล่าอสูรร้าย คราวถือกำเนิดมาพระองค์ท่านมีหกพระพักตร์ แต่ละพระพักตร์เป็นตัวแทนถึง ความฉลาด พละกำลัง ความร่ำรวย ชื่อเสียง ความเที่ยงธรรม และพลังแห่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ใครได้กราบไหว้และบูชาพระองค์ท่านก็จะได้รับพรทั้ง 6 ประการ”

ปวุฒิยกมือพนมค้อมศีรษะเช่นเดียวกับวรรณรดา และเมื่อทั้งคู่เดินผ่านซ้ำทางขึ้นเข้าไปแล้วบันไดที่ตั้งชันก็ทำวรรณรดาถึงกับพ่นลมออกจากปากเรียกพละกำลัง

“สูงเหมือนกันนะคะ”

“ห้ามเป็นลมระหว่างทางนะครับผมอุ้มลงไม่ไหวแน่ ๆ”

“ซื้อน้ำไปติดกระเป๋าไประหว่างทางก่อนดีกว่านะ”

แล้วสองหนุ่มสาวก็วกกลับมาที่ร้านค้า ซื้อน้ำคนละขวดแต่ว่าก่อนที่จะขึ้นบันไดปวุฒิก็บอกกับวรรณรดาว่า “มาให้ผมช่วยถือกระเป๋าดีกว่าครับ คุณดาจะได้ไม่เหนื่อยมาก”

“ขอบคุณมากค่ะ”

และเมื่อหยุดพักตรงระหว่างทางพร้อมกับดูลิงวิ่งขวักไขว่ไปมาวรรณรดาก็เปรยออกมาว่า

“ถ้าขวัญมาด้วยขวัญคงจะชอบมาก”

“อันที่จริงเราก็น่าจะอยู่เป็นเพื่อนขวัญเขานะ มาเที่ยวกันแบบนี้เหมือนทิ้งขวัญไว้”

“เราไปนั่งเฝ้าแบบนั้น ขวัญอาจจะไม่มีสมาธิทำงานก็ได้ค่ะ...แล้วอีกอย่าง ขวัญเขาไม่อยากให้ดาเห็นเวลาที่เขาทำงานด้วยค่ะ”

“หิวน้ำไหมครับ”

“ยังไม่อยากกินค่ะ กลัวจุก เหนื่อย พี่ปุ้มไม่เหนื่อยเหรอ”

“เหนื่อยครับ..”

ทั้งปวุฒิและวรรณรดามีเหงื่อโทรมใบหน้าแม้ว่าขึ้นมาสูงแล้วแม้จะมีลมโกรกแต่ว่าร่างกายก็ยังต้องการระบายเหงื่อเพื่อปรับร่างกายให้สมดุล และเมื่อทั้งคู่จะพากันเดินต่อ ปวุฒิก็ได้ยินเสียงร้องทักเป็นภาษาไทยจากเด็กสาวคนหนึ่ง...ซึ่งเป็นคนไทยที่มาเที่ยวกับครอบครัว

“พี่ปุ้มค่ะ แม่พี่ปุ้ม”

ปวุฒิยิ้มให้...และความโกลาหลก็เกิดขึ้นเมื่อเด็กสาวกับครอบครัวเข้ามาขอถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก



หลินมู่กุ้ยบิดาของหลินฮันหมิงนั้นป่วยเป็นโรคมะเร็งที่กระเพาะอาหาร เขาจึงต้องวางมือจากธุรกิจเพื่อรักษาตัวแล้วให้ลูกชายกับลูกสาวช่วยกันบริหารจัดการ กระทั่งเมื่อเจ็ดวันก่อน อาการของเขาทรุดลงถึงกับต้องพาตัวส่งโรงพยาบาล และ ‘ห่วง’ เดียวของหลินมู่กุ้ยที่ยังมีอยู่นั่นก็คือ เขาอยากเห็นหลินฮันหมิง ลูกชายคนเล็กเป็นฝั่งเป็นฝา และเมื่อเห็นว่าลูกชายคนเล็กยังไม่มีคู่รักเป็นเรื่องเป็นราว ประเพณีหาคู่ให้แบบโบราณจึงถูกนำมาใช้

แต่ว่าหลินฮันหมิงก็บอกกับพ่อว่าเขาจะหาภรรยาเอง โดยมีย่าเล็กรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าอย่างไรแล้วหลินฮันหมิงจะต้องได้แต่งงานกับดาราสาวไทยที่มีใบหน้าสวยถูกใจตนและหลินเล่อเจินพี่สาวของหลินฮันหมิงจนกระทั่งช่วยผลักดันแผนการตลาดใช้ขวัญชีวีเป็นพรีเซนเตอร์อย่างแน่นอน

และเมื่อเห็นว่า งาน ในวันนี้ของหญิงสาว ลุล่วง ไปตามแผนงานของบริษัทโปรดักส์ชั่นเฮ้าส์แล้ว เขาก็เดินยิ้มกริ่มเข้าไปหาขวัญชีวีที่เตรียมตัวกลับที่พักพร้อมกับทีมงาน

“คุณขวัญครับ ผมมีเรื่องรบกวนให้คุณขวัญช่วยผมหน่อย”

“เรื่องอะไรคะ”

“รบกวนออกไปคุยกันข้างนอกดีกว่าครับ” พูดจบแล้วหลินฮันหมิงที่อยู่ในชุดสูทสลิมสีเทาก็เดินนำขวัญชีวีออกมายังล็อบบี้ของสตูดิโอ และเมื่อสะพายกระเป๋าใบโตเดินมาทันเขาแล้ว หลินฮันหมิงก็หันกลับมามองหน้าหญิงสาวที่ปราศจากเครื่องสำอาง สายตาเสน่หาของเขาทำให้ขวัญชีวีต้องเมินหน้าหนี...

“วันนี้เหนื่อยไหมครับ”

“นิดหน่อยค่ะ มีธุระอะไรกับขวัญเหรอคะ” ขวัญชีวีวกเข้าเรื่องสำคัญเพราะไม่อยากให้เขาแสดงความรู้สึกใด ๆ ออกมากนัก

“ตอนนี้คุณพ่อผมป่วย ท่านมารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ผมอยากพาคุณขวัญไปเยี่ยมท่าน อยากให้คุณขวัญไปให้กำลังใจท่านหน่อย”

“แต่ขวัญกับท่านไม่ได้รู้จักกันนะคะ”

“ย่าเล็กก็อยู่ที่โรงพยาบาลครับ ย่าเล็กอยากเจอคุณขวัญเหมือนกัน”
พอเขาอ้างถึงย่าเล็ก ขวัญชีวีชักสีหน้าครุ่นคิด

“บอกตรง ๆ เลยแล้วกัน พ่อผมอาการไม่ค่อยดี ท่านอยากเห็น อยากเห็นคู่รักของผมครับ”

“แต่ขวัญไม่ได้เป็นอะไรกับคุณมาร์คนะคะ” ขวัญชีวีรีบปฏิเสธ

“ตอนนี้ยังไม่เป็นครับ แต่อนาคตมันไม่แน่ ตอนนี้ผมอยากให้คุณขวัญช่วยผมหน่อย ได้ไหมครับ”

“ถ้าขวัญไม่ช่วย”

“มันก็สิทธิ์ของคุณขวัญครับ...”

พูดแค่นั้นเขาก็ปล่อยให้ขวัญชีวียืนนิ่งตรึกตรอง และหญิงสาวก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบ

“ก็ได้ค่ะ เอาเป็นว่าขวัญจะไปเยี่ยมย่าเล็กแล้วกัน อย่าบอกกับพ่อของคุณนะคะว่าขวัญเป็นคู่รักของคุณ”

“เอาอย่างนั้นก็ได้ครับ...ไปครับ รถผมจอดอยู่ทางด้านนี้”

“เดี๋ยวขวัญไปบอกทางทีมงานก่อนค่ะว่า ขวัญไม่ได้กลับโรงแรมด้วย...”



เขาเดินนำมาก่อนแล้วเปิดประตูด้านฝั่งผู้โดยสารด้านหน้าให้กับขวัญชีวีที่เดินตามมา พอขวัญชีวีเข้าไปนั่ง กล่าวขอบคุณเขา เขาก็ปิดประตูก่อนจะรีบเดินอ้อมรถมาเปิดประตูเข้าไปประจำยังที่นั่งคนขับ...และเมื่อบังคับรถออกจากลานจอดรถแล้วเขาก็หันมาชวนคุย “สงสัยอะไรเกี่ยวกับมาเลเซียบ้างไหมครับ”

“ไม่มีค่ะ”

“แล้วมีความสงสัยอะไรเกี่ยวกับตัวผมบ้างไหม”

พอเขาถามด้วยใบหน้าเปื้อนด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่มขวัญชีวีจึงเหลือบตามองเขาแล้วหันไปมองด้านข้างก่อนจะตัดสินใจหยอกเขาไปว่า “สงสัยว่าทำไมคุณมาร์คถึงอยู่เป็นโสดมาได้จนถึงตอนนี้...”

“ทำไมเหรอครับ”

“ก็...ดูท่าจะใช่ย่อยเหมือนกัน”

“ใช่ย่อยคือ?”

“ไม่น่าเชื่อว่าจะยังไม่มีคู่รัก...” ขวัญชีวีตั้งคำถามกับเขาอีกรอบ

“เคยมีครับ สมัยเรียนอยู่อเมริกามีคู่เดทเยอะแยะมากมายเลยครับ”

ขวัญชีวีไม่คิดว่าเขาจะยอมรับตรง ๆ และพอเขายอมรับอย่างไม่อิดออดแล้วขวัญชีวีจึงอยากรู้เรื่องราวและทัศนคติของเขามากขึ้น “แล้วไปไหนกันหมดละคะ”

“มันเป็นช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต โดยเราต่างก็รู้สึกว่า มันยังไม่ใช่คนที่ใช่ครับ”

“แบบไหนถึงจะเรียกว่าใช่คะ”

“มันมีองค์ประกอบหลายอย่าง เช่น หนึ่งคุยกันรู้เรื่อง สองอยากอยู่ด้วยกันทุกวันไปจนแก่เฒ่า สามพร้อมจะอยู่ด้วยกันทุกวัน”

“แล้วสาวมาเลย์นี่ไม่มีเหรอคะ”

“ผมเรียนโรงเรียนชายล้วนมาตลอดเลยครับ ส่วนใหญ่ที่เข้ามาก็เป็นแบบผู้ใหญ่พยายามจับคู่ แต่ว่า..” เขายกไหล่บอกให้ขวัญชีวีรู้ว่า เขาไม่ได้รู้สึกชอบวิธีการแบบนั้นหรือไม่ก็ผู้หญิงเหล่านั้น

“คุณขวัญหิวไหม”

“รองานเลี้ยงตอนค่ำทีเดียวดีกว่าค่ะ รอกินพร้อมพี่ปุ้มกับดาดีกว่า ถ้าอิ่มซะก่อนเดียวไม่สนุก”

“ผมรู้เรื่องของคุณดาจากปากวิศรุตแล้วนะครับ”

“รู้เรื่องอะไรคะ”

“ก็คุณขวัญคุยอะไรกับคุณดา คุณดาเขาบอกวิศรุต วิศรุตบอกผม บอกตรง ๆ ว่าผมดีใจนะครับที่ตอนนี้คุณขวัญว่าง”

“รู้ได้ไงคะว่าขวัญว่าง”

“รู้ซิครับ นอกจากคุณปุ้มแล้วคุณขวัญไม่มีใคร ไม่เคยเปิดโอกาสให้ใครเข้ามาใกล้ ทำไมเป็นแบบนั้นละครับ”

“ขวัญก็เปิดโอกาสให้ผู้ชายทุกคนแหละค่ะ เพียงแต่ว่าไม่มีใครกล้าที่จะเข้าใกล้ขวัญมากกว่าที่ทำอยู่เท่านั้นเอง”

“เวลาคุณขวัญไม่ยิ้มไม่พูดคุณขวัญดูดุมาก”

“เหรอคะ”

“แต่เวลาคุณขวัญยิ้มแล้วโลกสดใสขึ้นมาทันที”

“เหรอคะ”

“แล้วคุณขวัญว่าผมเป็นคนอย่างไรบ้าง”

“อ้าว มาถามขวัญทำไมคะ ตัวเองไม่รู้จักตัวเองเหรอคะ”

“ผมรู้ใจตัวเองดีครับ รู้ว่าใจตัวเองต้องการอะไรด้วย”

ขวัญชีวีแสร้งมองข้างทาง...แต่ว่าหูนั้นก็เงี่ยฟังคารมจีบสาวของเขา แต่ว่าเขาก็นิ่งเงียบไปเสียอย่านั้น กระทั่งขวัญชีวีต้องหันไปมองแล้วก็เห็นว่าเขาเลี้ยวรถคันสีม่วงของเขา เข้าไปยังเส้นทางเดินรถของโรงพยาบาล

“มีใครอยู่กับคุณพ่อของคุณมาร์คบ้างคะ” ขวัญชีวีเริ่มเป็นกังวลกับคนในครอบครัวของเขา เพราะพอจะเดาออกว่า เมื่อก้าวเข้าห้องคนป่วยไปพร้อมเขาแล้วสายตาทุกคู่จะต้องจ้องมองมาหาเธอเป็นจุดเดียวกัน

“มีคุณพ่อ คุณแม่ พี่เล่ออี้ กับพี่เล่อเจินแค่นั้นครับ ไม่ซิ คงมีย่าเล็กอีกคน แล้วก็อาจจะมีบรรดาคนใช้อีกคนหรือสองคนไม่รู้เหมือนกันว่าใครตามมาอยู่กับคุณแม่บ้าง...”

“คุณมาร์คมีพี่น้องกี่คนคะ”

“สี่คนครับ คนแรกเป็นพี่ชายชื่อหลินฮันเฉิง สองคนถัดมาเป็นผู้หญิง หลินเล่ออี้กับหลินเล่อเจิน ทั้งคู่แต่งงานแล้ว แล้วผมหลินฮันหมิงเป็นคนสุดท้าย”

“ภาษาไทยเรียกว่า คนสุดท้องค่ะ”

“สุดท้องนั่นแหละครับ แล้วพ่อผมก็ห่วงเป็นกังวลกลัวว่าผมไม่ยอมแต่งงาน” เขาอธิบายไปพลางวนรถหาที่จอดรถ กระทั่งเจอที่ว่างเขาก็เลี้ยวรถเข้าไปจอดอย่างนุ่มนวล ขวัญชีวีรู้สึกว่า คนที่นี่ใจเย็นกว่าคนที่กรุงเทพมาก ทุกคนเหมือนไม่รีบร้อนและทุกอย่างดูจะลื่นไหลไปอย่างเป็นระบบระเบียบผิดกับเมืองไทยอย่างลิบลับทีเดียว แม้แต่หลินฮันหมิงเอง เมื่อได้อยู่ใกล้ชิดกับเขา ขวัญชีวีรู้สึกว่าเขา ‘เย็น’ ซึ่งไม่ใช่คนเย็นชา แต่ว่าเป็นการเย็นที่ทำให้รู้สึก ‘อบอุ่น’ รู้สึกว่า มั่นคงและปลอดภัยเป็นอย่างมาก

“ถึงแล้วครับเดี๋ยวผมไปเปิดประตูรถให้นะครับ”

“ไม่ต้องหรอกค่ะ” ว่าแล้วขวัญชีวีก็เปิดประตูรถลงไปเอง เมื่อเขาลงจากรถแล้วเขาก็ยิ้มบาง ๆ ให้ก่อนจะบอกว่า “คุณขวัญไม่ต้องกังวลนะครับ พ่อแม่ผมใจดีมาก พี่สาวผมก็ชอบคุณขวัญมาก และย่าเล็กเองก็ใช่คนอื่นคนไกลเสียที่ไหน”

“ค่ะ”

“ยิ้มซิครับ ยิ้มแบบที่ยิ้มให้กับกล้อง”

ขวัญชีวีไม่ยิ้มแต่กลับกลั้นยิ้มแล้วโยกหัวปฏิเสธลูกยุของเขาไปมาแทน...ซึ่งมันก็ทำให้เขายิ้มกว้างขึ้นมาแทนได้...



ช่วงที่นั่งอยู่ในขบวนรถไฟเที่ยวกับไปยังสถานี KL Sentral วรรณรดาก็ได้รับสายเรียกเข้าจากหลินฮันหมิง “คุณดาอยู่ที่ไหนครับ”

“กำลังกลับจากถ้ำบาตูค่ะ...มีอะไรคะ”

“ตอนนี้คุณขวัญกลับโรงแรมไปแล้วนะครับ คุณดาไม่ต้องกลับมาที่สตูดิโอนะครับ เอาสะดวกก็ลงรถไฟฟ้าแล้วนั่งแท็กซี่มาเลยก็ได้ครับ จะได้ไม่ต้องเดินให้เหนื่อย”

“แล้วคุณมาร์คละคะ”

“ผมกลับคอนโดมาอาบน้ำครับ...แต่งตัวใหม่แล้วจะไปที่งานเลี้ยงนะครับ เชิญคุณดาคุณปุ้มด้วย”

วางสายจากหลินฮันหมิงแล้ววรรณรดาก็ไอเบา ๆ

“หน้าคุณดาแดง ๆ นะ ระวังจะเป็นไข้แดด” ปวุฒิที่นั่งอยู่ติดกับวรรณรดาชวนคุยเมื่อเห็นว่าวรรณรดาดูอ่อนเพลียผิดตอนขามา

“หน้าดาแดงมากเลยเหรอคะ” วรรณรดามองหน้าของเขาตาสองคู่ประสานกัน แล้วปวุฒิก็ต้องเป็นฝ่ายหลบสายตาของหญิงสาว

“นิดหน่อยครับ มียาพาราติดกระเป๋ามาบ้างหรือเปล่ากินก่อนก็ดีนะ”

“ไม่มีค่ะ แต่มีอยู่ในกระเป๋าที่โรงแรม”

“กลับไปถึงแล้วรีบจัดการเลยนะครับ เป็นอะไรขึ้นมาละแย่เลย”

“กลัวไม่มีไกด์พาไปเกนติ้งเหรอคะ” หยอกเขากลับยังไม่ทันได้คำตอบโทรศัพท์ถือถือของวรรณรดาก็ดังขึ้นอีก แต่คราวนี้เป็นเบอร์ของแม่ วรรณรดารู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาทันที “คุณแม่ มีอะไรคะ”

“ตกลงไปมาเลเซียกับใครกันแน่”

“ขวัญกับพี่ปุ้มค่ะ” เมื่อเรื่องจวนตัวแบบนี้วรรณรดาจึงต้องรีบยอมรับความจริง

“แล้วทำไมไม่บอกกับแม่ก่อนว่างานนี้นายปุ้มไปด้วย จงใจบิดเบือนความจริงนะ” ก่อนจะมามาเลเซียนั้นวรรณรดาบอกเพียงแต่ว่าไปเป็นเพื่อนขวัญชีวีทำงานกึ่ง ๆ มาเที่ยวมาเลเซีย โดยไม่ได้บอกกับแม่ว่างานนี้มีปวุฒิมาด้วย

“ที่แม่ยอมให้ไปเพราะเห็นว่าไปกับขวัญหรอก แต่นี่ ไปเที่ยวกันแค่สองคนแบบนั้น ป่านนี้รูปหลุดไปถึงไหนต่อไหนแล้ว”

“คุณแม่ทราบได้อย่างไร”

“ทราบแล้วกัน ความลับมันไม่มีในโลกหรอก แล้วนี่จะกลับเมื่อไหร่นะ”

“ยังไม่มีกำหนดแน่นอนค่ะ”

“แล้วงานการไม่ทำหรือไง เหลวไหลใหญ่แล้วนะ”

“เหลวไหลอะไรค่ะ ดายังไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะคะ”

“บอกความจริงแม่ไม่หมดนี่ยังไม่ผิดอีกเหรอ... พรุ่งนี้บินกลับเมืองไทยเลย มะรืนแม่อยากจะชวนไปงานแต่งลูกสาวของอธิบดีกับ” ฟังแม่ไม่ทันจบวรรณรดาก็รีบปฏิเสธไปทันที

“ยังค่ะ ดายังไม่กลับ ดายังไม่ได้ไปเที่ยวไหนเลย พรุ่งนี้ดาจะไปเกนติ้งค่ะ”

“วรรณรดา”

“ดาขอวางสายก่อนนะคะสัญญาณไม่ค่อยดี”



ในช่วงเดินทางวิศรุตได้ข้อความมาถามว่า “คุณป้าได้โทรหาหรือเปล่า” ซึ่งวรรณรดาพิมพ์ข้อความตอบกลับไปว่า “สะดวกแล้วจะโทรกลับ” และเมื่อกลับถึงห้องพักแล้ววรรณรดาจึงรีบต่อสายไปหาวิศรุตทันที

“คุณป้าโทรมาบ่นกับพี่ เรื่องที่ดาไปเที่ยวกับไอ้เจ้าปุ้ม”

“แล้วแม่รู้ได้ไงค่ะ”

“เลขาคุณป้าเห็นรูปดาจากเฟสบุ๊คน้องคนที่ถ่ายรูปปุ้มกับดาที่ถ้ำบาตูน่ะ เขาโพสต์รูปพร้อมเล่าเรื่องว่าเจอปุ้มกับดาสองคน ...แล้วนี่ป้าก็บอกให้พี่ช่วยเชียร์นายพจน์ให้ดาด้วยนะ พี่ก็แบ่งรับแบ่งสู้ไป...”

“ดูคุณแม่จะชอบอีตาพจน์นี่จังเลยนะคะ ไม่เคยเชียร์ใครออกนอกหน้าเท่านี้เลย”

“รวยซะขนาดนั้นนี่...แต่ว่าไปเขาก็โอเคอยู่นะ เช็คประวัติแล้วใช้ได้ทีเดียว”

“ตกลงพี่รุตจะให้ดาเลือกใครค่ะ”

“แล้วปุ้มเขาเป็นอย่างไรบ้าง”

“ก็ดีค่ะ” วรรณรดาไม่ยอมเล่าว่าระยะทางจากถ้ำบาตูกลับมาที่สถานี KL Sentral เธอนั้นแกล้งอ่อนเพลียทำเหมือนง่วงนอนทำตัวโงนเงนกระทั่งเอนตัวซบไหล่ของปวุฒิ ซึ่งเขาเองก็ดูเต็มใจให้เธอทำอย่างนั้น

“กว้างไป”

“ก็รู้สึกว่าเขารับรู้ว่าดามาด้วยทำไม ขวัญต้องการอะไร แต่มันก็ยังมีระยะห่างเหมือนเดิม เพียงแต่ดารู้สึกว่าดาใกล้เขามากขึ้น...”

“...แต่พี่ยังเอาชนะใจณิชกานต์ไม่ได้เลยนะดา คนอะไรไม่รู้ใจแข็งชะมัด แถมยังเหมือนจะอ่านใจพี่ออกเสียด้วย สงสัยพี่คงจะไม่ไหวจริง ๆ จีบดาราแล้วไม่ติดสักคน”

“จีบติดแล้ว สุดท้ายพี่ก็ต้องโอนอ่อนผ่อนตามความต้องการของคุณอาหรือเปล่าละคะ”

“ถ้าจีบติด พี่คิดว่า พี่เป็นตัวของพี่เองได้นะ”

“สรุปว่าชอบเขาจริง ๆ แล้วเหรอคะ”

“ยัง แต่อยากทำให้เขาชอบจริง ๆ ให้ได้ อยากเอาชนะ”




จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 มี.ค. 2556, 09:03:41 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 มี.ค. 2556, 09:03:41 น.

จำนวนการเข้าชม : 1689





<< 17.   19. >>
จุฬามณีเฟื่องนคร 6 มี.ค. 2556, 09:04:25 น.
ชดเชยที่หาไปซะนานครับ เพิ่งกลับมาจากศรีลังกาครับ...


คิมหันตุ์ 6 มี.ค. 2556, 10:25:48 น.
มารับการชดเชยจ้า อิอิ.
ปล.พี่ปุ้มเริ่มเอนๆแล้วหรือป่าวเนี่ย. อิอิ


Sukhumvit66 6 มี.ค. 2556, 14:49:40 น.
จะว่าไปยังติดใจคุณพจน์ไม่หาย คู่แข็งพี่ปุ้มรึป่าวค่ะ


mottanoy 6 มี.ค. 2556, 21:34:12 น.
ชอบคุณพจน์เหมือนกัน


Zephyr 12 มี.ค. 2556, 23:44:57 น.
แล้วพี่รุตจะเข้าตัวนะ คิดว่า


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account