พรหมลิขิตสีดำ(สนพ.อินเลิฟ)
ภาพความใกล้ชิดระหว่างบ่าวสาว คนอื่นมองคงเห็นว่าทั้งสองกำลังกระซิบกระซาบบอกรัก หยอกเย้ากันเหมือนคู่รักคนอื่น แต่ความจริงแล้ว...กลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง!
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๔

เรื่องนี้นานๆอัพทีเหมือนเคยค่ะ แหะๆ ^^"

##########################################



วันถัดมา พรนภัสตัดสินใจออกจากร้านก่อนเวลานัดหนึ่งชั่วโมงครึ่ง ตั้งใจว่าจะไปให้ถึงสตูดิโอถึงก่อนเวลา เพื่อที่เขาจะได้ไม่หงุดหงิดอารมณ์เสียและพาลใส่เธอเหมือนครั้งก่อนๆ หญิงสาวฉวยกระเป๋าสะพายขึ้นมาถือไว้ในมือ บอกลาเพื่อนคนสนิท ก่อนผลักบานประตูกระจกออกมาหยุดยืนตรงหน้าร้านอยู่ครู่ ใบหน้าของเธอซีดเซียว ไร้สีเลือดจนไม่เหมือนเจ้าสาวที่กำลังจะเข้าพิธีวิวาห์เลยแม้แต่น้อย

ร่างเล็กถอนหายใจเฮือกใหญ่ เดินตรงไปริมทางเดินเท้า ชะโงกหน้ามองหารถแท็กซี่ ไม่นานนักเมื่อแท็กซี่คันหนึ่งผ่านมาเธอจึงรีบโบก พลันที่ก้าวเข้ามานั่งด้านในจึงบอกจุดหมายปลายทางกับคนขับ จากนั้นเธอก็เอนกายพิงพนัก ทอดสายตามองออกไปนอกตัวรถ พร้อมกับยกมือกุมขมับ บีบนวดอย่างเบามือ...อาการปวดศีรษะตั้งแต่ตื่นนอนยังไม่จางหาย แต่มีทีท่าว่าจะทวีความรุนแรงมากขึ้น พรนภัสคิดว่าตัวเองคงเป็นไข้ เธอตั้งใจจะรับประทานยาตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว หากก็มัวแต่ยุ่งๆ...จนกระทั่งบัดนี้ ศีรษะของเธอปวดแทบจะระเบิดจนเจ้าตัวแทบทนไม่ไหว แต่ถึงอย่างไรหญิงสาวก็กัดฟันทน บอกตัวเองว่ารีบทำหน้าที่ให้จบๆไป แล้วค่อยรีบกลับไปพักผ่อนที่บ้าน

พรนภัสเบนสายตากลับเข้ามาในตัวรถ เหม่อมองไปเบื้องหน้า พร้อมกับความคิดคำนึงถึงคนที่เกลียดเธอเข้ากระดูกดำ...อยากรู้นักเมื่อเธอไปถึงเขาจะทำหน้าอย่างไร เวลาถ่ายรูปพรีเวดดิ้งเขาจะทำหน้าตาบึ้งตึงและแสดงออกทางสายตาว่าเกลียดชังเธออย่างชัดเจนหรือเปล่า ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง คู่แต่งงานอย่างเธอและเขาคงเป็นคู่แต่งงานที่ประหลาดที่สุดในโลกเลยกระมัง

คนหนึ่ง...ทำท่าทางรังเกียจเดียดฉันท์อย่างเต็มที่

ส่วนอีกคน...ก็ดูไร้อารมณ์เสียเหลือเกิน

เถอะ...ทนแค่หนึ่งปีเท่านั้น ครบหนึ่งปีเมื่อไหร่ เธอคงได้หลุดพ้นจากความทรมานเหล่านี้เสียที

ความคิดของเธอหยุดลงเพียงแค่นั้นเมื่อมาถึงจุดหมาย พรนภัสรีบจ่ายเงินค่าแท็กซี่ ก่อนก้าวลงมา รีบเดินดุ่มเข้าไปในห้างสรรพสินค้าแห่งนั้น พร้อมกับยกนาฬิกาข้อมือของตนเองดูเวลา ...เป็นไปตามคาด เธอมาถึงที่หมายก่อนเวลานัดครึ่งชั่วโมง

ร่างเล็กผ่อนฝีเท้าลงเล็กน้อย เหลียวซ้ายและขวา มองหาไอศกรีมรับประทานพอให้ชื่นใจและบรรเทาอาการปวดศีรษะลงบ้าง เมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้วเธอจึงเดินตรงไปยังที่หมาย หญิงสาวละเมียดละไมชิมไอศกรีมโคนรสวนิลาในมืออย่างเอร็ดอร่อย จนมาถึงรัตนาเวดดิ้งสตูดิโอ กำลังจะเอื้อมมือผลักประตูกระจกเข้าไป ใครบางคนก็มาเดินชนเสียก่อน พรนภัสแทบกระเด็น หากเจ้าตัวฝืนตัวไว้ได้ทัน เมื่อหันไปมองเต็มตา เธอจึงได้รู้ว่าคนที่เสียมารยาทคนนั้นเป็นใคร

“คุณตรี”

“มัวแต่ก้มหน้าก้มตากินไอติมอยู่ได้ เงอะงะ ซุ่มซ่ามจริงๆเลยให้ตายเถอะ”

คนถูกต่อว่าไม่เอ่ยอะไรตอบ ทำเพียงเม้มริมฝีปากเท่านั้น กำลังจะก้าวเท้านำหน้าเข้าไปด้านใน ตรีทศก็คว้าแขนเธอไว้ ดึงให้หมุนตัวกลับไปหาเขา

“เดี๋ยว”

คนที่ถูกรั้งตัวไว้เลิกคิ้ว มองคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ และออกจะหวั่นๆเมื่อเห็นเขายื่นมือออกมา

“คุณจะทำอะไรคะ คุณตรี”

มือของเขาใกล้เข้ามาทุกขณะ...พรนภัสคิดว่าเขากำลังจะประทุษร้ายอะไรเธอสักอย่างจึงรีบหลับตาและรอคอยด้วยใจระทึก คิดไม่ออกเลยว่าตนเองทำอะไรผิด

...หรือแค่ทานไอศกรีม เธอก็ผิดแล้วงั้นหรือ

ร่างเล็กสะดุ้งสุดตัวเมื่อมือใหญ่วางทาบลงบนมุมปากของเธอ มันไม่ใช่การประทุษร้ายแต่เขากำลังเช็ดปากที่เปรอะเปื้อนให้

“กินเลอะเทอะอย่างกับเด็ก!”

เขาเช็ดสองสามครั้งจึงละมือจากมา พรนภัสรู้สึกเหมือนว่าเขากำลังเอาใจใส่ดูแลจนหัวใจเริ่มพองฟู หากเอาเข้าจริงแล้ว เขาเพียงไม่อยากเสียหน้า...

“เธอกำลังจะเป็นภรรยาของฉัน หัดวางตัวให้มันดีหน่อย...อย่าทำให้ฉันขายหน้า เข้าใจไหม พรนภัส”



สุ้มเสียงกระด้างอย่างเคย คำพูดของเขาทำให้เธอรู้สึกเจ็บแปลบในอกอยู่เป็นนิจจนคิดว่ามันกลายเป็นส่วนหนึ่งในร่างกายไปเสียแล้ว

“ฉันถามว่าเข้าใจไหม!”

เมื่อโดนตะคอกใส่ พรนภัสก็สูดลมหายใจลึกยาว ช้อนสายตาขึ้นมาสบดวงตาเขา ลบเลือนร่องรอยของความอ่อนหวานที่เธอ ‘คิดไปเอง’ ไปจนหมดสิ้น แล้วเปลี่ยนเป็นกำแพงน้ำแข็งเพื่อต่อสู้กับคนใจร้ายอย่างเขา

“เข้าใจค่ะ...ต่อแต่นี้ไปฉันจะระวังตัว คุณตรีไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ฉันรู้ดีว่าการเป็นภรรยาของตรีทศ ปัจจภาคย์นั้นต้องวางตัวเช่นไร”

“รู้ตัวก็ดี” คนตัวโตเอื้อมมือมาบีบปลายคางของพรนภัสจนเธอนิ่วหน้า “เธอโชคดีแค่ไหนแล้วที่ครั้งหนึ่งได้เป็นถึงภรรยาของฉัน”

เขาพูดอย่างภาคภูมิใจในความเป็นตรีทศ ปัจจภาคย์ของตัวเองเสียเหลือเกิน ราวกับว่าพรนภัสไม่อาจพบเจอผู้ชายที่เพียบพร้อมสมบูรณ์แบบเท่าเขาอีกแล้ว

ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรกันต่อ ประตูร้านก็เปิดออกพร้อมกับเสียงทักทายจากคุณรัตนา ตรีทศปล่อยมือจากเธอ หันไปยิ้มทักทายกับอีกฝ่ายอย่างเป็นมิตร

“สวัสดีครับ คุณรัตนา ทุกอย่างจัดเตรียมไว้เรียบร้อยดีแล้วใช่ไหมครับ”

“เรียบร้อยค่ะ ทั้งชุด ทั้งช่างแต่งหน้า ทำผม...เรียบร้อยทุกอย่างแล้วค่ะคุณตรีทศ เชิญข้างในเลยค่ะ”

เจ้าของร้านผายมือเชื้อเชิญ ก่อนยิ้มกว้างเมื่อเห็นเจ้าบ่าวหันมายื่นมือให้เจ้าสาว พร้อมกับคำพูดหวานหยดย้อย แต่แปร่งหูคนฟังเสียเหลือเกิน

“เข้าไปข้างในกันเถอะ...ที่รัก”

‘ที่รัก’ ทำสีหน้าจืดเจื่อน ราวกับพะอืดพะอมกับคำเรียกนั้นอย่างสุดแสน หากก็ต้องกลั้นใจอดทนฝืนยิ้ม ทันทีที่พรนภัสวางมือลงบนมือใหญ่ ตรีทศกระตุกมือเธอเบาๆ พลันร่างเล็กก็ปลิวเข้าไปซบอกกว้าง ก่อนที่เขาจะปล่อยมือเธอแล้วเปลี่ยนเป็นโอบไหล่ พร้อมกับก้มหน้าลงมากระซิบเบาๆชิดริมใบหู

สิ่งที่ทุกคนเห็นคือเจ้าบ่าวกำลังเอ่ย ‘คำรัก’ กับเจ้าสาว หากแท้จริงแล้ว เขากำลังเอ่ยถ้อยคำที่เป็นดั่งคมมีดกรีดลงบนหัวใจของคนฟังจนไม่เหลือชิ้นดี

“อย่าหลงละเมอเพ้อพกไปกับคำหวานของฉันล่ะ พรนภัส เธอคงรู้นะว่ามันก็แค่การแสดง คนอย่างฉัน...ไม่มีทางพิศวาสผู้หญิงอย่างเธอหรอก!”

พรนภัสเม้มปากแน่น อาการปวดศีรษะทำให้เธอตาพร่ามัวแต่เธอพยายามฝืนไว้ พร้อมกับเดินตามแรงที่เขาจับจูงไป ตอนนี้ไอศกรีมในมือละลายหมดแล้ว หญิงสาวไม่คิดอยากรับประทานอีกต่อไป จึงตัดสินใจฝากพนักงานในร้านให้เอาไปทิ้งให้ นั่งรอในร้านเพียงครู่เดียว ช่างแต่งหน้าก็เดินออกมาเชิญให้เข้าไปเตรียมตัวด้านใน ร่างเล็กพยักหน้าก่อนเดินตามผู้หญิงคนนั้นไปอย่างเงียบๆ ถึงกระนั้นเธอก็ยังสัมผัสได้ว่าตรีทศมองตามหลังมาอย่างไม่วางตา

แต่จะมองด้วยเหตุผลกลใดนั้น...เธอไม่อาจคาดเดาได้เลยจริงๆ



เวลาที่ผ่านไปแต่ละนาทีช่างยาวนานในความรู้สึกของพรนภัส หญิงสาวไม่ได้สนใจเลยว่าชุดเจ้าสาวที่ตัวเองสวมใส่นั้นสวยเลิศเลอและเหมาะกับเธอปานใด ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าช่างทำผมทำผมให้เธอทรงไหน จะปล่อยให้ยาวสยายกลางหลังหรือเกล้าเป็นมวยกลางศีรษะ...อย่างไรก็ได้ เธอขอแค่ให้วันนี้มันพ้นๆไปเสียทีเป็นพอ

พรนภัสถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อช่างทำผมวางดอกไม้ประดิษฐ์สีขาวลงบนมวยผมกลางศีรษะ พร้อมกับส่งยิ้มชื่นชมมาให้

“เสร็จแล้วค่ะคุณพรนภัส”

หนึ่งในพนักงานของร้านกวาดสายตามองเธอ แล้วเอ่ยชม

“สวยมาก...” เจ้าตัวลากเสียงยาวในคำสุดท้าย ก่อนรีบจับจูงมือเจ้าสาวให้เดินออกไปหาเจ้าบ่าวที่คงแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว



ร่างสูงใหญ่ในชุดทักซิโด้สีดำพอดีตัวขับเน้นให้เห็นไหล่กว้างตั้งตรง อกกำยำเห็นมัดกล้ามชัดเจน ทุกอย่างในตัวเขาเรียกว่าสมบูรณ์แบบก็คงได้ หากดวงตาของเขาจะไม่ได้ดุดันอยู่เป็นนิจเช่นนี้

ตรีทศยังคงเป็นตรีทศ ปัจจภาคย์...บุรุษผู้เกลียดชังเธอสุดขั้วหัวใจ แม้เมื่อยามต้องร่วมทางเดินเดียวกันในระยะเวลาหนึ่งปี เขาก็ไม่เคย ‘ใจดี’ กับเธอเลยสักครั้ง

เขาก้าวเท้าพรวดเดียวมายืนตรงหน้า ใกล้มากพอที่ลมหายใจร้อนผ่าวจะรินรดบนหน้าผากเกลี้ยงเกลา สายตาของเข้าจับจ้องเธอแน่วนิ่ง ก่อนกวาดมองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าราวกับต้องการสำรวจว่าเธอแต่งกายเหมาะสมคู่ควรกับการเป็นภรรยาของเขาหรือไม่

“เป็นไงบ้างคะ คุณตรี จะให้แก้ตรงไหนไหมคะ”

คำถามของคุณรัตนาทำให้หน้าตาบึ้งตึงเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม

“สวยมากครับคุณรัตนา ขอบคุณมากที่ทำให้เจ้าสาวของผม...สวยได้ขนาดนี้” ใช่แค่พูด เขายังใช้แขนข้างหนึ่งโอบเอวบางแล้วดึงให้มาแนบชิด ...กอดอย่างอ่อนโยนราวกับรักเสียเต็มประดา

ใครจะรู้...เจ้าสาวที่ใครๆอิจฉา ยามนี้ต้องกล้ำกลืนฝืนทน และเก็บกดรอยน้ำตาไว้ในก้นบึ้งของหัวใจอย่างสุดความสามารถเพียงใด

พรนภัสอยากจะอาเจียนเต็มทน เธอเบี่ยงตัวออกแล้วหันไปทางอื่นเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ตนเองอาเจียนใส่ชุดราคาแพงของว่าที่สามี ทว่าคนตัวโตตีความผิดไปถนัดใจ เขาคิดว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นการรังเกียจเดียดฉันท์ ดวงตาสีนิลจึงลุกโพลงไม่ต่างจากเพลิงโลกันตร์แม้แต่น้อย

เสียงเรียกของพนักงานในร้านให้เข้าไปในสตูดิโอถ่ายภาพ ทำให้พรนภัสต้องสูดลมหายใจลึกยาว สร้างกำลังใจให้ตัวเอง เพื่อที่จะได้ผ่านพ้นวันนี้ไปโดยเร็ว

หญิงสาวหมุนตัวกลับมา พลันก็ต้องสะดุดเข้ากับสายตาอันร้อนแรงของคนตรงหน้า เธอคุ้นเหลือเกินกับสายตาเช่นนี้...ไม่ต้องตีความใดๆก็รู้ในเสี้ยววินาทีว่าเขากำลังโกรธ หากจะโกรธในเรื่องใดเธอไม่อาจเดาได้ พรนภัสเม้มริมฝีปาก พยายามไม่สนใจสายตาคู่นั้น แต่อีกฝ่ายไม่ยอม เขากระชากร่างบางที่กำลังจะเดินผ่านเข้าไปในสตูดิโอจนเธอเซถลาซบลงบนอกเขา

พรนภัสอุทานเบาๆ พยายามควบคุมตัวเองไม่ให้ตื่นตระหนก หรือแสดงความหวาดกลัวใดๆออกไป แต่แม้จะเตรียมใจไว้แล้ว ถึงกระนั้นก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อริมฝีปากหยักหนากระซิบร้อนแรงริมใบหู

“ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนทำท่ารังเกียจฉันเหมือนเธอมาก่อน แค่ฉันกอดเธอ เธอก็ขยะแขยงจนทนไม่ไหวแล้วรึไง!”

ถ้อยคำนั้นได้ยินกันเพียงสองคน มันทำให้เธอปวดแปลบหัวใจจนอยากตะโกนถามนักว่า...ใครกันแน่ที่ทำท่ารังเกียจเดียดฉันท์! แต่เพราะรู้ว่าเป็นสิ่งไม่ควรทำ จึงได้แต่กัดริมฝีปากนิ่งงันอยู่เช่นเดิม

ภาพความใกล้ชิดระหว่างบ่าวสาว คนอื่นมองคงเห็นว่าทั้งสองกำลังกระซิบกระซาบบอกรัก หยอกเย้ากันเหมือนคู่รักคนอื่น แต่ความจริงแล้ว...กลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง

มีแต่ความเกลียดชังและกำแพงสูงใหญ่ขวางกลั้นระหว่างกัน

บางคราพรนภัสก็รู้สึกเหมือนตกอยู่ในขุมนรกและกำลังโดนไฟจากหัวใจกระด้างของตรีทศแผดเผาจนเหือดกลายเป็นเถ้าธุลี

...อยากรู้เหลือเกิน เมื่อไหร่ที่ความเจ็บปวดเหล่านี้จะจบสิ้นสักที!

เสียงเรียกของคุณรัตนาทำให้ตรีทศปล่อยเธอเป็นอิสระ หากก็เพียงครู่เดียวเมื่อเขาเปลี่ยนมาจับมือเธอ แล้วกึ่งลากกึ่งจูงให้เข้าไปด้านในสตูดิโอห้องที่สอง

ฉากหลังถูกเตรียมไว้อย่างงดงามและเรียบหรู โซฟาบุหนังสีดำตัวยาวตั้งอยู่ตรงกลาง มีหมอนขนาดเล็กวางเรียงกันอยู่สามใบ เหนือศีรษะเป็นแชนเดอเลียร์ราคาแพง ช่างภาพสั่งให้พรนภัสเอนกายในท่วงท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนบนโซฟาตัวยาว และให้ตรีทศยืนเหนือศีรษะ แล้วโน้มหน้าลงมา...จุมพิตบนหน้าผากของเธอ

ได้ยินเช่นนั้น ว่าที่เจ้าสาวถึงกับพูดไม่ออกบอกไม่ถูก จะปฏิเสธก็ใช่ที่ แต่จะให้เขามา...จูบ...เช่นนี้ เธอก็ตะขิดตะขวงใจนัก พรนภัสหันไปมองเจ้าบ่าว คิดว่าเขาคงบอกให้ช่างภาพเปลี่ยนเป็นท่าอื่น แต่เปล่าเลย ชายหนุ่มกลับจับตัวเธอให้นอนลง แล้วก้มหน้าลงมา

ตาประสานตา หัวใจดวงน้อยพลันเต้นรัวแรง แก้มที่ถูกแต่งแต้มด้วยสีชมพูบางเบาเริ่มกลายเป็นสีแดงระเรื่อ อาการพะอืดพะอมเลือนหาย เมื่อมีความหวาดหวั่นเข้ามาแทนที่

“อย่าคิดว่าฉันจูบเธอเพราะพิศวาสล่ะ”

หัวใจที่เต้นแรงเมื่อครู่ราวกับถูกมือที่มองไม่เห็นกระชากออกจากอกแล้วขว้างลงไปในหุบเหว พรนภัสปิดเหลือกตราไม่ปรารถนามองเห็นใบหน้าของคนที่เกลียดชังเธอเข้ากระดูกดำอีกต่อไป เสียงช่างภาพลอยแว่วมากระทบโสตประสาทได้ความว่าให้ตรีทศบรรจงจุมพิตลงบนหน้าผากเธออย่างนุ่มนวล

นานเพียงอึดใจ อะไรบางอย่างที่ร้อนจัดก็ทาบทับลงมาบนหน้าผากของเธอ ส่งกระแสความร้อนวูบวาบไปทั่วกาย แก้มที่แดงระเรื่อกลายเป็นแดงจัด ขณะที่หัวใจกลับมาเต้นรัวเร็วราวกับกลองตีอีกครั้ง

แค่จุมพิตเบาๆเพียงเท่านี้กลับมีอานุภาพมากมาย

ทำไมหนอ...ทำไมผู้ชายอย่างตรีทศ ปัจจภาคย์จึงมีอิทธิพลต่อร่างกายและหัวใจของเธอเหลือเกิน

ชั่วครู่ใหญ่ทีเดียวกว่าเขาจะถอนริมฝีปากออก พรนภัสค่อยๆลืมตา ลุกขึ้นมานั่งอย่างงุนงง ต่อเมื่อได้ยินเสียงเรียกดุดันเธอจึงตั้งสติได้ ช่างภาพสั่งให้ทั้งสองนั่งบนโซฟา แล้วให้เธอเอนซบลงบนอกเขา หญิงสาวลอบถอนหายใจ ข่มกลั้นอาการปวดศีรษะแล้วฝืนยิ้มอย่างเต็มที่

นานราวชั่วกัปชั่วกัลป์กว่าการถ่ายภาพในสตูดิโอจะเสร็จสิ้น

พรนภัสคิดว่าจากนี้ไปคงไม่ต้องยุ่งยากอะไรแบบนี้อีกแล้ว แต่รอให้ถึงวันแต่งงาน ทำตามหน้าที่ที่ต้องทำให้จบสิ้นไปก็เท่านั้น แต่เปล่าเลย ความหวังของเธอพังทลายเมื่อช่างภาพบอกว่า

“ยังเหลือถ่ายนอกสถานที่อีกครั้งวันเสาร์นี้นะครับ”

พรนภัสขมวดคิ้ว มองชายหนุ่มร่างสูงสวมแว่นกรอบดำอย่างุนงง เห็นดังนั้นเขาจึงเอ่ยหยอกเย้าว่า

“อะไรกันครับ คุณพรนภัสยังไม่รู้หรือครับนี่”

“ย...ยังค่ะ เพิ่งรู้ตอนนี้นี่เอง”

“ผมอยากเซอร์ไพรส์ว่าที่เจ้าสาวน่ะครับ” ตรีทศทักท้วงพร้อมรอยยิ้ม “ผมเห็นว่าเธอไม่ได้ไปทะเลนานแล้ว เลยอยากพาไปเที่ยวเสียหน่อย”

พาไปเที่ยว? ทะเล? ...พรนภัสอยากจะถอนหายใจเฮือก หากที่ทำได้คือส่งยิ้มให้เจ้าของร้านกับพนักงานราวกับยินดีเสียเต็มประดา

ดวงตาของเธอเริ่มพร่ามัวอีกครั้ง พร้อมกับอาการวิงเวียนศีรษะที่จู่โจมอย่างไม่ปรานี

แว่วเสียงห้าวต่ำดังอยู่ข้างหู แต่เธอจับใจความไม่ได้ จากชัดเจน...กลับกลายเป็นเลือนราง จนในที่สุด สติของเธอก็ดับวูบไปในบัดดล



พรนภัสเห็นตัวเองเดินหลงวนอยู่ในความสลัวรางเมื่อหมอกหนาหนักคลี่คลุมโอบล้อมรอบกาย พยายามหาทางออกสักเท่าไหร่ก็ไม่อาจหาพบ กระทั่งยามเมื่อสายลมกรรโชกแรงพัดเอาหมอกบังตาให้เลือนหาย ภาพตรงหน้าจึงค่อยๆกระจ่างชัด

บุรุษหนุ่มผู้หนึ่งยืนอย่างสง่าผ่าเผย และทอดสายตาคมดุจับจ้องเธอแน่วนิ่ง...พรนภัสหวาดกลัว อยากจะก้าวถอยหนีไปเสียให้พ้นๆ แต่ราวกับมีอะไรบางอย่างมาจับยึดเท้าทั้งสองของเธอไว้จนเธอขยับกายไปไหนไม่ได้ ต้องทนสานสบสายตากับใครคนนั้นด้วยหัวใจปวดร้าว

ทว่า...เพียงครู่เดียว...ความเจ็บปวดในหัวใจพลันมลายหายไป เมื่อบุรุษผู้นั้นแปรเปลี่ยนอิริยาบถเป็นหนุ่มน้อยวัยสิบห้าซึ่งกำลังปีนป่ายขึ้นต้นไม้ ควานหามะม่วงลูกโตเพื่อมารับประทานกับน้ำปลาหวานที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้

‘อยากได้ลูกไหน’ คำถามนั้นแสนใจดี จนเด็กสาวเผลอส่งยิ้มไปให้

หากก็เพียงชั่วขณะเมื่อภาพเหล่านั้นถูกแทนที่ด้วยสายตากราดเกรี้ยวของบุรุษในชุดนักศึกษา กำลังฉุดกระชากลากถูเธอไปยังหลังอาคารเรียนในเย็นวันหนึ่ง

‘ตกลงเธอจะเลือกใคร พรนภัส’ สุ้มเสียงโกรธาชวนให้หัวใจหวั่นไหว ถึงกระนั้นก็ยังไม่เท่าดวงตาที่แทบจะเผาเธอจนไหม้เป็นจุณ

‘ระหว่างรุ่นพี่ผมกระเซอะกระเซิงนั่น กับพ่อของฉัน เธอจะเลือกใคร?!’

‘คุณตรี...ฉันเจ็บนะคะ!’ แรงบีบที่แข็งราวปลอกเหล็กทำให้พรนภัสต้องวุ่นวายกับการแกะมือเขาออก แต่คนตัวโตหาได้ยอมไม่ เขากำแน่นขึ้นจนข้อมือของเธอเป็นรอยแดงช้ำ

‘ไอ้รุ่นพี่ของเธอน่ะ จะยั่วยวนมันสักเท่าไหร่ ฉันไม่ว่าหรอก! แต่อย่ามาหว่านเสน่ห์พ่อฉัน!’

คำกล่าวหาที่ทำให้เธอแทบทนฟังไม่ได้...พรนภัสกัดริมฝีปากจนห้อเลือด หมดความอดทนที่จะดึงมือของเขาออก แต่กลับทุบกำปั้นใส่อกกว้างเต็มแรง

ตรีทศหน้าแดงก่ำ พรนภัสรู้ดีว่าเขาโกรธ จึงหลับตายอมรับโทษทัณฑ์ที่คาดว่าคงจะเป็นการตบหรือชกกลับคืน แต่เปล่าเลย ...เขาไม่ได้ทำเช่นนั้น แต่กลับผลักเธออย่างแรง จนร่างเล็กล้มกระแทกพื้น ฝ่ามือที่ยันพื้นดินซึ่งเป็นกรวดหินดินทรายเบื้องล่างได้เลือดซิบๆ ตามมาด้วยความเจ็บแสบจนน้ำตาเอ่อคลอ

‘ฉันเกลียดเธอ!’

เขาประกาศกร้าว ก่อนเดินจากไปทิ้งให้สาวน้อยวัยสิบแปดจมจ่อมอยู่กับน้ำตาแห่งความเจ็บช้ำเพียงลำพัง

ความรู้สึกนั้นยังคงอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจ...เมื่อมีใครบางคนกวนตะกอนของความทรงจำเหล่านั้น ภาพในวันวานก็มักปรากฏชัดในหัวใจและทำให้เธอไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้

หญิงสาวสะอื้นไห้ พร้อมกับได้กลิ่นฉุนรุนแรงของแอมโมเนีย

“คุณพรนภัสคะ คุณพรนภัส...”

เสียงเรียกนั้นดังมาจากที่ไกลแสนไกล กระทั่ง...เสียงหนึ่งดังขึ้น

“พรนภัส!”

ราวกับเป็นคำสั่งให้เธอต้องลืมตา ร่างเล็กเปิดเปลือกตาทันควัน

ความพร่ามัวในหนแรกเริ่มชัดขึ้นเมื่อพรนภัสกะพริบตาถี่เร็ว ปรับสภาพสายตาให้กลับเป็นปกติ พร้อมกับหันหน้าหนีสำลีชุบแอมโมเนียซึ่งจ่ออยู่ตรงปลายจมูก

“เป็นยังไงบ้างคะ”

คุณรัตนาวางผ้าชุบน้ำหมาดๆลงบนศีรษะและลำคอ พร้อมกับเอ่ยถามอย่างห่วงใย

“เป็นไรแล้วค่ะ ฟ้าแค่เป็นลมเท่านั้น” ตอบเสียงแผ่วพลางลุกขึ้นนั่งโดยมีเจ้าบ่าวช่วยประคอง มือของเขาร้อนจัดยามแตะต้องลงบนต้นแขนของเธอพลันส่งประกายร้อนวาบไปทั่วร่าง

“คุณฟ้าแวะหาหมอหน่อยดีกว่านะคะ”

“ไม่...”

“ไปเถอะ” ยังพูดไม่ทันจบ ตรีทศก็แทรกขึ้นมาเสียก่อน “ลุกไหวหรือเปล่า”

ถามราวกับห่วงใยเป็นนักหนา แถมยังช่วยประคองเสียอีก...พรนภัสได้แต่ส่งยิ้มจืดเจื่อนลาเจ้าของร้าน ช่างภาพ และพนักงานคนอื่นๆ ต่อเมื่อเดินออกจากร้านมาสักระยะ อ้อมแขนที่โอบอย่างอ่อนโยนพลันตกลงข้างลำตัว

“ไม่สบายจริงๆหรือสำออย?”

พรนภัสแทบสะอึก...หญิงสาวเมินมองไปทางอื่น ไม่ปรารถนาจะเห็นหน้าของคนใจดำอีกต่อไป

“ฉันจะกลับบ้านค่ะ ขอตัวนะคะ”

“เดี๋ยว” เขารั้งตัวเธอไว้ ดึงให้หันกลับมาเผชิญหน้า พร้อมกับออกคำสั่ง

“ไปหาหมอกับฉัน”

“ไม่เป็นไรค่ะคุณตรี ฉันไปเองได้”

ตรีทศไม่ฟังเสียง รีบกระชากเธอให้เดินตาม พรนภัสรู้ดีว่าขัดขืนไปเท่าไหร่คงไม่เป็นผล จึงกัดฟันข่มอาการคลื่นไส้และปวดศีรษะของตนเอง แล้วตั้งหน้าตั้งตาเดินตามคนตรงหน้าให้ทัน


คลินิกที่ตรีทศพาเธอมาเป็นคลินิกเล็กๆกลางกรุง หากโชคดีที่วันนี้มีคนไข้ไม่มากนัก ทันทีที่เธอมาถึงและทำบัตรเสร็จเรียบร้อยจึงถูกเรียกเข้าห้องตรวจโดยไม่ต้องเสียเวลารอนานนัก คุณหมอที่ตรวจเธอเป็นชายหนุ่มร่างสูง ผิวขาว สวมแว่นกรอบดำ ดูท่าทางคงแก่เรียน รูปหน้าของเขาเรียวยาว...ออกจะยาวเกินไปด้วยซ้ำ แต่เมื่อรวมกับท่าทางสุภาพ รอยยิ้มเป็นมิตร และสุ้มเสียงทุ้มนุ่มของเขาทำให้เขาดูหล่อเหลาขึ้นมาในบัดดล

“ทานยาให้ตรงเวลา แล้วก็พักผ่อนเยอะๆนะครับ”

เขาเอ่ยทิ้งท้ายก่อนที่เธอจะเดินออกจากห้องตรวจ เพียงเลื่อนประตูให้เปิดออก ก็ต้องชะงักเมื่อพบว่าตรีทศมายืนกอดอกพิงผนังรออยู่ หน้าตาของเขาถมึงทึงราวกับโกรธใครมาสักสิบชาติ เท่านั้นยังไม่พอ เขายังเสียมารยาทด้วยการตะโกนต่อว่านายแพทย์คนที่ตรวจเธอเสียอีก

“ทำไมตรวจนานนักวะ”

พรนภัสใจหายวาบ หน้าที่ซีดอยู่แล้วซีดเข้าไปอีก เธอเม้มปากอย่างอึดอัด กำลังจะหมุนตัวหันไปเอ่ยขอโทษนายแพทย์ผู้นั้น ก็พอดีได้ยินเสียงตอบอย่างไม่ถือสาแถมดูสนิทสนมกันเสียอีก

“นายนี่มันไม่มีความอดทนเลยจริงๆ! เมื่อก่อนเป็นยังไง เดี๋ยวนี้เป็นหนักกว่าเดิมซะอีก!”

ว่าพลางเดินออกจากห้อง ตบมือลงบนบ่ากว้าง แล้วหัวเราะน้อยๆ

“คุณพรนภัสไม่เป็นอะไรมาก แค่เป็นหวัดกับอ่อนเพลียเท่านั้น ให้เธอดื่มน้ำพักผ่อนเยอะๆ อีกสองสามวันคงหาย”

พรนภัสรู้ตอนนั้นเองว่านายแพทย์ผู้นั้นเป็นเพื่อนที่เคยเรียนห้องเดียวกันในสมัยมัธยมปลาย เธอไม่เคยพบหน้าเขาเพราะตรีทศไม่เคยพาเพื่อนมาบ้าน มีแต่นัดไปสังสรรค์ตามผับ ตามบาร์หรือร้านอาหารเจ้าประจำมากกว่า ในขณะที่เพื่อนของเขาสมัยเรียนมหาวิทยาลัย เธอรู้จักอยู่สองสามคน เคยเห็นหน้ากันอยู่หลายครั้ง แต่พูดคุยทักทายกันนับคำได้

บางคราเดินสวนกันในมหาวิทยาลัย เพื่อนคนหนึ่งของเขามักโบกมือทักทายเธออยู่เสมอ แต่ตรีทศมักจะปัดมือนั้นทิ้งแล้วกอดคอเขาเดินเลี่ยงไปทางอื่น

พรนภัสรู้ดีว่าเขาเกลียดเธอ แต่ไม่นึกว่าแม้แต่เพื่อนของตนเอง เขาก็ไม่ปรารถนาให้มาพูดคุยด้วย

คิดมาถึงตรงนี้ก็เจ็บแปลบในใจขึ้นมาอีก หญิงสาวเอนศีรษะพิงเบาะ ทอดสายตามองผ่านกระจกดูตึกรามบ้านช่องและผู้คนที่เดินกันขวักไขว่ ยามนั้นตะวันราแสงลงแล้ว บรรยากาศจึงสลัวรางไม่แพ้หัวใจของเธอแม้แต่น้อย

พรนภัสจำไม่ได้แล้วว่า หัวใจของเธอมันหม่นมัวราวมีเมฆหมอกมาปกคลุมมานานแค่ไหน...น่าจะนานพอๆกับความเกลียดชังในหัวใจตรีทศที่มีต่อเธอกระมัง

หญิงสาวระบายลมหายใจยาว พร้อมกับปิดเปลือกตาของตัวเองลง หมายใจว่าจะปิดการรับรู้ ปิดความรู้สึกทุกอย่างเกี่ยวกับตรีทศ ทว่า...สุดท้ายภาพของเขาก็ผุดขึ้นมาในหัวอีกจนได้

ภาพของชายร่างสูงผอมวัยสิบห้าปี คนที่ยังพอมีความใจดีให้กับเธอบ้าง ใครจะนึกว่าครั้งหนึ่งผู้ชายใจร้ายคนนั้นเคยยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยนและปลอบประโลมใจ พรนภัสจำได้ว่าตอนนั้นเธอวิ่งตามเขาเพื่อขอตุ๊กตาหมีตัวเล็กที่อีกฝ่ายยื้อยุดแย่งไป และขู่ว่าจะเอาไปทิ้ง เด็กสาวไม่ยอมให้เขาทำเช่นนั้นเพราะตุ๊กตาตัวนั้นเป็นตุ๊กตาที่มารดาของเธอมอบให้ตั้งแต่ตอนเธออายุสี่ห้าขวบ เธอรักมันมาก และต้องนอนกอดมันทุกคืน ด้วยเหตุนี้เธอจึงพยายามวิ่งตามเพื่อแย่งมันคืนมา

แต่เพราะขาสั้นป้อม ทำให้วิ่งตามไม่ทัน แถมยังสะดุดก้อนหินล้มคะมำบนพื้นหญ้าอย่างหมดท่าอีกด้วย

พรนภัสร้องห่มร้องไห้เสียงดัง น้ำตาไหลพรากไม่ขาดสาย เมื่อนั้นเองเขาก็เข้ามาปลอบด้วยรอยยิ้ม แถมยังคืนตุ๊กตาให้เธออย่างไม่อิดออดเสียด้วย แต่เมื่อเห็นเธอยังร้องไห้ไม่หยุด ตรีทศก็เริ่มหงุดหงิด ถึงกระนั้นดวงตาของเขาก็ไม่เคยเกรี้ยวกราดและชิงชังเธอเหมือนปัจจุบัน

‘เอ้า! คืนให้แล้วยังจะร้องไห้อยู่อีก! ยัยขี้แยเอ๊ย!’ เขาลุกขึ้นยืนแล้วเดินดุ่มจากไป สวนทางกับมารดาของเธอที่วิ่งกระหืดกระหอบมาหาอย่างเป็นห่วง

หากย้อนเวลาได้ เธออยากให้เขาเป็นตรีทศที่ชอบแกล้งเธอ มากกว่าเกลียดชัง

เพราะคำว่าแกล้ง ยังพอมีความเอ็นดูแฝงอยู่ในนั้น แต่ชิงชังกันเมื่อไหร่ ก็มีแต่จะเกลียดกันมากขึ้นไปอีก

พรนภัสยังปิดเปลือกตาข่มน้ำตาของตัวเองอยู่เช่นนั้น แม้กายเริ่มสั่นเพราะความหนาว ตอนนั้นรถที่เคลื่อนตัวจอดแน่นิ่งสนิทเพราะติดไฟแดง หญิงสาวยกมือกอดอกตัวเอง บรรยากาศในรถเงียบสงัด ยินเพียงเสียงขยับตัวสวบสาบและเสียงหายใจหนักๆของตรีทศ

เธอคิดว่าคงต้องกอดตัวเอง ทนความหนาวในรถต่อไปจนถึงคฤหาสน์ปัจจภาคย์ แต่เปล่าเลย...เมื่อสูทอุ่นจัดถูกขว้างลงบนตัวเธอ ความอุ่นร้อนขับไล่ความหนาวกายไปได้บ้าง หากใจของเธอก็ยังลอยเคว้งอยู่ท่ามกลางหิมะหนาวเหน็บอยู่ดี

พรนภัสจับสูทตัวนั้นไว้ เปิดเปลือกตาอันหนักอึ้ง แล้วหันไปมองเขากำลังจะเอ่ยขอบคุณ เสียงกราดเกรี้ยวพลันสะท้อนก้องไปทั้งตัวรถ

“อย่าคิดว่าฉันใจดีกับเธอ! ฉันแค่ไม่อยากให้เธอมาตายบนรถฉันก็เท่านั้น!”

ความซาบซึ้งใจบางเบาถูกฉุดดึงลงสู่หุบเหวลึก พรนภัสลำคอแห้งผากสากระคายขึ้นมากะทันหัน เธอกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น อยากจะสะบัดหน้าหนีเขา หรือทำอะไรก็ได้ให้เขารู้ว่าเธอไม่พอใจ ทว่า...นั่นไม่ใช่วิสัยของเธอ ท้ายที่สุดแล้ว แม้จะขมขื่นกับถ้อยคำของเขาเพียงใด เธอก็เอ่ยออกไปว่า

“ขอบคุณค่ะ”

คำขอบคุณเหล่านี้ พรนภัสมอบให้เขาอยู่เป็นประจำ แม้สิ่งที่เขาทำจะไม่สมควรได้รับถ้อยคำนั้นจากเธอก็ตาม

หรือแม้แต่หัวใจของเธอ...เขาก็ไม่มีค่าคู่ควรด้วยซ้ำ!

แต่...เมื่อพระพรหมกลั่นแกล้ง หัวใจของเธอจึงเป็นของเขาโดยสมบูรณ์

พรนภัสได้แต่หวังว่าวันข้างหน้าเธอคงกล้าแกร่งพอที่จะคว้าหัวใจตนเอง...กลับคืน


####################################


ขอบคุณทุกคนที่ยังติดตามค่ะ


ศศิภา




ศศิภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 เม.ย. 2556, 11:34:54 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 ก.ย. 2556, 12:17:44 น.

จำนวนการเข้าชม : 2621





<< บทที่ ๓   บทที่ ๕.๑ >>
หมูอ้วน 14 เม.ย. 2556, 12:30:07 น.
สงสารนางเอกจังเลยค่าาา


kaelek 14 เม.ย. 2556, 15:04:44 น.
ห่วงก็บอกมาเถอะ ทำเป็นมาร้ายนะคุณตรี


แว่นใส 14 เม.ย. 2556, 16:30:31 น.
น่าสงสารนางเอกเราจริง


Zephyr 14 เม.ย. 2556, 22:47:41 น.
รันทดจริงๆนางเอกเรื่องนี้


คิมหันตุ์ 15 เม.ย. 2556, 01:58:00 น.
ปัจจุบันเป็นยังไงหล่ะ..หึหึ นายตรีกำลังเสียใจไหม...ร้ายดีนักนะ ชิส์


phakarat 21 เม.ย. 2556, 12:05:36 น.
สงสารนางเอกจัง
รีบกลับมาต่อเร็วๆนะคะรออ่านเรื่องนี้ทุกวันเลยค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account