Secret Love: ปฏิบัติการแอบรัก
แค่ได้อยู่ใกล้ๆ แค่ได้มองเห็นเขามีความสุข

ฉันยอมแลกทุกอย่าง...แม้เขาจะไม่รับรู้ถึงสิ่งที่ฉันทำเลยก็ตาม!

สายฝนเมื่อวันหนึ่ง นำพาเขาและเธอมาเจอกัน

ก่อเกิดเป็นมิตรภาพที่สวยงาม...จนเบ่งบานกลายเป็นความรู้สึกแสนพิเศษ

เพียงแต่ว่า...มันเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับ ‘เธอ’ เพียงคนเดียว!

เธอ...เจ็บเมื่อเห็นเขาเจ็บ

เธอ...ยอมเจ็บเพื่อให้เขามีรอยยิ้ม

แต่เมื่อการกระทำของเธอถูกเขามองว่าต้องการขัดขวางความรัก

คนเป็น ‘แค่เพื่อน’ จะทำอะไรได้...นอกจาก...


...เดินออกไปจากชีวิตเขา...

Tags: หมอ, นักศึกษา, เพื่อน, รัก, โรแมนติก

ตอน: บทที่ 8 ความเปลี่ยนแปลง

พริมาเดินไปที่รถมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ โดยที่ชายหนุ่มเดินตามหลังมาเงียบๆ

“หมอไม่ต้องไปส่งเราก็ได้ เราเอารถมา”

“เราอยากคุยกับเธอ”

“งั้นเหรอ...” พริมาลากเสียงยาว หลุดน้ำเสียงน้อยใจแกมประชดประชันออกไปอย่างไม่ทันห้ามตัวเอง “คนที่เค้าอยากคุยกันเค้าก็หายไปเป็นเดือนๆ อย่างนี้กันทั้งนั้นล่ะเนาะ”

“พริม...” ภูธเรศเรียกเสียงอ่อนระโหย

ใช่ว่าเขาไม่เจอ ไม่อยากพูดคุยกับเธอ แต่หนึ่งเดือนมานี้เขายุ่งทั้งเรื่องงาน และเรื่องนุชนาถที่มีแววแปลกๆ บางอย่าง ตั้งแต่วันที่เขาเจอแฟนสาวของตัวเองนั่งอยู่ในรถของประธานบริษัทตั้งแต่เช้าและไม่ยอมรับโทรศัพท์ของเขานั่นล่ะ

แต่เหตุผลลึกๆ ที่เขาไม่ได้ติดต่อพริมามาตลอดเดือนกว่าๆ ก็เพราะว่าเขา...งอนเธอนั่นแหละ!

“เรียกทำไมไอ้คนลืมเพื่อน!” พริมายังควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้ ความน้อยใจ ความเป็นห่วง ความคิดถึงประดังประเดจนออกไปทางน้ำเสียงหมดสิ้น แต่อีกฝ่ายเพียงเลิกคิ้วหน่อยๆ ก่อนพูด

“อ้าว! เธอบอกว่าเรามายุ่งวุ่นวายกับเธอบ่อยๆ ทำให้เธอหาแฟนไม่ได้นี่นา เราก็หายไปตั้งเดือนนึงแล้ว ป่านนี้คงหาได้หลายคนแล้วมั้ง”

แทนที่จะพูดดีๆ แต่ ‘อะไรบางอย่าง’ ก็ผลักให้คำพูดไม่น่าฟังหลุดออกจากปากหมอหนุ่มไปจนได้ คำพูดนั้นส่งผลให้ใบหน้าเนียนที่แค่ขมวดคิ้วกลับบึ้งตึงหนักเข้าไปอีก หญิงสาวถลึงตาจ้องอีกฝ่ายอย่างขัดเคือง ก่อนจะตวัดตัวขึ้นนั่งคร่อมมอเตอร์ไซค์แล้วสตาร์ททันที

“เฮ้ย! เดี๋ยวสิ!” มือหนาตะปบแฮนด์รถ แต่ไม่ทันพริมาที่บิดคันเร่งส่งให้รถทะยานออกไปข้างหน้า ทิ้งให้ภูธเรศทำหน้าเหวออยู่ลำพัง ก่อนจะตั้งสติตามไปได้ในที่สุด

รถทั้งสองคันขับตามกันไปในระยะประชิด จนเมื่อพริมาจอดรถไว้ใต้ที่พักก่อนจะซอยเท้าวิ่งอย่างรวดเร็วขึ้นห้องไป ภูธเรศที่ตามมาติดๆ ก็ทั้งเรียกทั้งวิ่งเพื่อจะตามเพื่อนสาวให้ทัน

“พริม! พริม โกรธอะไรอ่ะ เราพูดอะไรผิด”

“อย่าตามมานะไอ้หมอบ้า!” หญิงสาวตะโกนเดือดดาล ผวาไปที่ลูกบิดประตูห้องของตนเอง หากไม่ทันมือใหญ่ที่คว้าต้นแขนเอาไว้ได้ “อย่ามาจับนะ!”

“จะจับ” คุณหมอลอยหน้าลอยตาพูด ขณะที่ฉวยกุญแจจากมือเพื่อนก่อนจะไขประตูแล้วดันร่างบางเข้าไปในห้องโดยที่ตนเองก็เข้าตามไปติดๆ อย่างรวดเร็ว ก่อนจะปิดประตูล็อกกุญแจเรียบร้อย “วิ่งหนีเราทำไม”

น้ำเสียงหอบน้อยๆ นั้นถึงแม้จะพยายามกดให้ราบเรียบ แต่ก็ยังเจือแววขุ่นจนเจ้าของห้องสัมผัสได้ ทว่าพริมาไม่สนใจจะตอบคำถาม ร่างบางพยายามพลิกตัวหนีมือหนาหากภูธเรศไวกว่า ชายหนุ่มคว้าแขนเพื่อนก่อนกระตุกให้เธอล้มมาหาอ้อมแขนแข็งแรงที่รัดไว้ทันควัน

“เฮ้ย! เกินไปแล้วนะภูธเรศ!” หญิงสาวสะบัดตัวรุนแรง ทว่าไม่มีผลอะไรกับอีกฝ่าย ตรงกันข้ามคนเป็นหมอกลับรัดอ้อมแขนแน่นขึ้นไปอีก “ปล่อย!”

“ก็เลิกดิ้นซะทีสิ เลิกดิ้นแล้วมาคุยกันดีๆ”

“ก็มากอดทำไมล่ะ ปล่อยสิ!”

“ก็บอกให้เลิกดิ้นก่อนไง เอ๊...บอกดีๆ ไม่ชอบ เดี๋ยวเปลี่ยนเป็นจูบนะ”

“เฮ้ย!”

พริมาอุทานได้คำเดียว ทั้งร่างแข็งเกร็งทันควันราวกับถูกจับแช่แข็งเอาไว้ ใบหน้าเนียนแดงก่ำหากกลับหันมาสบตาคนกอดจังๆ ก่อนจะพยายามรวบรวมความกล้าเอ่ยท้วงเสียงเบา “ละ...เลิกดิ้นแล้วไง...ปล่อยได้แล้ว...”

ภูธเรศมองสีหน้าท่าทางคน ‘เคย’ ห้าวก่อนจะกลั้นหัวเราะจนตัวสั่นกระเพื่อม แต่ยังไม่วายแกล้ง “ว่าไงนะ เมื่อกี้เสียงเบาไปไม่ได้ยิน”

“บอกว่าเลิกดิ้นแล้วไง หมอก็ปล่อยเราสิ”

คนพูดสีหน้าเคืองๆ รับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนจากการหัวเราะของอีกฝ่ายผ่านทางอ้อมอกแข็งแรงจนเธอเองยังสั่นไปด้วยนิดๆ มือเรียวพยายามดันแผงอกแกร่งที่ไม่ได้ผอมบางอย่างที่เคยเข้าใจ เพราะแม้จะเคยถูกโอบมาบ้าง แต่ก็ไม่เคยได้ ‘ใกล้ชิด’ กันถึงขนาดนี้ ขณะที่พยายามดันอยู่ภูธเรศก็สะดุ้งเฮือก ก่อนจะรัดอ้อมแขนแน่น

“นี่!” หญิงสาวมองต่อว่า ใบหน้าร้อนฉ่าแหงนเงยขึ้นมองเสี้ยวหน้าคมของคนเป็นหมอด้วยแววตาเอาเรื่อง “เมื่อไหร่จะปล่อยซะทียะ!”

“ตอนแรกก็จะปล่อยอยู่เหมือนกัน แต่เมื่อกี้มือเธอไปเขี่ยหัวนมเค้าอ่ะ จั๊กจี้” ภูธเรศขยับแว่นก่อนตอบหน้าตาย ทำเอาคนฟังอ้าปากค้าง หน้าแดงแปร๊ดก่อนตะกุกตะกัก

“อะ...อีตา...”

“ก็มันจักจี้จริงๆ นะ” คนพูดหัวเราะลั่นห้อง ก่อนจะรีบดันร่างบางให้ถอยห่างโดยเร็วเมื่ออีกฝ่ายหยิกหมับเข้าให้ที่ ‘จุดที่เกิดเหตุ’ เมื่อครู่จนร้องลั่น “โอ้ย! พอๆ เราขอโทษ เรายอมแล้วๆ”

“ไอ้บ้า! ไอ้หมอโรคจิต!” พริมาสะบัดตัวออก ก่อนถอยกรูดให้ห่างร่างสูงโดยเร็ว

แปลกที่เมื่อได้ต่อปากต่อคำกันไปมา ได้หัวเราะ ได้ตะโกน ความรู้สึกอัดแน่นต่างๆ ดูจะบรรเทาลงได้เยอะ จริงๆ...มันคงบรรเทาจนเกือบจะจางหายไปเพียงแค่ได้เห็นหน้าเขาเท่านั้นด้วยซ้ำ

...เฮ้อ! แล้วเมื่อไหร่จะลืมได้เสียทีล่ะ...

เจ้าของห้องปรายตามองร่างสูงของคนเป็นหมอที่ก้าวเข้าไปในห้องนอนของเธอ ก่อนจะร้องลั่น “ทำไมห้องเธอรกอย่างนี้ล่ะ!”

ภูธเรศเบิกตากว้าง ทำท่าตกใจจนเกินเหตุเหมือนชี้มือไปที่กองผ้าห่มขยุกขยุยบนเตียงและเลยไปถึงทั่วห้อง “อี๋...เตียงก็ไม่เก็บ เสื้อผ้าก็ถอดพาดไว้บนเก้าอี้ อย่าบอกนะว่าในห้องน้ำมีกางเกงในถอดทิ้งไว้เป็นเลขแปดอยู่น่ะ”

“ไม่มีเว้ย!” หญิงสาวตะโกนอย่างเหลืออด ในขณะที่คนเจ้าระเบียบเกินผู้หญิงจะหัวเราะลั่นก่อนทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนุ่มอย่างผ่อนคลาย ไม่ลืมตบที่ว่างข้างตัวเบาๆ พลางเชื้อเชิญ

“มาตรงนี้เร็ว”

“ประสาท! เรื่องอะไรฉันต้องไป” เจ้าของเตียงมองตาขุ่น “แล้วลุกขึ้นเดี๋ยวนี้เลยนะ ไปอาบน้ำไป๊ ไปตรวจศพมา กลิ่นคาวเลือดมันติดมานะ” ไม่ว่าเปล่า ร่างโปร่งบางเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า ก่อนโยนเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นของชายหนุ่มที่เคยเอามาทิ้งไว้ที่ห้องเธอไปที่เตียง

ภูธเรศกระเด้งตัวลุกขึ้นนั่ง ก่อนขยับแว่นตาให้ตรงแล้วพูดเสียงจริงจัง “เราตรวจศพ เธอก็ถ่ายรูปศพนี่ ใกล้เหมือนกัน คงมีกลิ่นคาวเลือดติดมาด้วย เพราะฉะนั้นเราไปอาบน้ำด้วยกันเถอะ”

โป๊ก!

“โอ้ย!”

คราวนี้เป็นแปรงผมไม้อันใหญ่ที่ลอยจากมือเรียวไปสู่ศีรษะได้รูปของคนพูดอย่างแม่นยำ คนเป็นหมอคลำหัวป้อยๆ ก่อนจะลุกขึ้นเก็บเสื้อผ้าเดินไปที่ห้องน้ำโดยดี แต่ปากยังพึมพำ “ใจร้าย...”

“ใครบอกให้พูดบ้าบอแบบนั้นล่ะ!”

“ไม่ได้บ้าซะหน่อย แค่ชวนให้ช่วยชาติประหยัดน้ำ...”

“หยุดพูดแล้วรีบไปเร็วๆ ไป๊!”

“คร๊าบบบบ...”




สิบห้านาทีต่อมา ร่างสูงของชายหนุ่มก็เดินออกมาจากห้องน้ำพลางยิ้มเผล่

“ปกติหมอไม่ใส่แว่นนอกจากเวลางานไม่ใช่เหรอ ตอนนี้ทำไมใส่ติดเสียล่ะ” พริมาเอ่ยถามสิ่งที่สงสัยอยู่ ก่อนจะเดินไปรับผ้าเช็ดตัวจากเพื่อนที่นั่งอยู่ตรงปลายเตียงไปตาก หากเมื่อยื่นมือออกไปอีกฝ่ายกลับออกแรงฉุดร่างของเธอมานั่งข้างๆ เสียอย่างนั้น

“เช็ดผมให้หน่อยสิ”

พริมาส่ายหัวด๊อกแด๊กเป็นคำตอบ

“ชิ! ใจร้าย ทีเรายังทำให้เธอเลย...”

คนเป็นหมอบ่นเบาๆ ก่อนจะโปะผ้าลงบนหัวแล้วขยี้แรงๆ พลางตอบคำถามที่ค้างอยู่

“ก็บางคนบอกว่าชอบผู้ชายใส่แว่น...เราจำได้”

พริมาเลือกที่จะเงียบ ทั้งๆ ที่หัวใจเต้นเร็วขึ้นอีกจังหวะหนึ่งอย่างไม่ได้ตั้งใจ

...ไม่! ภูธเรศนิสัยแบบนี้ ชอบแกล้งชอบแหย่เธอแบบนี้ เขาก็แค่แกล้งเธอเล่นเท่านั้น...ไม่ได้คิดอะไรเป็นจริงเป็นจัง อีกอย่างเขามีแฟนแล้วด้วย...

ต่างคนต่างเงียบ สักพักพริมาก็เอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมา “ที่ว่ามีเรื่องจะคุย เรื่องอะไร”

คนเป็นหมอแสร้งหลับตาพริ้มอย่างสบายอารมณ์ แต่ความจริงเจตนาซ่อนแววตาบางอย่างเอาไว้มิดเม้น “อยากรู้เรื่องปฏิบัติการหาแฟนของเธอ ไปถึงไหนแล้ว”

“เราไม่อยากคุยเรื่องนี้” อารมณ์ดีๆ เมื่อครู่ก่อนหายวับไปกับตา ร่างบางขยับจะลุกหนีหากติดมือใหญ่ที่คว้าข้อมือกำไว้แน่น

ภูธเรศลืมตาขึ้น ดวงตาดำสนิทเป็นประกายคมกริบจ้องมองเพื่อนสนิทอย่างจะให้ทะลุไปถึงสิ่งที่อยู่ในใจจริงๆ

“เราอยากคุย อยากรู้”

พริมาถอนใจยาว เบือนหน้าหลบสายตาคมนั้น “หมอจะอยากรู้ไปทำไม ไม่ต้องห่วงหรอกว่าจะต้องคอยตามติดดูแลเราไปอย่างที่แม่เราสั่งไว้ เราไม่เป็นไร อยู่คนเดียวได้”

“ที่พูดเนี่ย...กำลังน้อยใจใช่มั้ย?”

น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ยขึ้นแผ่วเบาคล้ายรู้เท่าทัน หญิงสาวลืมตัวหันมาสบตาคนพูดอย่างตกตะลึง

...ตะลึงที่เขาพูดคล้ายนั่งอยู่กลางใจเธออย่างไรอย่างนั้น

“เราไม่...ไม่ได้...”

“เราไม่เคยคิดว่าเธอเป็นภาระ หรือว่าเป็นความรับผิดชอบ หรือว่าอะไรทั้งนั้น...” ภูธเรศถอนใจยาวอย่างโล่งอก ที่ในที่สุดก็หาเจอปมของเรื่องเสียที

คงต้องโทษความปากเสียของเขากระมังที่ทำให้อีกฝ่ายเก็บเอาไปคิดมากมายขนาดนั้น จนถึงขนาดมองข้ามเจตนาดี ความหวังดี ความห่วงใยของเขาไปเสียหมด

“เรารักเธอ...” ประโยคแรกทำให้คนฟังหัวใจกระตุกวูบ เบิกตากว้างอย่างตกตะลึง หากคนพูดก็ยังพูดเรื่อยๆ ไม่รู้ตัวว่าอีกฝ่ายมีปฏิกิริยาอย่างไร “...เพราะเธอเป็นเพื่อนเรา เราถึงเป็นห่วง หวังดีกับเธอจากใจจริง ไม่ใช่เรื่องของความรับผิดชอบหรือทำตามคำพูดอะไรทั้งนั้น เลิกคิดแบบนั้นได้แล้ว”

พริมาหลุบตาลงต่ำ พยายามซ่อนรอยเจ็บปวดบางอย่างไว้ลึกสุดใจ

เขาก็ย้ำอยู่อย่างนี้ทุกครั้ง เธอยังจะหวังอะไรอีกหรือพริมา?

นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่หญิงสาวจะเอ่ยปากเอ่ยสิ่งที่พยายามหลีกเลี่ยงมาตลอด “เรากำลังมองๆ พี่กฤษณ์อยู่”

“หมวดกฤษณะ?”

“ใช่”

คงถึงเวลาแล้วที่เธอจะต้องตัดใจ เริ่มเดินทางใหม่ มองหาคนใหม่ๆ ที่จะมาทำให้ความช้ำนี้หายไปเสียที...

...เธออยู่กับความเจ็บปวดนี้มามากพอแล้ว

ภูธเรศนิ่งอึ้ง ไม่เคยคิดเลยว่าเมื่อได้ยินคำพูดตรงๆ ไม่หลบเลี่ยงของเพื่อนสนิท บางอย่างในตัวเขาคล้ายอัดแน่นรอเวลาระเบิด

ตื้อในอก ปวดแปลบราวกับพริมากำลังเอามีดมากรีดเฉือนใจเขาเล่น ไม่ใช่กำลังบอกเล่าเรื่องราวว่ากำลังมองผู้ชายคนอื่น...อยากร้องตะโกนออกมา...อยากจับร่างบางนั้นเขย่าๆ ให้รู้ตัวว่าเธอมีเขาคนเดียวก็พอแล้ว ไม่ต้องมีใคร และอย่าได้คิดจะมีใครอีก!

พริมา บวรรัตน์ เป็นคนที่เขาดูแลได้คนเดียวเท่านั้น!

ทว่านิติเวชหนุ่มรู้ดี เขากำลังคิดอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด เขาเองก็มีคนรัก...มีนุชนาถที่เขาต้องรัก ต้องดูแลไปตลอดชีวิต ‘ความเป็นเพื่อน’ ระหว่างเขากับพริมา ไม่ได้รวมถึงสิทธิในการหวงแทบบ้าแบบนี้

“เขาก็เป็นคนดีนะ” ชายหนุ่มได้ยินเสียงตนเองเอ่ยออกไปอย่างนั้น “เป็นคนดี น่าจะดูแลเธอได้เป็นอย่างดี เป็นคนหนุ่มอนาคตไกลด้วย อายุเท่านี้ก็ได้เป็นถึงร้อยตำรวจโทแล้ว”

หญิงสาวพยักหน้ารับ ไม่แม้แต่จะสบตาคนพูด “ใช่”

อีกฝ่ายยังเอ่ยต่อไปเรื่อยๆ ทุกคำพูดของตัวเองคล้ายเป็นเข็มที่ทิ่มแทงให้เจ็บปวดมากขึ้นเรื่อยๆ “เราดูๆ เขาอยู่เหมือนกัน ดูเหมือนเขาจะชอบเธอมากเลยนะพริม”

“ใช่”

“ถ้าเธอคบกับหมวดกฤษณ์จริง เราก็คงยินดีด้วยจริงๆ นั่นแหละ”

“ใช่” คราวนี้ใบหน้าเนียนเงยขึ้นสบสายตากับอีกฝ่ายแน่วแน่ “พี่กฤษณ์คงดูแลฉันได้ดี ที่สำคัญเขาจะเป็นของฉันคนเดียว เป็นคนที่ฉันสามารถบอกคนอื่นๆ ว่านี่เป็นคนของฉันได้อย่างไม่ต้องเกรงหรือไม่ต้องรู้สึกผิด ฉันจะมีสิทธิโดยชอบธรรมที่จะคิดถึงเขา ห่วงใยเขา หรือแม้แต่รักเขา...”

น้ำเสียงเข้มอ่อนจางไปตอนท้ายประโยค หากทั้งสองยังประสานสายตากันนิ่ง จนพริมาเสียเองที่เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อนพร้อมๆ กับปรับสีหน้าและน้ำเสียงให้เป็นปกติ คล้ายว่าไม่เคยคุยกันถึงเรื่องเมื่อครู่

“ว่าแต่หมอมีเรื่องอะไรอีกรึเปล่า เราเห็นหมอหน้าเครียดเชียว”

“อ้อ! เออ...มีสิ” คนเป็นหมอสะดุ้งน้อยๆ ก่อนพยักหน้า พยายามทำตัวให้กลับสู่
ปกติเช่นกันด้วยการพยายามหาเรื่องมาคุยเหมือนเดิม “เมื่อสองอาทิตย์ก่อน เราเห็นนุชอยู่ในรถของคุณสันต์ เจ้านายนุช”

“แล้ว?” พริมาเลิกคิ้ว “ก็ปกตินี่ เจ้านายลูกน้องนั่งรถคันเดียวกันบ้าง มีทั่วไป”

“นั่งรถไปด้วยกันตอนเช้าๆ เนี่ยนะ?” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างไม่เชื่อ “ไม่ใช่วันเดียว หลายวัน เราโทรไปนุชก็ไม่ค่อยรับ เรานัดนุชออกไปทานข้าว ไปเดินห้าง ดูหนัง ไปทำอะไรที่เขาอยากไป เขาก็ไม่เอาซักอย่าง บอกแต่ว่ายุ่งๆ แต่มีคนมาบอกเราหลายคนแล้วว่าบางทีกลางคืนก็เห็นนุชไปเที่ยวผับ”

หญิงสาวหรี่ตาครุ่นคิด ทั้งๆ ที่ในอกเริ่มปวดหนึบ “เขาเลี้ยงลูกค้า หรือว่าไปกับเพื่อนรึเปล่า?”

“เราไม่รู้” ร่างสูงถอนหายใจยาว ก่อนจะล้มตัวลงนอนแผ่บนเตียง “เราเหนื่อยจังพริม เราเหนื่อยมากๆ กับการที่ต้องวิ่งไล่ตามเขา ต้องตามใจ เอาใจ เข้าใจ ใส่ใจ และอะไรอีกหลายๆ อย่างที่เขาบอกให้เราทำ...มีอย่างเดียวเท่านั้นแหละที่เขาไม่เคยบอกเรา...ทำใจ!”

“ไม่เคยบอก ก็คงต้องรู้เอาเองนะหมอ” เจ้าของเตียงพลอยถอนหายใจเบาๆ ทอดมองคนข้างๆ ด้วยแววตาสงสาร “ถามจริงๆ รอบนี้หมอไปทำอะไรไว้ก่อนรึเปล่า อย่างเช่นผิดนัด หรืออะไรอย่างอื่น?”

ภูธเรศส่ายหน้าทั้งๆ ที่หลับตา “ไม่รู้สิ ครั้งสุดท้ายที่เจอกัน มีคดีด่วน อาจารย์หมอไม่อยู่ เราเลยต้องไปตรวจแทน พอตรวจเสร็จก็ตรงไปหาเขาที่ที่นัดกันไว้เลย เราก็ไม่ได้เลทนะ แต่แค่ยังไม่ได้เปลี่ยนชุด ไปถึงก็ไปเจอเพื่อนๆ เธอกลุ่มใหญ่ นุชคงอายมั้งที่ตัวเรามีกลิ่นคาว มีเลือดติดอยู่ แต่เราไม่อยากสาย ไม่อยากให้นุชโกรธอีกแล้ว...”

ชายหนุ่มยังจำได้ถึงชั่ววินาทีที่คนรักมองมาอย่างไม่เชื่อสายตา ก่อนจะเบือนหน้าหนีคล้ายไม่อยากรับรู้ ทั้งๆ ที่เขาพยายามมาให้ทัน ไม่ให้เธอเสียหน้าหลังจากที่นัดกับเพื่อนไว้หลายครั้งแล้วว่าจะพาเขาไปโชว์ตัว

...เขาก็ไมได้อยากไปหานุชนาถทั้งๆ ที่เพิ่งตรวจคดีเสร็จ...เพราะรู้ตัวดีว่าทั้งเนื้อทั้งตัวจะมีกลิ่นคาวเลือด กลิ่นเหม็นจางๆ จากศพติดอยู่เสมอ ถึงแม้จมูกเขาจะชินกับกลิ่นแล้ว แต่นุชนาถไม่เคยชิน...และคงไม่มีวันชิน

ชั่วขณะที่เธอเบือนหน้าหนี และกราดเกรี้ยวใส่เขาอย่างรับไม่ได้ ชายหนุ่มก็เริ่มตั้งคำถามกับตัวเองแล้วว่าจะมีวันที่ ‘คนรัก’ ของเขาเข้าใจเขาบ้างหรือเปล่า

หรือมันจะไม่มีวันนั้น...

“ภู...”

“เราเหนื่อย...เขาไม่เคยหยุดรอเราซักที มันเหมือนเราวิ่งบนรันเวย์เครื่องออกกำลังกาย วิ่งให้ตายก็อยู่ที่เดิม ในขณะที่นุชเขาไปไกลจนลับตาเราไปแล้ว”

แม้ในช่วงเวลาที่กำลังโศกเศร้า คนเป็นหมอก็ยังไม่วายพูดให้คนฟังยิ้มออกมาได้

“ดูเปรียบเทียบเข้า เห็นภาพเลย” พริมายิ้มน้อยๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน “อย่ามานอนอยู่อย่างนี้ ไปได้แล้ว!”

“ไปไหน?” อีกฝ่ายผงกหัวขึ้นถาม

“ก็ไปหาทางง้อคุณนุชไง มานอนตรงนี้คุณนุชคงยกโทษให้หรอกนะ”

ใบหน้าหล่อเหลาส่ายไปมาช้าๆ อย่างปลงๆ “ไม่เอา เราเหนื่อย”

“เอาน่า...ลุกเร็ว ไปเดินหาของไปง้อคุณนุชกัน” ร่างโปร่งบางเอื้อมมือไปฉุดคนตัวโตกว่าที่นอนกินที่อยู่บนเตียง “ลุกสิหมอ...”

ภูธเรศจ้องมองมือของตัวเองที่ถูกมือเล็กกว่ากุมกระชับแนบแน่น มองใบหน้าเนียนสีน้ำผึ้งอ่อนที่ขมวดคิ้วระหว่างพยายามใช้แรงลากเขาให้ลุกจากเตียง ก่อนจะกระตุกทีเดียว ร่างโปร่งบางก็ลอยหวือล้มลงเค้เก้อยู่บนแผงอกแกร่งในชั่วพริบตา

“เฮ้ย!”

พริมาร้องออกมาได้คำเดียวเมื่อรู้สึกถึงความร้อนผ่าวจากผิวเนื้อของอีกฝ่ายผ่านเนื้อผ้า ดวงตาโตสีน้ำตาลใสเบิกกว้างเมื่อรับรู้ว่าลำแขนแข็งแรงทั้งสองข้างตวัดรอบเอวของตน ก่อนเสียงทุ้มจะเอ่ยถามกลั้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดีกว่าเมื่อครู่

“นี่ เดี๋ยวนี้มีมองหนุ่มไว้แล้วเริ่มพยายามผลักไสเพื่อนแล้วสินะ”

“บ้า! ไม่ใช่อย่างนั้น...” คิ้วเรียวขมวดจนแทบกลายเป็นเส้นเดียวกันเมื่อพยายามหาทางพาตัวเองออกจากสถานการณ์อีหลักอีเหลือกนี้ให้ได้ แต่ถ้าจะดิ้นก็จะสัมผัสตัวกันมากขึ้น...

แล้วเธอจะทำยังไงดีล่ะ!

ก่อนจะคิดอะไรไปมากกว่านั้น หญิงสาวก็รู้สึกคล้ายโลกหมุนจนต้องหลับตา เมื่อลืมตาอีกทีก็พบว่ากำลังมองลึกเข้าไปในดวงตาสีดำสนิทพราวระยับที่พลิกตัวเองขึ้นมาทาบทับเธอ หากเธอไม่สามารถเดาอารมณ์ของอีกฝ่ายได้เลย

“พริม เคยได้ฟังคำพูดเก่าๆ ที่เขาเคยพูดกันบ้างไหม?”

“อะ...อะไร”

“เขาบอกกันว่า...” ปลายประโยคแทบเป็นกระซิบ พร้อมๆ กับใบหน้าคมที่ก้มต่ำลงมาเรื่อยๆ จนชิดริมหู ลมหายใจร้อนผ่าวลวกรดปลายหู ข้างแก้ม และต้นคอให้เห่อแดงขึ้นทันควัน “แม่สื่อแม่ชัก มักจะได้เสียเอง ไม่เคยได้ยินจริงๆ เหรอ?”

จบประโยคคนพูดก็หัวเราะเบาๆ ก่อนยันตัวเองออกห่างแล้วเดินออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้พริมาสปริงตัวลุกขึ้นนั่ง พยายามระงับจังหวะหัวใจที่เต้นระรัวไปหมดให้สงบลงโดยเร็ว




นุชนาถหัวเราะเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้กับมุขตลกของอีกฝ่าย

หญิงสาวกับสันต์ออกมาทานอาหารกลางวันกันที่ร้านอาหารอิตาเลียนหรู ห่างจากบริษัทไปหน่อยซึ่งอาจจะทำให้เธอเข้างานสายไปบ้าง...แต่จะเป็นไรไป ในเมื่อเธอออกมากับเจ้าของบริษัทเอง

“คุณกำลังหัวเราะให้กับความเปิ่นของผมอยู่ใช่ไหมเนี่ย” ชายหนุ่มยื่นหน้ามาคาดโทษร่างบางที่หัวเราะไม่หยุด ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วแฝงความหมาย “ระวังคืนนี้ผมเอาคืนนะ”

“คุณสันต์!”

นุชนาถอุทานเสียงเบา ก่อนจะตีมือไปที่ท่อนแขนล่ำสันที่ยื่นมาหาพลางหัวเราะไม่หยุด “อะไรกัน ตัวเองเป็นคนเล่าแท้ๆ พอคนอื่นหัวเราะกลับคาดโทษเสียอย่างนั้น”

“แหม...โทษที่ผมลงกับคุณน่ะ มีแต่คุณเท่านั้นที่ได้รับนะ ไม่ภูมิใจหน่อยหรือ?”

“ไม่ล่ะค่ะ” หญิงสาวพูดยิ้มๆ พลางม้วนเส้นสปาเกตตี้เข้าปาก

รสชาดละมุนลิ้นแบบนี้ บรรยากาศหรูหราแบบนี้ ไม่มีเสียล่ะที่เธอจะได้รับจากคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟน!

ภูธเรศเป็นคนมัธยัสถ์ ทั้งๆ ที่บ้านของชายหนุ่มก็ถือว่าฐานะดี แต่หมอหนุ่มก็ไม่ค่อยใช้เงินมากมายนัก คล้ายกับว่าจะกลัวมันหมดเสียอย่างนั้น แต่ทุกครั้งที่เธอโกรธเขาจะซื้อของมาง้อเธอบ้าง พาไปทานของอร่อยๆ บ้าง สารพัดจะเอาใจ ทำให้นุชนาถขุ่นเคือง...

แล้วทำไมไม่ทำให้มันเป็นปกติ ทำไมต้องทำแค่ตอนง้อกันเท่านั้นด้วย!

ผิดกับสันต์...ชายหนุ่มนักธุรกิจคนนี้ดูดีกว่าหมอนิติเวชแบบอีกฝ่ายมากมายนัก สันต์มีธุรกิจเป็นของตนเอง มีทรัพย์สินเงินทองมากมาย มีเวลาให้เธอมากกว่าใครคนไหนๆ มีชื่อเสียงโด่งดังในวงสังคมอย่างที่เธอสามารถควงเขาไปอวดเพื่อนๆ ได้โดยไม่อายใคร

ไม่เหมือนอีกแฟนเธอ ที่เธออยากจะเก็บเอาไว้ก้นหีบแล้วปิดล็อกเสียให้พ้นหน้าพ้นตา!

ยิ่งได้รับการเอาใจ พะเน้าพะนอจากสันต์ หญิงสาวก็ยิ่งหวั่นไหว จริงอยู่ที่เธอเลือกภูธเรศ แต่นั่นก็เป็นเรื่องตอนเรียนหนังสือเมื่อนานมาแล้ว ตอนนั้นภูธเรศโด่งดัง เด่นไปทั้งมหาวิทยาลัย มีชื่อเสียงทั้งด้านความหล่อเหลา และเรียนเก่ง

ตอนนั้นเธอภูมิใจมากที่ได้ควงชายหนุ่มไปไหนมาไหน หรือแม้แต่มาแนะนำกับเพื่อนของเธอเอง ให้ทุกคนในกลุ่มได้รู้ว่าเธอได้ดีมีแฟนเป็นหนุ่มที่ทุกคนหมายปอง

แต่ตอนนี้มันไม่ใช่อีกต่อไป...

ในใจส่วนหนึ่งเธอขอบใจพริมาที่ดึงตัวภูธเรศไปเสีย ในตอนแรกที่ทั้งสองคนคบกันเธอก็ไม่พอใจ หากเมื่อเริ่มเข้ามาทำงานที่บริษัทของสันต์ และเจ้าของบริษัทให้ความสนใจ ความคิดของหญิงสาวก็เปลี่ยนไป เธอเริ่มพอใจกับการที่มีอิสระมากขึ้น พอใจกับการที่ได้ไปไหนมาไหนโดยที่ไม่บอกกล่าวแฟนหนุ่มมากขึ้น และพอใจที่พริมาทำให้เธอสามารถเปิดโอกาสให้สันต์ก้าวเข้ามาในชีวิตได้เร็วขึ้น

ก็แค่แสดงละครฉากสองฉาก เล่าเรื่องโศกสักเรื่องว่าด้วยหญิงสาวแสนดีคนหนึ่งที่ถูกแฟนละทิ้งไม่เอาใจใส่ ความบริสุทธิผุดผ่องที่ภูธเรศเฝ้าถนอมไว้ในวันแต่งงานเป็นเครื่องช่วยยืนยันกับผู้ชายอีกคนได้ว่าเธอ ‘ไม่เป็นที่รัก’ ของคนรักเลย...

ชั่วครู่หนึ่งที่ความทรงจำเก่าๆ ผุดขึ้นมาสลับกันระหว่างบ้านไม้โกโรโกโสหลังเล็ก ทรุดโทรม ที่มีพ่อและแม่แก่ชรานั่งเหงา น้องสาวสองคนที่ต้องใช้เงินในการศึกษาเล่าเรียน กับภาพใบหน้าแย้มยิ้มด้วยความรักและความจริงใจของคนรัก แล้วหญิงสาวก็อยากหัวเราะนัก

ความรักหรือ? ถ้ามันทำให้เธอกับครอบครัวของเธออิ่มท้องไม่ได้ ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องมี!

หญิงสาวเชิดหน้าขึ้นสูง พลางส่งสายตาเอียงอายให้อีกฝ่าย ปล่อยให้อุ้งมือหนากุมกอบมือเรียวบางเอาไว้แน่น

“กรุณาปล่อยมือแฟนผมด้วยครับ”

น้ำเสียงเรียบหากแฝงแววเย็นชาดังขึ้น คนทั้งคู่สะดุ้งเฮือก กระตุกมือออกจากกันทันควัน ต่างหันไปมองต้นเสียงพร้อมๆ กัน

ภูธเรศมายืนข้างโต๊ะของทั้งคู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ในมือชายหนุ่มมีดอกกุหลาบสีชมพูอ่อนช่องาม ใบหน้าหล่อเหลามีเพียงแว่นตากรอบใส ที่ไม่ได้ปิดบังดวงตาสีดำสนิทคู่คมหรือประกายไฟลุกโชนด้วยความโกรธเกรี้ยวของคุณหมอหนุ่มลงได้เลย

ชายหนุ่มเผยยิ้มเย็น ก่อนจะหันไปทางแฟนสาวด้วยสีหน้าอ่อนโยน “ไปกันเถอะนุช ผมจองโต๊ะไว้ที่ร้านอาหารฝรั่งเศสร้านโปรดของคุณไง เดี๋ยวจะไม่ทันนะ”

นุชนาถพยายามปกปิดสีหน้าตื่นตระหนกของตนสุดความสามารถ น้ำเสียงหวานสั่นน้อยๆ เมื่อเอ่ย “ภูมาได้ยังไงคะ ก็...”

ก็วันนี้ตอนที่เขาโทรมาแล้วเธอรับอย่างเสียไม่ได้ นุชนาถตอบปฏิเสธการนัดทานอาหารของเขาไปแล้วโดยอ้างว่าจะต้องตามเจ้านายออกไปทานอาหารกับลูกค้า แต่นี่ทำไมเขามาปรากฎตัวที่นี่ได้?

“ผมอยากเจอหน้าคุณ” น้ำเสียงนุ่มทอดปลายสนิทสนมอย่างเคย หากคนฟังกลับเย็นยะเยือกอย่างประหลาด คล้ายเครื่องปรับอากาศในร้านลดอุณหภูมิลงกะทันหัน “เลยขับรถตามคุณมา หวังว่าอย่างน้อยก็จะเอาดอกกุหลาบนี้ส่งให้คุณก็ยังดี”

ชายหนุ่มไม่ได้พูดอะไรมากกว่านั้น แต่สังเกตเห็นสีหน้าซีดเผือดของคนรัก และการวางสีหน้าไม่ถูกของ ‘เจ้านาย’ ที่ดูเหมือนอยากจะข้ามขั้นมาแทนที่เขาเสียเหลือเกินแล้วก็กระตุกมุมปากขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

ไม่ต้องพูดอะไรมาก แต่บอกเท่านี้คงเข้าใจแล้วสินะว่าตั้งแต่การโอบไหล่พาเดินไปขึ้นรถ อาการหยอกเย้าถึงเนื้อถึงตัวที่ทั้งคู่กระทำนั้นอยู่ในสายตาของเขาทั้งหมดแล้ว

คล้ายมีเพลิงอัดแน่นอยู่ในอก พร้อมที่จะแผดเผาทุกอย่างให้ไหม้เกรียมในพริบตา ภูธเรศแทบจะไม่ได้สังเกตเลยว่าเขาไม่ได้โกรธนุชนาถเหมือนที่โกรธพริมา และไม่รู้เลยว่าอาการที่เกิดกับพริมานั้น...ควรเกิดกับนุชนาถมากกว่า

เพียงแต่เขาต้องการสั่งสอน ต้องการให้คนทั้งคู่รู้ว่าเขาก็ไม่ได้โง่ ไม่ได้เป็นควายให้อีกฝ่ายมาสวมเขาให้ได้ง่ายๆ

เขาโกรธ...โกรธที่สันต์มา ‘ยุ่ง’ กับแฟนเขา โกรธนุชนาถที่ยินยอมให้คนที่ไม่ใช้เขาแตะต้องเธอ!

นุชนาถทำได้เพียงแต่ค่อยๆ ยืนขึ้น ก่อนจะเอื้อมมือไปรับช่อดอกไม้นั้นอย่างเงียบงัน “ขอบคุณค่ะ”

“ไปกันเถอะครับ เดี๋ยวจะไม่ทันเวลาจองโต๊ะนะ” คนเป็นหมอยิ้มเย็น ปรายตามองไปที่เจ้านายของแฟนสาวแล้วเอ่ย “ต้องขอตัวนะครับคุณสันต์ พอดีวันนี้นุชมีนัดกับผมที่เป็นแฟน คงต้องขอเวลาหน่อยนะครับ พอดีไม่ได้มีเวลาเจอกันมากเท่าไหร่”

พูดจบ มือใหญ่ขาวจัดก็คว้าแขนเรียวก่อนจะดึงให้หญิงสาวเดินตามไป หากก็รู้สึกถึงแรงกระตุกกลับในทันควัน พร้อมๆ กับนุชนาถที่พยายามสะบัดมือเขาออก

“ปล่อยคุณนุชซะคุณหมอ”

สันต์เอ่ยเสียงเย็นพอๆ กับอีกฝ่าย อุ้งมือแข็งแรงจับข้อมืออีกข้างของหญิงสาวเอาไว้ ก่อนจะดึงเธอเข้ามาหาตัว “ต้องขอโทษนะครับคุณหมอ แต่วันนี้ผมไม่อนุญาตให้คุณนุชไปไหนทั้งนั้น”

“หมายความว่ายังไงครับ”

“ผมกับคุณนุชนั่งทานอาหารกันอยู่ ก่อนที่คุณหมอจะมาถึงแล้วฉกเอาตัวเลขาฯ ผมไปง่ายๆ แบบนี้ ไม่รู้สึกว่ามันเป็นการเสียมารยาทไปหน่อยหรือครับ”

ภูธเรศหัวเราะน้อยๆ หากดวงตาวาววับเย้ยหยันคนตรงหน้าเต็มที่ “ผมแค่ปกป้องศักดิ์ศรีของแฟนผม ไม่ให้ถูกใครบางคนลวนลามเอาก็เท่านั้นเอง”

คำพูดของนิติเวชหนุ่มทำให้อีกสองคนหน้าชาไปตามๆ กัน โดยเฉพาะนุชนาถที่จะปฏิเสธก็ไม่ได้

ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นว่าเธอไม่มีศักดิ์ศรี ยินดีถูกคนอื่นลวนลาม...

“คุณหมอ!” สันต์ลุกพรวดก่อนจะก้าวเข้าไปกระชากคอเสื้ออีกฝ่ายโดยแรง ประธานบริษัทหนุ่มโกรธเสียจนไม่คิดที่จะแก้คำพูดใดๆ ที่ภูธเรศหยิบยกมาทั้งสิ้น ผู้คนในร้านกรีดร้องก่อนจะถอยห่างจากคู่วิวาททั้งสอง โต๊ะเก้าอี้ล้มระเนระนาดท่ามกลางเสียงโวยวายตะโกนเรียกเด็กในร้านและผู้จัดการ และก่อนที่สันต์จะทันได้เงื้อหมัดขึ้นก็มีคนหลายคนมาจับแยกทั้งคู่ออกจากกัน ทว่าภูธเรศเพียงยกมือขึ้นจับมือที่ไม่ยอมปล่อยจากปกเสื้อ ก่อนจะผลักอีกฝ่ายโดยแรงจนล้มหงายหลังไปชนโต๊ะอาหารข้างหลังกระจัดกระจาย

“กรี๊ด! คุณสันต์!”

นุชนาถรีบเข้าไปประคองชายหนุ่ม ก่อนจะเงยหน้าขึ้นต่อว่าคนรักด้วยน้ำเสียงกราดเกรี้ยว “ภูเป็นบ้าอะไรขึ้นมา!”

ใบหน้าหล่อเหลายกยิ้มมุมปาก ดวงตาสีดำสนิทปรายมองอากัปกิริยาห่วงใยที่แฟนของตนเองแสดงออกกับอีกคนหนึ่งด้วยสายตาเย็นชา...ยะเยือกเสียจนนุชนาถปล่อยมือจากสันต์โดยไม่รู้ตัว

“คุณก็เห็นอยู่ว่าเขาเริ่มก่อน ผมแค่ป้องกันตัวเอง...ไม่เชื่อทุกคนในที่นี้เป็นพยานให้ได้นะ”

หมอหนุ่มหันไปหากลุ่มคนที่มามุงดูอย่างสนใจก่อนเอ่ย “เขาพยายามลวนลามแฟนผมครับ แล้วเมื่อกี้ทุกคนก็เห็นแล้ว ว่าคุณสันต์ที่มีตำแหน่งใหญ่โตเป็นถึงประธานบริษัทคนนี้พยายามทำร้ายผมก่อน”

คนทั้งหมดพยักหน้าพร้อมกันคล้ายถูกสะกดจิต

“นุช” ภูธเรศหันกลับมาหาคนรักที่มองมาทางเขาด้วยแววตาหลากหลาย “คุณจะเอายังไง จะไปกับผมรึเปล่า?”

การตัดสินใจกะทันหันทำให้หญิงสาวนิ่งงัน ใจหนึ่งบอกตัวเองว่าถึงเวลาแล้วที่เธอจะพูดตรงๆ กับเขาถึงการจบความสัมพันธ์ลงเสียที เพื่อเธอจะได้มีอิสระและโบยบินมาอยู่ข้างสันต์อย่างเต็มภาคภูมิ

แต่อีกใจหนึ่งเธอก็ยังเสียดาย...

“ภูคะ...” นุชนาถตัดสินใจเอ่ยเสียงอ่อนหวาน “ตอนนี้คงไม่ทันแล้วล่ะค่ะ นุชต้องทำงานนะคะ เอาไว้ว่างๆ เราค่อยหาเวลาคุยกันนะคะ”

ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายตอบรับหรือปฏิเสธ นุชนาถรีบประคองเจ้านายของเธอให้ลุกขึ้นยืน พลางส่งสายตาเว้าวอนให้หมอหนุ่มที่ยืนนิ่งพินิจข้อเสนอเมื่อครู่

ดวงตาสีดำสนิทสะท้อนภาพความสนิทสนมภาพแล้วภาพเล่าของชายหญิงตรงหน้า ก่อนที่จะมาซ้อนทับกับภาพสุดท้ายที่อยู่ตรงหน้าเขา...รูปที่นุชนาถเลือกผู้ชายคนนั้น

ภูธเรศหันหลังกลับ เดินออกจากร้านไปเงียบๆ




สุเมษก้าวเข้าไปในผับ สถานที่บันเทิงที่เขาไม่ได้ชื่นชอบสักเท่าใดนัก

เมื่อสมัยที่ยังเรียนอยู่ มีเวลาว่างบางครั้งที่เพื่อนๆ นักศึกษาแพทย์ด้วยกันจะพากันมาเที่ยวกลางคืนเสียที เที่ยว กิน ดื่ม และเมาให้เต็มที่ก่อนที่จะกลับไปสู่การเรียนที่แสนคร่ำเคร่งใหม่

ใครบอกว่านักศึกษาแพทย์ต้องเนิร์ด ใส่แว่นกรอบหนา ใส่เสื้อเชิ้ตสะอาดสะอ้าน พูดจาสุภาพใจเย็นทุกคำ

คิดผิดเสียแล้ว!

วันนี้ร่างสูงเพรียวของศัลยแพทย์หนุ่มเดินฝ่ากลุ่มคนเบียดเสียด โต๊ะที่วางติดกันจนแทบไม่เหลือทางเดิน พยายามมองผ่านแสงสีสดแสบตาในเงาพร่ามัวของสถานที่บันเทิง ก่อนจะสอดสายตามองหาหนุ่มรุ่นน้องที่จู่ๆ ก็เรียกให้เขาออกมาหา

อยู่นั่นไง...

ภูธเรศอยู่ในชุดเสื้อยืดสีขาว กางเกงยีนส์และรองเท้าผ้าใบสีดำเหมือนกัน ใบหน้าคมคายหล่อเหลา ผิวขาวจัดและแว่นไร้กรอบนั้นทำให้สาวๆ หลายคนหันมามองด้วยความสนใจและชม้ายนัยน์ตาเชิญชวนเต็มที่ หากต้องผิดหวังเมื่ออีกฝ่ายใส่ใจแต่แก้วเหล้าในมือเท่านั้น

“ภู พี่มาแล้ว”

บริกรเดินเข้ามาถามความต้องการของผู้มาใหม่ สุเมษสั่งเหล้านอกมาอีกขวด ก่อนจะเอ่ยถามคนชวนอย่างสงสัย

“ปกติพี่ต้องเป็นคนชวนแกสิ แล้วไหงวันนี้แกมาชวนพี่ได้ มีปัญหาอะไรมาฮึ อกหักรักคุด ตุ๊ดเมิน...เอ่อ...คงไม่เมินหรอก แกดูฮอตขนาดนั้น”

คน ‘ฮอต’ เงยหน้าขึ้นจากแก้วเหล้าที่ผสมไว้หนา ก่อนจะยิ้มกว้างอย่างที่สุเมษมองแล้วก็รู้ว่า ‘เมา’

“พี่เก่งนะ รู้ได้ยังไงว่าผมอกหัก”

“เดาเอาว่ะ”

“น่าจะไปเป็นหมอเดาแทนไอ้พวกฟันธง คอนเฟิร์มพวกนั้นนะ อย่ามาเป็นเลยหมอผ่าตัด เป็นหมอเดารุ่งกว่า” คนฮอตจบประโยคด้วยเสียงหัวเราะในลำคอ ก่อนจะกระดกแก้วเหล้าให้ของเหลวสีอำพันในนั้นลงคอรวดเดียว

“เฮ้ย! ไอ้ภู” สุเมษตาเหลือกเมื่อเห็นเหล้าราคาแพงหายวับไปกับตา “ค่อยๆ เสียของหมด...แหม...ไอ้นี่ กินเหล้าทีอย่างกับตายอดตายอยากมาจากไหน สรุปว่าอกหักจริงหรือว่า แล้วคุณ...เอ่...คุณแฟนแกอ่ะ ชื่ออะไรนะ”

“นุชนาถ”

“เออ! คุณนุชนั่นแหละ เขาหักอกแกเรอะ”

“เปล๊า!” นิติเวชหนุ่มขึ้นเสียงสูง ส่ายหัวด๊อกแด๊ก “ยังไม่ถึงขนาดนั้น แต่เขาให้คนอื่นจับมือ ตอนลงรถก็ให้โอบไหล่ ตอนขึ้นรถก็ให้เปิดประตูให้...”

แล้วอีกกว่าชั่วโมงหลังจากนั้นสุเมษก็ต้องนั่งฟังคนเริ่มเมาพร่ำบ่นพลางดื่มเหล้าพลาง ส่วนตัวเองก็ทำได้เพียงค่อยๆ จิบเหล้า เพราะวันนี้ขับรถมาเอง

“พี่คิ๊ดดดด....ดู! เค้าทำอย่างเน้กับพ้มได้ยางงาย!” คนเมาเริ่มออกอาการ มือใหญ่ตบโต๊ะดังปังด้วยแรงอารมณ์ หากทำเอาอีกฝ่ายสะดุ้งเฮือก “ทำด้ายยางงายยย...”

“ก็น่าเห็นใจแกอยู่หรอกนะ” ศัลยแพทย์หนุ่มตัดสินใจตามน้ำชั่วคราว “แล้วแกคิดจะทำยังไงต่อไปล่ะภู”

ภูธเรศสบสายตาสีดำปนเทาของรุ่นพี่ด้วยแววตาเยิ้มฉ่ำเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ ก่อนเอ่ย “จาทำยางงายได้ พี่ก็รู้ว่าพ้มกับเขาม่ายด้ายเป็นแฟนกัน”

“อ้าว แกกับคุณนุชไม่ใช่แฟนกันแล้วใครเป็นแฟนแกวะ” รุ่นพี่ชักงง

“พ้มไม่ได้พูดถึงนุช เรื่องนั้นจบไปแล้ว เรื่องนี้เริ่มใหม่” คนเมายืนยัน แต่คนฟังงงว่าเรื่องจบและเริ่มใหม่ตั้งแต่เมื่อไหร่...

...เอาเถอะ อดทนๆ นานๆ มันจะเมาแล้วระบายอะไรอย่างนี้เสียที ช่างมันเถอะ

สุเมษตัดสินใจตามน้ำ “แล้วแกพูดถึงใครล่ะตอนนี้ ฉันจะได้ตามเรื่องถูก”

“พริม!” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงหนัก ก่อนคร่ำครวญ “เค้าทำอย่างเน้ได้ยางง้ายยยยย...ทามมายไม่บอกโผม...”

บอกเรื่องอะไรหรือไม่บอกเรื่องอะไร สุเมษก็สุดรู้ และคงไม่ได้รู้ภายในห้านาทีนี้แน่ เพราะเมื่อดนตรีบนเวทีเริ่มเล่นเพลงใหม่ ภูธเรศก็เดินออกไปวาดลวดลายบนกลางฟลอร์เสียแล้ว ชายหนุ่มแทรกอยู่ตรงกลางฝูงชนที่เริ่มกระโดดและเบียดเสียดกันไปมา พลางร้องตะโกนกับคนอื่นๆ สุดเสียง

“ห้ายเธอได้กับขาวววว...แล้วคงโชคดี อย่ามีอารายห้ายเสียจายยยยยย...”

เสียงร้องเพลงโหวกเหวกพร้อมท่าโบกไม้โบกมือของรุ่นน้องทำเอาสุเมษชักวิตกกังวล ขณะที่กำลังตัดสินใจว่าจะไปเอาตัวภูธเรศออกมาจากฟลอร์หรือไม่ โทรศัพท์มือถือของชายหนุ่มก็สั่นเป็นสัญญาณเตือนว่ามีข้อความเข้า

สุเมษควักโทรศัพท์ออกมาเปิดอ่านข้อความก่อนทำหน้าเครียด มองไปที่ร่างสูงเพรียวของรุ่นน้องที่ยังคงเมามันส์กับเสียงเพลง ก่อนจะตัดสินใจโทรศัพท์หาใครอีกคนที่เขาเคยขอเบอร์เอาไว้เมื่อนานมาแล้ว เผื่อกรณีติดต่อฉุกเฉิน

รออยู่ครู่หนึ่งจนได้ยินเสียงนุ่มหวานของปลายสายตอบกลับมา “สวัสดีค่ะพี่หมอสุ
เมษ”

“น้องพริมหรือครับ” สุเมษกรอกเสียงลงไป พยายามหามุมสงบๆ เพื่อที่อีกฝ่ายจะได้ยินเสียงเขาชัดมากขึ้น “น้องพริมช่วยมาที่ผับ xxx ตอนนี้เลยได้มั้ยครับ?”





ปณัชญา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 มี.ค. 2556, 01:40:53 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 มี.ค. 2556, 01:41:56 น.

จำนวนการเข้าชม : 2622





<< บทที่ 7 : ปฏิบัติการ ‘หวง’ เพื่อน   บทที่ 9: ความอ่อนแอ >>
Auuuu 10 มี.ค. 2556, 02:30:43 น.
อึ้งกับนุชนาถมาก ถ้าอยากเลิกก็เลิกไป อย่าทำแบบนี้ สุดท้ายจะไม่เหลือใคร


lovemuay 10 มี.ค. 2556, 06:38:20 น.
เอิ่ม พี่หมอภูอาการหนักนะคะ ขนาดนี้ยังไม่รู้ตัวอีก เชื่อเค้าเล้ย..


ใบบัวน่ารัก 10 มี.ค. 2556, 09:14:05 น.
หมอยังไม่หายโง่อีกหรือ โง่จริงๆ
ตามสืบก็หมดเรื่องจะได้มีหลักฐานว่านอกใจ
ได้กะคนอื่นนานแล้ว จะได้ไม่มาเสียใจทีหลัง
เลือกๆซะที น่าสงสารพริมจัง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account