พรหมลิขิตสีดำ(สนพ.อินเลิฟ)
ภาพความใกล้ชิดระหว่างบ่าวสาว คนอื่นมองคงเห็นว่าทั้งสองกำลังกระซิบกระซาบบอกรัก หยอกเย้ากันเหมือนคู่รักคนอื่น แต่ความจริงแล้ว...กลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง!
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๓

นานๆอัพเรื่องนี้ที แหะๆ ^_^"

ขอบคุณที่ติดตามค่ะ ^/\^

---------------------------------------------

ปอร์เช่คันขาวปลอดแล่นเข้าไปจอดในซองอย่างรวดเร็วบอกถึงความชำนาญของคนขับได้เป็นอย่างดี ขณะคนที่นั่งข้างๆนั่งตัวเกร็งอย่างหวาดเสียวกลัวว่าอีกฝ่ายจะพลาดท่าไปเฉี่ยวรถคันอื่นเข้า ตรีทศดับเครื่อง ดึงกุญแจออกจากรถ แล้วหันมาเอ่ยด้วยสุ้มเสียงติดจะหยันเช่นเคย

“เอ้า...ลงไปซิ หรือต้องรอให้ฉันลงไปเปิดประตูให้”

พรนภัสลอบระบานลมหายใจ หากก็ไม่ต่อล้อต่อเถียงใดๆ หญิงสาวก้าวลงจากรถ แล้วยินรอกระทั่งคนตัวโตก้าวลงมาตาม ไม่ต้องให้เขาสั่ง ทันทีที่อีกฝ่ายดุ่มเดินตรงไปยังประตูห้างสรรพสินค้า ร่างบางก็รีบตามไปอย่างว่องไว

พอผ่านประตูกระจกเลื่อนเข้ามาด้านในก็ปะทะเข้ากับความเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศทั้งที่เมื่อครู่ยังร้อนอบอ้าวอยู่เลย พรนภัสตัวสั่นน้อยๆยกมือกอดอก ขณะกวาดสาวตามองซ้ายขวา จึงไม่ทันได้สังเกตว่าคนตัวโตหยุดเดินและหมุนตัวหันหลังมามองปักหลักมองจ้องเธออยู่ก่อนแล้ว

พลั่ก!

ร่างเล็กชนเข้ากับเรือนร่างกำยำของตรีทศเข้าอย่างจัง

“อุ๊ย” หญิงสาวอุทานเบาๆ ก่อนพึมพำขอโทษขอโพย ยามเมื่อเธอเงยหน้ามองสบตาสีนิลกาฬ...ดำมืดจนลึกสุดหยั่ง....ลึกเสียจนตอนนี้พรนภัสไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

“ท่าทางเหมือนลูกนกหลงทางแบบนี้ซินะ ถึงทำให้พ่อของฉันหลงใหลได้ปลื้มเสียมากมาย”

ดวงตากลมโตซึ่งปกติเรียบเฉยไร้ความรู้สึกพลันจุดสว่างวาบขึ้นมาในบัดดล ...เป็นความรู้สึกเล็กๆน้อยๆที่เธอไม่อาจควบคุมได้ และทำให้คนมอง...รู้สึกดี

ตรีทศรู้สึกเหมือนพรนภัสยังมีชีวิตจิตใจ มีเลือดเนื้อ มีความรู้สึก ไม่ได้เป็นหุ่นยนต์ที่ไม่รับรู้ร้อนหนาวรอบกายแต่อย่างใด ชายหนุ่มมองคนตรงหน้าที่เม้มปากจนเป็นเส้นตรง กับสีหน้าที่ดูอึดอัดเล็กๆด้วยความ...สนุก

“ถึงกับพูดไม่ออกเลยเชียวหรือพรนภัส...ฉันคงพูดถูกใช่ไหม”

“คุณตัดสินคนด้วยสายตา มุมมอง และความคิดของคุณเองทั้งนั้น...” คนที่หลุบสายตาลงต่ำเงยหน้ามามองเขาอีกครั้ง ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงหวานใส หากเย็นเยียบไร้ความโกรธขึ้งแต่อย่างใด

“...ซึ่งมันไม่ได้ถูกต้องเสมอไปนะคะ”

ความสนุกของตรีทศหายวับไปกับตา คิดว่าพรนภัสจะรู้จักอาละวาด หรือเถียงเขากลับอย่างเหลืออด แต่เธอยังควบคุมตัวเองได้เป็นอย่างดี...อารมณ์ของเธอเปรียบเสมือนน้ำในทะเลสาปที่สงบนิ่งต่างจากเปลวเพลิงร้อนแรงอย่างเขา

ตรีทศพร้อมจะเป็นไฟ เผาผลาญทำลายทุกสิ่งทุกอย่างได้ในพริบตา หากพรนภัสก็พร้อมจะเป็นน้ำดับไฟร้อนรุ่มในอกของเขาให้มอดดับในบัดดล

ร่างสูงกัดกรามแน่น ไม่เอื้อนเอ่ยใดๆอีก หมุนตัวกลับแล้วก้าวเท้าเดินต่อไปด้วยฝีเท้าอันมั่นคง

พรนภัสเดินตามเงียบๆ เว้นระยะห่างไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ตนเองเดินชนเขาอีก ชายหนุ่มพาเธอขึ้นบันไดเลื่อนขึ้นไปยังชั้นบน ก่อนจะเดินนำลิ่วตรงไปยังร้านแห่งหนึ่ง ป้ายหน้าร้านเขียนติดไว้ว่ารัตนาเวดดิ้งสตูดิโอ...ร้านนี้บริการถ่ายภาพพรีเวดดิ้งรวมถึงภาพวันงาน ให้เช่า ขายและตัดชุดวิวาห์ อีกทั้งยังให้บริการการ์ดแต่งงาน ของชำร่วยและช่างแต่งหน้าอย่างครบครัน

พรนภัสผลักประตูกระจกตามตรีทศเข้าไปด้านใน ตอนนี้เขากำลังคุยอะไรบางอย่างกับเจ้าของร้านซึ่งปราดเข้ามาต้อนรับอย่างนอบน้อม ท่าทางเหมือนรู้จักมักคุ้นกันมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น พูดคุยอยู่ครู่ใหญ่หญิงวัยกลางคนคนนั้นก็ปี่เข้ามาหาเธอ แล้วเอ่ยชมไม่ขาดปาก

“คนนี้หรือคะ เจ้าสาวของคุณตรี...สวยมากเลยค่ะ...” ว่าพลางกวาดตาสำรวจเธออย่างประเมิน แต่ปากขยับเอ่ยชมไปเป็นที่เรียบร้อยเสียแล้ว “...เหมาะกับคุณตรีม๊ากมาก”

คำสุดท้ายขึ้นเสียงสูงอย่างไม่จริงใจเลยสักนิด พรนภัสชักระอากับคำชมจอมปลอมและการใส่หน้ากากเข้าหากันของคนสมัยนี้เสียเหลือเกิน หญิงสาวไม่ได้เอ่ยอะไรแต่หันไปมองคนตัวโตซึ่งกำลังนั่งหมิ่นเหม่อยู่ตรงเคาน์เตอร์ คิ้วเข้มของเขาขมวดเข้าหากันจนแทบเป็นปม ...ถ้าจะให้เดาล่ะก็ เธอเชื่อว่าเขาไม่พอใจในถ้อยคำของเจ้าของร้านผู้นี้เป็นแน่แท้

“สาวๆหลายคนคงอิจฉาคุณกันยกใหญ่แน่ๆคะ”

อิจฉาอย่างนั้นหรือ...พรนภัสไม่คิดแบบนั้นเลยแม้แต่น้อย เพราะรู้ดีว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ หากเต็มไปด้วยขวากหนามที่พร้อมจะจู่โจมเข้าใส่เธอได้ทุกเมื่อ

“คุณรัต...ผมไม่มีเวลาว่างนักหรอกนะครับ”

ถ้อยคำนั้นทำให้เจ้าของร้านยิ้มจืดเจื่อนในทันที

“ผมว่าคุณพาเราสองคนไปเลือกชุดเลยดีกว่า”

รัตนารีบกุลีกุจอเดินนำไปยังห้องแต่งตัวที่แบ่งเป็นสองห้องชัดเจนระหว่างชายกับหญิง ภายในห้องนั้นยังถูกแบ่งเป็นห้องย่อยเพื่อมีไว้สำหรับเปลี่ยนชุด พื้นที่อีกส่วนหนึ่งเป็นตู้กระจกขนาดใหญ่สำหรับเก็บชุดเจ้าบ่าวเจ้าสาวมากมายหลายแบบ

ทั้งสองแยกกันเข้าไปคนละห้องโดยรัตนาเป็นฝ่ายคอยดูแลบริการตรีทศ ก่อนจะส่งลูกน้องของเธอมาคอยดูแลให้คำแนะนำพรนภัส

ตรีทศใช้เวลาเลือกเพียงไม่นาน แต่สำหรับพรนภัสแล้ว เธอใช้เวลาเลือกอยู่นานทีเดียว เพราะแต่ละชุดช่างละลานตามากมายหลายแบบจนไม่รู้ว่าจะเลือกชุดไหน ยิ่งไปกว่านั้นหากเลือกเองไม่ถูกใจตรีทศแล้ว เขาอาจจะพาลโมโหโกรธาขึ้นมาก็เป็นได้

ผ่านไปสิบนาทีเมื่อเห็นว่าว่าที่เจ้าสาวยังเลือกชุดไม่ได้ ตรีทศก็ถือวิสาสะก้าวเข้ามาในห้องนั้นในทันที เขาก้าวอาดๆทำหน้าตาบูดบึ้งถมึงทึงอย่างดุดันจนสาวน้อยซึ่งคอยมาดูแลเธอถึงกับกลัวจนหน้าซีดเลยทีเดียว

“คุณออกไปก่อน ผมจะดูแล...” ชายหนุ่มนิ่งงันไปอึดใจก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงห้วนสั้น “...เจ้าสาวของผมเอง”

คล้อยหลังสาวน้อยคนนั้น ตรีทศก็ปรี่เข้ามาหาเธอ แล้วต่อว่าด้วยถ้อยคำรุนแรงเช่นเคย

“มัวแต่โอ้เอ้ทำอะไรอยู่ ผมไม่มีเวลามากมายหรอกนะ งานยังมีให้ทำอีกเยอะแยะ ไอ้ชุดบ้าๆนี่ก็เลือกๆมาสักชุดเถอะน่า ไม่ต้องเรื่องมาก!” ทันทีที่ก้าวเข้ามาประชิด เขาก็คว้าต้นแขนทั้งสองของเธอไว้ แล้วบีบแน่นเสียจนหญิงสาวต้องนิ่วหน้า

“...อย่าบอกนะว่าที่เธอมัวแต่พิรี้พิไรเลือกชุดเพราะคิดว่างานแต่งงานครั้งนี้เป็นเรื่องจริง”

คนตัวโตแค่นยิ้ม ทำเสียงบางอย่างในลำคอแบบที่พรนภัสไม่เคยชอบเลยแม้แต่น้อย

“เธอลืมไปแล้วรึไงว่างานแต่งงานของเรามันเป็นแค่เรื่องหลอกๆ...ครบหนึ่งปีแล้วเราก็จะหย่ากัน...อ้อ...เธอคงคิดว่าฉันจะ ‘ติดใจ’ จนอยากให้เธอเป็นเมียของฉันจริงๆงั้นซิ’”

รอยยิ้มเย้ยหยันจุดบนริมฝีปากหยักลึก ดวงตาดำสนิทไม่มีแวววับหวานดังเช่นเจ้าบ่าวมีให้ต่อเจ้าสาวเลยแม้แต่น้อย ...มีเพียงรอยโทสะ โกรธขึ้ง เกลียดชัง และเหยียดหยามจนคนมองรู้สึกเจ็บแปลบในอก

“ฝันไปเถอะ พรนภัส!”

เขาดันตัวเธอออกอย่างแรง จนร่างบอบบางเซไปปะทะตู้ทางด้านหลัง พรนภัสยกมือคลำต้นแขนทั้งสองที่เขาบีบแรงป้อยๆเพื่อคลายความเจ็บ ริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าหากันแน่นบอกชัดว่าผู้เป็นเจ้าของกำลังอดทนอดกลั้นมากเพียงใด หญิงสาวสูดลมหายใจลึกยาว กำลังจะเงยหน้าขึ้นมองสบตาอีกฝ่ายพร้อมเอื้อนเอ่ยอธิบายถึงเหตุผลที่เธอเลือกชุดไม่ได้สักที หากตรีทศกลับปาชุดๆหนึ่งใส่หน้าเธออย่างแรง หญิงสาวต้องหลับตาปี๋ เบี่ยงศีรษะหลบโดยไว

“สวมชุดนี้แหละ เสร็จแล้วรีบออกไปข้างนอก เข้าใจไหม!”

ร่างบางดึงชุดเจ้าสาวนั้นออกจากใบหน้า แล้วตวัดสายตาขุ่นเคืองใส่เขา ผมเผ้าของเธอตอนนี้กำลังยุ่งเหยิงราวกับคนที่เพ่งตื่นนอน ใบหน้าที่เคยเรียบเฉยไร้ความรู้สึก บัดนี้กลับแดงก่ำ...และมันทำให้ตรีทศจ้องมองอย่างสนอกสนใจ

“เธอกำลังโกรธฉันใช่ไหม” ถามพลางสาวเท้าเข้ามาใกล้ ก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งเชยคางมนบังคับให้เธอเงยหน้าสบตาเขากลายๆ

“เธอก็โกรธเป็นเหมือนกันนี่ พรนภัส”

‘ยัยน้ำแข็ง’ สะบัดหน้าออกจากมือเขา ก่อนตอบด้วยสุ้มเสียงที่พยายามจะทำให้มั่นคง

“คุณไม่มีทางรู้หรอกค่ะว่าเวลาที่ฉันโกรธจริงๆน่ะมันเป็นยังไง”

“ทำไม เธอจะทุบตีทำร้ายฉันเรอะ!” แล้วเขาก็แสร้งหัวเราะอย่างขบขัน “ตัวเล็กๆแค่นี้จะทำอะไรฉันได้”

พรนภัสเม้มปากสนิท ไม่ตอบโต้อะไรกลับไปทั้งนั้น หากใช้ความสงบเอาชนะความร้อนแรงของเขาอย่างที่เคยทำอยู่เป็นประจำ และมันก็ได้ผลเมื่อชายหนุ่มถอนหายใจหนักๆแล้วถอยห่างออกจากเธอทันที แต่ก่อนจะออกจากห้องเขายังไม่วายกำชับแกมขู่ว่า

“ฉันให้เวลาห้านาที ถ้าเธอยังไม่เสร็จ...ฉันจะมาสวมให้เธอเอง!”



คล้อยหลังตรีทศ พรนภัสก็ทรุดฮวบลงบนพื้น ใจสั่นรุนแรงทั้งเพราะความเสียใจและความโกรธ ดวงตากลมโตแดงก่ำ น้ำตาเกือบจะไหลออกมาแล้วเธอยังเก็บกดมันไว้ได้ดีเหมือนเดิม ร่างบางก้มมองชุดสีขาวที่วางอยู่บนตัก มือของเธอขยุ้มมันจนยับยู่ยี่ไปหมดแล้วซึ่งไม่ต่างอะไรกับการแต่งานครั้งนี้เลยสักนิด

...การแต่งงานที่ไม่ได้ราบรื่นเหมือนใครอื่น ไม่ได้เกิดจากการหลอมรวมของหัวใจรักของคนสองคน ไม่ได้เต็มไปด้วยความสุข ไม่มีความโรแมนติก อบอุ่น หรือหอมหวานเหมือนงานทั่วไป หากมันเต็มไปด้วยความเจ็บปวด กดดัน อึดอัด และทรมานแสนสาหัส

พรนภัสกลับมาทบทวนการกระทำของตัวเองอีกครั้ง...มันถูกต้อง สมควร และควรทำแล้วหรือที่จะแต่งงานกันโดยไม่มีความรัก ไม่มีความรู้สึกดีๆระหว่างกัน ไม่เคยมองตากันด้วยอย่างวับหวาน ไม่เคยพูดกันดีๆดดยไม่มีเรื่องขัดแย้ง...การแต่งงานไม่ควรเป็นแบบนี้ ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่ปีเดียวก็เถอะ...ทว่าภายในหนึ่งปีนั้นเธอจะต้องเผชิญกับความขมขื่นอย่างไรบ้างและ...มากเพียงใด

...ควรแล้วหรือที่จะเอาชีวิตไปจมอยู่กับผู้ชายคนนั้น...คนที่เธอหลงผิดไปชอบ ชื่นชม ปลาบปลื้มตั้งแต่เด็ก

หญิงสาวเคยคิดว่ามันเป็นเพียงความรู้สึกชั่วครู่ชั่วยาม เป็นเพียงปั๊ปปี้เลิฟที่คงเลือนหายไปตามกาลเวลา หากมันไม่จริงเลย...ความรักในใจเธอยังคงอยู่จวบจนกระทั่งวันนี้ ทั้งที่ตรีทศเกลียดเธอเข้ากระดูกดำ เธอกลับยัง...รัก

รักไปได้อย่างไร...แม้แต่เธอก็ยังไม่เข้าใจตัวเองเลยสักนิด

บางทีอาจเป็นเพราะวันนั้น...วันที่เธอเกือบจะจมน้ำ แต่เขาช่วยชีวิตเธอไว้ก็เป็นได้

เพียงแค่ช่วยชีวิตในครั้งนั้นล่ะหรือ ที่ทำให้เธอฝังใจอยู่กับเขาตลอดมา

พรนภัสส่ายหน้ากับตัวเอง ถอนหายใจหนักหน่วงเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็คร้านจะนับ จากนั้นจึงพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นยืน กำลังจะก้าวเข้าไปในห้องแต่งตัวอยู่แล้วก็พอดีว่าลูกน้องของคุณรัตนาสาวเท้าเข้ามาพอดี

“ตายแล้ว...ยังไม่แต่งตัวอีกหรือคะคุณ”

ร่างสูงผอมของเธอคนนั้นปราดเข้ามาฉวยชุดในมือของพรนภัสไปถือไว้ ก่อนกวาดสายตามองอย่างพอใจ

“ตาแหลมมากเลยนะคะเนี่ย...ชุดนี้เหมาะกับคุณมากค่ะ”

ยังไม่ทันเอ่ยอะไรมากกว่านั้น เมื่อเสียงห้าวดุของเจ้าบ่าวดังขึ้นจนกลับเสียงเพลงในร้านไปเสียสิ้น

“เสร็จรึยังพรนภัส! นี่มันจะครบห้านาทีแล้วนะ อยากให้ฉันเข้าไปแต่งตัวให้รึไง!”

คนที่อยู่ภายในห้องหันมามองสบตากัน แก้มของพรนภัสแดงปลั่ง ขณะที่ผู้ช่วยเจ้าของร้านยิ้มกรุ้มกริ่ม

“เอ่อ...คุณอยากให้เจ้าบ่าวเข้ามาช่วยไหมคะ เดี๋ยวฉันจะออกไป...”

“ไม่!...ไม่ค่ะ” หญิงสาวปฏิเสธทันควัน ก่อนรีบดึงมือคนตรงหน้าให้ตามเข้าไปในห้องแต่งตัวในบัดดล



ตรีทศในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวสวมทับด้วยสูทสีดำราคาแพง เป็นชุดที่ไม่ต่างจากชุดเดิมมากนัก จะมีที่แปลกไปก็ตรงที่หูกระต่ายสีดำตรงลำคอเพียงอย่างเดียว ร่างสูงรออย่างกระสับกระส่าย เดินกลับไปกลับมาหลายต่อหลายครั้งจนคุณรัตนาชักจะเวียนศีรษะจึงเสมองไปทางอื่นเสีย

ใช้เวลาพอสมควร พรนภัสจึงได้เดินออกมาจากห้องนั้นพร้อมกับชุดที่เจ้าบ่าวเป็นผู้เลือก

“เสร็จแล้วค่ะ”

เพียงแว่วเสียงเย็นๆของเธอ ตรีทศซึ่งกำลังยืนหันหลังให้ก็หันขวับไปมอง ริมฝีปากหยักลึกอ้าออกหมายจะต่อว่าอย่างไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะอับอายเพียงใด

“แค่แต่งตัวแค่เนี้ย ทำไมมันถึงได้...”

เสียงของเขาพลันขาดห้วงเมื่อเห็นคนตรงหน้าในชุดเกาะอกสีขาวบริสุทธิ์แนบเนื้อส่วนบนให้พอเห็นส่วนโค้งเว้าแสนงาม ขณะที่กระโปรงยามกรอมเท้าฟูฟ่องคล้ายชุดเจ้าหญิงในนิทานสมัยเด็ก ตรีทศไม่คิดว่าชุดที่เขาเลือกส่งๆจะทำให้ผู้หญิงจืดชืดอย่างพรนภัสงามสง่าได้ถึงเพียงนี้

...งามถึงขนาดทำให้เขาพูดไม่ออก บอกไม่ถูกไปพักใหญ่ทีเดียว

ผมยาวดำขลับล้อมกรอบวงหน้านวลที่แต่งแต้มเครื่องสำอางเพียงน้อย ไหล่และบ่าของเธอตั้งตรง ขณะที่สองมือซึ่งประสานกันไว้ทางด้านหน้าก็ไม่ได้ทำให้เขาขัดตาเหมือนเคย

ตรีทศยอมรับว่าพรนภัสทำให้เขาอดมองอย่างชื่นชมได้...เป็นความชื่นชมครั้งที่สองที่เขามีให้กับเธอ

เหมือนเวลาถูกหมุนย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน ในวันฉลองความสำเร็จจากการที่เขาเรียนจบมหาวิทยาลัย...ในวันนั้นบิดาของเขาซื้อชุดราตรีสีชมพูอมส้มให้กับเธอ เขาไม่คิดว่า ‘กา’ อย่างพรนภัสจะชูคอเฉิดฉายอย่าง ‘หงส์’ ได้ ทว่าเขาคิดผิด...เพียงวินาทีที่เธอปรากฏกายข้างสระน้ำ เธอก็สามารถสะกดสายตาหนุ่มๆแทบทุกคนไว้ที่เธอเพียงคนเดียว แม้แต่เขาเองก็ยังลืมตัว

...ลืมตัวเหมือนตอนนี้นี่ล่ะ บ้าชะมัด!

คนตัวโตสูดลมหายใจลึกยาว กัดกรามแน่นจนเป็นสันนูน ก่อนจะจ้องมองเจ้าสาวด้วยแววตาแข็งกร้าว

“เธอทำให้ฉันรอนานแค่ไหน รู้ไหม พรนภัส!”

เสียงดุดันเช่นนั้นทำให้คนในร้านสะดุ้งกันเป็นแถวๆ คุณรัตนาถึงกับขมวดคิ้วด้วยความสงสัยเมื่อเห็นว่าเจ้าบ่าว เจ้าสาวดูจะไม่ค่อยลงรอยกันนัก...รักกันหรือเปล่ายังดูไม่ออกเลยด้วยซ้ำ

“ขอโทษค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะให้คุณรอ”

พรนภัสยังคงตอบด้วยเสียงระดับเดิม แผ่วเบา หากมั่นคง ...มันลดทอนความแข็งกร้าวและร้อนรุ่มดั่งไฟในอกของคนถามได้เป็นอย่างดี ถึงกระนั้นตรีทศก็หงุดหงิดจนไม่อาจทนมองหน้าเจ้าสาวได้อีกต่อไป เขาเมินมองไปทางอื่นจึงเอ่ยถาม

“ชุดนี้เป็นยังไงบ้างคุณรัตนา”

“เอ่อ...เหมาะค่ะ เหมาะมากทีเดียว”

“โอเค...งั้นผมเอาชุดนี้” เขาเบือนสายตากลับมามองหน้าเจ้าของร้าน แล้วเอ่ยต่อไปว่า “ต่อไปก็ชุดไทยสำหรับงานตอนเช้า คุณช่วยเลือกและให้เธอลองให้เรียบร้อยแล้วกัน...ชุดไหนที่คุณชอบก็เอาชุดนั้นได้เลย”

สั่งความเสร็จสรรพ ร่างสูงก็เดินอาดๆไปนั่งรอในส่วนที่ถูกจัดไว้ให้ลูกค้านั่งรอ

“ผมจะนั่งรอตรงนี้ ถ้าเรียบร้อยแล้วก็มาบอกผมด้วยแล้วกัน”

เขาหมดความสนใจเพียงเท่านั้น เมื่อคว้านิตยสารตรงโต๊ะตรงหน้าขึ้นมาอ่านอย่างสนอกสนใจ พรนภัสกัดริมฝีปากจนรู้สึกเจ็บ ความน้อยใจรุมเร้าจนเรียกรอยรื้นในดวงตากลมโต

...จะมีเจ้าบ่าวเจ้าสาวคู่ไหนบ้างที่เป็นเช่นนี้ มีแต่ความเย็นชา ตีหน้ายักษ์เข้าใส่กันตลอดเวลา

พรนภัสกะพริบตาถี่เร็ว ละสายตาจากคนใจร้ายคนนั้นมายังคุณรัตนาที่จับจ้องมองอย่างพิจารณาอยู่ก่อนแล้ว

“รบกวนคุณรัตนาด้วยนะคะ”

เธอเอ่ยอย่างนอบน้อม อ่อนหวาน ก่อนเดินตามอีกฝ่ายเข้าไปในห้องแต่งตัวอีกครั้ง

ก่อนออกจากร้านในวันนั้น คุณรัตนานัดแนะให้เธอกับตรีทศกลับมาถ่ายรูปพรีเวดดิ้งในอีกสามวันข้างหน้าตามความต้องการของชายหนุ่ม

“ผมอยากรีบแต่ง”

ไม่รู้คนอื่นจะตีความถ้อยคำนั้นว่าอย่างไร...รักมากเสียจนไม่อาจรอได้อีกต่อไป หรืออยากมีโซ่ทองคล้องใจในเร็ววัน หากสำหรับพรนภัสแล้วเธอรู้ความหมายที่เขาจะสื่อได้อย่างเต็มหัวใจ

รีบแต่ง...เพื่อเร่งวันเวลาให้ครบหนึ่งปีเร็วๆ

จากนั้นก็หย่า...เพื่อที่จะได้ลาขาดจากกันตลอดชีวิต

พรนภัสรู้เต็มอก...นั่นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ตรีทศต้องการ!



นับจากวันนั้น พรนภัสคอยแต่จะเลี่ยงหลบหน้าตรีทศให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โชคดีที่เขาเองก็ดูเหมือนไม่ค่อยอยากจะพบหน้าเธอไหร่นัก ชีวิตในคฤหาสน์ปัจจภาคย์จึงค่อนข้างปกติสุขเฉกเช่นยามที่ตรีทศไปเรียนที่ต่างประเทศถึงห้าปี

แต่ถึงจะหลบหน้าอย่างไร ในเมื่ออยู่บ้านหลังเดียวกัน ย่อมต้องได้พบเจอกันบ้าง หากทุกครั้งตรีทศจะทำเพียงแค่ตวัดสายตามองผ่านเลยไปราวกับเธอไม่มีตัวตน พรนภัสรู้สึกแปลบๆในอกหากก็ไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไร...ยังพอทนได้

ดูเหมือนคำว่า ‘ทนได้’ จะกลายเป็นคติเตือนใจเธอไปเสียแล้ว เพราะไม่ว่าจะอยู่ในเหตุการณ์ไหน หญิงสาวก็บอกตัวเองเช่นนั้นเสมอ...เธอจะอดทนจนกระทั่งครบหนึ่งปีตามที่ได้รับปากกับคุณอธิปไว้ เมื่อถึงเวลานั้นถ้าทุกสิ่งที่อัดแน่นอยู่ในอกมันระเบิดขึ้นมา เธอคงจะไม่หักห้ามมันไว้อีกต่อไป

วันนี้พรนภัสเดินทางกลับจากร้านค่อนข้างดึก หากก็ไม่ได้โทร.เรียกให้คนขับรถไปรับแต่อย่างใด หญิงสาวยังคงใช้รถประจำทางรถประจำทางเหมือนวันอื่นๆ เพราะไม่อยากให้ตัวเอง 'ติด‘ อยู่กับความสะดวกสบายด้วยในวันข้างหน้าเธอคงไม่อาศัยในคฤหาสน์หลังใหญ่หลังนั้นไปจนชั่วชีวิตอย่างแน่นอน บางทีหนึ่งปีให้หลังนับจากวันนี้ เธออาจจะต้องระหกระเหินหาที่อยู่ใหม่ก็เป็นได้

ร่างบางลงจากรถประจำทาง เดินข้ามสะพานลอยมายังอีกฟากของถนน ก่อนเดินเลียบฟุตบาทตรงไปยังปากทางเข้าหมู่บ้าน รถราบนถนนใหญ่ยังคงขวักไขว่ หากถนนภายในหมู่บ้านกลับว่างเปล่าและเงียบสงบ พรนภัสส่งยิ้มให้รปภ.คนใหม่ที่เพิ่งเปลี่ยนกะจากคนเมื่อเช้า เอ่ยทักทายเพียงเล็กน้อย แล้วเร่งฝีเท้าเดินจากไป

ความมืดเริ่มโรยตัวจนมองทางแทบไม่เห็น พรนภัสเดินต่อไปอย่างไม่เร่งรีบเท่าไหร่นัก พลางนึกเป็นห่วงว่าป่านนี้ตรีทศจะรับประทานอาหารหรือยัง กำลังโมโหไม่ได้ดั่งใจอยู่หรือเปล่า หรือกำลังเริงร่ารื่นรมย์อยู่กับคนรักของเขา...ความคิดคำนึงของเธอมักเป็นเรื่องของผู้ชายคนนั้นอยู่เป็นประจำ ยามเธอเผลอไผลหรือเหม่อลอย ใบหน้าดุดันแข็งกระด้างก็ปรากฏในความคิดอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว หลายต่อหลายครั้งหญิงสาวนึกโมโหตัวเอง หากก็แค่นั้น...โมโหเพียงไม่นานแล้วปล่อยให้ความคิดลื่นไหลไปตามทางที่มันต้องการต่อไป

ร่างแบบบางยังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ ดีที่เธอเป็นคนไม่ชอบสวมรองเท้าส้นสูง การเดินไปไหนไกลๆจึงไม่มีปัญหามากนัก กระโปรงที่เธอสวมก็สั้นประมาณเข่าไม่ได้แคบและรัดเหมือนที่สาวๆสมัยนี้ชอบกัน การก้าวเท้ายาวๆในเวลาที่เร่งรีบจึงไม่มีปัญหาอะไร หากที่กำลังจะมีปัญหาตอนนี้คือ...ละอองฝนที่กำลังโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้าเบื้องบนต่างหาก

พรนภัสเป็นคนไม่ชอบพกร่ม เธอมักรำคาญกับการหิ้วของพะรุงพะรัง แค่กระเป๋าถือใบเดียวก็มากพอแล้ว ดังนั้นจึงมีบ่อยครั้งที่เธอมักจะเปียกฝนเปียกมะลอกมะแลกกลับมาบ้าน โดยเฉพาะหลังจากที่เธอปฏิเสธไม่ให้คนขับรถประจำคฤหาสน์คอยรับคอยส่งเธอหลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัยนั่นละ

เม็ดฝนที่หยาดหยดลงมากระทบกลางกระหม่อม และหน้าผากสองสามหยดทำให้หญิงสาวต้องเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น เดินมาเพียงครึ่งทางกว่าจะถึงคฤหาสน์ปัจจภาคย์ ฝนก็สร้างความลำบากให้เธอด้วยการเทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา หญิงสาวรีบยกกระเป๋าสะพายบังศีรษะตัวเองไว้แล้วออกวิ่งในทันที

ใช้เวลาพอสมควรกว่าเธอจะมาถึงหน้าประตูทองเหลืองขนาดใหญ่ เสื้อผ้าเปียกชุ่มแนบเนื้อตัว ผมเปียกลู่ล้อมกรอบใบหน้ารูปไข่...ช่างเป็นสภาพที่ดูไม่ได้เสียเหลือเกิน และโชคร้ายที่ค่ำวันนี้ตรีทศอยู่บ้าน เขาไม่ได้ออกไปเที่ยวเตร่กับคนรักหรือสาวคนใดเหมือนเช่นวันอื่นๆ

พรนภัสมองฝ่าสายฝนเบื้องหน้าก็เห็นคนตัวโตยืนเอามือกอดอกปักหลักยืนอยู่หน้าประตูบ้าน ขณะที่นายมิ่งคนขับรถที่คอยรับส่งเธอเมื่อก่อนเป็นประจำรีบกุลีกุจอมาเปิดประตูให้พร้อมกับร่มในมือ

“คุณฟ้าน่าจะเรียกให้ผมไปรับนะครับ”

“ไม่เป็นไรค่ะ ลุงมิ่ง ฟ้ากลับได้” เธอรับร่มมาถือไว้แล้วก้มมองตัวเองที่เหมือน...ลูกแมวตกน้ำแล้วยิ้ม “แค่วันนี้ต้องเปียกนิดๆหน่อยๆเท่านั้นเอง”

เธอตัดบทด้วยการเร่งฝีเท้าตรงไปตามทางที่ทอดยาวสู่ตัวคฤหาสน์ เมื่อมาถึงก็ถอดรองเท้าไว้ทางด้านหน้า ยื่นร่มคืนให้กับนายมิ่งที่รีบฉวยมาถือไว้แล้วเดินหายลับไปทางด้านหลังคฤหาสน์อย่างรวดเร็ว ร่างบางก้าวขึ้นบันไดเตี้ยสามขั้นโดยไม่ยอมเงยหน้ามองสบตาตรีทศเลยแม้แต่น้อย

ทันทีที่ก้าวขึ้นมาถึงชั้นบนสุด เสียงห้าวต่ำก็ดังขึ้นแทรกผ่านเสียงสายฝนกระหน่ำ

“ไปเถลไถลที่ไหนมาล่ะ”

เท้าที่กำลังจะก้าวไปชะงักทันควัน หญิงสาวหมุนตัวมาทางคนถาม พร้อมกับเงยหน้ามองสบตาสำสนิทคู่นั้น

“วันนี้ลูกค้าเยอะค่ะ เลยปิดร้านช้ากว่าปกติ”

“งั้นหรือ...ไม่ใช่ว่าไปเที่ยวกับหนุ่มๆที่ไหนหรอกนะ”

ดวงตากลมโตมีรอยสว่างวาบขึ้นมาเพียงเสี้ยววินาทีและเป็นจุดเล็กๆ...บ่งบอกว่าเธอกำลังไม่พอใจ ถึงกระนั้นใบหน้าของพระนภัสยังเรียบเฉย และเวลานี้มันขาวซีดราวกระดาษเลยทีเดียว

“แล้วแต่คุณจะคิดเถอะค่ะ” เธอเอ่ยอย่างกระชับและรวดเร็ว “ขอตัวนะคะ”

“เดี๋ยว” คนตัวโตร้องเรียกพร้อมกับฉวยต้นแขนของเธอไว้อย่างแรง จนร่างเล็กแทบจะปลิวไปปะทะเขา “ฉันยังพูดไม่จบ”

คนตัวเล็กพยายามห้ามใจไม่ให้พ่นลมหายใจใส่เขา แล้วยืนนิ่งฟังอย่างสงบ

“พรุ่งนี้เราต้องไปถ่ายรูป...” ตรีทศนิ่งไปครู่ ก่อนเอ่ยต่อโดยที่มือของเขายังจับแขนของเธอแน่น “...จำได้รึเปล่า”

“จำได้ค่ะ...คุณรัตนานัดตอนบ่ายโมง”

“ฉันคงไม่ต้องไปรับเธอที่ร้านอีกหรอกกระมัง....เธอไปเองได้ใช่ไหม พรนภัส”

เจ้าสาวที่ต้องไปเวดดิ้งสตูดิโอด้วยตัวเองเม้มริมฝีปากแน่นเพียงครู่เดียวแล้วพยักหน้า

“ค่ะ...ฉันจะไปให้ตรงเวลา ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ”

แล้วเธอก็ค่อยๆดึงแขนของตัวเองออกจากพันธนาการอย่างสุภาพ พึมพำขอตัวอีกครั้ง ก่อนรีบสาวเทาเข้าไปด้านในเร็วรี่เมื่อรู้ว่าความหนาวเริ่มจู่โจมเข้าใส่จนทำให้เธอสั่นสะท้าน และถ้าไม่อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าตอนนี้ รับรองได้เลยว่าพรุ่งนี้เธอคงต้องจับไข้เป็นแน่ พรนภัสไม่รีรอใดๆอีกต่อไป เธอกึ่งเดินกึ่งวิ่งขึ้นไปยังห้องของตัวเอง และไม่สนใจแม้กระทั่งถ้อยคำที่ลอยตามลมมาว่า

“เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วรีบลงมาเตรียมอาหารเย็นให้ฉันด้วย ได้ยินไหม พรนภัส!”



ทันทีที่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ พรนภัสอยากล้มตัวลงนอนบนเตียงนุ่มอุ่นในทันใด หากก็ต้องแข็งใจย้ายสังขารที่ค่อนข้างอ่อนแรงของตนเองลงไปยังชั้นล่าง ของตาของเธอร้องผ่าว เนื้อตัวก็ยังคงร้อนสลับหนาว บ่งบอกว่าตนเองกำลังจับไข้ หญิงสาวระบายลมหายใจยาวยามเมื่อสาวเท้าเข้าไปในห้องครัว ป้าแสงซึ่งหันมาเห็นใบหน้าซีดๆของเธอถึงกับเอ่ยทัก

“คุณฟ้าหน้าซีดจังเลยค่ะ ไม่สบายรึเปล่าคะ”

คนถูกถามยิ้มบางในหน้า ก่อนตอบด้วยเสียงแหบแห้ง

“สงสัยจะจับไข้ค่ะ...ป้าแสงพอจะมียาพาราสักสองเม็ดไหมคะ”

“มีค่ะมี รอแป๊บนะคะ”

ละล่ำละลักตอบพร้อมรีบกระวีกระวาดออกไปหยิบยามาให้ ขณะที่พรนภัสหันมาถามเด็กรับใช้สองคนที่กำลังง่วนอยู่กับผักบุ้งไฟแดงในกระทะ กับต้มยำกุ้งส่งกลิ่นหอมฉุยในหม้อขนาดใหญ่

“เสร็จรึยังจ๊ะ”

“ใกล้เสร็จแล้วค่ะคุณฟ้า”

สิ้นเสียงนั้น ป้าแสงก็กลับมาพร้อมยาแก้ไข้สองเม็ดพร้อมกับน้ำเย็นเต็มแก้ว หญิงสาวหันไปขอบคุณแล้วรับมาโยนเข้าปาก ก่อนดื่มน้ำตามเข้าไปอึกใหญ่ เมื่ออาหารเสร็จเรียบร้อย พรนภัสก็อาสาตักใส่ชามและจานด้วยตนเอง ก่อนจะนำมาวางบนถาดแล้วเป็นคนยกไปเสิร์ฟที่ห้องรับประทานอาหาร

โต๊ะยาวใหญ่ว่างเปล่า ตรีทศคงนั่งรอที่ห้องนั่งเล่นเหมือนเคย หญิงสาวกำชับให้เด็กรับใช้ตักข้าวใส่จานเสร็จสรรพ จึงเดินออกไปตามคุณผู้ชายแห่งคฤหาสน์ปัจจภาคย์ เขากำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ตรงโซฟาตัวยาวเบาะหนานุ่ม เพียงได้ยินเสียงฝีเท้าของเธอ คนที่กำลังตั้งหนาตั้งตาอ่านพลันเงยหน้าขึ้นมามองทันควัน

“เชิญคุณตรีค่ะ”

พรนภัสพูดเหมือนทุกครั้งด้วยน้ำเสียงและใบหน้าที่เรียบเฉย ขณะที่ตรีทศหน้าบึ้งตึง ดวงตาขุ่นควั่ก รู้ดีว่าเขาคงไม่พอใจที่เธอกลับบ้านช้า จนต้องเลื่อนเวลารับประทานอาหารเย็นออกไป ถึงกระนั้นใจหนึ่งก็ยังสงสัยเป็นนักหนาว่าทำใดเขาจึงรอ ทั้งๆที่ชังน้ำหน้าจนแทบไม่อยากพบปะพูดคุยกันเสียด้วยซ้ำ

ร่างเล็กถอนหายใจบางเบา พร้อมกับสาวเท้าตามหลังเจ้าของบ้านผู้เดินดุ่มเข้าไปในห้องอาหารเร็วรี่ น้ำหนักเท้าที่ลงในแต่ละย่างก้าวช่างหนักแน่น มั่นคง เต็มไปด้วยความมั่นใจในตัวเอง และ...อัดแน่นด้วยอารมณ์ภายในที่ยังคุกรุ่น ความโกรธของเขาไม่เคยจางหายโดยง่าย ส่วนใหญ่แล้วมักจะใช้เวลาเป็นวัน หรือมากกว่านั้น โดยเฉพาะถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับเธอ เขาจะยิ่งโกรธนานเข้าไปอีก จนบัดนี้พรนภัสยังไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าตรีทศเกลียดชังอะไรเธอนักหนา...อาจจะเป็นเพราะเธอเป็น ‘คนโปรด’ ของคุณอธิปก็ได้กระมัง นับตั้งแต่วันที่ท่านคอยดูแลเอาใจใส่ ซื้อนู่นซื้อนี่ให้เธอโดยที่เธอไม่ได้ร้องขอ ความชิงชังในหัวใจของตรีทศก็ยิ่งขยายวงกว้าง ยิ่งเมื่อคนรักของเขาจากไปเพราะอุบัติเหตุหลังจากเห็นเธอกับเขา ‘ใกล้ชิด’ กันอย่างไม่ตั้งใจนั้น...ตรีทศก็เห็นเธอเป็นศัตรูตลอดมา ไม่เคยพูดดีและคุยกันด้วยเหตุผลอีกต่อไป เอาแต่ซัดสาดอารมณ์ใส่เธอจนหัวใจของเธอแทบจะแตกสลายอยู่แล้ว

พรนภัสนึกไม่ออก และเดาไม่ถูกเลยว่าเธอจะทนอยู่กับเขาได้นานเท่าไหร่ จะถึงหนึ่งปีแบบที่สัญญาไว้กับคุณอธิปหรือไม่ก็ยังไม่รู้ หญิงสาวเม้มปากแน่น สองตาจับจ้องแผ่นหลังกว้างที่ครั้งหนึ่งเธอเคยขึ้นขี่...นานนับสิบปีแล้ว นานเกินไป จนเธอลืมเลือนความรู้สึกนั้นไปจนสิ้น หัวใจดวงน้อยในตอนนี้รับรู้เพียงความชิงชัง ขยะแขยง และโทสะที่รุนแรงดั่งพายุฤดูร้อน

ใช้เวลาไม่นาน ตรีทศก็วางช้อน แล้วดื่มน้ำตามอึกใหญ่ ก่อนจะลุกขึ้นยืน แล้วพูดโดยไม่เหลียวมามองหน้าเธอเลยแม้แต่น้อย

“พรุ่งนี้ไปให้ตรงเวลานัดด้วย ฉันไม่ชอบรอใคร”

นี่น่ะหรือ...คำพูดของคนที่กำลังจะแต่งงานกัน

ช่างห้วนกระด้าง มิได้อ่อนโยนอ่อนหวานเลยสักนิด

พรนภัสรับคำเบาๆในลำคอ รอจนอีกฝ่ายเดินออกจากห้องรับประทานอาหารไปจึงสั่งให้เด็กรับใช้ทั้งสองเก็บจานไปล้างในครัว และเช็ดโต๊ะจนสะอาดเอี่ยม เมื่อดูแลความเรียบร้อยทั้งหมดแล้ว แทนที่เธอจะขึ้นไปบนห้อง กลับทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ที่ตรีทศเพิ่งลุกจากไปอย่างอ่อนแรง

กายอ่อนแรงยังไม่เท่าหัวใจที่เจ็บปวด

พรนภัสอยากก่นด่าตัวเองเหลือเกินที่ยังรอคอยคำพูดแสนหวานจากปากของตรีทศ...ไม่ใช่ซิ ไม่ถึงกับหวาน แต่ขอแค่เป็นถ้อยคำดีๆระหว่างกันก็พอ

‘พรุ่งนี้บ่ายโมงอย่าลืมนะ ฉันจะคอย’

‘พรุ่งนี้ฉันจะไปรับ เธอจะได้ไม่ต้องลำบากไปเอง’

แค่คำพูดแสดงถึงความเป็นมิตรเหล่านี้ เธอก็พอใจแล้ว หากความหวังของเธอไม่มีทางเป็นจริงขึ้นมาได้เมื่อสิ่งที่เธอหวังมีเมฆหมอกของโทสะ อคติ และความเกลียดชังบดบังจนมืดมิด

...มืดเช่นเดียวกับหัวใจของเธอในยามนี้

หญิงสาวซบหน้าลงบนฝ่ามือ ถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่ทราบได้ ขณะที่ป้าแสงทรุดกายลงนั่งตรงหน้าแล้ววางมือลงบนเข่าของเธอ

“คุณฟ้าทานข้าวสักหน่อยนะคะ เดี๋ยวป้าจะเตรียมให้”

นั่นละ...พรนภัสจึงขยับตัว พร้อมกับส่ายหน้าปฏิเสธ

"ฟ้าไม่หิวค่ะ ขอบคุณนะคะป้าแสง...ฟ้าขอตัวไปนอนก่อนนะคะ ง่วงมากเลย"

ร่างบางลุกขึ้นยืน ส่งยิ้มจืดเจื่อนให้อีกฝ่าย แล้วเดินขึ้นบันได ตรงไปยังห้องนอน ล้มตัวลงนอนบนเตียงอุ่นๆของตนเอง ก่อนผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็วเพราะความเหนื่อยอ่อน






ศศิภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 มี.ค. 2556, 04:24:41 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 ก.ย. 2556, 12:17:42 น.

จำนวนการเข้าชม : 1965





<< บทที่ ๒   บทที่ ๔ >>
mhengjhy 9 มี.ค. 2556, 08:34:36 น.
T^T


phakarat 9 มี.ค. 2556, 12:32:11 น.
ตอนจบของเรื่องนี้จะเศร้าหรือเปล่าคะ


kaelek 9 มี.ค. 2556, 19:40:48 น.
อยากให้มาบ่อยๆ จังเลย


Zephyr 9 มี.ค. 2556, 19:44:12 น.
ฟ้าต้องทนอีกนานสินะ


คิมหันตุ์ 9 มี.ค. 2556, 22:25:16 น.
มาบ่อยๆเด้อค่ะเรื่องนี้ก็น่าติดตาม.


nunoi 9 มี.ค. 2556, 23:19:14 น.
อย่าหายไปนานอีกนะคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account