คือสัญญา
เมื่อน้องสาวไม่พอใจเพื่อนของพี่ชายที่ทำตัวเป็นเด็กมีปัญหา เธอจึงคอยแกล้งเขาต่าง ๆ นา ๆ จนวันหนึ่งเขาได้ถามว่าเธอไม่ชอบอะไรเขานักหนา หากจะเป็นเพื่อนกับเธอต้องทำอย่างไร เธอจึงบอกเงื่อนไขที่เหมือนทำให้เขาต้องเปลี่ยนชีวิตของตัวเองทั้งชีวิตใหม่ ซึ่งได้พลั้งปากออกไปอย่างไม่ทันได้คิดว่า ถ้าเขาทำได้ต่อให้เป็นแฟนก็ยังไหว

เขาจึงถือว่าถ้าเขาทำทุกอย่างครบเงื่อนไขทั้งหมดแล้ว เธอต้องยอมรับเขาเป็นแฟนด้วย นั่นคือสัญญาระหว่างเขาและเธอ

เขาจะเอาชนะใจเธอได้รึเปล่า ติดตามได้เลยค่า...
Tags: คือสัญญา

ตอน: ตอนที่4

รองเท้าผ้าใบคลุกฝุ่นสีแดงขมุกขมัวก้าวช้าลง ๆ เนื่องจากความลาดชันของพื้นดินที่เริ่มเทสูงขึ้นเรื่อย ๆ ทางเดินค่อย ๆ แคบลง กว้างสำหรับพอเดินได้แค่ 2 คนเท่านั้น ระยะทางที่ยาวไกล ทำให้แต่ละคนเริ่มอ่อนล้า กระเป๋าใบโตที่เธอเคยถือได้อย่างสบาย แต่เมื่อต้องถือนาน ๆ เข้า น้ำหนักกลับเพิ่มขึ้นเนื่องจากความเมื่อยล้าของต้นแขน เหงื่อเม็ดโป้งไหลจากศีรษะมาหยุดอยู่ที่ปลายคาง ก่อนที่เจ้าของจะใช้แขนเสื้อซับไว้ การเดินเกาะกลุ่มเดินไปเป็นทีม ตอนนี้กลุ่มเริ่มแตกกระจายเป็นกลุ่มย่อย ๆ ที่เหลือคนหรือสองคนแทน เดินตามกันไปทิ้งระยะห่างเป็นระยะ

ปฏิการเดินตามปริมมาห่าง ๆ เป้ใบใหญ่และอุปกรณ์เต้นท์แบกอยู่ด้านหลังทั้งหมด มือซ้ายถือกระเป๋าหนังสีดำใส่กีต้าตัวโปรด เขารอจังหวะทิ้งให้เธอเริ่มเหนื่อย ก่อนที่จะเข้าไปช่วยเธอ เพราะรู้ดีว่า เธอคงไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากใครง่าย ๆ

เขาสาวเท้าเร็วขึ้น เร่งฝีเท้าตามไปให้ทันคนที่เดินอยู่ข้างหน้า
“ปริมเหนื่อยหรือเปล่า ฉันช่วยถือนะ”

ปริมมองสัมภาระของเขาที่ดูเยอะกว่าเธอเสียอีก
“ไม่เป็นไร…ฉันถือได้”

“ไม่เป็นไรหรอก มาให้ฉันช่วยนะ” เขายังยืนยันที่จะช่วยเธอเป็นครั้งที่สอง อดแปลกใจเล็กน้อยที่เธอยังไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากเขา ซึ่งโดยปกติผู้หญิงมักจะดีใจที่มีผู้ชายมาช่วยถือข้าวของหนัก ๆ อย่างนี้ และบางทียังชอบชี้ใช้ด้วยซ้ำ

“ของนายเยอะกว่าฉันเสียอีก” เธอยังยืนกรานปฏิเสธ
ปฏิการยิ้ม ถ้าเขาเข้าใจไม่ผิด เธอเป็นห่วงเขารึเปล่า?
“ไม่เป็นไรหรอก สบายมาก ส่งมาเลย”
“ก็ได้” เธอส่งกระเป๋าใบโตให้เขา พลางยิ้มอย่างมีเลสนัย
“งั้นถือให้หมดเลยนะ” ว่าแล้วก็เอาทั้งกระเป๋าสะพาย ทั้งเป้ใบเล็ก ๆ เข้าไปคล้องตัวเขาจนดูรุงรังเต็มตัวไปหมด
“เป็นไง” เด็กสาวยิ้มระรื่น เดินตัวปลิวอย่างสบายใจ ผมประบ่าถูกรวบไว้เป็นหางม้าแกว่งไกวไปมาตามจังหวะการก้าวเดิน

เมื่อโดนเธอแกล้งสุมสัมภาระให้ขนาดนี้ เล่นเอาหนักและเหน็ดเหนื่อยเหมือนกัน
“ปริม….รอกันด้วยสิ!” เขาตะโกนเรียก อยากจะพยายามวิ่งตามไป แต่เรี่ยวแรงกลับถดถอยลงทุกที ๆ ด้วยความลาดชันของหนทางขึ้นเขา แถมแดดยามบ่ายยังร้อนระอุบั่นทอนกำลังให้ลดลงอีก

“ร้ายจริง ๆ เลย ทิ้งกันได้ลงคอ” เขาบ่นอยู่คนเดียว หลังจากเธอเดินหายตัวไปไหนแล้วไม่รู้

“นินทาไร ได้ยินนะ”

เขาเงยหน้ามองขึ้นไปข้างบนตามหาแหล่งกำเหนิดเสียง เห็นเธอนั่งเล่นอยู่บนต้นไม้ ปากกำลังอมอะไรบางอย่างอยู่ทำสีหน้าเปรี้ยวจี๊ดดดทีเดียว ครู่หนึ่งเธอปีนลงมาอย่างคล่องแคล่ว

“หิวน้ำมั้ย”

ชายหนุ่มหอบข้าวของพะรุงพะรังเหมือนพวกไอ้บ้าหอบฟางพยักหน้าหงึก ๆ “มาก ๆ เลย”

“กินนี่ไปก่อนนะ มะขามป้อม” เธอล้วงเม็ดกลม ๆ แป้น ๆ สีเขียวอ่อนขนาดเท่าหัวแม้มือออกมาจากกระเป๋าเสื้อ

เขาส่ายหน้า “ไม่เอา ไม่ชอบนะ”

“นี่…!! มันช่วยแก้กระหายน้ำได้นะ ลองกินดู” เธอยื่นส่งให้

“จริงหรอ”

ปริมพยักหน้าพยักเพยิดให้เขาลองกินดู

เขาวางกระเป๋าใบโตของเธอลงกับพื้นก่อนจะรับเม็ดกลม ๆ ที่ไม่เคยชอบมา

ทันทีที่ฟันกระทบกับผิวของมะขามป้อมและกดลึกลงไปในเนื้อ รสเปรี้ยวอมหวานนิด ๆ ของมะขามป้อมก็แผ่ซ่านไปทั่วปาก คิดไว้ว่าจะต้องเจอรสฝาดเข้าเต็ม ๆ เลย แต่ไม่ใช่ เขาค่อย ๆ กัดมะขามป้อมไปทีละนิดเรื่อย ๆ รู้สึกชุ่มคอ และหายคอแห้งผากไปได้เยอะเลย

“อืม…อร่อยดีเหมือนกันนะ ไม่เหมือนที่เคยกินเลย ขออีกสิ”
“เห็นมั้ยล่ะ” เธอส่งมะขามป้อมให้เขาอีก 4-5 เม็ด

เขายิ้มให้ แล้วก้มลงหิ้วสัมภาระต่อ

“มา…ฉันช่วยถือนะ”

ปฏิการชะงัก เมื่อได้ยินเสียงใส ๆ ข้าง ๆ หู จนต้องเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียง

ปริมไม่รอให้เขาพูดอะไร รีบดึงสายของกระเป๋าขึ้นมาถือไว้ข้างหนึ่ง เป้เล็ก ๆ ที่เอาไปสุมไว้กับตัวเขา เธอก็เอาคืนมาสะพายเสียเอง

เขายิ้มให้เธอแทนคำพูด และรู้ว่าเธอไม่ใช่คนที่จะคอยเอาเปรียบใคร คะแนนความดีของเธอค่อย ๆ สะสมอยู่ในหัวใจเขาทีละน้อย

==============

กองไฟถูกก่อขึ้นอย่างง่าย ๆ เปลวไฟสีส้มแดงระริกไหวอยู่ท่ามกลางความมืดมิดของยามค่ำคืน ไม่มีแสงไฟจากไฟฟ้า มองไปทางไหนไม่อาจหลีกหนีความมืดไปได้ ต้นไม้ทุกต้นยืนสงบนิ่งในอ้อมกอดของเงาแห่งราตรี ผืนฟ้าสีน้ำเงินเข้มมีเพียงแสงดาววับวาววอมแวม กับแสงจันทร์เสี้ยวที่ทอแสงสีขาวนวลตา อากาศเริ่มเย็นขึ้นเรื่อย ๆ หนุ่มสาวต่างนั่งล้อมรอบกองไฟ กล้วยสุกลูกสวยสีเหลืองทอง อวบอ้วน และมันเทศน์กำลังถูกเผาอยู่บนเปลวไฟ ส่งกลิ่นหอมยั่วยวนน้ำย่อยในกระเพาะอาหารให้ออกมาวิ่งเต้นไปมา

เมื่อคมมีดถูกกดลงไปบนกล้วยย่างหรือมันเผา เกิดควันกรุ่น ๆ ลอยคลุ้งออกมา ปริมเอามือจับชิ้นมันเผาที่ถูกพี่ชายตัดให้เป็นชิ้นเล็กพอประมาณ แต่เมื่อจับแล้วต้องรีบโยนทิ้งทันทีเพราะความร้อน รีบเอามือจับหูตัวเองแทบไม่ทัน

“มันร้อนนะปริม” ปรามเตือนน้องสาว แล้วเอาซ่อมจิ้มชิ้นมันเผาขนาดกำลังพอดีส่งให้
“ขอบคุณค่ะ พี่ปราม” เธอรับซ่อมมันเผามาทาน พอกัดเข้าไปคำหนึ่งต้องรีบห่อปากเป่าลมออกจากปากเพื่อระบายความร้อน พลางเอามือพัด ๆ ปากตัวเองถี่ยิบ
“ใจเย็นปริม ค่อย ๆ กิน มันมีอีกเยอะนะ ไม่ต้องกลัวคนแย่ง” เพื่อนพี่ชายต่างแซวด้วยความเอ็นดูแล้วพากันหัวเราะ

หนุ่มผมยาวหน้าคมเข้มเริ่มจับกีต้าขึ้นมาประคองไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะบรรจงดีดสายกีต้าพริ้วไหวราวมีชีวิต นิ้วแต่ละนิ้วเคลื่อนไหวจับคอร์ดกีต้าอย่างคล่องแคล่วและแม่นยำ ราวกับเป็นเรื่องง่ายดายเหลือเกิน บ่งบอกถึงฝีมือที่ฝึกฝนมานานเป็นอย่างดี เทียบเท่ากับมืออาชีพได้เลย บวกกับพรสวรรค์และพรแสวงในการร้องเพลงของเขา ทำให้เพลงแต่ละเพลงเต็มไปด้วยอารมณ์และความรู้สึก ราวกับนักร้องตัวจริงมาร้องให้ฟังเสียเอง น้ำเสียงใส ๆ นุ่ม ๆ ทำให้เพลงแต่ละเพลงสะกดหัวใจของคนฟังเอาไว้ แต่ละคนต่างเพลิดเพลิน มีความสุขสนุกสนาน ไม่ว่าเขาจะร้องเพลงช้า เพลงซึ้ง เพลงเร็ว เพลงสดใส เพลงอะไรก็น่าฟังไพเราะไปหมด น้ำเสียงของเขาเหมือนมีพลังพิเศษจนไม่อาจละสายตาไปจากลีลาท่าทางที่ชวนมองของเขาได้เลย หนุ่มสาวต่างพากันโยกตัวไปมาช่วยกันร้องเพลงตามและปรบมืออย่างสนุกสนาน

“ผมขอมอบเพลงนี้ให้กับคน ๆ หนึ่ง เพื่อเป็นการขอบคุณ ที่เขาทำให้ผมเปลี่ยนเป็นคนใหม่ได้อย่างทุกวันนี้” ปฏิการพูดขึ้นก่อนจะกรีดนิ้วลงบนสายกีต้า สายตามองมายังเด็กสาวที่นั่งอยู่ข้างปรามแวบหนึ่ง

ไม่เคยมีใคร ที่จะคิดเป็นห่วงฉัน และคนอย่างฉัน ก็ไม่รู้จะต้องห่วงใคร

เสียงตบมือดังแทรกขึ้นมาสนั่นหวั่นไหว ใบหน้าของทุกคนเต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม และต่างตั้งใจฟังเพลงอย่างใจจดใจจ่อทีเดียว

ไม่มีคนไหน ที่เฝ้ารอ และไม่เห็นที่ไป ไม่มีใคร ที่เกิดมาเพื่อกัน
ที่ผ่านมานั้น ก็ไม่รู้ จะอยู่เพื่อใคร ไม่มีจุดหมาย แค่ใช้ชีวิตไปให้หมดวัน
แต่พอวันนี้ ฉันพบเธอ เธอผ่านมา ในใจฉัน ทำให้ทุกคืน วันเกิดมีเรื่องราว

เธอทำให้ฉันไม่เหมือนเดิม ฮืม..ฮืม..ฮืม..
เธอเติมชีวิตตรงที่ขาดหาย เธอทำให้ฉันลืมความเหงาเดียวดาย
เปลี่ยนไป ตั้งแต่ได้พบเธอ

ปริมนั่งแอบอยู่หลังพี่ชาย ไม่กล้าหันไปมองหน้าคนร้องเพลง กลัวจะเจอสายของเขามองตรงมา จะยิ้มก็ไม่กล้ายิ้ม ทั้ง ๆ ที่ควรจะยิ้ม กลัวใคร ๆ จะคิดว่า เธอใจอ่อนและยอมรับเขาเสียแล้ว เธอไม่รู้จะทำหน้ายังไงถึงจะดี รู้สึกอึดอัดใจเหลือเกิน


จากนั้น….ฉันเหมือนเป็นคนใหม่ จากคนไม่มีจุดหมายที่แล้วมา…
จากนี้…เธอทำให้ฉันรู้ ฉันมีค่า… เปลี่ยนแปลงวันเวลา
เปลี่ยนจากคน ๆ เดิมตลอดไป

ทุกคนต่างนิ่งเงียบฟังเขาร้องเพลงคนใหม่ ของมิสเตอร์ทีมจนจบเพลง แล้วเสียงปรบมือก็ดังขึ้นเกรียวกราวอีกครั้ง
“แหม…ปริมน่าอิจฉาจังเลย” เพื่อนสาวของพี่ชายเอ่ยขึ้นอย่างยิ้มแย้ม เสียงเฮก็ดังตามมาเป็นลูกคู่

แล้วตามด้วยเพลงใคร ของบอยโกสิยพงศ์ เสียงอินโทรของกีต้าใส ๆ คลอขึ้นมาเบา ๆ

คนที่เหงาคนหนึ่ง นั้นรอใครที่จะเข้าใจ
มาเป็นเพื่อนดูหนัง เป็นเพื่อนฟังเพลงใกล้ๆ
แบ่งปันทุกข์และสุข พูดคุยยามที่เหนื่อยหัวใจ
แต่ว่าคนๆนั้นจะได้เจอะกันวันไหน

ทุกคนต่างช่วยกันร้องตามอย่างถูกอกถูกใจกับเพลงเพราะที่เต็มไปด้วยความรู้สึกแสนเหงา และเฝ้าคอยใครซักคนหนึ่งที่จะผ่านเข้ามาในชีวิต

ปริมแอบหลบผู้คนออกมานั่งอยู่ข้างกองฟางเงียบ ๆ คนเดียว อากาศเริ่มเย็นลงอีก จนเธอต้องห่อตัวกอดตัวเองเอาไว้ แหงนหน้ามองท้องฟ้า สายตามีคำถามขอคำตอบจากดวงดาว ความรู้สึกอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ที่ถูกใครต่อใครหยอกล้ออย่างสนุกสนาน คิดโทษตัวเอง ที่ปากไม่ดีพูดท้าทายเขาออกไปอย่างนั้นอย่างไม่ทันคิดให้ดีก่อนพูด เธอรู้สึกสับสน จนบางครั้งไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองเลย

*มองปฏิทินที่เปลี่ยนเข้ามาใหม่
มองคนรักเค้าเดินเคียงใกล้ ฉันคงได้เพียงแต่มองอยู่ตรงนี้

**ใคร สักคนที่เกิดมาเพื่อผูกพัน
ใครที่เกิดมาคู่กับฉัน
ใครคือคนนั้นช่วยมา บอกฉันที
ให้ใจ ที่หวั่นไหวได้พึ่งพิงซักที่
ให้รู้ว่าซักวันฉันจะเจอะ คนๆ นี้และใครที่รอคนนี้มีจริงใช่ไหม

ปริมเอนตัวพิงกองฟางอย่างสบายอารมณ์ สายตายังค้างคาบนพื้นกำมะหยี่สีดำที่มีลวดลายเป็นดวงดาวระยิบระยับ เสียงเพลงของเขายังดังคลอตามมากับสายลม บทเพลงที่ยังได้ยินชัดเจนทุกถ้อยคำ รู้สึกกลุ้มใจขึ้นมาตะหงิด ๆ ทำไมเผลอพูดอะไรอย่างนั้นออกไปได้นะ เขาเป็น “ใคร” คนนั้นจริงหรือ ที่เธอจะต้องยอมรับในอนาคต เพื่อทำตามคำสัญญา


วันคืนแสนว่างเปล่า ทุกคราวพยายามเข้าใจ
แต่ว่าในวันนี้ ข้างในกลับทนไม่ไหว

(*,**)

(**)

และใครที่รอตอนนี้เขาอยู่…ที่ไหน….

“และใครที่รอคนนี้…คือปริม…ใช่ไหม” เสียงบรรดาเพื่อน ๆ ต่างร้องประสานเสียงแซวเป็นลูกคู่คลอขึ้นมาอย่างไม่ได้นัดหมายเมื่อจบเพลง เรียกเสียงหัวเราะฮาขึ้นมาอย่างครึกครื้น

เสียงเพลงที่ได้ยินยิ่งทำให้เธอคันหัวใจ รู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่านอย่างบอกไม่ถูก


===============

เสียงฝีเท้าของใครบางคนกำลังเดินมาทางเธอ ทำให้รีบขยับตัวลุกขึ้นนั่งจากท่านอนเอกเขนกทันที

“ปริม…ขอนั่งด้วยคนนะ” ชายหนุ่มนั่งลงข้าง ๆ สาวน้อย
“เชิญ…ตามสบายค่ะ” ปริมขยับตัวลุกขึ้น

“เดี๋ยวปริม!!” แล้วรีบลุกขึ้นขวางทางเธอไว้

“ขอคุยด้วยสักครู่ได้ไหม…” ทั้งน้ำเสียงและแววตาของเขาเต็มไปด้วยคำขอร้อง

ปริมจ้องหน้าฝ่ายตรงข้ามทำตาเขียว ๆ ก่อนที่จะนั่งลงอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก

“มีไร ว่ามา”

“หนาวรึเปล่าปริม ทำไมไม่ใส่เสื้อหนาวล่ะ” เขาสังเกตเห็นเธอนั่งห่อตัวกอดตัวเองอยู่ แล้วถอดเสื้อกันหนาวสีน้ำตาลที่ใส่มาส่งให้

“ไม่ต้อง ขอบใจ”

“ใส่ไว้เถอะน่า…” เขาคลุมเสื้อหนาวลงบนไหล่ให้เธอ

“เร็ว!! จะใส่หรือเปล่า” ชายหนุ่มจ้องหน้าสาวน้อยที่อยู่ข้าง ๆ “ถ้าไม่ใส่ เดี๋ยวฉันจะช่วยทำให้เธออบอุ่นแทนก็ได้นะ” เขาพูดยิ้ม ๆ

“อย่านะ…!! อย่ามาทะลึ่งแถวนี้” น้ำเสียงของเธอเฉียบขาด รีบขยับตัวออกไปยืนห่าง ๆ แต่สีหน้าพาลซีดลงอย่างเห็นได้ชัด ในแววตามีความกลัวซ่อนอยู่

“ก็ใส่สิ หรือว่า อยากลองดูก็ได้นะ” เขาขยับตัวตามเข้าไปใกล้เป็นการข่มขวัญ อันที่จริงเขาก็ไม่กล้าเหมือนกัน เพราะตั้งแต่เกิดมาเคยทำอะไรอย่างนั้นกับใครที่ไหนกัน

“ยุ่งกับชีวิตฉันจังเลย” เธอบ่นเพื่อบังหน้า ปกปิดความรู้สึกกลัวเขาเอาไว้ข้างใน แล้วรีบใส่เสื้อหนาวของเขาอย่างด่วนจี๋ กลัวเขาจะทำอย่างที่พูดไว้จริง ๆ

“อุ่นมั้ย…” เขายิ้มระรื่นเมื่อเห็นเธอยอมสวมเสื้อหนาวจนได้

เธอพยักหน้าโดยไม่หันไปมองคนข้าง ๆ ไออุ่นจากตัวเขาที่มาพร้อมกับตัวเสื้อบวกกับความหนาของเสื้อหนาว ทำให้รู้สึกอุ่นเป็นพิเศษ

“ทำไมปริมออกมานั่งคนเดียวล่ะ”
“แล้วทำไมนายต้องออกมานั่งตรงนี้ด้วยล่ะ” ปริมสวนคำ
“ฉันกลัวว่าฉันจะตบะแตก เพราะพวกนั้นเริ่มตั้งวงกินเหล้ากันอีกแล้ว” เขาบ้ายหน้าไปทางกลุ่มพวกผู้ชายที่ตั้งวงล้อมรอบกองไฟอยู่ทางด้านหลัง
“ที่จริง การกินเหล้า ก็เป็นสร้างสัมพันธภาพระหว่างเพื่อนนะ”

“การสร้างสัมพันธ์ใช้วิธีอื่นก็ได้ มีวิธีนี้วิธีเดียวหรือ ไม่เห็นต้องกินเหล้าเลย ไม่งั้นผู้หญิงเราต้องไปกินเหล้าเพื่อสร้างสัมพันธ์กันด้วยใช่ไหม เงินก็ต้องเสีย ไม่ดีต่อสุขภาพด้วย ตัวก็เหม็น ไม่เห็นจะดีตรงไหนเลย” เธอสาธยายออกมาเป็นชุด

“ที่ปรามไม่กินเหล้าเลย เพราะได้รับอิทธิพลจากปริมนี่เอง”

“ไม่ใช่หรอก พี่ปรามไม่ทานเหล้า เพราะว่าต้องการเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับฉันน่ะ เพราะหากพี่ปรามยังกินอยู่ พี่ปรามห้ามไม่ให้ฉันกินเหล้า ฉันคงไม่เชื่อหรอกนะ เหมือนครูอาจารย์ที่ยังกินเหล้าอยู่ไง ห้ามนักเรียน มันก็ดูไม่มีน้ำหนัก เพราะครูอาจารย์เองก็ยังทำไม่ได้เลย จริงไหม” เธออธิบายอย่างเป็นหลักการ

ปฏิการได้แต่ยิ้มแหย ๆ แทนคำตอบ

“แล้วนายไม่อยากกินเหล้าแล้วหรอ”

“อยาก…” เขาทิ้งเสียงหายลงไปในลำคอ

“แต่…อยากเป็นเพื่อนกับปริมมากกว่า”

แล้วหันมามองคนที่นั่งข้าง ๆ
“ฉันก็จำได้เสมอว่า ฉันสัญญากับเธอเอาไว้ ว่าจะเลิกกินเหล้า สูบบุหรี่ และเที่ยวเตร่เกเรเสเพล”

“จริง ๆ นายไม่จำเป็นต้องทำตามสัญญาก็ได้” เธอมองจันทร์เสี้ยวที่คืนนี้มีดาวศุกร์เป็นเพื่อนอยู่ใกล้ ๆ ส่องแสงสว่างเจิดจ้า

“ไม่นะ ถ้าฉันสัญญาอะไรกับใครแล้ว จะต้องทำให้ได้เสมอ ที่สำคัญ…” เขาเงียบลงชั่วอึดใจก่อนที่จะพูดต่อไป

“ฉันอยากเป็นเพื่อนกับเธอนะ ปริม”

ประโยคสุดท้ายเน้นเสียงชัดเจน

ความรู้สึกหวิวไหวในหัวใจวิ่งแทรกเข้ามาผ่านจากคำพูดทุกถ้อยคำของเขา ปริมรีบกลบเกลื่อนด้วยเสียงห้วน ๆ อย่างเคย ก่อนที่เขาจะจับความรู้สึกในใจของเธอได้

“ทำไม”

“เพราะเธอทำให้ฉันมีแรงฮึดที่อยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง”

“ไม่เห็นเกี่ยวกันเลย”

“ฉันไม่รู้…รู้แต่…อยากทำเพื่อเธอนะ ปริม”

แวบหนึ่งที่ความรู้สึกแปลก ๆ วิ่งผ่านเข้ามาในหัวสมองของเธออีกแล้ว พยายามมีสติตื่นเต็มฟังเขาพูดอย่างเป็นกลางที่สุด แต่หัวใจก็ยังอดปลื้มไม่ได้ เมื่อมีคน ๆ หนึ่งเข้ามาให้ค่าให้ความสำคัญกับเธอ

“ทำเพื่อตัวเองเถอะ ไม่ต้องทำเพื่อฉันหรอก สิ่งที่ฉันบอกนายก็คือสิ่งที่ดีสำหรับตัวนายเอง” เสียงห้วน ๆ ลดดีกรีลงอย่างไม่ได้ตั้งใจ เธอรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงไปในพฤติกรรมของชายหนุ่มจากคำบอกเล่าของพี่ชาย และจากสายตาของตัวเอง

“ปริม…ฉันมีอะไรจะให้เธอดู” เขาขยับตัวเข้ามาใกล้เธออีกนิด หยิบกระดาษสีขาวจากกระเป๋าเสื้อออกมาคลี่
“ผ่านมา 1 ปีกว่าแล้วนะ ที่ฉันพยายามทำตามสัญญา และนี่คือหลักฐานที่ฉันจะเอามาให้เธอดู” เขาเปิดไฟฉายขึ้นส่องแสงลงบนกระดาษขาว แล้วส่งแผ่นกระดาษสีขาวอีกใบให้เธอ
“ที่เธอถืออยู่คือผลการเรียนของฉันปีก่อน ส่วนในมือฉันคือผลการเรียนล่าสุดนะ”

ปริมใช้สายตาไล่ตัวอักษรแต่ละวิชาเทียบกันระหว่างปีก่อนกับปีที่ผ่านมา ผลการเรียนของเขาดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ บางวิชาเขาเรียนได้เกรดดีกว่าเธอเสียอีก

“นายเรียนได้ดีขึ้นมาก ๆ เลยนะ ตั้งใจเรียนก็เรียนได้ดีนี่”

เขายิ้มบานเมื่อได้รับคำชมเป็นครั้งแรก ที่สำคัญมีโอกาสได้นั่งใกล้ชิดกับเธอขนาดนี้ ได้มองเธอใกล้ ๆ รู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก

แสงสีขาววิ่งตัดผ่านท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มพุ่งหลาวลงสู่พื้นเบื้องล่าง
“ปริม…ดาวตกอธิษฐานสิ”
เขาและเธอต่างหลับตาอธิษฐานอยู่ครู่หนึ่ง

“อธิษฐานว่าไงหรอปริม บอกได้ไหม”
“นายล่ะ” เธอหันหน้ามาย้อนถาม
“ฉันถามก่อนนะ” หนุ่มผมยาวขมวดคิ้วย่น ทำเสียงเครียด
“นายก็บอกก่อนดิ” เธอก็ไม่ยอมเหมือนกัน

“ไม่บอก”

“ก็ไม่ต้องบอก ไม่เห็นจะอยากรู้เลย โธ่…!!” ปริมเบะปาก

ปฏิการยิ้มที่เห็นเธอดูเป็นกันเองกับเขามากขึ้นอีกนิด เขาพยายามชวนเธอพูดคุย เพื่อจะได้มีโอกาสอยู่กับเธอให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้

=================



ริเศรษฐ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 มี.ค. 2556, 23:58:19 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 มี.ค. 2556, 00:00:11 น.

จำนวนการเข้าชม : 1364





<< ตอนที่3   ตอนที่5 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account