Secret Love: ปฏิบัติการแอบรัก
แค่ได้อยู่ใกล้ๆ แค่ได้มองเห็นเขามีความสุข

ฉันยอมแลกทุกอย่าง...แม้เขาจะไม่รับรู้ถึงสิ่งที่ฉันทำเลยก็ตาม!

สายฝนเมื่อวันหนึ่ง นำพาเขาและเธอมาเจอกัน

ก่อเกิดเป็นมิตรภาพที่สวยงาม...จนเบ่งบานกลายเป็นความรู้สึกแสนพิเศษ

เพียงแต่ว่า...มันเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับ ‘เธอ’ เพียงคนเดียว!

เธอ...เจ็บเมื่อเห็นเขาเจ็บ

เธอ...ยอมเจ็บเพื่อให้เขามีรอยยิ้ม

แต่เมื่อการกระทำของเธอถูกเขามองว่าต้องการขัดขวางความรัก

คนเป็น ‘แค่เพื่อน’ จะทำอะไรได้...นอกจาก...


...เดินออกไปจากชีวิตเขา...

Tags: หมอ, นักศึกษา, เพื่อน, รัก, โรแมนติก

ตอน: บทที่ 6 : บางอย่าง


“ทำไมกลับช้านักล่ะ?”

พริมาหันไปตามน้ำเสียงเรียบๆ นั้น ดวงตากลมเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าคนนั่งอยู่ในรถเก๋งของตัวเอง เพียงแต่ไขกระจกลงมาครึ่งๆ พอให้พูดและมองเธอได้อย่างสะดวกเท่านั้น

“ไปกินข้าวกับพวกพี่ๆ เขามาน่ะ”

พริมาตอบคำถามแล้วตั้งท่าจะเข้าไปในห้องพักที่อยู่ชั้นบนสุดของอาคารนี้เลย ร่างบางเดินฉับๆ เข้าไปในตัวอาคารด้วยความรวดเร็วโดยไม่สนใจคุณหมอหนุ่มที่เริ่มอารมณ์กรุ่นๆ อย่างไม่รู้สึกตัว

“เดี๋ยวพริม!”

“มีอะไรก็ไปคุยในห้องสิ มาคุยตรงนี้ให้เกะกะคนอื่นเค้าทำไมกัน” ดวงตาสีน้ำตาลตวัดฉับรวดเร็ว แววตาไม่บ่งบอกถึงความรู้สึกอื่นใดเหมือนเช่นเคย

ภูธเรศไม่เข้าใจว่าอยู่ๆ ความรู้สึกอึดอัดอย่างนี้มาจากไหน...

...พอเขาไปส่งนุชนาถเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็อยู่ไม่ติด เดิมเขาตั้งใจว่าจะไปนอนพักที่บ้านให้เต็มที่ให้สมกับการได้หยุดพัก แต่พอจะนอน เขากลับเกิดภาพหลอนซ้ำไปซ้ำมาจนต้องแล่นมาถึงที่นี่...มาหาคนที่ตามไปหลอกหลอนเขาถึงที่บ้านนั่นแหละ

แล้วพอมาถึง ยัยพริมก็ยังไม่กลับ เขาลองถามยามที่เฝ้าอยู่ตรงประตูที่คุ้นเคยกับเขาเป็นอย่างดีก็รู้ว่าพริมายังไม่กลับมา ตั้งแต่เวลางานเลิกจนกระทั่งถึงเกือบสามทุ่มเธอเพิ่งกลับมาถึงที่พัก...

เธอไปไหนมา...ไปกับใคร...แล้วทำไมต้องไปนาน...?

นี่คือสิ่งที่เขาอยากจะถามเหลือเกิน ไม่รู้ด้วยว่าเหตุใดเขาจึงร้อนรนอยากรู้เรื่องเหล่านี้นักหนา แต่ถึงอยากรู้แค่ไหนเขาก็ไม่โทรหา ไม่ขึ้นไปรอบนห้องของเธอทั้งๆ ที่เขารู้ว่าเธอจะซ่อนกุญแจสำรองสำหรับเขาไว้ตรงไหน...

...ที่นั่นไม่สำคัญเลยหากว่าเพื่อนเขาไม่อยู่...

ภูธเรศเดินตามเพื่อนไปเงียบๆ จนกระทั่งเข้าไปในห้องได้ และเจ้าของเปิดไฟสว่างแล้วนั่นแหละ หมอหนุ่มจึงเริ่มถามน้ำเสียงราบเรียบ ราวกับไม่อยากให้อีกฝ่ายจับได้ถึงความรู้สึกอัดอั้นของตนเอง

“เธอไปกินข้าวกับหนุ่มๆ ทำไมไม่บอกเราก่อนล่ะ”

พริมาเลิกคิ้ว มือที่กำลังถอดเจ็คเก็ตชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะเบาๆ อย่างไม่อยากเชื่อหูตนเอง

“ทำไมเราต้องบอกนายด้วยละภู”

“ก็...” คราวนี้หมอหนุ่มกลับเป็นฝ่ายอึกอักเสียเอง “เราต้องคอยดูแลเธอไง เธอเป็นเพื่อนเรานะ เราก็ต้องเป็นห่วงเธอเป็นธรรมดาอยู่แล้ว”

“งั้นเหรอ...”

หญิงสาวลากเสียงยาวคล้ายจะล้อเลียนการปกป้องของเขาเช่นที่เธอทำอยู่ทุกครั้ง แต่เขาทันเห็นประกายตาประหลาดวูบหนึ่งที่เกิดขึ้นและจางหายอย่างรวดเร็วของเพื่อนสาว...รวดเร็วเกินกว่าที่เขาจะจับความรู้สึกใดๆ ได้

พริมาไม่ตอบคำมากไปกว่านั้น มือบางพยายามดึงเสื้อเจ็คเก็ตออกอีกรอบแต่ก็ต้องอุทานออกมาเบาๆ

“โอ้ย!”

พริบตาเดียวภูธเรศก็มายืนอยู่ข้างหน้าเธอ มือหนาเอื้อมออกมาปลดเสื้อออกให้อย่างอ่อนโยน แต่น้ำเสียงกลับแข็งขึ้นเล็กน้อยเมื่อถาม

“ปวดที่กระแทกตอนตกลงมารึเปล่า”

“คงใช่” หญิงสาวยอมรับโดยดี ก่อนยิ้มหวานให้เพื่อนชาย “แต่ไม่เป็นไรแล้วล่ะ พี่กฤษช่วยพาไปหาหมอแล้ว หมอเค้าให้ยามาด้วยแหละ”

“แล้วที่ไปกินข้าวนี่ ไปกินกับ ‘พี่กฤษ’ รึเปล่าล่ะ” ชายหนุ่มเน้นเสียงอย่างไม่ตั้งใจตรงชื่อของผู้ชายอีกคน

พริมาเอียงคอ มองหน้าเพื่อนด้วยสีหน้าแปลกๆ ก่อนตอบคำถาม “ไปกันหลายคนสิ ทำไมฉันต้องไปกับพี่กฤษสองต่อสองด้วยล่ะ”

“ใครจะไปรู้ เห็นดูแลกันดีขนาดนั้น ขนาดฉันเป็นหมอยังไม่ให้ดูอาการเธอเลย”

ใครจะว่าเขาพาลก็เถอะ เขามองปราดเดียวก็ดูออกแล้วว่าอีตา ‘พี่กฤษ’ ของยัยพริมนี่...ชักยังไงๆ กับเพื่อนเขาอยู่

เรื่องนี้ทำให้เขาอยู่เฉยไม่ได้หรอก ถึงอย่างไรเขาก็สัญญากับแม่ของเธอไว้แล้วว่าจะดูแลพริมาให้ดีที่สุด ดังนั้นไม่ว่าใครที่คิดจะเข้ามาในชีวิตของเพื่อนสาวของเขาคนนี้มากกว่าความเป็นเพื่อน หรือมิตรภาพธรรมดาๆ ย่อมต้อง ‘ผ่านการตรวจสอบ’ จากเขาก่อน ให้แน่ใจว่าเขาคนนั้นดีพอที่จะดูแลยัยพริมได้

แต่ที่ผ่านๆ มา มีผู้ชายหลงผิดจำนวนหนึ่งที่ต้องการฝ่าด่านเขาไปหาหญิงสาว เขาได้แต่คิดด้วยความอัศจรรย์ใจขณะที่วางแผนไล่พวกนั้นออกไปจากชีวิตเพื่อนสาวโดยเร็ว...

...เดี๋ยวนี้ผู้หญิงคงจะหายาก ไม่อย่างนั้นอย่างยัยพริมนี่ใครจะอยากได้เป็นแฟนกันเล่า...

“เห...นายพูดอย่างกับว่าลืมไปว่าตัวเองเป็นหมอผ่าศพ ฉันไม่ใช่ศพเพราะงั้นไม่ต้องมาดูฉันหรอกย่ะ”

“ถึงจะเป็นหมอผ่าศพก็ดูคนเป็นได้เหมือนกันแหละน่า เธอไม่คิดเหรอว่าขนาดศพฉันยังบอกได้ว่าเขาเป็นอะไรยังไง แล้วนับประสาอะไรกับคนเป็นที่ถามดูก็บอกอาการฉันได้แล้วล่ะฮะ ว่าแต่ไม่ต้องมากลบเกลื่อนเลย หมอนั่นพาเธอส่งโรง’บาลรึเปล่า?”

“เขาไม่ใช่หมอนั่น เขาเป็นตำรวจ” พริมาตบมุขหน้าตาย ก่อนจะถอนหายใจน้อยๆ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ตลกด้วย “โอเค ฉันผิด ขอโทษด้วยละกันที่มุขไม่ฮาพาให้นายเครียด เล่าให้ฟังก็ได้...พี่กฤษขับรถพาฉันไปส่งโรง’บาล แล้วก็รอจนกว่าหมอจะตรวจร่างกายฉันเสร็จ แล้วก็กลับไปกองฯ อีกทีเพื่อไปเอาของ แล้วก็ไปทานข้าวกับพี่ๆ ที่เขาอยากเลี้ยงต้อนรับฉันกับพี่ภัทรน่ะ...ก็โรง’บาลของมหา’ลัยนั่นแหละน่า”

ฝึกงานครั้งนี้เธอจับคู่ฝึกงานกับภัทริยา รุ่นพี่ที่อายุห่างกันปีกว่าๆ แต่เนื่องจากคดีที่เกิดขึ้นในวันนี้มีมาก ทำให้เธอกับหญิงสาวรุ่นพี่ต้องแยกกันออกตรวจสถานที่เกิดเหตุเพื่อเก็บเคสให้ได้มากที่สุด

ชายหนุ่มพยักหน้า ในใจมาดหมายว่าพรุ่งนี้กลับไปเขาจะไปถามอาการเธอจากแพทย์ที่เป็นผู้ตรวจดู ที่สำคัญเขาจะลองถามพี่พยาบาลที่ประจำอยู่ห้อง ER (Emergency Room : ห้องฉุกเฉิน) ซักหน่อยว่าเมื่อวาน...นอกจากอาการคนเจ็บจะเป็นยังไงแล้ว อาการคนมาส่งจะเป็นยังไงบ้าง...

คิดได้ดังนั้นภูธเรศก็เปลี่ยนสีหน้ามาเป็นยิ้มแย้มขึ้น ก่อนที่จะพาร่างบางของเพื่อนไปนั่งที่โซฟาแล้วบอก “เรายังไม่ได้กินข้าวเย็นเลย กินเป็นเพื่อนเราหน่อยได้มั้ยพริม?”

“ฉันกินมาแล้ว...”

“กินแล้วก็กินอีกได้น่า ฉันจะทำข้าวต้มร้อนๆ ให้กิน เธอชอบไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวเธอไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะ เหม็นสาบกลิ่นเหงื่อจะแย่อยู่แล้ว”

ไม่ทันที่พริมาจะได้ออกปากห้าม หมอหนุ่มก็ลุกขึ้นรวดเร็ว ก่อนที่จะเดินไปในพื้นที่ส่วนที่วางอุปกรณ์เครื่องครัวไว้ แล้วลงมือเปิดตู้เย็นเพื่อหาอะไรมาทำกับข้าว...คล่องแคล่วเหมือนเป็นบ้านตัวเองอย่างไรอย่างนั้น

หญิงสาวมองภาพตรงหน้าก่อนยักไหล่น้อยๆ...ก็ถ้าอยากทำ อยากกินก็ตามใจเขาหน่อยแล้วกัน

ร่างบางเดินเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง ก่อนที่จะชะงักงัน...หยุดนิ่งอยู่ใกล้ๆ กับโต๊ะเขียนหนังสือ ดวงตากลมเบิกกว้าง ความตื่นตระหนกพลุ่งพล่านรุนแรง...

บนพื้นนั่น...สมุดบันทึกของเธอเปิดอ้า กางแผ่ออกดุจกำลังป่าวประกาศความลับอันน่าอับอายที่เธอซุกซ่อนเอาไว้ในนั้น เธอก้มลงเก็บสมุดบันทึกขึ้นมา ดวงตาที่ยังคงเบิกกว้างมองปราดไปที่หน้ากระดาษที่เปิดค้างเอาไว้ ริมฝีปากเผยอออกน้อยๆ ไร้เสียงกรีดร้องใดๆ ทั้งที่ในใจนั้นสั่นสะท้านไปทั้งดวง

พริมาเปิดลิ้นชักโต๊ะเขียนหนังสือ ก่อนหยิบเอาสมุดนั้นสอดเข้าไปข้างใต้รวดเร็ว มือเรียวยังสั่นน้อยๆ เมื่อเธอก้าวเข้าไปในห้องน้ำ เงาสะท้อนจากกระจกเงาที่ติดอยู่เหนืออ่างล้างหน้าแสดงให้เห็นใบหน้าซีดเผือดไร้สีเลือดของหญิงสาว...บ่งบอกถึงความตกใจอย่างสุดแสนเมื่อหวนคิดไปว่าคนที่อยู่ข้างนอกจะได้รับรู้ความนัยของบันทึกเล่มนั้น...




เมื่อหญิงสาวเปิดประตูห้องออกมาอีกครั้งพร้อมกับผ้าเช็ดผมที่ค้างอยู่บนหัว ร่างในชุดนอนที่เป็นเสื้อกางเกงแขนสั้นสีเทาอ่อนเหลือบตามองเพื่อนชายอย่างระแวงแกมอึดอัด ก่อนนั่งลงตรงโต๊ะเล็กที่เดียวในห้องรับแขกเพื่อรอบริการเสิร์ฟข้าวต้มจากคุณหมอหนุ่ม

“มาแล้วๆ” คนเป็นหมอส่งยิ้มน้อยๆ เมื่อยกข้าวต้มฝีมือตัวเองมาให้เธอ “ข้าวต้มร้อนๆ ที่เธอชอบขอให้ฉันทำให้ตอนป่วยไง จำได้มั้ย”

หญิงสาวหน้าเผือดสีลงเล็กน้อย ใจประหวัดไปถึงข้อความในสมุดบันทึกตัวเองอย่างช่วยไม่ได้

...รู้มั้ยว่าตอนที่ป่วย ฉันชอบกินข้าวต้มฝีมือนายที่สุดเลย...

“เอ่อ...” พริมารวบรวมความกล้า ก่อนเงยหน้าขึ้นสบสายตาคม “เมื่อเช้านี้นายได้...” อ่านบันทึกของฉันรึเปล่า

“หืม? ขอโทษทีที่ถือวิสาสะจัดห้องให้ แต่พูดตรงๆ นะพริม ห้องเธอรกชนิดที่เรียกได้ว่า รกมากกก...”

“แล้วนายได้เก็บของบนโต๊ะ...พวกเอกสาร...บันทึก อะไรพวกนี้บ้างรึเปล่า?”

คนเป็นหมอยิ้มอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องแปลก “แน่นอนสิ ปกติเราก็เก็บให้เธอออกบ่อยไปไม่ใช่เหรอ”

พอเหลือบเห็นสีหน้าอึดอัดของเพื่อน ชายหนุ่มก็ยิ้มกว้างพลางพูด “นี่ ไม่ต้องทำหน้าอายขนาดนั้นเลยนะ ฉันไม่อ่านพล็อตนิยายหรอกน่า ไม่ต้องทำหน้าอายขนาดนั้นก็ได้”

“นาย...” คนฟังรู้สึกโล่งอกขึ้นมาทันที หากแต่ยังไม่วายถามเพื่อความแน่ใจ “ไม่ได้อ่านอะไรในสมุด หรือว่าเอกสารของฉันเลยใช่มั้ย?”

“ไม่อ่ะ...เอ๊ะ! หรือว่าฉันควรอ่านดี เธอทำท่าปิดบังอย่างนี้ฉันไม่น่าพลาดเลยใช่มั้ยเนี่ย” ภูธเรศทำท่าจะลุกขึ้นจากโต๊ะหากเพื่อนสาวมือเร็วกว่า รีบคว้าแขนแข็งแรงเอาไว้แน่นพลางใช้แรงบังคับให้อีกฝ่ายนั่งลงที่เดิม

“ไม่ต้องเลยย่ะ นั่งลง แล้วก็กินอาหารฝีมือตัวเองไปเลย วันนี้นายทำจืดไปหน่อยนะ”

“โหย...พูดงี้มีน้อยใจนะเฟ้ย! ฉันอุตส่าห์ทำสุดฝีมือ” หมอหนุ่มทำหน้าหงิก ก่อนจะทำท่าลอยหน้าค่อนแคะเพื่อนต่อ “แต่ก็นะ...ใครเค้าจะไปทำสู้ร้านอาหารที่เธอไปกินวันนี้ได้ล่ะ อิ่มทั้งท้องอิ่มทั้งใจเลยมั้ง”

มือเรียวที่ถือช้อนข้าวต้มจะถึงปากชะงักค้าง ก่อนที่พริมาจะเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนอย่างไม่เชื่อหู สุดท้ายก็ได้แต่ส่ายศีรษะไปมาช้าๆ ด้วยความปลงพลางบ่นอุบ

“ผู้ชายอะไรปากจัดชะมัด แอ๊บแมนป่ะเนี่ย”

หมอหนุ่มทำตาโต ก่อนจะชะโงกเข้ามาใกล้เพื่อนสาวอย่างรวดเร็ว สีหน้าส่อแววประหลาดจนพริมาถึงกับผงะไปชนพนักเก้าอี้ “แล้วอยากรู้มั้ยล่ะว่าตกลงฉันเป็นผู้ชายจริงรึเปล่า”

“บ้า! ไอ้หมอบ้า!

สีหน้าคนเป็นหมอดูหื่นๆ พิกลจนคนมองรู้สึกว่าตัวเองหน้าร้อนผ่าว หญิงสาวทำได้แต่สะบัดหน้าหนีพร้อมส่งเสียงโวยลั่น สองมือผลักคนตรงหน้าเต็มแรง “ถอยไปเลยไอ้หมอบ้า! เล่นอะไรบ้าๆ”

“ฮ่ะๆๆ อะไรจะตกใจขนาดน้านนน...ฉันไม่ทำอะไรเธอหรอกน่า” ภูธเรศยิ้มกว้าง สะใจสุดๆ เมื่อเห็นเพื่อนทำหน้าตกใจจนซีด “เห็นแล้วทำไม่ลงหรอก”

ปกติทั้งคู่ก็จะหยอกกันแรงๆ แบบนี้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นภูธเรศจึงแปลกใจที่พริมาวางช้อนลงทันควัน ก่อนจะลุกพรวด สีหน้าหญิงสาวเรียบนิ่ง...อย่างที่เพื่อนสนิทอย่างเขามองก็รู้ว่าเธอกำลังไม่พอใจ และที่ตกใจมากขึ้นก็เพราะหญิงสาวเอ่ยเสียงเรียบพอๆ กับสีหน้าว่า

“นายไม่ทำ ทำไม่ลง แต่มีอีกหลายคนที่เค้ารอฉันอยู่ก็แล้วกัน!”

“เหมือนพี่กฤษอะไรของเธอนั่นรึเปล่า?”

คนเป็นหมอสวนคำไปรวดเร็ว พลางคว้าแขนเรียวมาจับไว้มั่นเมื่อเห็นเพื่อนถอยหนี “ไหนบอกมาซิ พี่กฤษของเธอคนนั้นเป็นยังไง เขา...ดูแลเธอดีเหรอ ทำไมวันนี้เธอดูแปลกๆ”

“ฉันไม่ได้แปลก แค่อยากพัก ปล่อยฉัน ฉันเจ็บแขนนะ!”

พริมาเอ่ยเสียงแข็ง ปรายตามองมือใหญ่ที่ยังจับต้นแขนของตัวเองอย่างดุๆ แต่คนเป็นหมอก็บ่ยั่นกับสายตานั้น หากก็คลายแรงบีบลงจนเหลือเพียงการจับข้อมือหลวมๆ

“งั้นก็นั่งลงกินข้าวต่อ นะ...กินข้าวแล้วจะได้กินยาแก้ปวดที่ฉันเตรียมไว้ให้ไง”

“ทำไมต้องถามถึงพี่กฤษ?”

มองปราดเดียวพริมาก็ดูออกว่าเพื่อนเปลี่ยนเรื่องเพื่อกลบเกลื่อนคำถามของตัวเองเมื่อครู่ ตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วที่เธอสังเกตเห็นว่าทั้งคุณหมอและตำรวจหนุ่มต่างมองกันด้วยแววตาแปลกๆ และตั้งแต่ที่เธอกลับมา ภูธเรศก็ถามถึงกฤษณะบ่อยมาก ถึงแม้ว่าเขาจะทำเหมือนพูดเรื่องสัพเพเหระทั่วไปก็เถอะ แต่นี่มันมากและบ่อยเกินไปแล้ว!

“ฉัน...” ภูธเรศอึกอัก ก่อนถอนหายใจแล้วเอ่ยเบาๆ “ก็แค่อยากรู้นี่นา ตกลงพี่คนนี้ของเธอเค้าเป็นยังไงมั่ง”

คิดถึงผู้หมวดหนุ่มแล้วพริมาก็ยิ้มน้อยๆ แววตาสดใสขึ้น ภาพชายหนุ่มร่างสูง ผิวออกคล้ำน้อยๆ เนื่องจากต้องเจอกับแดดเป็นประจำเสริมให้ใบหน้าคมเข้มนั้นน่ามองมากขึ้น ยิ่งเมื่อตอนที่ใบหน้านั้นส่อแววร้อนรนอย่างเช่นตอนที่เธอตกจากชั้นสองแล้วล่ะก็ เขาดูเหมือนเทพบุตรที่ลงจากฟ้ามาเพื่อช่วยเหลือเธอเลยทีเดียว แม้ว่าจะเพิ่งเจอกันวันแรก แต่ร้อยตำรวจโทกฤษณะก็ทำให้เธอรู้สึกคุ้นเคยและสนิทสนมเหมือนว่าเขาเป็นพี่ชายของเธอ...

“น่ารักดีนะ” คำแรกที่เพื่อนสาวโพล่งออกมาส่งให้หมอหนุ่มเกิดอาการเซ็งในพริบตา “สุภาพ ทำงานเก่ง ร่าเริง มีอารมณ์ขัน หน้าตาดี ที่สำคัญใส่แว่นแล้วสมาร์ทมาก...”

ชายหนุ่มนั่งนิ่งมองเพื่อนสาวจาระไนถึงคนที่ ‘เพิ่งรู้จัก’ กันได้แค่วันเดียวด้วยสีหน้าเรียบเฉย หากในใจหมั่นไส้เป็นหนักหนากับใบหน้าสว่างสดใสของเพื่อน

เออ...ก็ไม่รู้สิว่าทำไมกะอีแค่ได้เจอกันวันเดียวแล้วต้องเก็บมาพร่ำเพ้อถึงขนาดนี้ด้วย ปกติยัยเพื่อนของเขาคนนี้จะทำตัวติสต์ๆ ไม่ยุ่งอะไรกับใคร ไม่ค่อยสนใจใคร ยิ่งกว่านั้นคือชอบมองผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย จนบางทีเขาก็แอบกลัวว่าเธอจะเป็นทอมไปรึเปล่า แต่อย่างน้อยก็ยังเฮฮาปาร์ตี้ไปไหนต่อไหนได้อย่างไม่ต้องกังวลกับเรื่องความต่างระหว่างเพศ และรู้สึกสนิทใจกันยิ่งกว่าเพื่อนคนไหนๆ...

เขารู้สึกเหมือนโดนแย่งเพื่อนยังไงก็ไม่รู้!

“สรุปว่าสเปคเลยว่างั้นเหอะ” หมอหนุ่มโพล่ง หงุดหงิดจนต้องเบือนหน้าหนีใบหน้าสดใสของเพื่อน

“ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกนะ ตอนนี้ที่ถูกสเปคแน่ๆ น่าจะเป็นแว่นนี่แหละ” รอยยิ้มกว้างขวางมากขึ้นเมื่อคิดถึงแว่นตาและคนใส่แว่นตา หญิงสาวมีรสนิยมชื่นชอบคนใส่แว่นเป็นพิเศษ อาจจะเป็นเพราะเธอเห็นว่าเวลาใครใส่แว่นแล้วจะทำให้ดูภูมิฐานขึ้นกระมัง

หมอหนุ่มได้แต่เงียบ ไม่ตอบคำถามใดๆ ต่อจนกระทั่งทั้งสองทานข้าวเสร็จ หญิงสาวลุกขึ้นยืนเก้ๆ กังๆ ด้วยยังปวดช่วงตัวอยู่ ก่อนที่จะหยิบถ้วยข้าวต้มขึ้นมากะว่าจะเอาไปเก็บ แต่ไม่ทันร่างสูงที่ลุกขึ้นรวดเร็วก่อนปราดเข้ามาหยิบถ้วยไปจากมือเธอ พลางบอกเสียงแข็งเล็กน้อย

“นั่งลงเลย เราเก็บเอง อย่าลืมกินยาที่วางไว้บนโต๊ะนั่นด้วยล่ะ”

เสียงโคร้งเคร้งที่ดังมาจากส่วนที่กั้นเป็นครัวนั้นดังผิดปกติจนพริมาได้แต่มองด้วยความงุนงง อารมณ์ไม่ดีอย่างนี้นี่...หรือเป็นเพราะทะเลาะกับคุณนุชอีกรึเปล่าหว่า...

ช่างเถอะ มีอะไรเดี๋ยวหมอมันก็บอกเองแหละ ภูธเรศเป็นพวกประเภทที่จะไม่คุยกับใครเลย เงียบๆ ขรึมๆ ต่อหน้าคนไม่รู้จัก แต่กับเธอซึ่งเป็นเพื่อนสนิทแล้ว...เรียกว่ามีด้านมืดเท่าไหร่ก็ใส่มาไม่ยั้งเลยทีเดียว

พริมาหยิบยามากินแล้วจึงดื่มน้ำตาม พอเห็นว่าคนเป็นหมอเดินกลับมายืนเท้าแขนตรงพนักเก้าอี้เธอ หญิงสาวจึงเงยหน้าขึ้นยิ้มให้อีกฝ่ายแล้วเอ่ย

“หมอจะกลับเลยมั้ยล่ะ มันดึกแล้วนะ...” เธอเหลือบมองนาฬิกาข้อมือของเพื่อน เห็นเข็มสั้นชี้ไปที่เลขสิบแล้วก็ทำตาโตด้วยความตกใจ “เฮ้ย! มันสี่ทุ่มแล้วนะหมอ กลับๆ ได้แล้ว พรุ่งนี้มีเวรป่ะเนี่ย”

“ไม่กลับ”

คนเป็นหมอตอบสั้นๆ ง่ายๆ พลางก้มหน้าลงมายิ้มในระยะประชิด “วันนี้จะนอนนี่”

“เฮ้ย! นอนได้ไง คอนโดหมอก็มีนี่นา กลับไปไป๊!”

“ไม่เอา จะนอน...ก็เธอไม่สบาย เราเป็นหมอเราก็ต้องอยู่เฝ้าคนไข้สิ”

“หมอเป็นนิติเวชไม่ใช่เรอะ เคยนอนเฝ้าศพมั้ยล่ะ?”

“อย่าเถียง” สุดท้ายหมอนิติเวชก็จนมุม ได้แต่เอาเสียงเข้าข่ม “วันนี้เราจะนอนนี่ ขอดูอาการแกหน่อย”

เฮอะ! เขาเป็นเพื่อนนะ ยัยนี่ก็ผลักไสไล่ส่งอยู่ได้ ที ‘คนอื่น’ นี่ให้เขาอุ้มเฉย...

...คิดแล้วเสียศักดิ์ศรีเพื่อนสนิทชะมัด!

“มันน่าเกลียดนะเว้ยภู...” หญิงสาวยังท้วง หากเสียงอ่อยลงมากแล้ว

คนเป็นหมอเลิกคิ้วสูง ก่อนทำหน้ายียวนเมื่อตอบข้อกังขาของเพื่อน “ใช่ว่าจะไม่เคยนอนเลยซักครั้งซะเมื่อไหร่ อีกอย่างมันก็น่าเกลียดพอๆ กับคนแปลกหน้าเพิ่งรู้จักกันได้วันเดียว แต่ทำขนาดอุ้มกันแล้วก็แล้วกันน่า”

“ปากร้าย...พี่กฤษเค้าเป็นหนุ่มแว่นน่ารัก เป็นข้อยกเว้นย่ะ!”

หญิงสาวยิ้มเย้ย ลอยหน้าลอยตาตอบอย่างน่าหมั่นไส้ในความรู้สึกของภูธเรศ พริมาลุกขึ้นก่อนค่อยๆ เดินไปที่ประตูพลางบอก “ถ้าจะนอนก็ไปอาบน้ำไป๊ ผ้าเช็ดตัวใช้ผืนที่อยู่ในตู้นะ เราขอไปอ่านหนังสือก่อนละกัน”

ร่างบางกระเผลกๆ เดินเข้าไปในห้อง ทิ้งให้ภูธเรศมองตามด้วยความรู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก รู้แต่ว่าอยากจะจับเธอมาเขย่าๆ เอาความคิดเรื่องคนใส่แว่นตาน่ารักออกไปจากหัวของเจ้าหล่อนนัก

หาก...แวบหนึ่งที่ภูธเรศยกมือขึ้นแตะอกเสื้อของตนเอง นิ้วมือสัมผัสไล้ไปกับขอบยาวๆ ของสิ่งนั้นแล้วอยากจะเอาขึ้นมาใส่นัก ทั้งๆ ที่ปกตินอกจากเวลางานกับเวลาเรียนแล้วเขาแทบจะไม่อยากแตะต้องมันเท่าไหร่ ด้วยว่านุชนาถไม่ค่อยชอบนักเวลาเขาหยิบมันออกมาใส่

แต่ตอนนี้เขาอยากใส่...บางทีอาจเพื่อเตือนความทรงจำของใครบางคนที่ดูจะ ‘ปลาทอง’ ไปหน่อย...ไม่หน่อยล่ะ ค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว

ว่าเขาน่ะ...ก็ใส่แว่นเหมือนกันนะ!




ดังนั้นเมื่อพริมาเงยหน้าขึ้นจากการปิดโน๊ตบุ๊คแล้วมองเพื่อนที่เดินออกจากห้องน้ำ จึงได้เห็นว่าคนตัวสูงกว่านั้นมีแว่นเลนส์หนากรอบดำสวมอยู่บนใบหน้าคมนั้น

และผิวแก้มสีน้ำผึ้งอ่อนนั้นก็ร้อนขึ้นมาทันควันเมื่อสบกับสายตากรุ้มกริ่มแกมล้อเลียนที่ภูธเรศส่งมา รวมถึงคำพูดที่ทำให้คนฟังต้องแอบกรี๊ดในใจว่า

“เป็นไง เราใส่แว่นแล้วสู้คนอื่นได้มั้ย?”

พริมาแก้เขินด้วยการย่นจมูกใส่เพื่อน พลางชี้ไปที่ตู้เสื้อผ้าใบใหญ่ของเธอเป็นการตัดบท “เอาผ้าห่ม หมอนในนั้นอ่ะ แล้วออกไปนอนข้างนอกเลยไป”

“อะไร...นอนเฝ้าไข้ ก็ต้องนอนห้องเดียวกันสิ”

ภูธเรศทำหน้าตายเมื่อเดินมาบนเตียงกว้างของเพื่อน ก่อนจะล้มตัวลงนอนหน้าตาเฉย แถมยังยักคิ้วข้างเดียวอย่างกวนๆ ให้กับเจ้าของเตียงที่นั่งตัวแข็งไปเรียบร้อยแล้วอีกต่างหาก

“เรื่องอะไรฉันจะยอมให้แกมานอนตรงนี้ฮะภู!” คราวนี้คนโดนกวนประสาทเดินกลับมาที่เตียงตัวเอง ก่อนคว้าหมอนที่มีอยู่รอบข้างตีปั้บไปที่ร่างสูงนั้นทันที

“ลุกเดียวนี้ ลุกสิเว้ย ฉันบอกให้ลุกไง!”

คนโดนตีได้แต่พลิกร่างหนีพลางหัวเราะไม่หยุด มือหนึ่งพยายามยึดแว่นเอาไว้ตำแหน่งเดิม พลางร้องโวยวายเสียงดังอย่างสนุกมากกว่าหวาดกลัวจริงๆ

“โอ๊ย! พอแล้ว...กลัวแล้วคร้าบบบ...กลัวแล้ว...นี่มันทำร้ายร่าง...โอ๊ย!...ทำร้ายร่างกายชัดๆ โอ๊ย!”

“ทำร้ายร่างกายแล้วไง อย่างมากก็ปรับห้าร้อยล่ะวะ แกออกไปเดี๋ยวนี้นะหมอ...โอ๊ย!”

คนประทุษร้ายงอตัวลงทันควันเมื่อเอี้ยวตัวมากเกินไป ทำให้สีข้างที่ยังช้ำไม่หายปวดแปลบขึ้นจนเกินทน คนโดนประทุษร้ายยันตัวขึ้นก่อนที่จะโน้มตัวมาใกล้เพื่อนสาวอย่างรวดเร็ว มือหนาประคองร่างเพื่อนให้ค่อยๆ เงยขึ้นอย่างเบามือ พลางถามด้วยน้ำเสียงเครียดๆ

“นั่นไง เจ็บแล้วเห็นมั้ย มัวแต่เล่นอยู่นั่นแหละ...ปวดมากมั้ย เราดูหน่อยได้มั้ย?”

ว่าพลางคนเป็นหมอก็ทำท่าจะเลิกชายเสื้อเพื่อนขึ้นจริงๆ พริมารีบกระตุกชายเสื้อหน้าตื่น พลางตีมือหมอดังเพี้ยะ!

“ทะลึ่ง! ไม่เป็นไรหรอก ปวดนิดหน่อยเท่านั้นแหละ”

“ไม่นิดนะ” ภูธเรศไม่ถือสาที่โดนว่า เพราะปกติก็โดนมากกว่านี้ด้วยซ้ำ “หน้าเธอซีดมากเลย เราว่าพักก่อนดีกว่าเหอะ แล้วเราก็จะนอนในห้องนี้ด้วย”

“แต่...”

“ไม่มีแต่พริมา” ภูธเรศก็เหมือนหญิงสาว คือเมื่อไหร่ที่เขาเรียกชื่อจริงแล้วล่ะก็...แสดงว่าองค์ ‘นายแพทย์ภูธเรศ’ ลงประทับเต็มตัว ‘นายแพทย์ภูธเรศ’ ใช้นิ้วดันกรอบแว่นตาขึ้นเล็กน้อยก่อนเอ่ยต่อ
“เรามานอน ‘เฝ้าไข้’ เธอนะ เราต้องนอนในนี้แหละ ไม่ต้องกลัวว่าเราจะนอนบนเตียงหรอก เพราะเรากลัวเธอปล้ำ”

ท้ายประโยคนั้นภูธเรศตีหน้าตายตอนเอ่ย หากเมื่อเห็นสีหน้าของเพื่อนสาวเริ่มแดงขึ้นเรื่อยๆ (ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่เลือดฝาด หากแดงเพราะอะไรเขาก็ไม่กล้าเดา) คนเป็นหมอได้แต่เผ่นพรวดลงจากเตียง รี่ไปทางตู้เสื้อผ้าก่อนดึงเอาผ้าห่มผืนหนากับหมอนออกมาอย่างว่าง่าย ท่ามกลางสายตาคมกริบของเพื่อนสาวที่เขามองตามอย่างเอาเรื่อง

ชายหนุ่มปูผ้าห่มลงบนพื้นข้างเตียงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะล้มลงนอน พลางทำตาแป๋วส่งให้พริมาที่ยังมองตามไม่เลิก ก่อนจะเอ่ยเสียงอ่อยๆ พลางกระพริบตาปริบๆ ไม่เหลือเค้า ‘นายแพทย์ภูธเรศ’ ซักนิด

“นอนแล้วครับ”

พริมาปรายสายตาดุๆ ให้เป็นครั้งสุดท้าย แล้วจึงเอนตัวลงนอนพลางกะว่าจะพลิกตัวปิดสวิตซ์ไฟ หากมือหนาของคนที่นอนด้านล่างกลับเอื้อมมาปิดก่อนอย่างรวดเร็ว พลางเอ่ยเสียงทุ้ม

“เธอก็นอนได้แล้วนะพริม จะได้หายปวดเร็วๆ พรุ่งนี้ลาหยุดฝึกงานไปเลยนะ”

“ไม่ลา”

“ทำไม กลัวไม่มีเหตุผลลารึไง เดี๋ยวเราออกใบรับรองแพทย์ให้ก็ได้นะ”

“ไม่เอาอ่ะ ไปทำงานได้แค่วันเดียวก็จะลาแล้ว น่าเกลียดออก”

“เฮ้อ! ตามใจเธอ ดูแลตัวเองละกัน เรานอนละนะ พรุ่งนี้มีเวรตรวจคนไข้คดี ...อ้าว! ยังนอนไม่ได้แฮะ ลืมโทรไปราตรีสวัสดิ์นุช”

พูดแล้วชายหนุ่มก็ลุกขึ้นก่อนจะเดินตัดห้องไปเลื่อนเปิดประตูระเบียงที่เป็นกระจกใส ก่อนที่จะเลื่อนประตูปิด...ปิดกั้นสรรพเสียงใดๆ จากภายนอก
ทิ้งให้พริมาได้ยินแต่เสียงหัวใจตัวเองที่เต้นอย่างแผ่วเบา...
พริมาพลิกตัวหันหลังให้กับภาพของแผ่นหลังกว้างของคนเป็นหมอ ที่กำลังยืนพิงระเบียงพลางคุยโทรศัพท์ด้วยท่าทางเป็นสุข พลางบังคับให้ตัวเองหลับตาลงโดยเร็ว

อย่ามอง...จะได้ไม่ต้องเจ็บ



“ครับ...โธ่! นุชก็รู้ว่ามันไม่มีอะไรจริงๆ นี่นา”

ชายหนุ่มโอดกับปลายสายเสียงอ่อน เสียงของนุชนาถดูเคืองๆ เมื่อรู้ว่าเขามานอนเฝ้าพริมาที่คอนโดของหญิงสาวเอง ซึ่งเขาก็รู้ว่าทำไมเธอถึงเคือง และรู้ดีว่านุชนาถมีสิทธิเคืองได้เต็มที่...

...หากแต่วันนี้เขาทิ้งให้พริมาอยู่ที่ห้องคนเดียวไม่ได้จริงๆ

เสียงจากปลายสายนั้นดังอึกทึก ครึกโครมไปด้วยเสียงดนตรีดังลั่นกับเสียงตะโกนโหวกเหวกของเหล่านักท่องราตรี ที่ต่างพากันแสวงหา ‘อะไรบางอย่าง’ ตามสถานเริงรมย์ เพียงเพื่อที่จะให้มันกลายเป็นอดีตเมื่อลืมตาตื่นขึ้นในอีกวันเท่านั้น

เขาไม่ชอบเที่ยวในสถานที่เหล่านั้นเท่าไหร่ ไม่เหมือนกับนุชนาถที่เธอสามารถเที่ยวตามผับบาร์ได้ทุกคืน เพื่อนของหญิงสาวนั้น เป็นกลุ่มคนที่เขาไม่ค่อยเข้าใจหลักการดำเนินชีวิตเท่าไหร่นัก ยิ่งเมื่อนุชนาถทำงานที่ต้องติดต่อกับผู้คนมากเท่าไหร่ เธอก็เริ่มเที่ยวมากขึ้น มีสังคมมากขึ้น และเริ่มเรียกร้องให้เขายืนอยู่เคียงข้างเธอทุกๆ เวลาที่เธอต้องพบปะผู้คนมากขึ้น

เขารู้สึกเหมือนกลายเป็นสินค้าติดแบรนด์ดังทุกครั้งเวลาอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น สถานการณ์ที่ทุกคนในกลุ่มจะนำเอาคนรักมาอวดหน้าที่การงานกันอย่างออกนอกหน้า

เขาตามใจนุชนาถทุกอย่าง ยกเว้นแต่ตอนที่เขายังเป็นอินเทิร์น ซึ่งกำลังจะตัดสินใจที่จะเลือกเรียนเฉพาะทางเป็นหมอนิติเวช

‘นุชไม่ยอมนะคะ นุชไม่อยากมีแฟนเป็นหมอผ่าศพ’

‘ทำไมล่ะ’ ภูธเรศเงยหน้าขึ้นมองคนรักที่นั่งหน้าหงิกอยู่ตรงหน้า พลางดันแว่นตาให้เลื่อนกลับขึ้นไปบนดั้ง

‘นุชไม่ชอบ มันดูโรคจิตมากเลย คิดดูสิคะ เป็นหมอผ่าศพดียังไงเหรอ วันๆ อยู่กับศพ ไม่มีอะไรเจริญหูเจริญตาบ้างเลย เสียสุขภาพจิตออก’

‘อาชีพหมอไม่ได้อยู่กับสิ่งเจริญหูเจริญตาอยู่แล้วนะนุช’ ชายหนุ่มยิ้มเอาใจแฟนสาว มือหนาเอื้อมมากุมปลายนิ้วเรียวสวยก่อนบีบเบาๆ ‘อีกอย่างหมอนิติเวชนั้นเป็นสาขาขาดแคลนพิเศษ ทั้งประเทศมีนิติเวชอยู่...แค่แปดสิบกว่าคนเองนะ’

‘แล้วไงคะ มันก็โรคจิตอยู่ดีนั่นแหละ คุณคิดดูสิ ขนาดหมอด้วยกันยังคิดว่านิติเวชน่ะไม่น่าเป็น ไม่อย่างนั้นคงไม่มีคนเป็นน้อยขนาดนี้หรอกค่ะ อีกอย่างน่ะ...เพื่อนนุชมันมีเพื่อนเป็นหมอศัลย์นะคะ ได้เงินเดือนก็เยอะ คนนับหน้าถือตาก็แยะ...นุชกลัวคุณได้เงินเดือนน้อยแล้วจะลำบากในวันข้างหน้า...ถ้าเราแต่งงานกัน’

ชายหนุ่มได้แต่อมยิ้มกับคำพูดของนุชนาถ เธอช่างคิดวางแผนไปไกลถึงอนาคต...สมแล้วที่เป็นผู้หญิงที่เขาเลือกที่จะฝากชีวิตไว้กับเธอ...

‘ไม่หรอกนุช จริงๆ หมอนิติเวชน่ะ...’


วันนั้นเขาต้องนั่งสาธยายถึงเงินเดือนและสิทธิ รวมถึงหน้าตาทางสังคมที่หมอนิติเวชจะได้รับ กว่าจะทำให้นุชนาถยอมเรื่องนี้ได้ก็ใช้เวลามากทีเดียว หากนับแต่วันนั้นมา ทุกครั้งที่ต้องแนะนำภูธเรศในฐานะคนรัก แฟนของเขาจะละไว้แค่เพียงว่า ‘เป็นหมอ’ เท่านั้น

“สรุปว่าวันนี้ภูจะอยู่ที่ห้องของคุณพริมาจริงๆ เหรอคะ”

น้ำเสียงของหญิงสาวค่อนข้างอ้อแอ้ นุชนาถหันไปยิ้มให้กับชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งที่โบกมือให้เธอก่อนจะกรอกเสียงลงในมือถือต่อ “วันนี้ภูไม่กลับจริงๆ เหรอคะ?”

“คงอยู่ที่นี่ล่ะจ้ะ นุชก็เห็นนี่ว่าพริมตกลงมาจากชั้นสองเลยนะ ไม่รู้ว่าอาการช้ำจะทำให้เขาไข้ขึ้นรึเปล่า ผมว่าจะรอดูอาการซักหน่อย”

“ขอให้แค่ ‘ดูอาการ’ จริงๆ เถอะค่ะ” นุชนาถกระแทกเสียง ไม่พอใจนักหากก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะเธอแน่ใจว่าทั้งภูธเรศและพริมานั้นจะไม่มีอะไรเกินเลยกันจริงๆ

“แน่นอนครับผม รับประกันด้วยความสัตย์จริงเลยล่ะ!”

ปลายสายส่งคำสัญญาอ่อนโยนมาให้ ทำให้อารมณ์ที่เริ่มร้อนของนุชนาถนั้นลดต่ำลงจนเหลือระดับปกติ

“ถ้าอย่างนั้น...คุณก็ไปนอนเถอะค่ะ พรุ่งนี้ต้องทำงานนี่นา”

“ผมรักนุชนะ รีบกลับนะครับผมเป็นห่วง”

นุชนาถกดวางหู สีหน้าเรียบเฉยนั้นบ่งบอกแววไม่สบอารมณ์

ภูธเรศนั้นเธอแน่ใจ จากการที่เขาเคยไปนอนค้างที่ห้องเธอหลายครั้งตั้งแต่สมัยเรียน จนเดี๋ยวนี้เขาก็ยังแวะไปที่ห้องเธอบ่อยๆ หากก็เพียงแค่แวะ นอนก็เพียงแค่นอน ภูธเรศเพียงแค่นอนกอดเธอไว้เฉยๆ ถ้าจะเกินเลยบ้างก็เพียงแค่จูบ...จูบที่ดูดดื่มและเจือไปด้วยความรัก ก่อนจะกอดเธอหลับไปด้วยกัน

ซึ่งมันทำให้นุชนาถร้อนรุ่ม และไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงไม่มีเหตุการณ์ที่มากกว่านั้น...ตามประสาคนรักคนอื่นที่อยู่กันสองต่อสอง

แต่ภูธเรศกลับอธิบายเรื่องนี้ด้วยเหตุผลโบราณๆ ว่า ‘ผมอยากให้คืนวันแต่งงานของเราเป็นวันพิเศษ’

และด้วยนิสัยของชายหนุ่มที่ไม่เคยผิดคำพูดนอกจากเรื่องนัดกับเธอ นุชนาถจึงเชื่ออย่างเต็มหัวใจว่าเขาจะไม่มีวันมีอะไรกับพริมาเด็ดขาด

และเธอรู้นิสัยของภูธเรศดี หากเขาวางสถานะไหนให้กับใครแล้ว เขาจะไม่มีทางเปลี่ยนใจเด็ดขาด

นุชนาถถอนใจยาว หลับตาลงก่อนปรับสภาพอารมณ์ให้สดใสขึ้น ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะคิดถึงภูธเรศหรือใคร เพราะตอนนี้เธอกำลังมีความสุข

สุขที่เกิดจากการได้รับการดูแลอย่างอ่อนโยน ตามใจ และสุขที่เกิดจากความภาคภูมิใจ...ที่ได้มีคู่ควงคนใหม่มาเปิดตัวอวดเพื่อนๆ ขี้อิจฉาพวกนั้น

นุชนาถเดินกลับเข้าไปในร้าน ผ่านโต๊ะที่มีคนกำลังวาดลวดลายตามความร้อนแรงของเพลง ก่อนจะยิ้มหวานให้กับคนที่นั่งรออยู่ที่โต๊ะ

“รอนานมั้ยคะคุณสันต์?”



วางหูจากนุชนาถแล้ว ภูธเรศก็ค่อยๆ เลื่อนเปิดบานประตูแผ่วเบา

ในห้องมืดสลัว แสงเดียวที่มีคือแสงจันทร์ที่ส่องผ่านเข้ามาจากประตูระเบียงที่เขาจากมาเมื่อครู่นั่นเอง

แสงนั้นส่องต้องคนที่นอนหลับตาพริ้ม คิ้วขมวดน้อยๆ กับปากเม้มนิดๆ ทำให้ชายหนุ่มสงสัยเหลือเกินว่าเรื่องใดหนอที่ทำให้เธอต้องมีสีหน้าย่ำแย่แบบนั้น

...เรื่องอะไร...และใคร ที่ตามรังควาญเธอถึงในฝัน

แวบหนึ่ง...ภูธเรศเดินไปที่โต๊ะเขียนหนังสือของเพื่อนสาว ก่อนที่จะเปิดลิ้นชักแผ่วเบา พลางกวาดสายตามองหาบางสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่เพื่อนของเขากังวลอย่างรวดเร็ว

สมุดบันทึกที่เขาทำตกเมื่อเช้าไม่อยู่ที่เดิมแล้ว...

...อะไรกันนักหนา เดี๋ยวนี้ริอ่านมีความลับกับเพื่อนแล้วนะ...

ชายหนุ่มเดินกลับมานั่งข้างเตียง พลางมองใบหน้าที่หลับสนิทอย่างคาดโทษ คนเป็นหมอใช้นิ้วชี้จิ้มหน้าผากเพื่อนเบาๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นคลึงหว่างคิ้วที่ขมวดเล็กๆ ให้คลายออก ถือเป็นการวัดไข้ไปในตัว แล้วจึงดึงผ้าห่มที่ตอนนี้ลงไปกองอยู่ที่เอวขึ้นไปคลุมถึงอกพลางพึมพำแผ่วเบา

“ยายขี้เซาเอ้ย...เพราะงี้ไงฉันถึงทิ้งให้เธออยู่คนเดียวไม่ได้”

น้ำเสียงทุ้มนุ่มนั้นเอื้อเอ็นดู ทุกการกระทำอ่อนโยน...นุ่มนวลอย่างที่คนทำไม่รู้สึกตัว

มือหนาเอื้อมไปหยิบรีโมทแอร์ขึ้นมาปรับอุณหภูมิห้องให้เหมาะสม ก่อนที่จะเกลี่ยผมให้เพื่อนแล้วจึงล้มตัวลงนอนบนที่นอนชั่วคราวของตัวเอง

ก่อนจะปิดเปลือกตาและเข้าสู่ห้วงนิทราในที่สุด ความคิดสุดท้ายก่อนนอนนั่นมุ่งมั่นอยู่เพียงแค่ความคิดเดียวว่า...


“อย่าเผลอก็แล้วกันนะพริมา ฉันจะล้วงความลับทุกอย่างของเธอให้หมดเลยคอยดู”



ปณัชญา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 มี.ค. 2556, 01:12:34 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 มี.ค. 2556, 01:12:34 น.

จำนวนการเข้าชม : 2068





<< บทที่ 5 : ความสำคัญระหว่างคนสองคน   บทที่ 7 : ปฏิบัติการ ‘หวง’ เพื่อน >>
Auuuu 8 มี.ค. 2556, 01:41:11 น.
นุชแรงนะะะ


nunoi 8 มี.ค. 2556, 10:18:37 น.
ยัยนุชหวงก้าง แต่ตัวเองกลับไปกิ๊กกับเจ้านายซะงั้น


lovemuay 8 มี.ค. 2556, 19:13:37 น.
แน่ะ หึงเขาแล้วยังไม่รู้ตัวอีก


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account