นางบำเรอตีทะเบียน By อัญจรี น้ำจันทร์
คำโปรยหน้า
บุพเพฤาชะตา ที่นำพามาพบเจอ
หน้าที่เมียบำเรอ เขาให้เธอจำขึ้นใจ
ฉากหน้าแสนโสภา ภรรยานิตินัย
ฉากหลังนั่งร้องไห้...นางบำเรอตีทะเบียน
คำโปรยหลัง
เมื่อความรักที่มีไม่ได้รับความเห็นชอบจากมารดาที่รัก
วาโย จึงต้องหาใครสักคนมาแก้แค้นผู้เป็นมารดาให้สมกับที่ท่านกีดกันเขาและสาวคนรักออกจากกัน
ละอองดาว คือผู้หญิงที่เหมาะสมที่สุดในเวลานั้น เพราะหล่อนไม่ใช่ไฮโซ ไม่ใช่ลูกผู้ลาภมากดี
หล่อนเป็นเพียงแค่ โสเภณี ที่เขาบังเอิญถูกชะตา
วาโยไม่รอช้าจดทะเบียนตีตรากับหล่อนเพื่อประชดมารดาในทันที
โดยหารู้ไม่ว่าแม่โสเภณีที่เขาซื้อมาหล่อนยังไร้ ราคี!
สามปีให้หลังเมื่อสัญญานางบำเรอสิ้นสุดลง ละอองดาวดิ้นรนเพื่อให้หลุดพ้นจากพันธะสัญญาที่ไร้รัก
แต่ทว่าสามีผู้หลงใหลในเรือนร่างคุณภรรยา กลับไม่ยอมหย่าให้!
เวลาต่อมา
เมื่อสตรีที่วาโยรักนักรักหนากำลังจะดับดิ้นสิ้นลมหายใจ เขาจึงอยากจะได้ใบหย่าไปให้สาวเจ้าชื่นชม
แต่ทว่า ตอนที่เธออยากหย่าเขาไม่ยอมหย่าให้ ตอนนี้ก็อย่าหวังเลยว่าเขาจะได้มันไป เช่นกัน!
ความเจ็บปวดใดๆ ที่สามีเคยทำไว้กับภรรยา นาทีนี้ก็เตรียมตัวรับความเจ็บปวดเช่นนั้นกลับไป สองเท่าตัว!
ชื่อเดิม โสเภณีตีทะเบียน -> คมทันฑ์สิเน่หา -> มาจบที่ นางบำเรอตีทะเบียน ค่า
สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย ห้ามมิให้ผู้ใดทำซ้ำหรือดัดแปลงแก้ไข ใครอุบอิบเอาของเขาขอให้แฟนทิ้งแฟนมีหญิงใหม่ สาธุ ^/\^
เตรียมใจตั้งแต่เนิ่นๆ นิยายอัพถึงบทที่ 15 นะคะ อาจจะแถมให้ถึง 16 ถ้าคนอ่านช่วยกระหน่ำไลค์ แต่เรื่องอัพจบคงไม่อัพจบค่าเพราะนิยายเรื่องนี้อัพมาหลายรอบแล้ว แต่ก็ขอบคุณนะคะที่ยังให้กำลังใจกันด้วยดี ป,ล ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยจร้า นักเขียนตัวน้อยยังด้อยประสพการณ์ ^/\^
บุพเพฤาชะตา ที่นำพามาพบเจอ
หน้าที่เมียบำเรอ เขาให้เธอจำขึ้นใจ
ฉากหน้าแสนโสภา ภรรยานิตินัย
ฉากหลังนั่งร้องไห้...นางบำเรอตีทะเบียน
คำโปรยหลัง
เมื่อความรักที่มีไม่ได้รับความเห็นชอบจากมารดาที่รัก
วาโย จึงต้องหาใครสักคนมาแก้แค้นผู้เป็นมารดาให้สมกับที่ท่านกีดกันเขาและสาวคนรักออกจากกัน
ละอองดาว คือผู้หญิงที่เหมาะสมที่สุดในเวลานั้น เพราะหล่อนไม่ใช่ไฮโซ ไม่ใช่ลูกผู้ลาภมากดี
หล่อนเป็นเพียงแค่ โสเภณี ที่เขาบังเอิญถูกชะตา
วาโยไม่รอช้าจดทะเบียนตีตรากับหล่อนเพื่อประชดมารดาในทันที
โดยหารู้ไม่ว่าแม่โสเภณีที่เขาซื้อมาหล่อนยังไร้ ราคี!
สามปีให้หลังเมื่อสัญญานางบำเรอสิ้นสุดลง ละอองดาวดิ้นรนเพื่อให้หลุดพ้นจากพันธะสัญญาที่ไร้รัก
แต่ทว่าสามีผู้หลงใหลในเรือนร่างคุณภรรยา กลับไม่ยอมหย่าให้!
เวลาต่อมา
เมื่อสตรีที่วาโยรักนักรักหนากำลังจะดับดิ้นสิ้นลมหายใจ เขาจึงอยากจะได้ใบหย่าไปให้สาวเจ้าชื่นชม
แต่ทว่า ตอนที่เธออยากหย่าเขาไม่ยอมหย่าให้ ตอนนี้ก็อย่าหวังเลยว่าเขาจะได้มันไป เช่นกัน!
ความเจ็บปวดใดๆ ที่สามีเคยทำไว้กับภรรยา นาทีนี้ก็เตรียมตัวรับความเจ็บปวดเช่นนั้นกลับไป สองเท่าตัว!
ชื่อเดิม โสเภณีตีทะเบียน -> คมทันฑ์สิเน่หา -> มาจบที่ นางบำเรอตีทะเบียน ค่า
สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย ห้ามมิให้ผู้ใดทำซ้ำหรือดัดแปลงแก้ไข ใครอุบอิบเอาของเขาขอให้แฟนทิ้งแฟนมีหญิงใหม่ สาธุ ^/\^
เตรียมใจตั้งแต่เนิ่นๆ นิยายอัพถึงบทที่ 15 นะคะ อาจจะแถมให้ถึง 16 ถ้าคนอ่านช่วยกระหน่ำไลค์ แต่เรื่องอัพจบคงไม่อัพจบค่าเพราะนิยายเรื่องนี้อัพมาหลายรอบแล้ว แต่ก็ขอบคุณนะคะที่ยังให้กำลังใจกันด้วยดี ป,ล ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยจร้า นักเขียนตัวน้อยยังด้อยประสพการณ์ ^/\^
Tags: ตีพิมพ์สำนักพิมพ์ธราธร
ตอน: บทที่ 6 ลูกสะใภ้ข้า! อย่าแตะ 100%
ขอบคุณทุกไลค์จร้า นางบำเรอตีทะเบียน (ใครจองบุหงาราคีแต่ไม่จองนางบำเรอตีทะเบียน ขอบอกว่าท่านอย่าเสียใจทีหลังน้าาาา เรื่องนี้มันส์
พะยะค่ะ )
ละอองดาวนั่งมองอาหารในจานมากกว่าที่จะกินมัน มื้อเย็นของเธอคงงอนเธอแล้วล่ะที่ไม่กลืนมันลงท้องเสียที สิบนาทีที่แล้วสามีทางพฤตินัยเข้ามาไถ่ถามอาการอีกหนแล้วกลับออกไปอีกครั้ง เธอไม่ได้เหนี่ยวรั้งให้เขาอยู่ แม้รู้ว่าเขากำลังจะไปที่ใดก็ตาม บางครั้งเธอก็อยากไปเผชิญหน้ากับวีนุตตรา เธอไม่อยากเชื่อว่าคนที่สวยคมขำเช่นวีนุตตราจะป่วยเป็นไข้ร้ายแรงจนนอนแบ็บอยู่ในโรงพยาบาลเช่นนี้ บางทีเจ้าหล่อนอาจจะแสร้งเล่นละครเพื่อจะได้รั้งวาโยให้อยู่กับตัวนานๆ
“ไม่หรอกน่า วีนุตตราจะรั้งสามีเธอทำไม ในเมื่อวาโยไม่เคยตีจากเจ้าหล่อนสักที”
ละอองดาวเอ่ยแย้งเสียงที่กำลังโต้กับเธอในมโนจิต เธอคิดดีแล้วว่าต้องหาทางไปพูดคุยกับวีนุตตราให้ได้สักหน และสักหนที่ว่านั้นควรจะเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ความเงียบของห้องผู้ป่วยถูกรบกวนอีกครั้งด้วยเสียงของนางวิภา แม่สามีที่ไม่เคยชอบหน้าลูกสะใภ้กลับมาเยี่ยมละอองดาวอีกครั้งหลังจากกลับไปไม่กี่ชั่วโมง คราวนี้นางมีกับข้าวใส่ปิ่นโตมาด้วย
“สามีไม่อยู่กลืนข้าวไม่ลงหรือยะแม่ดาว” แม่สามีค่อนแคะตามนิสัย ปกตินางจะจีบปากจีบคอประชดประชันจนสะใจโน่นล่ะถึงจะนอนหลับ ถ้าวันไหนไม่ได้ปะทะฝีปากกับลูกสะใภ้นางก็เหมือนขาดอะไรไปมันจะหงุดหงิดกินไม่ได้ทีเดียวเชียว
“คุณแม่...มาทำไมอีกคะ” ละอองดาวเอ่ยถามอย่างงงๆ นางวิภากลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วกลับมาหาเธออีกครั้ง
พยาบาลเฝ้าไข้แจ้งแก่ละอองดาวว่าจะกลับมาอีกทีเมื่อเธอจะเข้านอน เจ้าหล่อนสั่งว่าให้ละอองดาวทานยาหลังอาหารด้วยห้ามลืม
“ขอบคุณนะคะคุณพยาบาล” แม่สามีขอบอกขอบใจพยาบาลเฝ้าไข้ที่คอยดูแลลูกสะใภ้มาตลอดครึ่งวันนี้ ถ้าปกติคนที่เป็นสามีควรจะมาดูแลหล่อนมากกว่า
“ไม่เป็นไรค่ะมันเป็นหน้าที่ของอิฉัน ขอตัวนะคะ”
พยาบาลสาวร่างอวบเดินหายออกประตูไป นางวิภาวางกระเป๋ายี่ห้อหรูลงบนโซฟาที่นางพยาบาลเฝ้าไข้นั่งอยู่เมื่อไม่กี่นาทีที่แล้ว ก่อนจะนำปิ่นโตอาหารไปจัดลงจานอย่างคล่องแคล่วไม่มีหลงเหลือมาดคุณนายสักนิด พริบตาเดียวอาหารสามสี่อย่างก็มาวางแทนที่อาหารของโรงพยาบาลที่ละอองดาวเอาแต่นั่งจ้องมัน มิหนำซ้ำนางยังถือวิสาสะปีนขึ้นไปนั่งบนเตียงคนไข้ตรงข้ามกับคนป่วย ละอองดาวรีบกระเถิบท่อนขาเบี่ยงไปโดยเร็วก่อนที่แม่สามีจะนั่งทับ
“ฉันไม่นั่งทับขาหล่อนหรอกย่ะ ตาฉันยังดีอยู่ เลี้ยงหลานสิบคนยังไหว” นางวิภาออกตัว
“โธ่ คุณแม่ก็ ดาวแค่กลัวคุณแม่นั่งไม่สบาย แล้วนี่...คุณแม่จะทานข้าวกับดาวหรือคะ?”
ละอองดาวถามเมื่อเห็นจานข้าวอีกใบในสำรับ
“อ้าว! ฉันเป็นคนเอามาฉันก็จะกินนะสิ หล่อนอย่าถามมากฉันอุตส่าห์หิ้วขึ้นแท็กซี่มานะเนี่ย”
ละอองดาวตื้นตันจนน้ำตาคลอ สามปีที่ผ่านมาเธอไม่ค่อยได้ร่วมโต๊ะกับนางวิภาด้วยซ้ำ เธอจะรับประทานอาหารที่เรือนไม้หอมซึ่งเด็กรับใช้จะยกมาให้ตลอด แต่นาทีนี้แม่สามีกลับนำอาหารมาให้พร้อมกับยืนยันว่าจะร่วมรับประทานอาหารกับเธอ...น่าปลื้มใจแทนลูกในท้องจริงๆ เธอขอเหมาเอาว่าสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นนี้เป็นผลพวงของชีวิตน้อยๆ ที่กำลังจะเกิดมา อย่างน้อยคนเป็นย่าก็ยังเอ็นดูยัยหนูหรือตาหนูของเธอ แม้ว่าพ่อของแกจะไม่รักใคร่ใยดีก็ตาม
“ทานสิยะ มาทำหน้าละห้อยอยู่ได้ฉันไม่เจริญอาหารพอดี”
นางวิภานั่งพับเพียบบนเตียงแคบๆ อย่างน่าเอ็นดูในความรู้สึกของละอองดาว เธอรู้ว่าแม่สามีทำเช่นนี้เพราะรู้แก่ใจว่าบุตรชายจะไม่อยู่ดูแลลูกสะใภ้ นางพยายามหาสิ่งมาทดแทนความอ้างว้างเปลี่ยวเหงาที่เกิดขึ้นในใจของเธอนั่นเอง
“ค่ะๆ คุณแม่ก็..ทาน เยอะๆ นะคะ” ละอองดาวรีบปาดน้ำตาที่หลั่งมาเมื่อใดมิอาจรู้ แล้วเริ่มรับประทานอาหารมื้อที่อร่อยที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้
“แกงอะไรคะคุณแม่ อร่อยดี” ละอองดาวตาโตรีบชมอาหารที่ตนเพิ่งตักเข้าปาก นางวิภายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ก่อนเอ่ยว่า
“บ้านนอกจริงๆ หล่อนนี่ แกงหัวปลีไม่รู้จักหรือยะ คนท้องคนไส้กินแล้วน้ำนมดีนัก หล่อนก็ทานเข้าไปเยอะๆ แล้วกัน ฉันอุตส่าห์ให้พี่เจรียงสอนทำนะเนี่ย” แม่สามีหลุดปากเผยความลับ ละอองดาวเงยหน้าจากจานข้าวขึ้นมามองด้วยความสงสัยใคร่รู้แต่นางก็ทำทีเป็นว่าไม่รู้ไม่ชี้ประหนึ่งว่าประโยคท้ายๆ นางไม่ได้เอ่ยออกมา
“คุณแม่ทำเองหรือคะ” ลูกสะใภ้ถามออกไปใจก็เต้นโครมคราม แม่สามีที่ว่าร้ายๆ ก็มีมุมน่ารักเหมือนกันนะเนี่ย
นางวิภาทำเสียงจิ๊จ๊ะอย่างขัดใจก่อนจะเอ่ยปรามลูกสะใภ้ว่า
“กินๆ ไปเถอะน่าใครทำก็เหมือนกันแหละ หล่อนจะซักอะไรนักหนายะ เอ้านี่ผัดฟักทองของโปรดหล่อน..พี่เจรียงบอกมานะฉันจำไม่ได้หรอกย่ะว่าหล่อนชอบกินอะไร”
นางวิภารีบออกตัวทั้งๆ ที่ไม่เป็นความจริง ละอองดาวรู้ทันหล่อนได้แต่อมยิ้มให้กับจานข้าวตรงหน้าก่อนจะรีบกินกับข้าวกับปลาที่นางวิภาตักส่งให้
“นี่ก็แกงเลียงกินเยอะๆ ลูกจะได้แข็งแรง” นางวิภายังตักกับข้าวให้ลูกสะใภ้ไปเรื่อยๆ จนลืมจานข้าวตัวเองไปแล้วนางมัวแต่ปลื้มใจที่เห็นคนป่วยรับประทานอาหารฝีมือตนเองด้วยความเอร็ดอร่อย
“คุณแม่ก็ทานบ้างสิคะ ตักให้ดาวกินคนเดียวเดี๋ยวก็ไม่มีแรงอุ้มหลานหรอก” ละอองดาวเอ่ยขึ้นนางวิภาเบะปากเล็กน้อยก่อนจะจีบปากจีบคอโต้กลับไป
“ร้อยปียังน้อยย่ะแม่ดาว ฉันยังแข็งแรงด่าหล่อนน้ำไหลไฟดับได้วันล่ะสามเวลา อย่าว่าแต่อุ้มหลานเลย หล่อนจะมีลูกแฝดให้ฉันอุ้มพร้อมกันสองคนฉันก็ยังไหวย่ะ”
ละอองดาวหัวเราะคิกๆ กับการไม่ยอมคนของแม่สามี เอาเป็นว่ารอบนี้แม่สามีชนะไปตามระเบียบ เธอจะไม่ขอออกความเห็นใดๆ จะตั้งหน้าตั้งตารับประทานอาหารค่ำอย่างเดียวก็แล้วกัน
มื้อค่ำที่แสนเอร็ดอร่อยผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง กระนั้นริมฝีปากน้อยๆ ของละอองดาวก็ยังมิได้เว้นว่าง หล่อนยังเคี้ยวผลไม้คำโตที่นางวิภานั่งปอกนั่งหั่นให้ไม่ยอมหมดเสียที
“คุณแม่คะ ท้องดาวจะแตกแล้วค่ะ”
“อะไรกันแม่คนนี้ กินเข้าไปนิดเดียวเองทำเป็นบ่นไปได้”
นางวิภาที่ตอนนี้นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียงเปรยอย่างงอนๆ มือซ้ายนั้นยังครอบครองผลแอปเปิลที่ยังปอกเปลือกไม่เสร็จ ส่วนมือขวาถือมีดเล็กๆ ไว้มั่น
“ดาวจุกแล้วอ่า คุณแม่ทานเถอะค่ะ กินเยอะๆ ดาวจะอ้วก”
ละอองดาวบอกตามจริง เธอคงได้อาเจียนแน่ๆ หากว่าแม่สามียังคะยั้นคะยอให้เธอรับประทานไม่เลิก ขนาดมื้อค่ำเธอก็ทานไปมากกว่าปกติแล้วเพื่อเอาใจนางนั่นล่ะ
“เฮ้อ!...ก็ได้ๆ แล้วหล่อนง่วงหรือยังล่ะยะ” นางวิภาถาม
“โธ่ คุณแม่ก็ใจคอจะให้ดาวกินแล้วก็นอนอย่างเดียวใช่ไหมคะ อย่างนี้ดาวก็อ้วนพอดี” หล่อนยิ้มแหยๆ ส่งให้มารดาของสามี นานๆ ทีจะได้พูดคุยดีๆ คุณนายวิภาบ้างรู้สึกดีจริงๆ
“ย่ะ แม่คนกลัวไม่สวย อย่างหล่อนน่ะอ้วนกว่านี้สักสิบกิโลฯ ฉันยังว่าผอมแห้งอยู่ดี สมัยฉันสาวๆ นี่อวบอึ๋มเชียวนะจะบอกให้ หนุ่มๆ นี่ติดกันเกรียวหัวกระไดบ้านไม่เคยแห้งเชียวล่ะ” นางวิภาคุยโวโอ้อวดเรื่องราวที่นางออกจะภูมิใจอยู่ลึกๆ นางเป็นคนสวยคนหนึ่งในแวดวงสังคมไฮโซในขณะนั้นเลยก็ว่าได้
ละอองดาวยิ้มให้เมื่อเห็นแม่สามีพูดพลางยิ้มพลางอย่างมีความสุข ความจริงเธอไม่เคยเห็นนางวิภายิ้มได้อย่างนี้มานานมากแล้ว อาจจะตั้งแต่ที่เธอแต่งงานกับบุตรชายของนางเลยก็ว่าได้
“เออ...แล้วตาโยว่ายังไงล่ะเรื่องใบหย่านั่นน่ะ”
หญิงสาวหน้าเจื่อนลงไปทันทีที่ถูกถาม เธอยังไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องนี้ ไม่ใช่เพราะยังหาคำตอบให้นางวิภาไม่ได้ แต่เพราะเธอปวดใจที่จนแล้วจนรอดเขาก็ยังต้องการหย่า
“ก็...ก็คงต้องหย่ากระมังคะ แต่ดาวคิดว่าดาวจะไม่หย่าให้คุณโยง่ายๆ หรอกค่ะ อย่างน้อยคุณโยต้องให้อะไรดาวบ้าง ดาวไม่กลัวลำบากหรอกค่ะถ้าดาวยังตัวเปล่าเล่าเปลือย”
นางวิภาพยักหน้าเข้าใจ นางยกจานผลไม้ไปวางบนโต๊ะข้างเตียงก่อนจะกลับมาเอ่ยต่อ
“คิดได้อย่างนั้นก็ดี แล้วถ้าตาโยเอาเรื่องสัญญามาอ้างล่ะ”
“คุณโยก็ผิดสัญญาเหมือนกันเพราะมันเลยกำหนดที่ต้องหย่าให้ดาวมานานแล้ว และถ้าเขาอยากหย่าตอนนี้ ดาวจะให้เขาฟ้องหย่าเอาเอง”
ละอองดาวตอบไม่เต็มเสียงนักเพราะอย่างน้อยๆ คนที่เธอเอ่ยถึงก็เป็นบุตรชายของสตรีสูงวัยที่นั่งอยู่ข้างเตียงเธอในขณะนี้
“ให้มันได้อย่างนี้สิแม่ดาว อย่าไปยอมอะไรง่ายๆ แล้วนี่ตาโยรู้หรือยังว่าหล่อนตั้งท้อง”
“คิดว่าทราบแล้วค่ะ แต่ว่าคุณโยก็ยังยืนยันว่าจะหย่าอยู่ดี ดาวก็ไม่รู้จะทำยังไง เอาไว้จะลองคุยกับคุณโยอีกทีค่ะ”
แม่สามีที่ผันตัวเองมาเชียร์ลูกสะใภ้ถอนหายใจกับปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างหาทางออกมิได้ นางคงไม่มีปัญญาไปห้ามปรามหากว่าบุตรชายต้องการหย่า คงทำได้เพียงคอยหนุนละอองดาวมิให้หล่อนยอมหย่าโดยง่ายเท่านั้น
“แม่นุตก็กระไร ทำไมจะมาอยากแต่งงานเอาตอนนี้ก็ไม่รู้” ละอองดาวเงยหน้าจากการจ้องมองฝ่ามือตัวเองไปจดจ้องนางวิภาอีกครั้ง ชื่อเล่นของวีนุตตราเรียกความสนใจของเธอได้มากมายเหลือเกิน
“คุณนุตกับคุณโยรักกันนะคะคุณแม่” ละอองดาวเอ่ยถึงความจริงในข้อนี้เลยถูกนางวิภาแดกดันกลับมา
“หล่อนก็หย่าเสียสิ เขาจะได้ไปตบแต่งอยู่กินกัน ส่วนหล่อนก็ตั้งหน้าตั้งตาหาเงินเลี้ยงลูกไปเถอะย่ะ”
ลูกสะใภ้เงียบเสียงลงในบัดดลเมื่อถูกวาจาของนางวิภาจี้ตรงหัวใจในจุดที่มืดมิดพอสมควร จะว่าเธอใจดำเธอก็ยอมล่ะหากว่าจะทำให้ได้ในสิ่งที่ปรารถนา ในเมื่อสามีไม่เคยมอบความรักดังเช่นสามีภรรยาพึงมีต่อกันมาให้ เธอก็จะไม่ขวนขวายแต่จะตักตวงเอาสิ่งที่ควรจะเป็นของเธอในตำแหน่งภรรยาที่ค้ำคออยู่นี้ เธอจะเรียกร้องจากเขาชนิดที่ว่าชาตินี้ไม่ต้องทำมาหาเลี้ยงชีพก็สามารถมีกินจนเหลือรับประทานทีเดียว
สตรีสองนางนั่งสนทนาไปเรื่อยเปื่อยในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องข้างต้น กระทั่งนางพยาบาลเฝ้าไข้คนเดิมกลับเข้ามาและตรวจวัดไข้ละอองดาวอีกเล็กน้อยแล้วให้หล่อนนอนพัก
หลายชั่วโมงผ่านไป เมื่อฤทธิ์ยาแก้ไข้จางหาย ละอองดาวก็ตื่นขึ้นมากลางดึกราวๆ ห้าทุ่ม เป็นเวลาเดียวกับที่มีพยาบาลเฝ้าไข้อีกคนมาเปลี่ยนกะพอดี หล่อนลุกขึ้นเมื่อเห็นพยาบาลอีกคนเดินเข้ามาในห้อง
“อิฉันมีธุระด่วนค่ะ เลยให้พยาบาลอีกคนมาเปลี่ยน คุณจะว่าอะไรไหมคะ” นางพยาบาลร่างท้วมเอ่ยอย่างเกรงใจ เจ้าหล่อนมีท่าทางร้อนรนจนปิดไม่มิด
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ตามสบาย” ละอองดาวมีน้ำใจด้วยการบอกกล่าวให้เจ้าหล่อนสบายใจ และยังสั่งด้วยว่าไม่ต้องเฝ้าไข้เธอแล้ว ถ้ามีธุระก็ให้ไปจัดการ เธอคิดว่าพรุ่งนี้เช้าก็จะขอคุณหมอกลับบ้านแล้วล่ะ
“คุณไม่เป็นไรแน่นะคะ สามีคุณย้ำว่าให้ดูแลคุณให้ดี ฉันเลยเกรงว่า...”
ละอองดาวเห็นท่าทีนางพยาบาลกังวลปนเกรงใจเลยรีบออกตัวไปว่า
“ไว้ฉันจะบอกเขาเอง พวกคุณรีบไปเถอะค่ะ ฉันอยู่ได้” ละอองดาวยิ้มให้อีกครั้ง และนางพยาบาลก็ยิ้มรับก่อนจะกล่าวขอบคุณเบาๆ แล้วก้าวออกไปพร้อมกัน ความจริงละอองดาวคิดว่าตนเองมิได้เป็นอะไรมาก ทำไมวาโยต้องให้พยาบาลมาเฝ้าไข้ด้วยก็ไม่รู้
หญิงสาวถอนหายใจอย่างปลงๆ เมื่อคิดถึงวาโย ป่านนี้เขาคงจะอยู่กับวีนุตตราคนรักของเขากระมัง และคงคอยเอาใจใส่ดูแลในยามที่เจ้าหล่อนป่วยไข้ น่าอิจฉาวีนุตตราเหลือเกิน สองมือดึงผ้าห่มขึ้นมาชิดอกแล้วหันตะแคงร่างไปอีกทางด้วยหวังว่าการเปลี่ยนท่าจะทำให้หล่อนนอนหลับได้ดีขึ้น ทว่า พอสองหน่วยตาแลเห็นร่างที่นอนขดอยู่บนโซฟาก็ต้องอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ
“คุณแม่...”
ละอองดาวเปล่งเสียงอุทานแต่ไม่ดังมากนัก เธอลองเรียกแม่สามีอีกสองสามครั้ง เมื่อนางยังไม่ตื่นเธอก็ต้องหาตัวช่วย มือเรียวเปิดลิ้นชักตรงตัวเตียงเพื่อหาโทรศัพท์มือถือ เมื่อเจอก็ลองต่อสายไปหาสามีเผื่อว่าเขายังไม่กลับบ้านจะได้ให้แวะมารับมารดาเขากลับไปด้วย
เสียงรอสายดังอยู่ชั่วครู่ก่อนจะมีคนรับ ทว่ามิใช่คนที่เธอโทรหาแต่ว่าเป็น...
‘ตอนนี้พี่โยไม่ว่างคุยด้วย แค่นี้นะ’
ปลายสายส่งน้ำเสียงห้วนสั้นไม่มีหางเสียงโต้ตอบออกมาก่อน และพอเอ่ยจบก็ตัดสายทิ้งอย่างเสียมารยาท ละอองดาวเอาโทรศัพท์ที่แนบหูอยู่ออกมาเพ่งดูราวกับมันเป็นสัตว์ประหลาดนอกโลก นี่เบอร์สามีเธอนี่นาเธอจำได้ แถมปลายสายยังบอกอีกว่าพี่โยไม่ว่าง เสียงนั่นไม่มีแววของคนเจ็บไข้ได้ป่วยเลยแม้แต่น้อย หรือว่าเขาจะอยู่กับผู้หญิงคนอื่นที่มิใช่วีนุตตรา
ว่าที่คุณแม่ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะต่อสายอีกครั้ง คราวนี้เป็นเสียงของผู้หญิงเช่นกัน ทว่า ไม่ใช่คนเดิม
‘สวัสดีค่ะ โยเข้าห้องน้ำอยู่ เดี๋ยวอิฉันจะบอกให้โทรกลับนะคะ’ เสียงค่อนข้างแหบเบาเอ่ยมาตามสาย เธอเงี่ยหูฟังจนเจ้าหล่อนเอ่ยจบประโยคแล้วก็นึกเคืองสามีอยู่ลึกๆ เขาจะมีผู้หญิงเป็นร้อยเป็นพันเธอไม่ว่า แต่ทำไมต้องให้ผู้หญิงเหล่านั้นมาแสดงตัวให้เธอรับรู้อยู่เรื่อย ที่ผ่านมายังไม่พอหรืออย่างไร
“ค่ะ รบกวนบอกสามีฉันด้วยว่า ภรรยา ที่บ้านโทรมา ขอบคุณนะคะ”
คราวนี้เป็นละอองดาวที่ชิงวางสาย หล่อนสะใจเล็กน้อยที่ได้เอาคืนฝ่ายโน้นด้วยการแสดงตัวว่าเป็นภรรยาของเขา โดยไม่รู้ตัวเลยว่าคำพูดดังกล่าวจะทำให้ตัวเองเดือดร้อน
อีกฝากของโรงพยาบาลซึ่งเป็นที่ตั้งของอาคารผู้ป่วยโรคมะเร็ง วีนุตตราจ้องมองโทรศัพท์ในมือด้วยใบหน้าซีดเผือด นิลอรเข้าไปคว้ามันออกมาจากมือบางของพี่สาวก่อนจะเอากลับไปวางบนโต๊ะตามเดิม
“อรบอกแล้วว่าอย่ารับ ยัยนั่นร้ายจะตายต้องอรนี่ถึงจะเอาอยู่ อย่างพี่นุตก็โดนหล่อนฉีกอกอยู่ร่ำไปนั่นแหละ”
น้องน้อยออกอาการเดือดร้อนแทนพี่ทั้งเบะปากและส่งสายตาดุกร้าวออกไปนอกหน้าต่างประหนึ่งว่าจะให้นัยน์ตาที่ฉายแววคาดโทษส่งถึงคนที่ถูกกล่าวถึง
“เขามีสิทธิ์ของเขานะอร อรนั่นแหละจะเดือดร้อนอะไรนักหนาฮึ พี่ยังไม่ได้เป็นอะไรซะหน่อย”
พี่สาวที่อาบน้ำร้อนมาก่อนเอ่ยติงท่าทีของน้องรัก แม้ว่าไม่ใช่พี่น้องคลานตามกันมาแต่เธอก็รักใคร่เอ็นดูนิลอรคนนี้ประหนึ่งน้องสาวร่วมสายเลือด เธอพอจะมองออกว่านิลอรหลงใหลวาโย เธอจะดีใจด้วยหากว่าวาโยรักเจ้าหล่อน แต่ในเมื่อมันไม่ใช่ เธอก็ไม่อยากให้น้องสาวหวังสูงเกินไป อย่างไรเสียวาโยก็แต่งงานแล้ว ไม่ใช่ชายโสดตัวเปล่าไร้พันธะ
นิลอรสะบัดแขนที่กอดอกอย่างขัดใจออกจากกัน ก่อนจะทรุดกายลงนั่งข้างเตียงด้วยใบหน้าบูดบึ้ง
“อรก็แค่...แค่ไม่อยากให้ใครมารังแกพี่สาวอร” นิลอรแก้ต่างกลบเกลื่อนความจริง เธอฉวยเอามือข้างหนึ่งของพี่สาวมาแนบแก้มสีน้ำผึ้งของตนเองด้วยอยากให้คนที่สูงวัยกว่านึกเอ็นดู
“พี่รู้จ้ะ น้องสาวของพี่น่ารักที่สุด พี่รู้ดี” นิลอรยิ้มกว้างก่อนจะเลื่อนมือไปโอบเอวคนป่วยหลวมๆ “อรกลับก่อนนะคะ พรุ่งนี้ต้องไปทำงานแต่เช้า”
“จ้าจ้ะ ให้พี่โยไปส่งไหมเดี๋ยวพี่บอกให้ นั่งแท็กซี่กลางคืนมันอันตราย”
นิลอรพยักหน้าเบาๆ ก่อนที่รอยยิ้มน้อยๆ จะผุดพรายที่มุมปากอย่างพออกพอใจ
“คุยอะไรกันอยู่จ๊ะสาวๆ” วาโยที่เดินออกมาจากห้องน้ำเอ่ยถามสองศรีพี่น้องที่เหมือนว่ากำลังสนทนาด้วยเรื่องบางอย่างอยู่
“เปล่าค่ะ แค่จะบอกให้โยช่วยไปส่งยัยอรที่บ้านที ดึกแล้วนั่งรถแท็กซี่คนเดียวมันอันตราย” วีนุตตราบอกกล่าวชายคนรัก วาโยรับคำแล้วเดินเข้าไปหาร่างที่นอนอยู่บนเตียง วันนี้เขาอยู่คุยกับหล่อนจนดึกเกินไปแล้ว
“ได้จ้ะ นุตรีบนอนนะคะคนดี เดี๋ยวพรุ่งนี้โยมาหาใหม่นะ” วีนุตตรายิ้มน้อยๆ รับคำอย่างเคยก่อนจะหลับตาพริ้มเมื่อคนรักจุมพิตพวงแก้มแห้งซีดเซียวทั้งสองข้าง
นิลอรมองภาพนั้นแล้วได้แต่เวทนาฝ่ายชายอยู่ลึกๆ วาโยคงมีความสุขกว่านี้หากว่าพวงแก้มทั้งสองจะเป็นพวงแก้มอิ่มเต็มตึงของเธอแทน
“ไปเร็วยัยอร มัวแต่ฝันหวานอะไรอยู่เนี่ย” วาโยล้อเลียนเมื่อเห็นน้องสาวของหญิงคนรักตาลอยชอบกล เจ้าหล่อนเหมือนตกอยู่ในภวังค์บางอย่าง และเขาก็ทำลายภวังค์นั้นจนย่อยยับ
“โธ่ พี่โยล่ะก็คนกำลังคิดอะไรเพลินๆ ชอบขัดใจอยู่เรื่อย” หญิงสาวทำหน้าบึ้งอย่างเด็กถูกขัดใจ พี่ชายที่ตนหลงใหลทำลายภวังค์สั้นๆ อันแสนสุขระหว่างเธอและเขาจนหมดสิ้น ดูเอาเถิดแม้แต่ในห้วงคำนึงสวรรค์ก็ยังกลั่นแกล้งเธอ
วีนุตตรามองตามร่างน้องสาวที่ฉวยกระเป๋าถือแล้วสะบัดก้นงอนๆ ออกไปจากห้อง ว่าโยหัวเราะอย่างเห็นเป็นเรื่องตลกกับกิริยาของสาวเจ้า เขากลับมาฝังรอยจูบบนหน้าผากวีนุตตราอีกครั้งเพื่ออำลาก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงแล้วเดินตามนิลอรออกจากห้องไป
เพียงชั่วอึดใจนางพยาบาลเฝ้าไข้ก็เข้ามาทำหน้าที่ วีนุตตราเลยถูกสั่งให้นอนพักผ่อนทั้งที่ไม่ง่วงสักนิด ตอนนี้คนที่เธอนึกห่วงใยมิใช่ชายคนรักอีกแล้ว แต่เป็นนิลอรต่างหาก จะเป็นเช่นไรหากวันข้างหน้าไม่มีเธอคอยปราม เธอกลัวเหลือเกินว่านิลอรจะทำผิดต่อวาโย น้องสาวคนนี้นิสัยขี้อ้อนน่ารักก็จริง แต่พอบทจะเอาแต่ใจ หล่อนก็โมโหร้ายจนน่ากลัวทีเดียว
สองหนุ่มสาวลงลิฟต์แล้วเดินมาถึงบริเวณลานจอดรถ ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือของวาโยก็ดังแทรกความเงียบขึ้นมา เขาหยิบมาดูก็พบว่าเป็นละอองดาว ทว่าพอจะกดรับสายนิลอรกลับแย่งมือถือเขาไปดื้อๆ
“อะไรเนี่ยยัยอร เอามือถือพี่มานะ เผื่อคุณดาวมีธุระ” วาโยบอกสาวน้อยที่เขารักเหมือนน้องสาว บางทีนิลอรก็ขี้เล่นเกินไปจนไม่รู้จักกาลเทศะ แต่จะโกรธเจ้าหล่อนก็ใช่ที่ในเมื่อครอบครัวที่หล่อหลอมเจ้าหล่อนขึ้นมาคือสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามิใช่บิดามารดา เขาโทษหล่อนในเรื่องนี้ไม่ได้
“ไม่ให้ เมื่อกี้ตอนที่พี่โยเข้าห้องน้ำ รู้หรือเปล่าว่าเธอโทรมาแล้วพี่นุตก็รับสาย อรไม่รู้ว่าคุยกันเรื่องอะไร แต่พี่นุตหน้าซีดไปหลายนาทีเลย” นิลอรได้ทีโยนขอนไม้ผุพังเข้ากองเพลิงหวังให้เปลวไฟร้อนแรงเผาไหม้แม่ละอองดาวให้ดับดิ้นสิ้นลมหายใจทีเดียว
“อะไรนะ ทำไมนุตไม่บอกพี่ล่ะ เมื่อกี้ก็ไม่เห็นจะบอกอะไรเลย” เขาท้วงตามที่เห็น วีนุตตรามิได้แสดงท่าทีมีพิรุธว่าหล่อนกำลังไม่สบายใจ หล่อนยังยิ้มให้ตอนเขาจูบราตรีสวัสดิ์ด้วยซ้ำ
นิลอรกดตัดสายที่โทรเข้ามาทิ้งไปก่อนจะชี้แจงเรื่องดังกล่าวให้ชายคนรักของพี่สาวทราบ
“โธ่ ก็พี่นุตรักพี่นี่นาจะกล้าพูดได้ยังไงเล่า อรว่าพี่โยช่วยปรามๆ คุณดาวเธอหน่อยก็ดีนะคะ พี่นุตอาจจะอยู่กับเราได้อีกไม่นาน อรไม่อยากให้เธอไม่สบายใจแล้วด่วนจากอรไป อรมีพี่สาวคนเดียวนะคะพี่โย ฮือ...”
แล้วนิลอรก็ปล่อยโฮลั่นลานจานจอดรถอันเงียบเชียบ วาโยจำต้องดึงเจ้าหล่อนมากอดปลอบเหมือนที่เขาทำกับวีนุตตรายามที่เจ้าหล่อนร้องไห้ เขาลูบหลังน้องสาวคนดีเบาๆ ค่อยๆ ปลอบโยนให้หล่อนคลายสะอื้น หารู้ไม่ว่าหญิงสาวที่ร้องระงมในอ้อมแขนกำลังคลี่ยิ้มแม้ว่าหน่วยตาทั้งสองจะคลอด้วยหยาดน้ำตา
“พอแล้วๆ ยัยขี้แย เดี๋ยวพี่จะจัดการเองน่า” วาโยผลักร่างสาวน้อยออกเมื่อพบว่าหน้าอกหน้าใจของเจ้าหล่อนสัมผัสกับแผ่นอกเขาแนบแน่นเกินไป อย่างไรเสียเขาก็เป็นผู้ชาย การสัมผัสเนื้อกายเพศตรงข้ามในระยะมากกว่าประชิดเช่นนี้ก็ทำให้เขาหนาวๆ ร้อนๆ ได้เหมือนกัน
ไฟร้อนๆ ในร่างของวาโยถูกดับให้มอดลงชั่วระยะด้วยเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือ เขาขอมันคืนจากนิลอรซึ่งเจ้าหล่อนก็ยื่นให้แต่โดยดี
“ไปขึ้นรถเถอะ พี่จะแวะไปหาคุณดาวก่อนกลับ” วาโยเอ่ยด้วยเสียงเรียบเฉย แต่นิลอรรู้ดีว่าเสียงอย่างนี้คนที่ถูกเอ่ยถึงเตรียมตัวรองรับพายุอารมณ์ของวาโยลูกนี้ได้เลย
ละอองดาววางโทรศัพท์ลงในลิ้นชักเช่นเดิม สงสัยว่าวาโยจะยุ่งจึงไม่สามารถรับโทรศัพท์เธอได้ ว่าที่คุณแม่ค่อยๆ ก้าวลงจากเตียงเพื่อจะนำผ้าห่มผืนเดียวที่มีไปคลุมร่างให้แม่สามี เธอกดหรี่แอร์ด้วยรีโมตซึ่งวางอยู่ข้างจอโทรทัศน์ ก่อนจะเดินเข้าห้องครัวเล็กๆ ที่มีเพียงตู้เย็นกับชั้นวางถ้วยชามและแก้วน้ำ เธอเปิดตู้เย็นเพื่อหานมมาดื่มสักแก้ว โชคดีที่มีนมสดขวดใหญ่อยู่นั้น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นมารดาของสามีเธอนั่นล่ะหอบหิ้วมาให้ บางทีอาจจะเป็นตอนกลางวันที่นางมาเยี่ยม และเธอยังหลับอยู่ก็เป็นได้
“อืม...อร่อยจังเลยเนาะ” ละอองดาวเอ่ยเบาๆ กับลูกน้อยในครรภ์ เธอเทนมมาดื่มอีกแก้วแล้วค่อยวางแก้วเปล่าลงในอ้างล้างจานเล็กๆ กะว่าจะเข้าห้องน้ำก่อนจะเข้านอนอีกรอบ ทว่าพอเดินออกมาจากมุมห้องครัวประตูห้องก็ถูกเปิดเข้ามาอย่างเร็วแรงด้วยมือของสามี
“มีเรื่องอะไรคะ ดูรีบร้อนจัง” เธอเอ่ยถามแล้วก้าวผ่านหน้าเพื่อจะเข้าห้องน้ำ แต่วาโยกลับทำสิ่งที่เธอคาดไม่ถึงนั่นคือรุนหลังเธอเข้าไปในห้องที่อยู่หลังประตู แน่นอนว่าตอนนี้เขาก็อยู่กับเธอด้วย
“เธอพูดอะไรกับนุต” น้ำเสียงนั้นติดแววคุกคามแต่ว่าแหบพร่าชอบกล เขาจัดการปิดประตูล็อกกลอนห้องน้ำเรียบร้อย วาโยกำลังโกรธเธอกระมังเรื่องที่เธอโทรหา แต่เรื่องอะไรก็ตามที่เขากำลังผลักไสให้เธอเป็นคนผิดเธอไม่ขอรับเด็ดขาด
“คะ?...อ๋อ...คุณมาเยี่ยมภรรยาที่ป่วยนอนซมตอนกลางดึกเพื่อจะถามหล่อนว่าคุยอะไรกับคนรักของคุณงั้นหรือ ให้ความยุติธรรมกับภรรยาคุณสักนิดเถอะวาโย เห็นได้ชัดว่าหล่อนป่วยปางตาย คงทำอะไรสุดสวาทขาดใจของคุณไม่ได้หรอกน่า”
วาโยกระชากข้อมือน้อยอย่างแรง ละอองดาวช่างต่อปากคำได้ร้ายนัก
“ปล่อยนะ! มันเจ็บ!” ภรรยาร้องเสียงหลงเมื่อสามีเริ่มคุกคามมากกว่าจะขู่ให้เธอกลัว เขาดันร่างบางไปจนติดผนังห้องน้ำก่อนจะสาดเทบทลงทัณฑ์อันเร่าร้อนบนกลีบปากซีดจางนั้น
รสสวาทที่ห่างหายชั่วข้ามวันส่งให้วาโยจูบละอองดาวอย่างตะกละตะกลาม บางทีอาจเป็นผลมาจากที่ไฟสวาทถูกปลุกให้ลุกฮือด้วยนวลเนื้อนุ่มหยุ่นของสาวน้อยคมขำที่นั่งรออยู่ในรถข้างล่าง
ว่าที่คุณแม่ดิ้นรนเต็มกำลังเมื่อสามีทำท่าว่าจะไม่หยุดแค่จูบ หล่อนทั้งทุบทั้งตีแผ่นหลังแกร่งจนเขาต้องหยุดการกระทำแล้วจดจ้องมองเธอ
“เป็นบ้าอะไรห๊ะ เธอไม่เคยขัดใจฉันแม้ว่าตรงนี้มันจะเป็นลานจอดรถ แล้วนี่มันหมายความว่ายังไง จะสะดีดสะดิ้งให้มันได้อะไรขึ้นมาห๊ะแม่ตัวดี”
เผียะ!!!
ฝ่ามือน้อยๆ ฟาดลงบนซีกแก้มขาว ละอองดาวน้ำตาคลอเบ้าแม้ว่าจะสะใจที่ได้ตบเขาแล้วก็ตาม
“ฉันไม่สบายอยู่นะคุณโย! ถ้าอยากมากนักก็ไปเอากับอีตัว ไม่ใช่ฉัน!” หล่อนเค้นเสียงพูดออกไปอย่างเหลืออด มือข้างหนึ่งที่เป็นอิสระพยายามปกปิดเนื้อกายที่โผล่ออกมาจากเสื้อผ้าที่หลุดลุ่ย ไม่รู้ว่าวาโยแกะปมเชือกที่ผูกสาบเสื้อออกตอนไหน ตอนนี้มันหลุดร่นจนจะเปิดหน้าอกหน้าใจให้เขาได้เชยชมอยู่แล้ว
“เธอก็อีตัว”
น้ำคำแน่นหนักเอ่ยขึ้นอย่างต้องการเอาชนะหารู้ไม่ว่าละอองดาวจดจำมันไว้ด้วยความเจ็บแค้นแน่นอก เธอผลักเขาออกแม้ว่าร่างกายจะอ่อนแรง ไม่มีว่าจะยอมอ่อนข้อให้เขาโดยง่าย สุดท้ายวาโยก็เป็นฝ่ายยอมแพ้ สลัดหล่อนออกจากอ้อมแขนส่งผลให้ร่างเซหลุนๆ เสียหลักจะล้มลงบนพื้นกระเบื้อง
“กรี๊ดดด!!!”
เสียงกรีดร้องของละอองดาวทำเอาสตรีสูงวัยที่นอนหลับอย่างเป็นสุขสะดุ้งสุดตัว นางวิภาลุกขึ้นมาขยี้หูตาที่พร่ามัวเพื่อแลหาร่างคนป่วยที่สมควรจะอยู่บนเตียง
“แม่ดาว...หล่อนอยู่ตรงนั้นหรือเปล่ายะ?” นางวิภาเดินไปสอดส่องสายตายังส่วนที่ถูกจัดเป็นห้องครัว แล้วทันใดนางก็นึกขึ้นมาได้ว่าได้ยินเสียงกรีดร้องของใครบางคนจนสะดุ้งตื่น มันดังออกมาจากห้องน้ำมิใช่ห้องครัวเล็กกระจิ๋วห้องนี้
“ตายแล้ว! แม่ดาว! หล่อนอยู่ในห้องน้ำหรือเปล่ายะ ส่งเสียงหน่อยสิฉันใจคอไม่ดีแล้วนะ!”
นางวิภาตบประตูห้องน้ำปังๆ เพื่อให้คนข้างในเปิดออกมา และชั่วอึดใจประตูห้องน้ำก็เปิดออกพร้อมกับร่างสูงใหญ่ของบุตรชายที่มีร่างลูกสะใภ้อยู่ในอ้อมแขน
“อ้าว ตาโย แกมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
มารดาสูงวัยถามบุตรชายที่รักอย่างงงๆ นางนึกว่าคืนนี้วาโยจะไม่กลับมาที่นี่อีกแล้ว
“ผมต่างหากที่ต้องถามว่าคุณแม่มาทำอะไรที่นี่ ก่อนอื่นคุณแม่หลีกหน่อยสิครับ” บุตรชายตอบส่งๆ ให้มารดารับรู้ เขาอยากพาคนที่ตัวสั่นระริกไปวางบนเตียงเสียก่อน
นางวิภาทำปากขมุบขมิบที่ถูกบุตรชายไล่ให้หลีกทาง นางยอมหลีกแต่โดยดีแล้วเดินตามคนทั้งสองไปนั่งแหมะอยู่ข้างเตียงซึ่งเป็นเก้าอี้ประจำตำแหน่งของนางตั้งแต่ตอนหัวค่ำ
“เป็นอะไรล่ะยะแม่คนป่วย เดี๋ยวนี้หล่อนต้องมีคนรับส่งเข้าห้องน้ำแล้วรึ?” นางวิภาแขวะลูกสะใภ้ ละอองดาวที่หน้าซีดตัวสั่นในตอนแรกบัดนี้พวงแก้มขึ้นสีระเรื่อ หล่อนรีบเอามือคลำดูปมเชือกที่ผูกสาบเสื้อเข้าหากันเพื่อตรวจดูว่ามันยังผูกติดกันอยู่หรือไม่
“ดาวลื่นในห้องน้ำเมื่อกี้นี้ครับ ถ้าผมช่วยไว้ไม่ทันคงได้หัวฟาดพื้นแน่ๆ”
นางวิภาตาเบิกโพลงนางตกใจจนหน้าซีดเมื่อได้ฟังบุตรชายเอ่ยเช่นนั้น
“ตายแล้ว! ฉันว่าแล้วเชียวว่าได้ยินเสียงคนร้องที่แท้ก็เป็นหล่อนจริงๆ ด้วย ทำอะไรไม่รู้จักคิด จะให้ฉันหัวใจวายตายหรือไงยะ แล้วนี่พยาบาลไปไหนทำไมไม่อยู่ดูหล่อนห๊ะ ถ้าตาโยไม่มาหล่อนไม่นอนจมกองเลือดอยู่ในห้องน้ำแล้วรึแม่ดาว แล้วฉันก็นอนอยู่ตรงนี้ทำไมหล่อนไม่เรียก ทำไม...”
“คุณแม่คะ คุณแม่ ดาวไม่ได้เป็นอะไรค่ะ คุณแม่ใจเย็นๆ สิคะเดี๋ยวความดันขึ้นนา” คนป่วยเป็นฝ่ายปลอบคนเฝ้าไข้ แม่สามีคงกลัวว่านางจะเสียหลานไปเลยกังวลจนคุมสติอารมณ์ไม่อยู่
“นั่นสิ แล้วพยาบาลไปไหน?” คราวนี้วาโยเป็นฝ่ายถามบ้าง นางวิภาเชิดใส่บุตรชายคอแทบเคล็ดเมื่อได้ยินเขาเอ่ยอย่างนั้น ถ้าตัวเองมาเฝ้าไข้เมียเสียแต่ทีแรกเรื่องหวาดเสียวนี่ก็คงไม่เกิดหรอก
“ดาวให้เธอกลับไปแล้วค่ะ ดาวไข้ลดแล้วนะคะคุณแม่ พรุ่งนี้ก็กลับบ้านไปรอเถียงกับคุณแม่ได้แล้วล่ะคะ”
“ย่ะ แม่คนกระดูกแข็งเจอหน้าผัวไม่เท่าไหร่หายไข้ทันทีเลยนะ ทีเมื่อหัวค่ำทำหน้าละห้อยจะเป็นจะตาย กว่าจะกลืนข้าวลงท้องได้แต่ละเม็ดฉันแทบจะใส่พานถวายเชียว” นางวิภาแขวะไปตามประสา ละอองดาวยิ้มแหยๆ เพราะไม่รู้ว่าจะเถียงนางว่ากระไรดี แม่สามีล่ะก็พูดตรงจนเธออายทีเดียว จริงอยู่ที่เธอหายเจ็บไข้แต่มิใช่เพราะเขาเพียงอย่างเดียวเสียหน่อย หยูกยาที่หมอบังคับให้รับประทานนั่นก็มีส่วนไม่น้อย แม่สามีพูดอย่างนี้วาโยก็ได้ความดีความชอบทั้งที่ยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะสิ ไม่ยุติธรรมเลย
วาโยไม่ตอบว่ากระไร เขาเดินไปหยิบกระเป๋าถือให้มารดาเพราะพอจะทราบแล้วว่าละอองดาวโทรหาเขาด้วยเรื่องนี้ ท่านจะมานอนที่โรงพยาบาลได้อย่างไรในเมื่อโซฟาเล็กแค่นี้ เดี๋ยวได้ปวดไหล่ยอกหลังได้ยุ่งกันอีกรอบพอดี
“กลับบ้านเถอะครับคุณแม่ พรุ่งนี้ผมต้องเข้าบริษัทนะครับ” วาโยบอกมารดาเมื่อท่านยังนั่งคอแข็งอยู่ข้างเตียงละอองดาว
“อ้าว ฉันไปแล้วใครจะเฝ้าไข้แม่ดาวล่ะยะ”
“โธ่ คุณแม่คะ ดาวอยู่ได้ค่ะอีกไม่กี่ชั่วโมงก็เช้าแล้ว” ละอองดาวให้เหตุผล ถ้าสองแม่ลูกคู่นี้กลับไปเธอคงได้หลับเป็นตายไปนานแล้ว
“อยู่ได้อะไร! เมื่อกี้ถ้าตาโยไม่มาหล่อนไม่ตายอยู่ในห้องน้ำแล้วรึ ยังมาทำเป็นพูดดีอีก”
ละอองดาวยกมือยอมแพ้ เธอหันไปหาสามีที่ยืนถือสัมภาระของมารดาเตรียมก้าวออกจากห้อง เขาวางทุกอย่างลงบนโซฟาที่นางวิภาใช้ต่างเตียงแล้วหันมาเจรจากับมารดาเป็นครั้งสุดท้าย
“งั้นผมกลับนะครับคุณแม่ มันดึกมากแล้ว ผมยังต้องไปส่งยัยอรที่บ้านอีก”
ชื่อของบุคคลที่สี่ถูกเผยออกมาจากริมฝีปากของวาโย ละอองดาวใคร่รู้เหลือเกินว่าเจ้าหล่อนคนนั้นเป็นใครกัน
“ใครนะ!? ยัยนิลอรน้องสาวแม่วีนุตตรานั่นรึ ทำไมมาอยู่กับแกได้แล้วธุระอะไรแกต้องไปส่งแม่นั่นถึงบ้าน แท็กซี่มีออกเกลื่อนก็ให้เจ้าหล่อนนั่งไปสิยะ” นางวิภาวิพากษ์วิจารณ์อย่างเหลืออด นางไม่ชอบใจสองพี่น้องคู่นี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว คนที่ยากจนข้นแค้นแต่ไม่ทำมาหารับประทานได้แต่แบมือขอเงินชาวบ้านใช้...ทุเรศ! สมัยก่อนที่ยังเรียนอยู่ก็ไม่เท่าไหร่ พอตอนนี้ล่ะก็เต็มรูปแบบ สองศรีพี่น้องคงสูบเงินลูกชายนางไปมากโขแล้ว เชอะ! สมน้ำหน้ามันจริงๆ
“มันอันตรายนะคะคุณแม่ ผู้หญิงนั่งแท็กซี่ตอนดึกๆ คนเดียว คุณแม่ให้คุณโยไปส่งเธอเถอะค่ะ” ละอองดาวช่วยอีกแรงแต่นางวิภายังงอนไม่เลิก ชนิดที่ว่าถ้ามียัยนิลอรนางไม่มีวันขึ้นรถเด็ดขาด
“ฉันจะอยู่ดูแม่ดาว แกอยากกลับก็กลับไปเถอะ เมียแกนอนเจ็บอยู่โรงพยาบาลแต่แกกลับห่วงใยแต่คนอื่น สักวันน้ำตาแกจะเช็ดหัวเข่า” นางวิภาว่ากระทบบุตรชายไปเต็มๆ วาโยทนไม่ไหวเลยใช้วิธีสุดท้าย เขาเดินไปเปิดลิ้นชักเพื่อรวบเอาสัมภาระของคนป่วยมาถือไว้ ซึ่งก็ไม่ได้มีอะไรมากนอกจากกระเป๋าสตางค์กับโทรศัพท์มือถือและเสื้อผ้าหนึ่งชุด เขาเดินไปหาถุงพลาสติกในห้องครัว เมื่อพบก็นำข้าวของของคนป่วยยัดลงไปนั้นแล้วกลับออกมาอีกครั้งเพื่ออุ้มละอองดาวขึ้นจากเตียง
“ดะ...เดี๋ยว นี่คุณจะพาฉันไปไหน?”
ละอองดาวถามอย่างงงๆ นางวิภาเองก็พลอยงงไปด้วย นางรีบลุกตามหลังบุตรชายที่อุ้มคนป่วยตรงไปยังประตู
“ในเมื่อเรื่องมันเยอะนักก็กลับบ้านมันตอนนี้ล่ะ”
เขาเอ่ยออกมาอย่างคนที่ตัดสินใจดีแล้ว ละอองดาวหันมาสบตากับแม่สามีที่เดินมาตามหลัง นางวิภาไม่ว่าอะไร นางทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แต่พอใจอยู่ลึกๆ ที่บุตรชายตัดสินใจทำแบบนี้
ทั้งสามลงลิฟต์มาถึงชั้นล่างสุด พยาบาลนางหนึ่งรีบเข้ามาถามเมื่อเห็นญาติคนไข้กำลังจะพาคนไข้ออกไปโดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตจากคุณหมอ และที่สำคัญยังไม่ได้จ่ายค่ารักษาพยาบาล
“ถ้าหล่อนจะเอาค่าห้องฉันจะขึ้นค่าเช่าเจ้าของโรง’บาล”
นางวิภาจวกใส่หน้าพยาบาลทันทีที่เจ้าหล่อนมายืนขวางทางมิให้นางกลับบ้านไปหลับไปนอน แถมยังมาบอกว่านางยังไม่ได้เคลียร์ค่ารักษา เรื่องนั้นมันก็จริงแต่เอาไว้วันหลังได้ไหมหรือว่าค่อยส่งบิลไปเก็บที่บ้านก็ได้เพราะเจ้าของโรงพยาบาลรู้จักนางดี ก็ลุงหมอของบุตรชายนี่ไง เมื่อวานยังไปตรวจอาการให้ลูกสะใภ้นางอยู่เลย
“คุณแม่ครับพูดกันดีๆ ก็ได้ เธอไม่ได้รู้ว่าคุณแม่กับคุณลุงรู้จักกัน” บุตรชายปรามมารดาที่กำลังพาลไปทั่ว นางคงโมโหง่วงกระมัง บางทีอาจจะรุนแรงกว่าโมโหหิวที่ใครๆ เขาเป็นบ่อยๆ “เราเป็นญาติกับคุณลุงประสิทธิ์ เดี๋ยวค่อยส่งบิลไปที่จตุรศิลป์ก็แล้วกัน” วาโยสั่งความนางพยาบาลเพิ่มเติม ซึ่งพยาบาลก็พยักหน้ารับอย่างงงๆ เจ้าหล่อนหลีกทางให้แต่โดยดีเพราะอย่างน้อยก็รู้แล้วว่าพวกเขามาจากจตุรศิลป์ นามสกุลที่ใครๆ ในโรงพยาบาลก็รู้จักดีนั่นเพราะเงินที่ตระกูลนี้บริจาคให้ที่นี่นั้นตกปีละหลายล้านทีเดียว
“แค่นี้ก็สิ้นเรื่อง”
นางวิภายังบ่นอุบไม่เลิก นางง่วงนอนจนตาจะปิดอยู่รอมร่อ และพอเดินจนถึงรถบุตรชาย ยัยนิลอรที่นั่งอยู่ด้านหน้าคู่คนขับก็ลงมายกมือไหว้ ละอองดาวครุ่นคิดครู่หนึ่งว่าเธอคุ้นหน้าผู้หญิงคนนี้เหลือเกิน และพอแม่สามีเอ่ยนามเจ้าหล่อนนั้นเธอจึงได้เข้าใจ ผู้หญิงที่เธอเคยเห็นในรูปไม่ใช่ วีนุตตรา แต่เป็น...
“ไหว้พระเถอะย่ะแม่นิลอร” นางวิภาไม่ได้รับไหว้ นางยืนคอแข็งเชิดใส่คนที่ไม่เคยถูกชะตา หากจะว่าไปนางนึกชังใบหน้าสวยคมของนิลอรมากกว่าแม่พี่สาวขี้โรคของหล่อนเสียอีก “หลีกไปสิยะ เมียเขาจะขึ้นรถหล่อนจะมายืนเจ๋ออยู่ทำไม” นางเอ่ยท้วงเมื่อนิลอรยังยืนอยู่ตำแหน่งที่ขวางประตูรถพอดิบพอดี
นิลอรกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เธอยิ้มเจื่อนๆ ส่งให้ด้วยใบหน้าปั้นแต่งว่ารู้สึกผิด แล้วรีบหลีกทางให้วาโยวางร่างภรรยาตีทะเบียนของเขาลงบนเบาะ เธอจำต้องนั่งด้านหลังคู่กับมารดาของวาโยซึ่งนางก็มิได้เอ่ยอะไรกับเธอเลย คงกลัวว่ากลิ่นคนจนจะติดผิวเนื้อไปกระมังถึงมิได้เอ่ยวาจาสนทนาด้วย และเมื่อรถเคลื่อนไปได้สักระยะแม่คนป่วยที่นั่งอยู่ตอนหน้าก็มีอาการบางอย่าง
ไรเตอร์รั่วๆ แต่จริงใจ ^_^
เข้ามาแล้วไซร้ไยไม่กดถูกใจละเจ้าคะ
^_^ งุงิงุงิ อ้อนๆๆๆๆๆ
พะยะค่ะ )
ละอองดาวนั่งมองอาหารในจานมากกว่าที่จะกินมัน มื้อเย็นของเธอคงงอนเธอแล้วล่ะที่ไม่กลืนมันลงท้องเสียที สิบนาทีที่แล้วสามีทางพฤตินัยเข้ามาไถ่ถามอาการอีกหนแล้วกลับออกไปอีกครั้ง เธอไม่ได้เหนี่ยวรั้งให้เขาอยู่ แม้รู้ว่าเขากำลังจะไปที่ใดก็ตาม บางครั้งเธอก็อยากไปเผชิญหน้ากับวีนุตตรา เธอไม่อยากเชื่อว่าคนที่สวยคมขำเช่นวีนุตตราจะป่วยเป็นไข้ร้ายแรงจนนอนแบ็บอยู่ในโรงพยาบาลเช่นนี้ บางทีเจ้าหล่อนอาจจะแสร้งเล่นละครเพื่อจะได้รั้งวาโยให้อยู่กับตัวนานๆ
“ไม่หรอกน่า วีนุตตราจะรั้งสามีเธอทำไม ในเมื่อวาโยไม่เคยตีจากเจ้าหล่อนสักที”
ละอองดาวเอ่ยแย้งเสียงที่กำลังโต้กับเธอในมโนจิต เธอคิดดีแล้วว่าต้องหาทางไปพูดคุยกับวีนุตตราให้ได้สักหน และสักหนที่ว่านั้นควรจะเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ความเงียบของห้องผู้ป่วยถูกรบกวนอีกครั้งด้วยเสียงของนางวิภา แม่สามีที่ไม่เคยชอบหน้าลูกสะใภ้กลับมาเยี่ยมละอองดาวอีกครั้งหลังจากกลับไปไม่กี่ชั่วโมง คราวนี้นางมีกับข้าวใส่ปิ่นโตมาด้วย
“สามีไม่อยู่กลืนข้าวไม่ลงหรือยะแม่ดาว” แม่สามีค่อนแคะตามนิสัย ปกตินางจะจีบปากจีบคอประชดประชันจนสะใจโน่นล่ะถึงจะนอนหลับ ถ้าวันไหนไม่ได้ปะทะฝีปากกับลูกสะใภ้นางก็เหมือนขาดอะไรไปมันจะหงุดหงิดกินไม่ได้ทีเดียวเชียว
“คุณแม่...มาทำไมอีกคะ” ละอองดาวเอ่ยถามอย่างงงๆ นางวิภากลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วกลับมาหาเธออีกครั้ง
พยาบาลเฝ้าไข้แจ้งแก่ละอองดาวว่าจะกลับมาอีกทีเมื่อเธอจะเข้านอน เจ้าหล่อนสั่งว่าให้ละอองดาวทานยาหลังอาหารด้วยห้ามลืม
“ขอบคุณนะคะคุณพยาบาล” แม่สามีขอบอกขอบใจพยาบาลเฝ้าไข้ที่คอยดูแลลูกสะใภ้มาตลอดครึ่งวันนี้ ถ้าปกติคนที่เป็นสามีควรจะมาดูแลหล่อนมากกว่า
“ไม่เป็นไรค่ะมันเป็นหน้าที่ของอิฉัน ขอตัวนะคะ”
พยาบาลสาวร่างอวบเดินหายออกประตูไป นางวิภาวางกระเป๋ายี่ห้อหรูลงบนโซฟาที่นางพยาบาลเฝ้าไข้นั่งอยู่เมื่อไม่กี่นาทีที่แล้ว ก่อนจะนำปิ่นโตอาหารไปจัดลงจานอย่างคล่องแคล่วไม่มีหลงเหลือมาดคุณนายสักนิด พริบตาเดียวอาหารสามสี่อย่างก็มาวางแทนที่อาหารของโรงพยาบาลที่ละอองดาวเอาแต่นั่งจ้องมัน มิหนำซ้ำนางยังถือวิสาสะปีนขึ้นไปนั่งบนเตียงคนไข้ตรงข้ามกับคนป่วย ละอองดาวรีบกระเถิบท่อนขาเบี่ยงไปโดยเร็วก่อนที่แม่สามีจะนั่งทับ
“ฉันไม่นั่งทับขาหล่อนหรอกย่ะ ตาฉันยังดีอยู่ เลี้ยงหลานสิบคนยังไหว” นางวิภาออกตัว
“โธ่ คุณแม่ก็ ดาวแค่กลัวคุณแม่นั่งไม่สบาย แล้วนี่...คุณแม่จะทานข้าวกับดาวหรือคะ?”
ละอองดาวถามเมื่อเห็นจานข้าวอีกใบในสำรับ
“อ้าว! ฉันเป็นคนเอามาฉันก็จะกินนะสิ หล่อนอย่าถามมากฉันอุตส่าห์หิ้วขึ้นแท็กซี่มานะเนี่ย”
ละอองดาวตื้นตันจนน้ำตาคลอ สามปีที่ผ่านมาเธอไม่ค่อยได้ร่วมโต๊ะกับนางวิภาด้วยซ้ำ เธอจะรับประทานอาหารที่เรือนไม้หอมซึ่งเด็กรับใช้จะยกมาให้ตลอด แต่นาทีนี้แม่สามีกลับนำอาหารมาให้พร้อมกับยืนยันว่าจะร่วมรับประทานอาหารกับเธอ...น่าปลื้มใจแทนลูกในท้องจริงๆ เธอขอเหมาเอาว่าสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นนี้เป็นผลพวงของชีวิตน้อยๆ ที่กำลังจะเกิดมา อย่างน้อยคนเป็นย่าก็ยังเอ็นดูยัยหนูหรือตาหนูของเธอ แม้ว่าพ่อของแกจะไม่รักใคร่ใยดีก็ตาม
“ทานสิยะ มาทำหน้าละห้อยอยู่ได้ฉันไม่เจริญอาหารพอดี”
นางวิภานั่งพับเพียบบนเตียงแคบๆ อย่างน่าเอ็นดูในความรู้สึกของละอองดาว เธอรู้ว่าแม่สามีทำเช่นนี้เพราะรู้แก่ใจว่าบุตรชายจะไม่อยู่ดูแลลูกสะใภ้ นางพยายามหาสิ่งมาทดแทนความอ้างว้างเปลี่ยวเหงาที่เกิดขึ้นในใจของเธอนั่นเอง
“ค่ะๆ คุณแม่ก็..ทาน เยอะๆ นะคะ” ละอองดาวรีบปาดน้ำตาที่หลั่งมาเมื่อใดมิอาจรู้ แล้วเริ่มรับประทานอาหารมื้อที่อร่อยที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้
“แกงอะไรคะคุณแม่ อร่อยดี” ละอองดาวตาโตรีบชมอาหารที่ตนเพิ่งตักเข้าปาก นางวิภายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ก่อนเอ่ยว่า
“บ้านนอกจริงๆ หล่อนนี่ แกงหัวปลีไม่รู้จักหรือยะ คนท้องคนไส้กินแล้วน้ำนมดีนัก หล่อนก็ทานเข้าไปเยอะๆ แล้วกัน ฉันอุตส่าห์ให้พี่เจรียงสอนทำนะเนี่ย” แม่สามีหลุดปากเผยความลับ ละอองดาวเงยหน้าจากจานข้าวขึ้นมามองด้วยความสงสัยใคร่รู้แต่นางก็ทำทีเป็นว่าไม่รู้ไม่ชี้ประหนึ่งว่าประโยคท้ายๆ นางไม่ได้เอ่ยออกมา
“คุณแม่ทำเองหรือคะ” ลูกสะใภ้ถามออกไปใจก็เต้นโครมคราม แม่สามีที่ว่าร้ายๆ ก็มีมุมน่ารักเหมือนกันนะเนี่ย
นางวิภาทำเสียงจิ๊จ๊ะอย่างขัดใจก่อนจะเอ่ยปรามลูกสะใภ้ว่า
“กินๆ ไปเถอะน่าใครทำก็เหมือนกันแหละ หล่อนจะซักอะไรนักหนายะ เอ้านี่ผัดฟักทองของโปรดหล่อน..พี่เจรียงบอกมานะฉันจำไม่ได้หรอกย่ะว่าหล่อนชอบกินอะไร”
นางวิภารีบออกตัวทั้งๆ ที่ไม่เป็นความจริง ละอองดาวรู้ทันหล่อนได้แต่อมยิ้มให้กับจานข้าวตรงหน้าก่อนจะรีบกินกับข้าวกับปลาที่นางวิภาตักส่งให้
“นี่ก็แกงเลียงกินเยอะๆ ลูกจะได้แข็งแรง” นางวิภายังตักกับข้าวให้ลูกสะใภ้ไปเรื่อยๆ จนลืมจานข้าวตัวเองไปแล้วนางมัวแต่ปลื้มใจที่เห็นคนป่วยรับประทานอาหารฝีมือตนเองด้วยความเอร็ดอร่อย
“คุณแม่ก็ทานบ้างสิคะ ตักให้ดาวกินคนเดียวเดี๋ยวก็ไม่มีแรงอุ้มหลานหรอก” ละอองดาวเอ่ยขึ้นนางวิภาเบะปากเล็กน้อยก่อนจะจีบปากจีบคอโต้กลับไป
“ร้อยปียังน้อยย่ะแม่ดาว ฉันยังแข็งแรงด่าหล่อนน้ำไหลไฟดับได้วันล่ะสามเวลา อย่าว่าแต่อุ้มหลานเลย หล่อนจะมีลูกแฝดให้ฉันอุ้มพร้อมกันสองคนฉันก็ยังไหวย่ะ”
ละอองดาวหัวเราะคิกๆ กับการไม่ยอมคนของแม่สามี เอาเป็นว่ารอบนี้แม่สามีชนะไปตามระเบียบ เธอจะไม่ขอออกความเห็นใดๆ จะตั้งหน้าตั้งตารับประทานอาหารค่ำอย่างเดียวก็แล้วกัน
มื้อค่ำที่แสนเอร็ดอร่อยผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง กระนั้นริมฝีปากน้อยๆ ของละอองดาวก็ยังมิได้เว้นว่าง หล่อนยังเคี้ยวผลไม้คำโตที่นางวิภานั่งปอกนั่งหั่นให้ไม่ยอมหมดเสียที
“คุณแม่คะ ท้องดาวจะแตกแล้วค่ะ”
“อะไรกันแม่คนนี้ กินเข้าไปนิดเดียวเองทำเป็นบ่นไปได้”
นางวิภาที่ตอนนี้นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียงเปรยอย่างงอนๆ มือซ้ายนั้นยังครอบครองผลแอปเปิลที่ยังปอกเปลือกไม่เสร็จ ส่วนมือขวาถือมีดเล็กๆ ไว้มั่น
“ดาวจุกแล้วอ่า คุณแม่ทานเถอะค่ะ กินเยอะๆ ดาวจะอ้วก”
ละอองดาวบอกตามจริง เธอคงได้อาเจียนแน่ๆ หากว่าแม่สามียังคะยั้นคะยอให้เธอรับประทานไม่เลิก ขนาดมื้อค่ำเธอก็ทานไปมากกว่าปกติแล้วเพื่อเอาใจนางนั่นล่ะ
“เฮ้อ!...ก็ได้ๆ แล้วหล่อนง่วงหรือยังล่ะยะ” นางวิภาถาม
“โธ่ คุณแม่ก็ใจคอจะให้ดาวกินแล้วก็นอนอย่างเดียวใช่ไหมคะ อย่างนี้ดาวก็อ้วนพอดี” หล่อนยิ้มแหยๆ ส่งให้มารดาของสามี นานๆ ทีจะได้พูดคุยดีๆ คุณนายวิภาบ้างรู้สึกดีจริงๆ
“ย่ะ แม่คนกลัวไม่สวย อย่างหล่อนน่ะอ้วนกว่านี้สักสิบกิโลฯ ฉันยังว่าผอมแห้งอยู่ดี สมัยฉันสาวๆ นี่อวบอึ๋มเชียวนะจะบอกให้ หนุ่มๆ นี่ติดกันเกรียวหัวกระไดบ้านไม่เคยแห้งเชียวล่ะ” นางวิภาคุยโวโอ้อวดเรื่องราวที่นางออกจะภูมิใจอยู่ลึกๆ นางเป็นคนสวยคนหนึ่งในแวดวงสังคมไฮโซในขณะนั้นเลยก็ว่าได้
ละอองดาวยิ้มให้เมื่อเห็นแม่สามีพูดพลางยิ้มพลางอย่างมีความสุข ความจริงเธอไม่เคยเห็นนางวิภายิ้มได้อย่างนี้มานานมากแล้ว อาจจะตั้งแต่ที่เธอแต่งงานกับบุตรชายของนางเลยก็ว่าได้
“เออ...แล้วตาโยว่ายังไงล่ะเรื่องใบหย่านั่นน่ะ”
หญิงสาวหน้าเจื่อนลงไปทันทีที่ถูกถาม เธอยังไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องนี้ ไม่ใช่เพราะยังหาคำตอบให้นางวิภาไม่ได้ แต่เพราะเธอปวดใจที่จนแล้วจนรอดเขาก็ยังต้องการหย่า
“ก็...ก็คงต้องหย่ากระมังคะ แต่ดาวคิดว่าดาวจะไม่หย่าให้คุณโยง่ายๆ หรอกค่ะ อย่างน้อยคุณโยต้องให้อะไรดาวบ้าง ดาวไม่กลัวลำบากหรอกค่ะถ้าดาวยังตัวเปล่าเล่าเปลือย”
นางวิภาพยักหน้าเข้าใจ นางยกจานผลไม้ไปวางบนโต๊ะข้างเตียงก่อนจะกลับมาเอ่ยต่อ
“คิดได้อย่างนั้นก็ดี แล้วถ้าตาโยเอาเรื่องสัญญามาอ้างล่ะ”
“คุณโยก็ผิดสัญญาเหมือนกันเพราะมันเลยกำหนดที่ต้องหย่าให้ดาวมานานแล้ว และถ้าเขาอยากหย่าตอนนี้ ดาวจะให้เขาฟ้องหย่าเอาเอง”
ละอองดาวตอบไม่เต็มเสียงนักเพราะอย่างน้อยๆ คนที่เธอเอ่ยถึงก็เป็นบุตรชายของสตรีสูงวัยที่นั่งอยู่ข้างเตียงเธอในขณะนี้
“ให้มันได้อย่างนี้สิแม่ดาว อย่าไปยอมอะไรง่ายๆ แล้วนี่ตาโยรู้หรือยังว่าหล่อนตั้งท้อง”
“คิดว่าทราบแล้วค่ะ แต่ว่าคุณโยก็ยังยืนยันว่าจะหย่าอยู่ดี ดาวก็ไม่รู้จะทำยังไง เอาไว้จะลองคุยกับคุณโยอีกทีค่ะ”
แม่สามีที่ผันตัวเองมาเชียร์ลูกสะใภ้ถอนหายใจกับปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างหาทางออกมิได้ นางคงไม่มีปัญญาไปห้ามปรามหากว่าบุตรชายต้องการหย่า คงทำได้เพียงคอยหนุนละอองดาวมิให้หล่อนยอมหย่าโดยง่ายเท่านั้น
“แม่นุตก็กระไร ทำไมจะมาอยากแต่งงานเอาตอนนี้ก็ไม่รู้” ละอองดาวเงยหน้าจากการจ้องมองฝ่ามือตัวเองไปจดจ้องนางวิภาอีกครั้ง ชื่อเล่นของวีนุตตราเรียกความสนใจของเธอได้มากมายเหลือเกิน
“คุณนุตกับคุณโยรักกันนะคะคุณแม่” ละอองดาวเอ่ยถึงความจริงในข้อนี้เลยถูกนางวิภาแดกดันกลับมา
“หล่อนก็หย่าเสียสิ เขาจะได้ไปตบแต่งอยู่กินกัน ส่วนหล่อนก็ตั้งหน้าตั้งตาหาเงินเลี้ยงลูกไปเถอะย่ะ”
ลูกสะใภ้เงียบเสียงลงในบัดดลเมื่อถูกวาจาของนางวิภาจี้ตรงหัวใจในจุดที่มืดมิดพอสมควร จะว่าเธอใจดำเธอก็ยอมล่ะหากว่าจะทำให้ได้ในสิ่งที่ปรารถนา ในเมื่อสามีไม่เคยมอบความรักดังเช่นสามีภรรยาพึงมีต่อกันมาให้ เธอก็จะไม่ขวนขวายแต่จะตักตวงเอาสิ่งที่ควรจะเป็นของเธอในตำแหน่งภรรยาที่ค้ำคออยู่นี้ เธอจะเรียกร้องจากเขาชนิดที่ว่าชาตินี้ไม่ต้องทำมาหาเลี้ยงชีพก็สามารถมีกินจนเหลือรับประทานทีเดียว
สตรีสองนางนั่งสนทนาไปเรื่อยเปื่อยในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องข้างต้น กระทั่งนางพยาบาลเฝ้าไข้คนเดิมกลับเข้ามาและตรวจวัดไข้ละอองดาวอีกเล็กน้อยแล้วให้หล่อนนอนพัก
หลายชั่วโมงผ่านไป เมื่อฤทธิ์ยาแก้ไข้จางหาย ละอองดาวก็ตื่นขึ้นมากลางดึกราวๆ ห้าทุ่ม เป็นเวลาเดียวกับที่มีพยาบาลเฝ้าไข้อีกคนมาเปลี่ยนกะพอดี หล่อนลุกขึ้นเมื่อเห็นพยาบาลอีกคนเดินเข้ามาในห้อง
“อิฉันมีธุระด่วนค่ะ เลยให้พยาบาลอีกคนมาเปลี่ยน คุณจะว่าอะไรไหมคะ” นางพยาบาลร่างท้วมเอ่ยอย่างเกรงใจ เจ้าหล่อนมีท่าทางร้อนรนจนปิดไม่มิด
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ตามสบาย” ละอองดาวมีน้ำใจด้วยการบอกกล่าวให้เจ้าหล่อนสบายใจ และยังสั่งด้วยว่าไม่ต้องเฝ้าไข้เธอแล้ว ถ้ามีธุระก็ให้ไปจัดการ เธอคิดว่าพรุ่งนี้เช้าก็จะขอคุณหมอกลับบ้านแล้วล่ะ
“คุณไม่เป็นไรแน่นะคะ สามีคุณย้ำว่าให้ดูแลคุณให้ดี ฉันเลยเกรงว่า...”
ละอองดาวเห็นท่าทีนางพยาบาลกังวลปนเกรงใจเลยรีบออกตัวไปว่า
“ไว้ฉันจะบอกเขาเอง พวกคุณรีบไปเถอะค่ะ ฉันอยู่ได้” ละอองดาวยิ้มให้อีกครั้ง และนางพยาบาลก็ยิ้มรับก่อนจะกล่าวขอบคุณเบาๆ แล้วก้าวออกไปพร้อมกัน ความจริงละอองดาวคิดว่าตนเองมิได้เป็นอะไรมาก ทำไมวาโยต้องให้พยาบาลมาเฝ้าไข้ด้วยก็ไม่รู้
หญิงสาวถอนหายใจอย่างปลงๆ เมื่อคิดถึงวาโย ป่านนี้เขาคงจะอยู่กับวีนุตตราคนรักของเขากระมัง และคงคอยเอาใจใส่ดูแลในยามที่เจ้าหล่อนป่วยไข้ น่าอิจฉาวีนุตตราเหลือเกิน สองมือดึงผ้าห่มขึ้นมาชิดอกแล้วหันตะแคงร่างไปอีกทางด้วยหวังว่าการเปลี่ยนท่าจะทำให้หล่อนนอนหลับได้ดีขึ้น ทว่า พอสองหน่วยตาแลเห็นร่างที่นอนขดอยู่บนโซฟาก็ต้องอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ
“คุณแม่...”
ละอองดาวเปล่งเสียงอุทานแต่ไม่ดังมากนัก เธอลองเรียกแม่สามีอีกสองสามครั้ง เมื่อนางยังไม่ตื่นเธอก็ต้องหาตัวช่วย มือเรียวเปิดลิ้นชักตรงตัวเตียงเพื่อหาโทรศัพท์มือถือ เมื่อเจอก็ลองต่อสายไปหาสามีเผื่อว่าเขายังไม่กลับบ้านจะได้ให้แวะมารับมารดาเขากลับไปด้วย
เสียงรอสายดังอยู่ชั่วครู่ก่อนจะมีคนรับ ทว่ามิใช่คนที่เธอโทรหาแต่ว่าเป็น...
‘ตอนนี้พี่โยไม่ว่างคุยด้วย แค่นี้นะ’
ปลายสายส่งน้ำเสียงห้วนสั้นไม่มีหางเสียงโต้ตอบออกมาก่อน และพอเอ่ยจบก็ตัดสายทิ้งอย่างเสียมารยาท ละอองดาวเอาโทรศัพท์ที่แนบหูอยู่ออกมาเพ่งดูราวกับมันเป็นสัตว์ประหลาดนอกโลก นี่เบอร์สามีเธอนี่นาเธอจำได้ แถมปลายสายยังบอกอีกว่าพี่โยไม่ว่าง เสียงนั่นไม่มีแววของคนเจ็บไข้ได้ป่วยเลยแม้แต่น้อย หรือว่าเขาจะอยู่กับผู้หญิงคนอื่นที่มิใช่วีนุตตรา
ว่าที่คุณแม่ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะต่อสายอีกครั้ง คราวนี้เป็นเสียงของผู้หญิงเช่นกัน ทว่า ไม่ใช่คนเดิม
‘สวัสดีค่ะ โยเข้าห้องน้ำอยู่ เดี๋ยวอิฉันจะบอกให้โทรกลับนะคะ’ เสียงค่อนข้างแหบเบาเอ่ยมาตามสาย เธอเงี่ยหูฟังจนเจ้าหล่อนเอ่ยจบประโยคแล้วก็นึกเคืองสามีอยู่ลึกๆ เขาจะมีผู้หญิงเป็นร้อยเป็นพันเธอไม่ว่า แต่ทำไมต้องให้ผู้หญิงเหล่านั้นมาแสดงตัวให้เธอรับรู้อยู่เรื่อย ที่ผ่านมายังไม่พอหรืออย่างไร
“ค่ะ รบกวนบอกสามีฉันด้วยว่า ภรรยา ที่บ้านโทรมา ขอบคุณนะคะ”
คราวนี้เป็นละอองดาวที่ชิงวางสาย หล่อนสะใจเล็กน้อยที่ได้เอาคืนฝ่ายโน้นด้วยการแสดงตัวว่าเป็นภรรยาของเขา โดยไม่รู้ตัวเลยว่าคำพูดดังกล่าวจะทำให้ตัวเองเดือดร้อน
อีกฝากของโรงพยาบาลซึ่งเป็นที่ตั้งของอาคารผู้ป่วยโรคมะเร็ง วีนุตตราจ้องมองโทรศัพท์ในมือด้วยใบหน้าซีดเผือด นิลอรเข้าไปคว้ามันออกมาจากมือบางของพี่สาวก่อนจะเอากลับไปวางบนโต๊ะตามเดิม
“อรบอกแล้วว่าอย่ารับ ยัยนั่นร้ายจะตายต้องอรนี่ถึงจะเอาอยู่ อย่างพี่นุตก็โดนหล่อนฉีกอกอยู่ร่ำไปนั่นแหละ”
น้องน้อยออกอาการเดือดร้อนแทนพี่ทั้งเบะปากและส่งสายตาดุกร้าวออกไปนอกหน้าต่างประหนึ่งว่าจะให้นัยน์ตาที่ฉายแววคาดโทษส่งถึงคนที่ถูกกล่าวถึง
“เขามีสิทธิ์ของเขานะอร อรนั่นแหละจะเดือดร้อนอะไรนักหนาฮึ พี่ยังไม่ได้เป็นอะไรซะหน่อย”
พี่สาวที่อาบน้ำร้อนมาก่อนเอ่ยติงท่าทีของน้องรัก แม้ว่าไม่ใช่พี่น้องคลานตามกันมาแต่เธอก็รักใคร่เอ็นดูนิลอรคนนี้ประหนึ่งน้องสาวร่วมสายเลือด เธอพอจะมองออกว่านิลอรหลงใหลวาโย เธอจะดีใจด้วยหากว่าวาโยรักเจ้าหล่อน แต่ในเมื่อมันไม่ใช่ เธอก็ไม่อยากให้น้องสาวหวังสูงเกินไป อย่างไรเสียวาโยก็แต่งงานแล้ว ไม่ใช่ชายโสดตัวเปล่าไร้พันธะ
นิลอรสะบัดแขนที่กอดอกอย่างขัดใจออกจากกัน ก่อนจะทรุดกายลงนั่งข้างเตียงด้วยใบหน้าบูดบึ้ง
“อรก็แค่...แค่ไม่อยากให้ใครมารังแกพี่สาวอร” นิลอรแก้ต่างกลบเกลื่อนความจริง เธอฉวยเอามือข้างหนึ่งของพี่สาวมาแนบแก้มสีน้ำผึ้งของตนเองด้วยอยากให้คนที่สูงวัยกว่านึกเอ็นดู
“พี่รู้จ้ะ น้องสาวของพี่น่ารักที่สุด พี่รู้ดี” นิลอรยิ้มกว้างก่อนจะเลื่อนมือไปโอบเอวคนป่วยหลวมๆ “อรกลับก่อนนะคะ พรุ่งนี้ต้องไปทำงานแต่เช้า”
“จ้าจ้ะ ให้พี่โยไปส่งไหมเดี๋ยวพี่บอกให้ นั่งแท็กซี่กลางคืนมันอันตราย”
นิลอรพยักหน้าเบาๆ ก่อนที่รอยยิ้มน้อยๆ จะผุดพรายที่มุมปากอย่างพออกพอใจ
“คุยอะไรกันอยู่จ๊ะสาวๆ” วาโยที่เดินออกมาจากห้องน้ำเอ่ยถามสองศรีพี่น้องที่เหมือนว่ากำลังสนทนาด้วยเรื่องบางอย่างอยู่
“เปล่าค่ะ แค่จะบอกให้โยช่วยไปส่งยัยอรที่บ้านที ดึกแล้วนั่งรถแท็กซี่คนเดียวมันอันตราย” วีนุตตราบอกกล่าวชายคนรัก วาโยรับคำแล้วเดินเข้าไปหาร่างที่นอนอยู่บนเตียง วันนี้เขาอยู่คุยกับหล่อนจนดึกเกินไปแล้ว
“ได้จ้ะ นุตรีบนอนนะคะคนดี เดี๋ยวพรุ่งนี้โยมาหาใหม่นะ” วีนุตตรายิ้มน้อยๆ รับคำอย่างเคยก่อนจะหลับตาพริ้มเมื่อคนรักจุมพิตพวงแก้มแห้งซีดเซียวทั้งสองข้าง
นิลอรมองภาพนั้นแล้วได้แต่เวทนาฝ่ายชายอยู่ลึกๆ วาโยคงมีความสุขกว่านี้หากว่าพวงแก้มทั้งสองจะเป็นพวงแก้มอิ่มเต็มตึงของเธอแทน
“ไปเร็วยัยอร มัวแต่ฝันหวานอะไรอยู่เนี่ย” วาโยล้อเลียนเมื่อเห็นน้องสาวของหญิงคนรักตาลอยชอบกล เจ้าหล่อนเหมือนตกอยู่ในภวังค์บางอย่าง และเขาก็ทำลายภวังค์นั้นจนย่อยยับ
“โธ่ พี่โยล่ะก็คนกำลังคิดอะไรเพลินๆ ชอบขัดใจอยู่เรื่อย” หญิงสาวทำหน้าบึ้งอย่างเด็กถูกขัดใจ พี่ชายที่ตนหลงใหลทำลายภวังค์สั้นๆ อันแสนสุขระหว่างเธอและเขาจนหมดสิ้น ดูเอาเถิดแม้แต่ในห้วงคำนึงสวรรค์ก็ยังกลั่นแกล้งเธอ
วีนุตตรามองตามร่างน้องสาวที่ฉวยกระเป๋าถือแล้วสะบัดก้นงอนๆ ออกไปจากห้อง ว่าโยหัวเราะอย่างเห็นเป็นเรื่องตลกกับกิริยาของสาวเจ้า เขากลับมาฝังรอยจูบบนหน้าผากวีนุตตราอีกครั้งเพื่ออำลาก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงแล้วเดินตามนิลอรออกจากห้องไป
เพียงชั่วอึดใจนางพยาบาลเฝ้าไข้ก็เข้ามาทำหน้าที่ วีนุตตราเลยถูกสั่งให้นอนพักผ่อนทั้งที่ไม่ง่วงสักนิด ตอนนี้คนที่เธอนึกห่วงใยมิใช่ชายคนรักอีกแล้ว แต่เป็นนิลอรต่างหาก จะเป็นเช่นไรหากวันข้างหน้าไม่มีเธอคอยปราม เธอกลัวเหลือเกินว่านิลอรจะทำผิดต่อวาโย น้องสาวคนนี้นิสัยขี้อ้อนน่ารักก็จริง แต่พอบทจะเอาแต่ใจ หล่อนก็โมโหร้ายจนน่ากลัวทีเดียว
สองหนุ่มสาวลงลิฟต์แล้วเดินมาถึงบริเวณลานจอดรถ ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือของวาโยก็ดังแทรกความเงียบขึ้นมา เขาหยิบมาดูก็พบว่าเป็นละอองดาว ทว่าพอจะกดรับสายนิลอรกลับแย่งมือถือเขาไปดื้อๆ
“อะไรเนี่ยยัยอร เอามือถือพี่มานะ เผื่อคุณดาวมีธุระ” วาโยบอกสาวน้อยที่เขารักเหมือนน้องสาว บางทีนิลอรก็ขี้เล่นเกินไปจนไม่รู้จักกาลเทศะ แต่จะโกรธเจ้าหล่อนก็ใช่ที่ในเมื่อครอบครัวที่หล่อหลอมเจ้าหล่อนขึ้นมาคือสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามิใช่บิดามารดา เขาโทษหล่อนในเรื่องนี้ไม่ได้
“ไม่ให้ เมื่อกี้ตอนที่พี่โยเข้าห้องน้ำ รู้หรือเปล่าว่าเธอโทรมาแล้วพี่นุตก็รับสาย อรไม่รู้ว่าคุยกันเรื่องอะไร แต่พี่นุตหน้าซีดไปหลายนาทีเลย” นิลอรได้ทีโยนขอนไม้ผุพังเข้ากองเพลิงหวังให้เปลวไฟร้อนแรงเผาไหม้แม่ละอองดาวให้ดับดิ้นสิ้นลมหายใจทีเดียว
“อะไรนะ ทำไมนุตไม่บอกพี่ล่ะ เมื่อกี้ก็ไม่เห็นจะบอกอะไรเลย” เขาท้วงตามที่เห็น วีนุตตรามิได้แสดงท่าทีมีพิรุธว่าหล่อนกำลังไม่สบายใจ หล่อนยังยิ้มให้ตอนเขาจูบราตรีสวัสดิ์ด้วยซ้ำ
นิลอรกดตัดสายที่โทรเข้ามาทิ้งไปก่อนจะชี้แจงเรื่องดังกล่าวให้ชายคนรักของพี่สาวทราบ
“โธ่ ก็พี่นุตรักพี่นี่นาจะกล้าพูดได้ยังไงเล่า อรว่าพี่โยช่วยปรามๆ คุณดาวเธอหน่อยก็ดีนะคะ พี่นุตอาจจะอยู่กับเราได้อีกไม่นาน อรไม่อยากให้เธอไม่สบายใจแล้วด่วนจากอรไป อรมีพี่สาวคนเดียวนะคะพี่โย ฮือ...”
แล้วนิลอรก็ปล่อยโฮลั่นลานจานจอดรถอันเงียบเชียบ วาโยจำต้องดึงเจ้าหล่อนมากอดปลอบเหมือนที่เขาทำกับวีนุตตรายามที่เจ้าหล่อนร้องไห้ เขาลูบหลังน้องสาวคนดีเบาๆ ค่อยๆ ปลอบโยนให้หล่อนคลายสะอื้น หารู้ไม่ว่าหญิงสาวที่ร้องระงมในอ้อมแขนกำลังคลี่ยิ้มแม้ว่าหน่วยตาทั้งสองจะคลอด้วยหยาดน้ำตา
“พอแล้วๆ ยัยขี้แย เดี๋ยวพี่จะจัดการเองน่า” วาโยผลักร่างสาวน้อยออกเมื่อพบว่าหน้าอกหน้าใจของเจ้าหล่อนสัมผัสกับแผ่นอกเขาแนบแน่นเกินไป อย่างไรเสียเขาก็เป็นผู้ชาย การสัมผัสเนื้อกายเพศตรงข้ามในระยะมากกว่าประชิดเช่นนี้ก็ทำให้เขาหนาวๆ ร้อนๆ ได้เหมือนกัน
ไฟร้อนๆ ในร่างของวาโยถูกดับให้มอดลงชั่วระยะด้วยเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือ เขาขอมันคืนจากนิลอรซึ่งเจ้าหล่อนก็ยื่นให้แต่โดยดี
“ไปขึ้นรถเถอะ พี่จะแวะไปหาคุณดาวก่อนกลับ” วาโยเอ่ยด้วยเสียงเรียบเฉย แต่นิลอรรู้ดีว่าเสียงอย่างนี้คนที่ถูกเอ่ยถึงเตรียมตัวรองรับพายุอารมณ์ของวาโยลูกนี้ได้เลย
ละอองดาววางโทรศัพท์ลงในลิ้นชักเช่นเดิม สงสัยว่าวาโยจะยุ่งจึงไม่สามารถรับโทรศัพท์เธอได้ ว่าที่คุณแม่ค่อยๆ ก้าวลงจากเตียงเพื่อจะนำผ้าห่มผืนเดียวที่มีไปคลุมร่างให้แม่สามี เธอกดหรี่แอร์ด้วยรีโมตซึ่งวางอยู่ข้างจอโทรทัศน์ ก่อนจะเดินเข้าห้องครัวเล็กๆ ที่มีเพียงตู้เย็นกับชั้นวางถ้วยชามและแก้วน้ำ เธอเปิดตู้เย็นเพื่อหานมมาดื่มสักแก้ว โชคดีที่มีนมสดขวดใหญ่อยู่นั้น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นมารดาของสามีเธอนั่นล่ะหอบหิ้วมาให้ บางทีอาจจะเป็นตอนกลางวันที่นางมาเยี่ยม และเธอยังหลับอยู่ก็เป็นได้
“อืม...อร่อยจังเลยเนาะ” ละอองดาวเอ่ยเบาๆ กับลูกน้อยในครรภ์ เธอเทนมมาดื่มอีกแก้วแล้วค่อยวางแก้วเปล่าลงในอ้างล้างจานเล็กๆ กะว่าจะเข้าห้องน้ำก่อนจะเข้านอนอีกรอบ ทว่าพอเดินออกมาจากมุมห้องครัวประตูห้องก็ถูกเปิดเข้ามาอย่างเร็วแรงด้วยมือของสามี
“มีเรื่องอะไรคะ ดูรีบร้อนจัง” เธอเอ่ยถามแล้วก้าวผ่านหน้าเพื่อจะเข้าห้องน้ำ แต่วาโยกลับทำสิ่งที่เธอคาดไม่ถึงนั่นคือรุนหลังเธอเข้าไปในห้องที่อยู่หลังประตู แน่นอนว่าตอนนี้เขาก็อยู่กับเธอด้วย
“เธอพูดอะไรกับนุต” น้ำเสียงนั้นติดแววคุกคามแต่ว่าแหบพร่าชอบกล เขาจัดการปิดประตูล็อกกลอนห้องน้ำเรียบร้อย วาโยกำลังโกรธเธอกระมังเรื่องที่เธอโทรหา แต่เรื่องอะไรก็ตามที่เขากำลังผลักไสให้เธอเป็นคนผิดเธอไม่ขอรับเด็ดขาด
“คะ?...อ๋อ...คุณมาเยี่ยมภรรยาที่ป่วยนอนซมตอนกลางดึกเพื่อจะถามหล่อนว่าคุยอะไรกับคนรักของคุณงั้นหรือ ให้ความยุติธรรมกับภรรยาคุณสักนิดเถอะวาโย เห็นได้ชัดว่าหล่อนป่วยปางตาย คงทำอะไรสุดสวาทขาดใจของคุณไม่ได้หรอกน่า”
วาโยกระชากข้อมือน้อยอย่างแรง ละอองดาวช่างต่อปากคำได้ร้ายนัก
“ปล่อยนะ! มันเจ็บ!” ภรรยาร้องเสียงหลงเมื่อสามีเริ่มคุกคามมากกว่าจะขู่ให้เธอกลัว เขาดันร่างบางไปจนติดผนังห้องน้ำก่อนจะสาดเทบทลงทัณฑ์อันเร่าร้อนบนกลีบปากซีดจางนั้น
รสสวาทที่ห่างหายชั่วข้ามวันส่งให้วาโยจูบละอองดาวอย่างตะกละตะกลาม บางทีอาจเป็นผลมาจากที่ไฟสวาทถูกปลุกให้ลุกฮือด้วยนวลเนื้อนุ่มหยุ่นของสาวน้อยคมขำที่นั่งรออยู่ในรถข้างล่าง
ว่าที่คุณแม่ดิ้นรนเต็มกำลังเมื่อสามีทำท่าว่าจะไม่หยุดแค่จูบ หล่อนทั้งทุบทั้งตีแผ่นหลังแกร่งจนเขาต้องหยุดการกระทำแล้วจดจ้องมองเธอ
“เป็นบ้าอะไรห๊ะ เธอไม่เคยขัดใจฉันแม้ว่าตรงนี้มันจะเป็นลานจอดรถ แล้วนี่มันหมายความว่ายังไง จะสะดีดสะดิ้งให้มันได้อะไรขึ้นมาห๊ะแม่ตัวดี”
เผียะ!!!
ฝ่ามือน้อยๆ ฟาดลงบนซีกแก้มขาว ละอองดาวน้ำตาคลอเบ้าแม้ว่าจะสะใจที่ได้ตบเขาแล้วก็ตาม
“ฉันไม่สบายอยู่นะคุณโย! ถ้าอยากมากนักก็ไปเอากับอีตัว ไม่ใช่ฉัน!” หล่อนเค้นเสียงพูดออกไปอย่างเหลืออด มือข้างหนึ่งที่เป็นอิสระพยายามปกปิดเนื้อกายที่โผล่ออกมาจากเสื้อผ้าที่หลุดลุ่ย ไม่รู้ว่าวาโยแกะปมเชือกที่ผูกสาบเสื้อออกตอนไหน ตอนนี้มันหลุดร่นจนจะเปิดหน้าอกหน้าใจให้เขาได้เชยชมอยู่แล้ว
“เธอก็อีตัว”
น้ำคำแน่นหนักเอ่ยขึ้นอย่างต้องการเอาชนะหารู้ไม่ว่าละอองดาวจดจำมันไว้ด้วยความเจ็บแค้นแน่นอก เธอผลักเขาออกแม้ว่าร่างกายจะอ่อนแรง ไม่มีว่าจะยอมอ่อนข้อให้เขาโดยง่าย สุดท้ายวาโยก็เป็นฝ่ายยอมแพ้ สลัดหล่อนออกจากอ้อมแขนส่งผลให้ร่างเซหลุนๆ เสียหลักจะล้มลงบนพื้นกระเบื้อง
“กรี๊ดดด!!!”
เสียงกรีดร้องของละอองดาวทำเอาสตรีสูงวัยที่นอนหลับอย่างเป็นสุขสะดุ้งสุดตัว นางวิภาลุกขึ้นมาขยี้หูตาที่พร่ามัวเพื่อแลหาร่างคนป่วยที่สมควรจะอยู่บนเตียง
“แม่ดาว...หล่อนอยู่ตรงนั้นหรือเปล่ายะ?” นางวิภาเดินไปสอดส่องสายตายังส่วนที่ถูกจัดเป็นห้องครัว แล้วทันใดนางก็นึกขึ้นมาได้ว่าได้ยินเสียงกรีดร้องของใครบางคนจนสะดุ้งตื่น มันดังออกมาจากห้องน้ำมิใช่ห้องครัวเล็กกระจิ๋วห้องนี้
“ตายแล้ว! แม่ดาว! หล่อนอยู่ในห้องน้ำหรือเปล่ายะ ส่งเสียงหน่อยสิฉันใจคอไม่ดีแล้วนะ!”
นางวิภาตบประตูห้องน้ำปังๆ เพื่อให้คนข้างในเปิดออกมา และชั่วอึดใจประตูห้องน้ำก็เปิดออกพร้อมกับร่างสูงใหญ่ของบุตรชายที่มีร่างลูกสะใภ้อยู่ในอ้อมแขน
“อ้าว ตาโย แกมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
มารดาสูงวัยถามบุตรชายที่รักอย่างงงๆ นางนึกว่าคืนนี้วาโยจะไม่กลับมาที่นี่อีกแล้ว
“ผมต่างหากที่ต้องถามว่าคุณแม่มาทำอะไรที่นี่ ก่อนอื่นคุณแม่หลีกหน่อยสิครับ” บุตรชายตอบส่งๆ ให้มารดารับรู้ เขาอยากพาคนที่ตัวสั่นระริกไปวางบนเตียงเสียก่อน
นางวิภาทำปากขมุบขมิบที่ถูกบุตรชายไล่ให้หลีกทาง นางยอมหลีกแต่โดยดีแล้วเดินตามคนทั้งสองไปนั่งแหมะอยู่ข้างเตียงซึ่งเป็นเก้าอี้ประจำตำแหน่งของนางตั้งแต่ตอนหัวค่ำ
“เป็นอะไรล่ะยะแม่คนป่วย เดี๋ยวนี้หล่อนต้องมีคนรับส่งเข้าห้องน้ำแล้วรึ?” นางวิภาแขวะลูกสะใภ้ ละอองดาวที่หน้าซีดตัวสั่นในตอนแรกบัดนี้พวงแก้มขึ้นสีระเรื่อ หล่อนรีบเอามือคลำดูปมเชือกที่ผูกสาบเสื้อเข้าหากันเพื่อตรวจดูว่ามันยังผูกติดกันอยู่หรือไม่
“ดาวลื่นในห้องน้ำเมื่อกี้นี้ครับ ถ้าผมช่วยไว้ไม่ทันคงได้หัวฟาดพื้นแน่ๆ”
นางวิภาตาเบิกโพลงนางตกใจจนหน้าซีดเมื่อได้ฟังบุตรชายเอ่ยเช่นนั้น
“ตายแล้ว! ฉันว่าแล้วเชียวว่าได้ยินเสียงคนร้องที่แท้ก็เป็นหล่อนจริงๆ ด้วย ทำอะไรไม่รู้จักคิด จะให้ฉันหัวใจวายตายหรือไงยะ แล้วนี่พยาบาลไปไหนทำไมไม่อยู่ดูหล่อนห๊ะ ถ้าตาโยไม่มาหล่อนไม่นอนจมกองเลือดอยู่ในห้องน้ำแล้วรึแม่ดาว แล้วฉันก็นอนอยู่ตรงนี้ทำไมหล่อนไม่เรียก ทำไม...”
“คุณแม่คะ คุณแม่ ดาวไม่ได้เป็นอะไรค่ะ คุณแม่ใจเย็นๆ สิคะเดี๋ยวความดันขึ้นนา” คนป่วยเป็นฝ่ายปลอบคนเฝ้าไข้ แม่สามีคงกลัวว่านางจะเสียหลานไปเลยกังวลจนคุมสติอารมณ์ไม่อยู่
“นั่นสิ แล้วพยาบาลไปไหน?” คราวนี้วาโยเป็นฝ่ายถามบ้าง นางวิภาเชิดใส่บุตรชายคอแทบเคล็ดเมื่อได้ยินเขาเอ่ยอย่างนั้น ถ้าตัวเองมาเฝ้าไข้เมียเสียแต่ทีแรกเรื่องหวาดเสียวนี่ก็คงไม่เกิดหรอก
“ดาวให้เธอกลับไปแล้วค่ะ ดาวไข้ลดแล้วนะคะคุณแม่ พรุ่งนี้ก็กลับบ้านไปรอเถียงกับคุณแม่ได้แล้วล่ะคะ”
“ย่ะ แม่คนกระดูกแข็งเจอหน้าผัวไม่เท่าไหร่หายไข้ทันทีเลยนะ ทีเมื่อหัวค่ำทำหน้าละห้อยจะเป็นจะตาย กว่าจะกลืนข้าวลงท้องได้แต่ละเม็ดฉันแทบจะใส่พานถวายเชียว” นางวิภาแขวะไปตามประสา ละอองดาวยิ้มแหยๆ เพราะไม่รู้ว่าจะเถียงนางว่ากระไรดี แม่สามีล่ะก็พูดตรงจนเธออายทีเดียว จริงอยู่ที่เธอหายเจ็บไข้แต่มิใช่เพราะเขาเพียงอย่างเดียวเสียหน่อย หยูกยาที่หมอบังคับให้รับประทานนั่นก็มีส่วนไม่น้อย แม่สามีพูดอย่างนี้วาโยก็ได้ความดีความชอบทั้งที่ยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะสิ ไม่ยุติธรรมเลย
วาโยไม่ตอบว่ากระไร เขาเดินไปหยิบกระเป๋าถือให้มารดาเพราะพอจะทราบแล้วว่าละอองดาวโทรหาเขาด้วยเรื่องนี้ ท่านจะมานอนที่โรงพยาบาลได้อย่างไรในเมื่อโซฟาเล็กแค่นี้ เดี๋ยวได้ปวดไหล่ยอกหลังได้ยุ่งกันอีกรอบพอดี
“กลับบ้านเถอะครับคุณแม่ พรุ่งนี้ผมต้องเข้าบริษัทนะครับ” วาโยบอกมารดาเมื่อท่านยังนั่งคอแข็งอยู่ข้างเตียงละอองดาว
“อ้าว ฉันไปแล้วใครจะเฝ้าไข้แม่ดาวล่ะยะ”
“โธ่ คุณแม่คะ ดาวอยู่ได้ค่ะอีกไม่กี่ชั่วโมงก็เช้าแล้ว” ละอองดาวให้เหตุผล ถ้าสองแม่ลูกคู่นี้กลับไปเธอคงได้หลับเป็นตายไปนานแล้ว
“อยู่ได้อะไร! เมื่อกี้ถ้าตาโยไม่มาหล่อนไม่ตายอยู่ในห้องน้ำแล้วรึ ยังมาทำเป็นพูดดีอีก”
ละอองดาวยกมือยอมแพ้ เธอหันไปหาสามีที่ยืนถือสัมภาระของมารดาเตรียมก้าวออกจากห้อง เขาวางทุกอย่างลงบนโซฟาที่นางวิภาใช้ต่างเตียงแล้วหันมาเจรจากับมารดาเป็นครั้งสุดท้าย
“งั้นผมกลับนะครับคุณแม่ มันดึกมากแล้ว ผมยังต้องไปส่งยัยอรที่บ้านอีก”
ชื่อของบุคคลที่สี่ถูกเผยออกมาจากริมฝีปากของวาโย ละอองดาวใคร่รู้เหลือเกินว่าเจ้าหล่อนคนนั้นเป็นใครกัน
“ใครนะ!? ยัยนิลอรน้องสาวแม่วีนุตตรานั่นรึ ทำไมมาอยู่กับแกได้แล้วธุระอะไรแกต้องไปส่งแม่นั่นถึงบ้าน แท็กซี่มีออกเกลื่อนก็ให้เจ้าหล่อนนั่งไปสิยะ” นางวิภาวิพากษ์วิจารณ์อย่างเหลืออด นางไม่ชอบใจสองพี่น้องคู่นี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว คนที่ยากจนข้นแค้นแต่ไม่ทำมาหารับประทานได้แต่แบมือขอเงินชาวบ้านใช้...ทุเรศ! สมัยก่อนที่ยังเรียนอยู่ก็ไม่เท่าไหร่ พอตอนนี้ล่ะก็เต็มรูปแบบ สองศรีพี่น้องคงสูบเงินลูกชายนางไปมากโขแล้ว เชอะ! สมน้ำหน้ามันจริงๆ
“มันอันตรายนะคะคุณแม่ ผู้หญิงนั่งแท็กซี่ตอนดึกๆ คนเดียว คุณแม่ให้คุณโยไปส่งเธอเถอะค่ะ” ละอองดาวช่วยอีกแรงแต่นางวิภายังงอนไม่เลิก ชนิดที่ว่าถ้ามียัยนิลอรนางไม่มีวันขึ้นรถเด็ดขาด
“ฉันจะอยู่ดูแม่ดาว แกอยากกลับก็กลับไปเถอะ เมียแกนอนเจ็บอยู่โรงพยาบาลแต่แกกลับห่วงใยแต่คนอื่น สักวันน้ำตาแกจะเช็ดหัวเข่า” นางวิภาว่ากระทบบุตรชายไปเต็มๆ วาโยทนไม่ไหวเลยใช้วิธีสุดท้าย เขาเดินไปเปิดลิ้นชักเพื่อรวบเอาสัมภาระของคนป่วยมาถือไว้ ซึ่งก็ไม่ได้มีอะไรมากนอกจากกระเป๋าสตางค์กับโทรศัพท์มือถือและเสื้อผ้าหนึ่งชุด เขาเดินไปหาถุงพลาสติกในห้องครัว เมื่อพบก็นำข้าวของของคนป่วยยัดลงไปนั้นแล้วกลับออกมาอีกครั้งเพื่ออุ้มละอองดาวขึ้นจากเตียง
“ดะ...เดี๋ยว นี่คุณจะพาฉันไปไหน?”
ละอองดาวถามอย่างงงๆ นางวิภาเองก็พลอยงงไปด้วย นางรีบลุกตามหลังบุตรชายที่อุ้มคนป่วยตรงไปยังประตู
“ในเมื่อเรื่องมันเยอะนักก็กลับบ้านมันตอนนี้ล่ะ”
เขาเอ่ยออกมาอย่างคนที่ตัดสินใจดีแล้ว ละอองดาวหันมาสบตากับแม่สามีที่เดินมาตามหลัง นางวิภาไม่ว่าอะไร นางทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แต่พอใจอยู่ลึกๆ ที่บุตรชายตัดสินใจทำแบบนี้
ทั้งสามลงลิฟต์มาถึงชั้นล่างสุด พยาบาลนางหนึ่งรีบเข้ามาถามเมื่อเห็นญาติคนไข้กำลังจะพาคนไข้ออกไปโดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตจากคุณหมอ และที่สำคัญยังไม่ได้จ่ายค่ารักษาพยาบาล
“ถ้าหล่อนจะเอาค่าห้องฉันจะขึ้นค่าเช่าเจ้าของโรง’บาล”
นางวิภาจวกใส่หน้าพยาบาลทันทีที่เจ้าหล่อนมายืนขวางทางมิให้นางกลับบ้านไปหลับไปนอน แถมยังมาบอกว่านางยังไม่ได้เคลียร์ค่ารักษา เรื่องนั้นมันก็จริงแต่เอาไว้วันหลังได้ไหมหรือว่าค่อยส่งบิลไปเก็บที่บ้านก็ได้เพราะเจ้าของโรงพยาบาลรู้จักนางดี ก็ลุงหมอของบุตรชายนี่ไง เมื่อวานยังไปตรวจอาการให้ลูกสะใภ้นางอยู่เลย
“คุณแม่ครับพูดกันดีๆ ก็ได้ เธอไม่ได้รู้ว่าคุณแม่กับคุณลุงรู้จักกัน” บุตรชายปรามมารดาที่กำลังพาลไปทั่ว นางคงโมโหง่วงกระมัง บางทีอาจจะรุนแรงกว่าโมโหหิวที่ใครๆ เขาเป็นบ่อยๆ “เราเป็นญาติกับคุณลุงประสิทธิ์ เดี๋ยวค่อยส่งบิลไปที่จตุรศิลป์ก็แล้วกัน” วาโยสั่งความนางพยาบาลเพิ่มเติม ซึ่งพยาบาลก็พยักหน้ารับอย่างงงๆ เจ้าหล่อนหลีกทางให้แต่โดยดีเพราะอย่างน้อยก็รู้แล้วว่าพวกเขามาจากจตุรศิลป์ นามสกุลที่ใครๆ ในโรงพยาบาลก็รู้จักดีนั่นเพราะเงินที่ตระกูลนี้บริจาคให้ที่นี่นั้นตกปีละหลายล้านทีเดียว
“แค่นี้ก็สิ้นเรื่อง”
นางวิภายังบ่นอุบไม่เลิก นางง่วงนอนจนตาจะปิดอยู่รอมร่อ และพอเดินจนถึงรถบุตรชาย ยัยนิลอรที่นั่งอยู่ด้านหน้าคู่คนขับก็ลงมายกมือไหว้ ละอองดาวครุ่นคิดครู่หนึ่งว่าเธอคุ้นหน้าผู้หญิงคนนี้เหลือเกิน และพอแม่สามีเอ่ยนามเจ้าหล่อนนั้นเธอจึงได้เข้าใจ ผู้หญิงที่เธอเคยเห็นในรูปไม่ใช่ วีนุตตรา แต่เป็น...
“ไหว้พระเถอะย่ะแม่นิลอร” นางวิภาไม่ได้รับไหว้ นางยืนคอแข็งเชิดใส่คนที่ไม่เคยถูกชะตา หากจะว่าไปนางนึกชังใบหน้าสวยคมของนิลอรมากกว่าแม่พี่สาวขี้โรคของหล่อนเสียอีก “หลีกไปสิยะ เมียเขาจะขึ้นรถหล่อนจะมายืนเจ๋ออยู่ทำไม” นางเอ่ยท้วงเมื่อนิลอรยังยืนอยู่ตำแหน่งที่ขวางประตูรถพอดิบพอดี
นิลอรกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เธอยิ้มเจื่อนๆ ส่งให้ด้วยใบหน้าปั้นแต่งว่ารู้สึกผิด แล้วรีบหลีกทางให้วาโยวางร่างภรรยาตีทะเบียนของเขาลงบนเบาะ เธอจำต้องนั่งด้านหลังคู่กับมารดาของวาโยซึ่งนางก็มิได้เอ่ยอะไรกับเธอเลย คงกลัวว่ากลิ่นคนจนจะติดผิวเนื้อไปกระมังถึงมิได้เอ่ยวาจาสนทนาด้วย และเมื่อรถเคลื่อนไปได้สักระยะแม่คนป่วยที่นั่งอยู่ตอนหน้าก็มีอาการบางอย่าง
ไรเตอร์รั่วๆ แต่จริงใจ ^_^
เข้ามาแล้วไซร้ไยไม่กดถูกใจละเจ้าคะ
^_^ งุงิงุงิ อ้อนๆๆๆๆๆ
Lilly
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 มี.ค. 2556, 03:29:39 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 มี.ค. 2556, 03:29:39 น.
จำนวนการเข้าชม : 11638
<< บทที่ 6 ลูกสะใภ้ข้า อย่าแตะ! 50% | บทที่ 7 ศัตรูตัวจริง 50% >> |
dee_jung 9 มี.ค. 2556, 11:53:47 น.
มาให้กำลังใจจ้า
มาให้กำลังใจจ้า
Lilly 9 มี.ค. 2556, 16:18:22 น.
ขอบคุณมากมายจร้า
ขอบคุณมากมายจร้า
ลิลลี่ 9 มี.ค. 2556, 16:31:49 น.
เมื่ิอไหร่จะรู้ซักทีว่าเมียท้อง!!!!!!!!!!!!!!!
เมื่ิอไหร่จะรู้ซักทีว่าเมียท้อง!!!!!!!!!!!!!!!
coonX3 10 มี.ค. 2556, 00:06:05 น.
ให้นางเอกหาทางเอาคืนพระเอกซะบ้าง สามีที่ชอบบังคับและพูดจาอย่างเเย่ๆๆมาก
ให้นางเอกหาทางเอาคืนพระเอกซะบ้าง สามีที่ชอบบังคับและพูดจาอย่างเเย่ๆๆมาก