Secret Love: ปฏิบัติการแอบรัก
แค่ได้อยู่ใกล้ๆ แค่ได้มองเห็นเขามีความสุข

ฉันยอมแลกทุกอย่าง...แม้เขาจะไม่รับรู้ถึงสิ่งที่ฉันทำเลยก็ตาม!

สายฝนเมื่อวันหนึ่ง นำพาเขาและเธอมาเจอกัน

ก่อเกิดเป็นมิตรภาพที่สวยงาม...จนเบ่งบานกลายเป็นความรู้สึกแสนพิเศษ

เพียงแต่ว่า...มันเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับ ‘เธอ’ เพียงคนเดียว!

เธอ...เจ็บเมื่อเห็นเขาเจ็บ

เธอ...ยอมเจ็บเพื่อให้เขามีรอยยิ้ม

แต่เมื่อการกระทำของเธอถูกเขามองว่าต้องการขัดขวางความรัก

คนเป็น ‘แค่เพื่อน’ จะทำอะไรได้...นอกจาก...


...เดินออกไปจากชีวิตเขา...

Tags: หมอ, นักศึกษา, เพื่อน, รัก, โรแมนติก

ตอน: บทที่ 9: ความอ่อนแอ


ในผับมีแต่เสียงอึกทึก เพลงดังแสบแก้วหู กลิ่นแอลกอฮอล์คละคลุ้งปะปนกับกลิ่นน้ำหอมของใครหลายคนเคล้ากันในอากาศจนหญิงสาวต้องย่นจมูกด้วยความไม่ชอบใจ

พริมาขมวดคิ้วพลางทำหน้านิ่วเมื่อนักเที่ยวคนหนึ่งเดินเซนิดๆ มาชนเธอ ก่อนจะหัวเราะแล้วเดินลับหายไปโดยไร้ซึ่งคำขอโทษ หญิงสาวพยายามแหวกฝ่าฝูงชนเพื่อมองหาร่างสูงที่สุเมษบอกว่าตอนนี้กำลังออกท่าทางอยู่กลางฟลอร์นั่นแหละ...

เอ่อ...พี่เมษ กลางฟลอร์ของพี่นี่ ไม่ได้บอกไว้ด้วยใช่มั้ยคะว่าคนมันจะมากขนาดนี้!

อาจจะเป็นเพราะเวลาที่เหมาะสำหรับเหล่าผู้แพ้แสงแดดทั้งหลายที่จะได้มีโอกาสออกมาสูดอากาศข้างนอกบ้าง แต่พริมาไม่ใช่พวกชอบออกไปไหนตอนกลางคืน และภูธเรศก็ไม่ควรที่จะออกไปไหนตอนกลางคืนด้วย เพราะขานั้นงานยุ่งตลอดศก

หญิงสาวพยายามสอดส่ายสายตาหาคนงานยุ่งที่จำเป็นต้องเอากลับบ้านด่วนก่อนที่พรุ่งนี้จะไม่มีแรงไปทำงาน ก่อนจะพบว่าร่างสูงของคนที่กำลังตามหาอยู่เดินมุ่งไปที่โต๊ะเล็กแล้วหยิบเอาแก้วเหล้ามากระดกน้ำเมาเข้าปากอย่างรวดเร็ว

พริมารีบผลักชายหนุ่มคนหนึ่งที่เอนตัวมาทางเธอจนเกือบจะซบลงตรงไหล่บางก่อนจะเดินดุ่มเข้าไปหาร่างสูงที่ตอนนี้ก็เข้าไปกระโดดโลดเต้นกลางฟลอร์อีกครั้งหนึ่ง หากภาพที่ทำให้เธอต้องขมวดคิ้วมากขึ้นไปอีกไม่ใช่เพราะเห็นเพื่อนเริ่มวาดลวดลายแปลกๆ แต่เป็นเพราะสาวนางหนึ่งที่เริ่มเกาะก่ายอีกฝ่ายคล้ายปลาหมึกตัวโตมากกว่า โดยที่ ‘หลัก’ ที่โดนปลาหมึกกำลังเกาะอยู่นั้นก็ไม่ได้ผลักไสแต่อย่างใด

ลืมไปว่าเป็นแค่หลักเกาะนี่เนาะ มีหน้าที่ให้เกาะ ไม่ได้มีหน้าที่แกะ!

“มาผับ ไม่น่าจะใส่แว่นนะคะ”

เจ้าของเรือนร่างเย้ายวนที่มีเพียงเกาะอกสีดำสนิทติดเลื่อมพราวตรงหน้าหมอหนุ่ม เอื้อมมือไปปลดเอาแว่นไร้กรอบออกวางไว้บนโต๊ะอย่างไม่ไยดี เปิดเผยหน้าตาคมสันหล่อเหลาเสียจนอีกฝ่ายคลี่ยิ้มหวานหยาดเยิ้ม แล้วเอนซบลงไปกับอกกว้างของคนที่ไม่ได้สนใจอะไรนอกจากเสียงเพลงบนเวทีและแก้วเหล้าในมือเท่านั้น

พริมาคล้ายจะได้ยินเสียงเส้นความอดทนขาดไปทีละเส้น...ทีละเส้น เมื่อเห็นฝ่ายสาวปะป่ายมือระเรื่อยไปตามร่างชายหนุ่ม ในขณะที่อีกฝ่ายก็ได้แต่ปัดป้องอย่างไม่จริงจังนัก มีการก้มลงไปกระซิบกระซาบอะไรกันบางอย่าง...บางอย่างที่ทำให้คนมองเริ่มอยากจะกระโดดถีบให้สติสตังของคนเป็นหมอกลับคืนมาเสียเร็วๆ

หญิงสาวในชุดเสื้อยืดตัวโคร่ง กางเกงขาสั้นคู่กับรองเท้าแตะเดินเข้าไป ‘แกะ’ ตัวเพื่อนออกมาจากมือไม้เหนียวหนับอย่างไม่รอช้า เสียงหัวเราะคิกคักเหมือนคนเมาของสาวที่มาเกาะตัวภูธเรศเปลี่ยนเป็นตวาดเสียงดัง

“แกมาผลักฉันทำไม!”

“ไม่ทำไม ฉันมารับเพื่อน” พริมาลากร่างสูงกว่าให้ออกมาจากฟลอร์ หากภูธเรศกลับยิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าใครอยู่ตรงหน้า

“พริมมมม...” ชายหนุ่มหรี่ตาลงน้อยๆ เหมือนต้องการมองให้ชัด ก่อนจะเอ่ยเสียงยาน “มาเต้นกันเถอะ”

ไม่พูดเปล่า ร่างสูงออกแรงกระตุกนิดเดียวคนเป็นเพื่อนก็เซถลาเข้ามาในอ้อมอก เพลงบนเวทีเปลี่ยนไปเป็นจังหวะเนิบช้าตั้งแต่เมื่อไหร่ก็สุดรู้ มือไม้คนเป็นหมอรัดแน่นจนอีกฝ่ายตระหนก ยิ่งเมื่อลมหายใจกรุ่นกลิ่นแอลกอฮอล์เป่ารดข้างแก้ม พริมาก็ยิ่งรู้สึกเครียดมากขึ้น

ถ้าจะเอาคนเมากลับด้วยมอเตอร์ไซค์มันยาก ยิ่งคนเมาแบบครองสติไม่อยู่แบบนี้ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ เธอต้องรีบเอาเพื่อนออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุดแล้ว

“ไม่เอาเว้ย! กลับบ้านได้แล้วนะ ดึกแล้ว พรุ่งนี้มีลงเวรตรวจคนไข้คดีไม่ใช่เหรอ” ร่างโปร่งบางพยายามเบี่ยงตัวเองออกจากอ้อมแขนแข็งแรงก่อนตะโกนให้ดังกว่าเสียงเพลง หากอีกฝ่ายกลับรัดแน่นขึ้นไปอีกจนร่างทั้งสองแนบเข้าด้วยกันอีกครั้ง “ภูธเรศ กลับได้แล้ว”

“ไม่อาววว...เราอยากเต้น” คนเมายิ้มตาหยี่ ต่อรองด้วยท่าทีออดอ้อน สันจมูกโด่งปัดระแก้มนวลไปเมื่อชายหนุ่มเลือกที่จะก้มลงมากระซิบตอบแทนที่จะตะโกนให้เจ็บคอ “น้า...เราขอเต้นอีกเพลงน้า แล้วจากลับจริงๆ”

“งั้นก็ปล่อยเราสิ จะได้เต้นได้ถนัด” คนโดนต่อรองหน้าแดงแป๊ด

หมอหนุ่ม (ที่ตอนนี้ไม่เหลือคราบหมอ) พยักหน้า ปล่อยมือจากร่างโปร่งบางอย่างง่ายดายก่อนไปเต้นเย้วๆ ตามคนอื่นกลางฟลอร์ “โอเค เลสสะโก!”

พริมาโคลงศีรษะไปมาเมื่อถอยออกมานั่งรอตรงโต๊ะของชายหนุ่ม สายตาจับจ้องไปยังร่างสูงที่สะบัดลวดลายเหมือนไม่เคยเจอแสงสีมาก่อนในชาตินี้ ทั้งท่าทางการโยกตัวออกลีลาของนิติเวชหนุ่มนั้นดูจะมันในอารมณ์เสียจนคนมองอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้

“หัวเราะอะไรครับน้องพริม”

เสียงทุ้มที่สองเดือนกว่าๆ มานี่กลายเป็นเสียงคุ้นหูสำหรับพริมาทำเอาหญิงสาวสะดุ้งโหยง หันหน้าไปตามต้นเสียงแล้วเจอใบหน้าหล่อเหลาคล้ำแดดนิดๆ ของผู้หมวดหนุ่มพี่เลี้ยงฝึกงาน

คนที่เธอหมายมั่นปั้นมือว่าจะเอาเขามาดามอกหักๆ นั่นแหละ!

“พี่กฤษณ์ สวัสดีค่ะ มาเที่ยวหรือคะ?”

ถามออกไปก็ได้แต่ด่าตัวเองในใจว่างี่เง่า มาที่แบบนี้คงมาบิณฑบาตตอนเช้ามั้งไอ้พริมเอ้ย...

หากคนฟังหัวเราะรื่น สายตาพราวระยับด้วยกรึ่มแอลกอฮอล์หน่อยๆ มองสำรวจร่างโปร่งบางในชุดที่ไม่เข้ากับสถานที่สุดๆ ก่อนหัวเราะออกมาเบาๆ “พี่มาเที่ยว แต่น้องพริมเหมือนจะมานอนเลยนะ”

หญิงสาวมุ่ยหน้าก่อนหัวเราะออกมาเช่นกัน เข้าใจดีว่าสารรูปเธอตอนนี้ไม่ได้มีความข้องเกี่ยวกับสถานที่เลยแม้แต่น้อย “ก็พริมมาตามเพื่อนกลับบ้านนี่คะ เลยไม่ได้แต่งตัวอะไร อย่าให้พริมแต่งนะ รับรองสวยกว่าสาวที่พี่ควงมาซะอีก”

“เฮ้ย!” ผู้หมวดหนุ่มร้องเสียงดัง หน้าตาเลิ่กลั่ก “พี่ควงใครมา ไม่มี๊...พี่รักเดียวใจเดียวนะ”

“อ๋อเหรอ...” หญิงสาวเลิกคิ้วก่อนยิ้มล้อเลียน ลากเสียงยาวสุดๆ ให้รู้กันไปเลยว่าไม่เชื่อ “แล้วน้องแนน น้องเฟิร์น น้องแน็ตที่ผลัดกันมานั่งเฝ้าที่พ.ฐ. ล่ะคะ”

“เค้ามาเอง พี่ไม่รู้เรื่อง” กฤษณะปฏิเสธเป็นพัลวัน ใจคิดไปถึงสาวๆ สองสามคนที่ไปหาเขาถึงที่ทำงาน โดยแต่ละคนอ้างว่ามาตามคดีที่ตัวเองเป็นเจ้าทุกข์ แต่เอาไปเอามาก็คล้ายว่าพวกเธอเหล่านั้นมาตามคนเก็บหลักฐานในคดีอย่างเขาแทน “พี่มีแต่เราคนเดียวเท่านั้นแหละ”

พูดไปแล้วชายหนุ่มก็ได้แต่ตกใจ ส่วนพริมาก็นิ่งงันไปชั่วขณะ

“พี่มีแต่เราคนเดียวจริงๆ เชื่อพี่สิ” ไหนๆ ก็พูดไปแล้วกฤษณะก็ขอเดินหน้าต่อไปให้มันสุดๆ ไปเลย สายตาของผู้หมวดหนุ่มมุ่งมั่นเสียจนพริมาอึ้ง

ก่อนจะแก้สถานการณ์อีหลักอีเหลือกนี้ด้วยการหัวเราะน้อยๆ “พี่ล้อพริมเล่นอีกแล้วนะ เมาล่ะสิ”

“พี่ดื่มบ้างอันนี้ไม่ปฏิเสธ แต่พี่พูดจริง”

คงเป็นฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ทำให้ชายหนุ่มกล้าเอ่ยปากออกไป เพราะปกติแล้วกฤษณะทำได้เพียงแค่มองอยู่ห่างๆ ไม่กล้าที่จะเอ่ยอะไรออกไป

มันคงไม่เหมาะสมเท่าใดนักที่เขาจะมาเคลมเด็กฝึกงานเสียเอง แต่ช่วงเวลาเกือบสองเดือนที่ได้รู้จักกัน ทำให้เขารู้ตัวเองว่าเขาชอบผู้หญิงคนนี้

ถึงแม้ดูเหมือนใจของเธอจะไม่มีไว้ให้เขาก็ตาม...

พริมากระพริบตาปริบๆ เรียกสติตัวเองคืนมาได้ก็หัวเราะน้อยๆ ก่อนเย้า “สารภาพรักในผับนี่...ไม่ค่อยโรแมนติกเท่าไหร่นะคะ”

“ถ้าอย่างนั้นพี่ต้องสารภาพที่ไหนล่ะ เราถึงจะตอบรับ”

“ก็...”

ไม่ทันที่หญิงสาวจะได้ตอบคำถาม ร่างบางก็เซวูบก่อนจะพบว่าตัวเองเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดคนเมาอีกคนที่จู่ๆ ก็คว้าเธอไปกอด ก่อนยิ้มหวาน “ที่ร้ากกกกกก...เค้าอยากกลับบ้านแล้ว”

ภูธเรศกระชับอ้อมกอดของตัวเองแน่น ไม่ไยดีกับแรงสะบัดของเพื่อน ร่างสูงเอนซบอาศัยพริมาเป็นหลักเต็มที่จนอีกฝ่ายต้องเป็นฝ่ายโอบรัดร่างของคนเป็นหมอเอาไว้ไม่ให้พากันร่วงลงไปทั้งสองคน

“ยืนดีๆ สิภูธเรศ!” แหวเพื่อนเสร็จก็หันไปหาผู้หมวดหนุ่มที่ยืนนิ่งอยู่ ก่อนจะพยายามยิ้มให้แล้วบอก “พี่กฤษณ์คะ ก็อย่างที่เห็นนี่แหละ หมอนี่เมามากแล้ว พริมคงต้องพาไปทิ้งไว้ที่บ้านก่อนล่ะค่ะ”

“แล้วเรื่องที่พี่พูดเมื่อ...”

“จากลับบ้าน!” คนเมาที่เมื่อครู่ยังซบไหล่บางอย่างสงบผงกหัวขึ้นมาอาละวาดอีกครั้ง “ง่วงนอน อยากอ้วก จากลับ!”

พริมาผุดสีหน้าลำบากใจ “พริมว่าเราค่อย...”

“ที่ร้ากกกกก...กลับบ้านกันเถอะน้า” หมอหนุ่มที่ยืนแทบไม่ตรงเอ่ยขัด ก่อนจะหันไปหาอีกฝ่ายอย่างขัดเคือง “หมวด ม่ายเห็นเหรอว่าเค้าจากลับกันแล้ว มัวพูดอะไรอยู่ด้าย!”

“คุณหมอภูธเรศ” กฤษณะขมวดคิ้วใส่ร่างสูง หันไปพูดกับหญิงสาวที่พยายามพยุงอีกฝ่ายเอาไว้อย่างยากลำบาก “พี่ว่าพี่ไปส่งพริมกับหมอดีกว่า ดูเหมือนหมอ เอ่อ...ไม่ค่อยดีเท่าไหร่”

“ม่ายเอา!” ไม่ทันที่คนสติดีจะได้ตอบ คนเมาก็แย่งตอบทันควัน “พริมคร้าบบบ...ไปส่งภูนะคนดี ภูอยากกลับบ้านแล้ววว...”

“โอเค ไปก็ไป” พริมาพึมพำข้างหูพลางตบหลังคนที่ซบไหล่อยู่เพื่อให้เขาสงบลงเสียหน่อย คิ้วเรียวขมวดมุ่นพยายามจะไม่ยิ้มออกมา

ถ้ารู้ว่าเมาแล้วจะปากหวานอย่างนี้ รู้งี้มอมเหล้าตั้งนานแล้ว!

“พี่กฤษณ์คะ ก็อย่างที่เห็นนี่แหละค่ะ เดี๋ยวพริมไปส่งหมอแล้วดีกว่า พี่ไม่ต้องห่วงนะคะ”

คนเมาดีกรีไม่เท่าได้แต่พยักหน้ารับ มองร่างบางที่พยายามพยุงคนเมาอีกคนก่อนจะเอ่ยสำทับด้วยความเป็นห่วง

“ถึงบ้านแล้วโทรหาพี่ด้วย ถ้าพริมไม่ว่าอะไร พี่อยาก...”

“หยุด หยุดชีวิต หยุดกับคนเน้...” ไม่ทันได้พูดจบ ภูธเรศก็ร้องเพลงแทรกขึ้นอีก ก่อนจะทำท่าวิ่งออกไปแดนซ์อีกรอบ ทำเอาพริมาคว้าไว้แทบไม่ทัน

“พริมต้องไปแล้วจริงๆ ค่ะ แล้วพริมจะโทรหานะคะพี่...ไปหมอ กลับบ้านกันนะ”

หญิงสาวล็อกแขนเพื่อนแน่น ก่อนจะหันมายิ้มให้กฤษณะแล้วพยุงคนเมาที่ตอนนี้กลับว่าง่ายเดินออกไปในทันที

ผู้หมวดหนุ่มมองตามด้วยความเป็นห่วง ร่ำๆ จะเดินออกไปส่งทั้งคู่ หากได้ยินเสียงเพื่อนที่มาด้วยกันเรียกเอาไว้เสียก่อน

หันกลับไปหาพริมาอีกที หญิงสาวก็หันหลัง พยายามฝ่าวงล้อมของคนเมาทั้งหลายที่ต้องการยัดเยียดตัวเองให้เข้าไปอยู่ในฟลอร์ให้ได้ คนเมาที่หญิงสาวพยุงนั้นหันหน้ามาทางกฤษณะ สายตาของชายหนุ่มทั้งคู่ประสานกันชั่วขณะ ก่อนที่ภูธเรศจะลับหายไป

ชั่วขณะนั้นกฤษณะสาบานได้ว่าเขาเห็นรอยยิ้มมุมปากน้อยๆ จากนิติเวชหนุ่ม




‘เมาเหมือนหมา’

เป็นคำจำกัดความที่พริมายกให้เพื่อนอย่างเต็มใจในตอนนี้ ด้วยสภาพย่ำแย่เกินคาดทำให้หญิงสาวต้องทิ้งรถมอเตอร์ไซค์แก่ๆ ของตัวเองเอาไว้ ก่อนจะขับรถพาเพื่อนกลับมาถึงคอนโดที่ภูธเรศเป็นเจ้าของและอยู่ตามลำพังเพียงคนเดียว

ร่างโปร่งบางไขกุญแจประตูห้องของหมอหนุ่มอย่างรวดเร็ว เธอมีกุญแจสำรองห้องภูธเรศมานานแล้ว แต่ไม่เคยได้ใช้เสียทีเพราะนานๆ ทีเธอจึงจะมาที่นี่ทีหนึ่ง ลึกๆ ลงไปหญิงสาวรู้ดีว่าเธอไม่มีสิทธิ์มาที่นี่

คนที่มีสิทธิ์เต็มคือนุชนาถ

ตลอดเวลาในรถนั้นภูธเรศพร่ำพูดถึงแฟนตัวเองอย่างเจ็บปวด ทำให้พริมาเข้าใจในที่สุดว่าหลังจากวันที่เธอบอกให้ภูธเรศหาทางง้อแฟนอีกครั้ง ชายหนุ่มต้องเจอกับภาพแบบไหน

ภาพที่เธอเองก็เคยเห็น...แต่ไม่เคยบอกคนเป็นเพื่อนเลยแม้แต่ครั้งเดียว

บางครั้งเธอก็เคยเห็นนุชนาถตามที่ต่างๆ กับชายหนุ่มหน้าตาดีที่เดาว่าน่าจะเป็นเจ้านายของแฟนเพื่อน ตอนแรกเธอก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่หลังๆ ความสนิทสนมที่มากขึ้นของทั้งคู่ก็ทำให้พริมาผิดสังเกต...หลายครั้งที่เธอบอกให้ภูธเรศพยายามเอาใจใส่แฟนตัวเองมากขึ้น แต่เพื่อนก็ทำเหมือนทองไม่รู้ร้อน ยังคงทำงานและแวะเวียนมากวนเธออยู่เหมือนเดิม ในขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างภูธเรศกับนุชนาถกลับแย่ลงเรื่อยๆ

ที่แย่ลงอีกคนคงเป็นใจเธอ...

ขืนปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปเธอต้องเป็นคนเลว...เสียงในหัวของหญิงสาวดังก้องอย่างเย้ยหยัน

ความเห็นแก่ตัวมันกำลังกัดกร่อนเธอไปเรื่อยๆ

พริมาไม่อยากเป็นคนเห็นแก่ตัว...

“ม่ายมาวหล้าว แต่เรายังมาวร้าก สุดจาหากห้ามจิตคิ๊ดดด...ชาไหน”

“ภู! อย่าเสียงดัง”

“ทึ้งมาวหล้าวช้าวสายก็หายปายยยย...”

“บอกว่าพอได้แล้วน่า”

พริมาบ่นเบาๆ ใส่คนที่จู่ๆ ก็ทำตัวเป็นสุนทรภู่ขึ้นมา ก่อนจะประคองร่างเพื่อนหนุ่มให้เข้าไปในห้องกว้าง หญิงสาวเดินผ่านห้องรับแขกที่แบ่งออกเป็นสันส่วน ก่อนเดินตัดเข้าไปในห้องนอน อาศัยแสงไฟที่ลอดหน้าต่างเข้ามาพอทำให้เห็นทุกอย่างในห้องได้ค่อนข้างชัดแม้จะไม่เปิดไฟ

หญิงสาวตัดสินใจ ‘ทุ่ม’ ร่างสูงลงบนเตียงนุ่ม พลางกวาดสายตามองซ้ายขวาเพื่อหาอะไรก็ได้ที่จะทำให้อีกฝ่ายสบายตัวได้มากขึ้น ห้องนอนของนิติเวชหนุ่มเป็นระเบียบเรียบร้อยเพราะได้แม่บ้านมาทำความสะอาดให้ทุกสามวัน และเพราะนิสัยเจ้าระเบียบของเจ้าของห้อง ที่ไม่ยอมให้มีอะไรมารกตาได้เลย

พริมาเดินข้ามห้องไปที่ตู้เสื้อผ้าหลังใหญ่ติดผนัง ก่อนจะเปิดค้นหาผ้าขนหนูเล็กๆ เพื่อที่จะเอามาชุบน้ำเช็ดตัวให้คนเป็นเพื่อน หวังให้อีกฝ่ายสร่างเมาและสบายตัวบ้าง ร่างโปร่งบางเดินเข้าไปในห้องน้ำก่อนจะเดินกลับออกมาพร้อมกับผ้าหมาดน้ำในมือ แต่เมื่อคิดได้ว่าเธอยังต้องโทรหาหมวดกฤษณะ ทำให้หญิงสาวหันหลังให้คนเมา ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มากดโทรออกอย่างรวดเร็ว
"น้องพริม ถึงหอรึยังครับ"

""พริมอยู่ที่คอนโดของภูค่ะพี่ มาถึงโดยปลอดภัยแล้วค่ะ"

น้ำเสียงอีกฝ่ายร้อนรนมาตามสาย "พริม พี่ว่ารีบกลับบ้านดีมั้ย พี่เป็นห่วง"

"พี่กฤษณ์ไม่ต้องห่วงพริมหรอกค่ะ หมอมันเคยเมาให้พริมมาส่งหลายทีแล้ว เรื่องแค่นี้..."

“พริม...พริมจ๋า...”

เสียงอ้อแอ้ของคนเมาดังขึ้นขัดจังหวะจนพริมาต้องหันไปดู ก่อนจะเอ่ยกับปลายสายอีกครั้ง "พี่กฤษณ์คะ พริมว่าพริมวางหูก่อนดีกว่า ต้องไปดูภูหน่อยแล้วค่ะ เริ่มโวยวายอีกละ"

""น้องพริม พี่ว่า..."

พี่กฤษณ์จะว่าอะไรเธอก็คงไม่ได้รู้แล้ว เนื่องจากตอนนี้คนเมาเริ่มอยู่ไม่สุข เสียงดังขึ้นเรื่อยๆ จนเธอต้องหันกลับไปจุ๊ปากให้เงียบๆ

“พริม...พริมจ๋า...”

ใบหน้าหล่อเหลาหลับตาพริ้ม ส่ายศีรษะไปมาบนหมอนนุ่ม พริมาเข้าไปนั่งใกล้ๆ ก่อนจะใช้ผ้าในมือชุบน้ำค่อยๆ บรรจงเช็ดหน้าอีกฝ่ายอย่างเบามือ

“อืมมม...สบายจัง”

นิติเวชหนุ่มหันเอาปลายจมูกโด่งมาไล้ท้องแขนของคนเช็ด ก่อนจะแนบแก้มลง
ไปกับท่อนแขนเรียวบางที่จะขยับออกแต่ถูกมือหนาจับไว้แน่น “เย็นด้วย”

“ปล่อย ภู...ปล่อยได้แล้ว ฉันจะเช็ดหน้าให้นะ”

“พริมเหรอ”

“อื้ม เดี๋ยวเช็ดหน้าให้ อยู่เฉยๆ นะ”

“ม่ายเอา!” คนเมาส่ายหัวด๊อกแด๊ก “ไม่อยากอยู่เฉยๆ”

พริมากลอกตาอย่างหน่ายๆ เพ่งสายตามองไปที่นาฬิกาแขวนติดผนัง ก่อนจะคำนวณเวลาเงียบๆ

จากตอนที่คนเป็นหมอดื่มเหล้าครั้งสุดท้าย จนมาถึงเวลานี้ก็ประมาณครึ่งชั่วโมงกว่าๆ แล้ว รออีกสักครึ่งชั่วโมงก็คงเริ่มสร่างเมามากขึ้นแล้วกระมัง เพราะอย่างน้อยแอลกอฮอล์ก็ต้องเริ่มสลายออกไปจากร่างบ้างแล้ว

ถ้าดีขึ้นกว่านี้เธอก็จะได้กลับเสียที

มืออีกข้างพยายามแกะมือหนาที่คว้าข้อมือเธอไว้อย่างอ่อนโยน หากอีกฝ่ายกลับกระชับมือแน่นอย่างไม่ยอมปล่อย จนพริมาต้องเอ่ยเบาๆ “ปล่อยมือฉันเถอะน่า จะได้เช็ดหน้าให้”

แทนที่จะปล่อยตามคำสั่ง นิติเวชหนุ่มกลับลืมตาขึ้นสบตาเธอพอดี ดวงตาคมกริบคล้ายจะมองให้ทะลุผ่านกำแพงที่คนเป็นเพื่อนตั้งเอาไว้ให้เห็นไปถึงข้างในความรู้สึกจริงๆ ก่อนที่เจ้าตัวจะลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงพร้อมกับกระตุกมือเพื่อนให้ร่างโปร่งบางนั้นขยับเข้ามาใกล้เขาเรื่อยๆ

เรื่อยๆ...จนพริมาเริ่มหวั่น

“เราไม่ปล่อยพริมไปหรอก” น้ำเสียงทุ้มนั้นดังหนักแน่น มั่นคง คล้ายคำปฏิญาณ “ไม่มีทาง”

ความจริงจังในน้ำเสียงนั้นทำเอาพริมาถึงกับเหวอ “เอ่อ...ถ้าหมอไม่ปล่อย ฉันก็เช็ดหน้าให้หมอไม่ได้นะ”

คนเป็นหมอกลับตอบสั้นๆ “ไม่เอา”

“อ้าว!”

“เรียกพี่ภูก่อน” คราวนี้คนเมา (ที่พริมาเริ่มไม่แน่ใจว่าเมาจริงๆ หรือเปล่า) ยิ้มกว้างพลางหัวเราะคิกคักเหมือนกลับไปเมาใหม่ “พี่ภูขา...พริมจะเช็ดหน้าให้นะค้า...”

“เรื่อง!” ร่างโปร่งบางปาผ้าหมาดชื้นใส่อีกฝ่ายพร้อมกับพยายามออกแรงแงะมือหนา...แต่ไม่สำเร็จ “ภูธเรศ ปล่อยได้แล้ว ไม่เล่นนะเว้ย!”

“พี่ภู”

“ปล่อย”

“พี่ภูก่อนสิ” คนอยากเป็นพี่เหลือเกินยืนยัน

หญิงสาวนิ่งเงียบไปชั่วอึดใจ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมองหาความมีสติจากอีกฝ่ายแต่ก็ไม่เห็น

อยากจะบ้าตาย...

พริมากลั้นใจนิดๆ ยามเอ่ยปากตามความต้องการของนิติเวชหนุ่ม “พี่ภูขา...พริมจะเช็ดหน้าให้นะคะ”

วินาทีนั้นพริมาดีใจที่อีกฝ่ายเมา และไฟในห้องก็ไม่ได้เปิด เธอจึงสามารถซ่อนสีแดงก่ำบนแก้มที่ตอนนี้ผ่าวร้อนเหมือนจะลวกได้มิดเม้น หากวินาทีต่อมาหญิงสาวก็ต้องชะงักตัวแข็งทื่อ เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มๆ ก่อนที่ริมฝีปากอุ่นจะแตะแต้มลงมาที่แก้มนวลแผ่วเบา

“ทำไมแก้มร้อนจังเลยพริม” ลมหายใจผ่าวร้อนไม่แพ้กันลวกรดซ้ำให้แก้มนุ่มร้อนผ่าวมากขึ้น กรุ่นแอลกอฮอล์ลอยมากระทบจมูกหญิงสาวเบาๆ เมื่ออีกฝ่ายเลื่อนริมฝีปากมาแตะแก้มอีกข้าง “ข้างนี้ก็ร้อน...เป็นไข้รึเปล่านะ”

“มะ...ไม่ได้เป็น” หญิงสาวผงะตัวออก แต่ไม่ทันอ้อมแขนแข็งแรงที่ตวัดมาโอบรอบเอวบางแผ่วเบา ก่อนจะดึงร่างนุ่มมาแนบชิด “ภูธเรศ! บอกว่าไม่ได้เป็นอะไรยังไงล่ะ อย่ามาทำอย่างนี้นะ!”

ร่างโปร่งบางเริ่มเดือด หากไม่กล้าขยับมากเพราะตอนนี้ท่าทางของทั้งคู่เริ่มหมิ่นแหม่มากขึ้นไปเรื่อยๆ ตัวเธอเกือบจะคร่อมทับช่วงบนที่นอนกึ่งเอนกึ่งนั่งของคนเมา ในขณะที่อีกฝ่ายไม่ได้นำพาต่อการดิ้นรน แถมยังสอดมือเข้าไปที่ท้ายทอยก่อนปลดยางรัดผมนุ่มออก แล้วใช้นิ้วสางเข้าไปในเรือนผมช้าๆ พลางเอ่ย

“อย่ามาทำอย่างไหน เราเป็นห่วงว่าเธอจะเป็นไข้รึเปล่า ตัวร้อนๆ เลยจะวัดไข้แค่นั้นเอง” คนเมาที่เริ่มดูเหมือนไม่เมาแย้งยิ้มๆ ก่อนโน้มศีรษะเธอลงเอาหน้าผากแตะกับหน้าผากเธอในระยะประชิด “เห็นไหม หน้าผากก็ร้อน”

มันก็ร้อนสิยะ เพราะใครเล่า!

พริมาได้แต่โวยวายในใจ สติสตังเริ่มเลือนๆ เพราะตัวเธอเป็นคนคออ่อนเสียจนแค่ได้กลิ่นเหล้าก็มึนได้ เพื่อนคนอื่นๆ เคยหัวเราะแล้วบอกว่าเธอ ‘เมาได้ประหยัด’ สุดๆ

แต่ตอนนี้...มันไม่ใช่แล้ว!

โอ้ย! หัวใจจะวายอยู่แล้วนะ! ขืนอยู่ท่านี้ต่อไป ถ้าเธออดใจไม่ไหวแล้วเผลอจับอีกฝ่ายมาจูบซะอย่ามาโทษกันนะ

หญิงสาวพยายามทำใจให้ผ่อนคลายกับสถานการณ์ก่อนพยายามยันตัวออกห่าง คิดแม้กระทั่งจะลองเอาหัวโขกเรียกสติเพื่อนดูสักทีเผื่อจะได้หยุดทำบ้าๆ แบบนี้

แต่ไม่ทันที่พริมาจะได้ทำอะไรต่อไป ปลายจมูกของหมอหนุ่มก็แตะเข้ากับปลายจมูกเธอ ริมฝีปากบางสวยเกินชายของอีกฝ่ายแย้มกว้างเมื่อพูด “จมูกก็ร้อนเห็นมั้ย ไข้แน่ๆ ไม่เชื่อหมอเหรอ?”

ใครจะไปเชื่อหมอผ่าศพอย่างแก๊!

พริมาร่ำร้องในใจ หากไม่ทันจะได้เอ่ยออกมา กลับได้ยินอะไรบางอย่างที่ทำให้หัวใจเธอหล่นวูบ...

“ไม่เชื่อหมอ ก็ต้องโดนลงโทษ”

มือแข็งแรงกระชับตรงท้ายทอยมั่นคงเกินกว่าที่จะเชื่อว่าเป็นมือของคนเมา พริมาพยายามจะขยับหนีเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ริมฝีปากร้อนผ่าวของคนเป็นหมอจะจัดการ ‘ลงโทษ’ อีกฝ่ายอย่างถนัดถนี่...

ภูธเรศจูบเธอ!


จูบนั้นแผ่วเบาคล้ายปีกผีเสื้อกระทบในคราวแรก

ก่อนที่จะถูกเน้นย้ำหนักแน่นเมื่อคนเป็นหมอกดริมฝีปากลงไปแนบชิดสนิทกับริมฝีปากหญิงสาว ภูธเรศค่อยๆ เลาะเล็มชิมความหอมหวานจากเรียวปากอิ่ม เก็บเกี่ยวความหวานละมุนจากคนในอ้อมแขนอย่างอ่อนโยนและเต็มไปด้วยชั้นเชิง

จูบนั้นคล้ายเสกมนตราให้พริมาตัวแข็งทื่อในคราแรก ก่อนที่ริมฝีปากผ่าวร้อนจะค่อยๆ เลื่อนไล้ แนบชิดเน้นน้ำหนักเบาสลับหนักคล้ายเน้นย้ำ ประกาศความเป็นเจ้าของด้วยจูบหวามหวาน แม้หญิงสาวจะรู้สึกตัวและผลักไสก็เหมือนกับการพยายามผลักก้อนหินใหญ่ สุดวิสัยที่เรี่ยวแรงของเธอจะทำได้ เมื่อถูกล่อลวงด้วยความจัดเจนกว่าของอีกฝ่าย จนเมื่อพริมาทำท่าเหมือนจะหายใจไม่ออกนั่นแหละ ชายหนุ่มถึงถอนริมฝีปากออกหากยังอยู่แทบชิดใบหน้าอ่อนนิ่มพลางเอ่ยขันๆ

“อะไร หายใจไม่ทันเหรอ”

ดวงหน้าแดงซ่านของพริมาพยายามเบือนหนี หากติดที่มือใหญ่ยังคงจับท้ายทอยเธอไว้มั่นไม่ยอมปล่อย แถมยังแนะนำง่ายๆ “หายใจทางจมูกสิพริมเอ้ย หายใจทางปากทำไม”

“ไม่...อุ้บ!”

เอ่ยปากได้คำเดียวพริมาก็ต้องร้องอึกอักในลำคอ เมื่อริมฝีปากแดงสวยนั้นทาบปิดสนิทกับริมฝีปากเธออีกครั้ง แต่คราวนี้พริมามีสติมากขึ้นจึงพยายามดิ้นรนออกจากวงแขนอีกฝ่าย หากภูธเรศกลับถอนริมฝีปากออกก่อนขู่เสียงแผ่ว

“ถ้าดิ้นเดี๋ยวใช้ลิ้นนะ”

แล้วถ้าไม่ดิ้นแกจะปล่อยฉันม้ายยยยยย...

พริมาได้แต่คิดในใจก่อนจะรู้สึกถึงความอบอุ่นที่แทบชิดเรียวปากอีกครั้ง คราวนี้หญิงสาวไม่พยายามที่จะต่อต้านอีก ความอ่อนหวานในใจที่เคยกักเก็บไว้คล้ายหลากไหลออกมาดุจสายน้ำแรงที่เธอไม่สามารถห้ามไว้ได้อีกแล้ว

ทำได้แค่เพียงปล่อยให้อีกฝ่ายร่ายมนต์เย้ายวนบนริมฝีปากเธอต่อไปอีกครู่หนึ่ง ก่อนที่ชายหนุ่มจะถอนริมฝีปากออกห่าง แล้วดึงร่างบางมากอดแนบอกก่อนล้มลงนอนเสียอย่างนั้น

พริมาไม่ได้ขยับเขยื้อน หากรอจนได้ยินเสียงหายใจเป็นจังหวะสม่ำเสมอจึงค่อยพาตัวเองลุกออกจากเตียง จัดท่าทางคนเมาให้เข้าที่ก่อนเดินออกมาจากห้องของชายหนุ่มเงียบๆ

เพื่อที่จะกลับมาร้องไห้กับความสับสนและอารมณ์รังเกียจตัวเองที่ทวีคูณให้สาแก่ใจ...




แสงแดดยามบ่ายส่องลงมายังพื้นโลกอย่างไม่ปราณี ทำให้ร่างโปร่งบางที่ใส่เสื้อโปโลสีเข้ม กางเกงยีนต์เนื้อหนา รองเท้าผ้าใบคู่โตต้องปาดเหงื่อเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ได้ ทั้งๆ ที่ก็มีหมวกแก้ปครอบศีรษะกันแดดจ้า

กลางลานจอดรถของศูนย์พิสูจน์หลักฐานจังหวัดนั้นมีพื้นที่กว้างพอที่จะยกรถที่ประสบอุบัติเหตุไม่สามารถตกลงกันได้ หรือเป็นอุบัติเหตุที่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือตายมาจอดไว้ เพื่อที่ฝ่ายพิสูจน์หลักฐานจะได้ทำการตรวจหาร่องรอยโดยที่ไม่ต้องไปถึงสถานที่เกิดเหตุ

มือเรียวสีน้ำผึ้งอ่อนถือสายตลับเมตรยกขึ้นสูงเลยศีรษะ ก่อนพับลงไปให้ได้ฉาก เท่านี้ก็ได้ตัววัดความสูงของระดับความเสียหายในคดีเฉี่ยวชนในภาษาของพวกเธอ หรือที่เรียกว่าคดีจราจรนั่นแหละ

เวลาตรวจคดีเฉี่ยวชน จะต้องมีการถ่ายภาพทั้งสี่ด้านของรถคู่กรณี (ในบางทีก็เป็นรถหลายคัน ไม่ใช่สองคัน) เสร็จแล้วก็ต้องถ่ายสภาพความเสียหาย ร่องรอยการเฉี่ยวชน การเข้าปะทะ โดยการวัดระยะความสูงขึ้นมาจากพื้นดิน ก่อนที่จะนำรถไปเข้าเทียบรอย หรือก็คือการนำรถที่ชนกันมาจำลองเหตุการณ์การชนอีกครั้งว่าเข้าชนแบบไหน มุมไหน อย่างไร โดยการนำเข้าเทียบรอยนั้นไม่ได้อ้างอิงจากคำบอกเล่าของคู่กรณี แต่มาจากการสันนิษฐานตามรอยเฉี่ยวชนที่ตรวจพบแล้วลองมาเทียบดูว่ารอยนั้นเข้ากันได้หรือไม่ เพื่อที่จะนำไปทำเป็นรายงานการตรวจพิสูจน์แล้วส่งให้กับเจ้าพนักงานสืบสวนต่อไป

พริมายืนถือตลับเมตรที่ใช้วัดระยะของร่องรอยการเฉี่ยวชนของรถยนต์คู่ที่สี่ของวัน เหงื่อที่ไหลลงมาจากไรผมเรื่อยมาจนถึงหน้าผากเข้าตาทำให้รู้สึกแสบจนหญิงสาวต้องยกมือขึ้นขยี้ดวงตาสวยอีกครั้ง

“น้องพริมมือนิ่งๆ หน่อย พี่ถ่ายรูปไม่ได้... อ้าว เป็นอะไรไปล่ะนั่น”

กฤษณะเงยหน้าจากท่านั่งคุกเข่าข้างหนึ่งขึ้นมองเธอ กล้องถ่ายรูปในมือชายหนุ่มที่ต้องถ่ายภาพความเสียหายในระยะใกล้ลดลงก่อนที่ร่างสูงสง่าในชุดกางเกงสแลค เสื้อโปโลสีกรมท่า ปักตัวอักษร ‘FORENSIC’ ไว้ด้านหลังเหมือนพริมาแต่ห้อยบัตรประจำตัวนายตำรวจจะลุกขึ้นแล้วเดินมาหาเธอ

“เหงื่อเข้าตาเหรอ อย่ายกมือขึ้นขยี้อย่างนั้นสิเดี๋ยวตาแดงเสียหมด”

ผู้หมวดหนุ่มละล้าละลังเมื่อเห็นดวงหน้าแดงก่ำด้วยความร้อนของเด็กฝึกงาน ถึงแม้ตอนนี้จะเข้าเดือนพฤษภาคมแล้วแต่ลมร้อนก็ไม่ได้ลดน้อยลงไปเลย ยิ่งเคยรู้มาก่อนว่าอีกฝ่ายเป็นโรคเกี่ยวกับความดัน กฤษณะยิ่งรู้สึกเป็นห่วง มือหนาจับแขนเรียวเอาไว้ไม่ให้ถูหน้าตัวเองอีก ก่อนจะก้มลงมองดวงตาแดงก่ำอย่างกังวล

“น้องพริมไปพักก่อนก็ได้นะ เดี๋ยวเป็นลมเป็นแล้งไปแล้วจะแย่”

“ไม่เอา พริมไม่เป็นไรหรอกค่ะ ต่อเลยดีกว่าจะได้เสร็จๆ ไป”

หญิงสาวยิ้มรับ ใบหน้าแดงก่ำเพราะแดดจัดแหงนเงยขึ้นเล็กน้อย ย่นระยะให้ใบหน้าทั้งสองใกล้มากขึ้นจนคนมองใจสั่น

“เอ้อ...งะ...งั้นทำงานต่อเลยละกันนะ”

กฤษณะปล่อยแขนเรียวรวดเร็วเหมือนจับถ่านร้อน ใบหน้าแดงไม่แพ้อีกฝ่าย ในใจปั่นป่วนจนต้องหันหน้าหนีหญิงสาวที่เหลียวมองตามอย่างงุนงง

พริมายักไหล่น้อยๆ ก่อนจะทำหน้าที่ของตัวเองต่อไปจนเสร็จ รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวเล็กน้อยจึงถ่ายภาพรถไปเพียงสองคู่ อีกสองคู่ให้ผู้หมวดหนุ่มเป็นคนจัดการ มือข้างที่ว่างเสร็จจากการปาดเหงื่อแล้วลดลงมาแตะริมฝีปากอิ่มอย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะสะบัดศีรษะอย่างแรงเพื่อไล่ความทรงจำบางอย่างเมื่อคืนออกไปจากใจให้เร็วที่สุด

“น้องพริม! จะเป็นลมเหรอ!”

ผู้หมวดหนุ่มที่เงยหน้าขึ้นหลังจากถ่ายภาพเสร็จพอดีผุดลุกขึ้นมาหาอีกฝ่ายด้วยความตกใจเมื่อเห็นท่าทางประหลาดของหญิงสาว พริมาที่สะบัดหน้าจนมึนศีรษะหันมายิ้มกว้างให้ หากตาเบลอๆ “ไม่เป็นไรค่ะพี่”

“ไม่เป็นไรได้ยังไง ไม่เอา ไปนั่งพักเลย อย่าทำให้พี่เป็นห่วงอย่างนี้สิ”

ท้ายประโยคชายหนุ่มเอ่ยเสียงเบา หากพริมาก็อยู่ใกล้พอที่จะได้ยินชัดเจนแต่ก็เพียงยิ้มรับคำพูดเท่านั้น แล้วจึงเดินเข้าไปนั่งพักใต้ร่มไม้ใกล้ๆ โดยที่สายตายังจับจ้องไปที่การทำงานของนายตำรวจทั้งสองโดยตลอด

กฤษณะหันไปหาลูกน้องอีกคนก่อนสั่งให้เข้าไปขับรถมาเทียบร่องรอย ก่อนที่ชายหนุ่มจะทำการตรวจเปรียบเทียบรถจนเสร็จเรียบร้อย แล้วจึงเดินมาหาหญิงสาวที่ยังนั่งตาแป๋วอยู่ตรงร่มไม้ มีหมวกแก้ปถือไว้ในมือ ไรผมแถวหน้าผากชื้นเหงื่อ

“เป็นไงบ้าง” ผู้หมวดหนุ่มทรุดนั่งลงข้างๆ ร่างโปร่งบาง ก่อนจะใช้สมุดบันทึกที่เอาไว้จดรายละเอียดการตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุมาพัดเบาๆ ให้พริมา “ไม่สบายตรงไหนก็บอกนะ ไม่ต้องฝืนหรอก จะกลับก่อนก็ได้เดี๋ยวพี่บอกคุณหญิงให้”

พริมายิ้มกว้าง ทั้งๆ ที่ความรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวเพิ่มมากขึ้นทุกที “พี่กฤษณ์ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก พริมน่ะแข็งแรงจะตายไป”

“แข็งแรงจริงเหรอ พี่เห็นเราแทบจะกรอกยาแก้ไมเกรนเข้าไปเป็นกระปุกแล้วมั้งตั้งแต่มาฝึกงานที่นี่”

“ก็มันร้อน พริมเลยปวดหัวบ่อยแค่นั้นเอง นอกนั้นพริมก็ไม่เป็นไรนี่คะ”

กฤษณะได้แต่โคลงศีรษะไปมากับความดื้อของอีกฝ่าย “ยังจะมาเถียงอีก เราน่ะรักษาสุขภาพให้ดีๆ หน่อยสิ รู้อยู่ว่าพี่เป็นห่วงเราขนาดไหน”

ถ้าเป็นก่อนเมื่อคืนที่ผ่านมา พริมาก็คงเย้ากลับไปได้ว่า “ไม่รู้หรอกค่ะ” แล้วหาทางเอาตัวรอดออกจากสถานการณ์กระอักกระอ่วนนี้ได้อย่างสวยงาม แต่เมื่อได้ยินคำพูดประหลาดในผับแล้ว หญิงสาวก็คิดว่าเธอไม่ควรที่จะ ‘กวนตะกอน’ ของผู้หมวดหนุ่มอีก

แต่กลับเป็นชายหนุ่มเสียเองที่ไม่หยุดอยู่เพียงแค่นั้น “พี่อยากจะดูแลเราให้ดีกว่านี้ แต่ตอนนี้มันยังทำไม่ได้... เราจะระวังตัวให้พี่หน่อยไม่ได้เลยเหรอ”

ดวงตาสีดำสนิทละม้ายกับใครบางคนจ้องมองตรงมายังนัยน์ตาของเธอ หากประกายนุ่มนวลในดวงตานั้นไม่ได้จับใจเท่ากับแววตาคมกริบที่มักจะอ่อนแสงลงให้เธอเสมอ

เอาอย่างไรดี...

ความจริงแล้วตอนนี้เธอก็เป็นนักศึกษาฝึกงาน ถึงแม้จะเหลืออีกเพียงอาทิตย์กว่าๆ ก็จะถึงกำหนดเสร็จฝึกงานแล้วก็เถอะ แต่สิ่งที่กฤษณะกำลังสื่อให้เธอรู้ในตอนนี้ ทั้งเขาและเธอก็รู้ดีว่ามันไม่ควร...

แต่เพราะความจริงใจที่อยู่ในสีหน้าและแววตาของผู้หมวดหนุ่ม ทำให้พริมาเลือกที่จะหันมาเผชิญหน้ากับความรู้สึกล้ำลึกที่ส่งผ่านมาจากร่างสูงอย่างตรงไปตรงมา ไม่พยายามหลบเลี่ยงเหมือนที่เคยทำทุกครั้งที่เห็นเขามีปฏิกิริยาแปลกๆ อย่างนี้
เธอต้องรู้เสียก่อน...ก่อนที่จะตัดสินใจอะไรบางอย่างลงไป

“พี่กฤษณ์ดูเป็นห่วงพริมมากจังเลย ปกติดีกับสาวๆ อย่างนี้น่ะเหรอคะ ถึงว่ามีคนมาติดพี่เกรียวไปหมด” คำพูดหยอดเปิดทางถูกเอ่ยออกไปก่อนเป็นอย่างแรก น้ำเสียงสดใสปนเย้าแหย่นั้นทำให้กฤษณะรีบแก้ตัวพัลวัน

“ไม่ๆ พี่ไม่เคยพูดหรือทำอะไรอย่างนี้กับใครนะ พริมอย่าเข้าใจผิด”

“ถ้าไม่ให้พริมเข้าใจผิด แล้วจะให้เข้าใจว่ายังไงล่ะคะ” คิ้วเรียวเลิกขึ้นเป็นเชิงถาม ดวงตาฉายแววรื่นรมย์ยามเมื่อเอ่ย “ทำดีกับเค้าขนาดนี้ พี่คิดอะไรกับพริมอยู่หรือเปล่าเนี่ย?”

คำถามทีเล่นทีจริงถูกหยอดออกไป หากความจริงพริมาคิดว่าตัวเองพอจะรู้ว่าคำตอบจะออกมาในแนวไหน

ท่าทีของผู้หมวดหนุ่มนั้นเรียบร้อยและให้เกียรติเธอเสมอมาตามประสาเด็กฝึกงานกับพี่เลี้ยง หากแววตาในดวงตาสีดำสนิทนั้นกลับไม่เคยปกปิดความรู้สึกของตนเองเลยแม้แต่ครั้งเดียว ให้อย่างไรพริมาก็เป็นผู้หญิง...เธออ่านสายตานั้นออกได้ไม่ยาก

ไม่เหมือนอีกคนหนึ่งที่เอาแต่ยิ้ม...ยิ้มทั้งปากทั้งตา แต่ในใจจะคิดฆ่าใครไปกี่ศพแล้วก็ไม่รู้

หญิงสาวใช้เล็บจิกเข้าไปในอุ้งมือพอให้เจ็บนิดๆ เพื่อเรียกสติของตนกลับมาจากความคำนึงถึงใครบางคนที่ตอนนี้คงง่วนอยู่กับการตรวจคนไข้คดี ก่อนจะหันมาสนใจชายหนุ่มตรงหน้าเต็มที่

กฤษณะนิ่งงันไปเล็กน้อยเมื่อเจอคำถามตรงไปตรงมาจากอีกฝ่าย แต่จะว่าไป...เขาก็เคยพูดแสดงความในใจไปแล้วเมื่อคืนนี้ บางที...นี่อาจจะเป็นโอกาสที่จะได้พูดความรู้สึกของตัวเองออกไปเสียให้อีกฝ่ายได้รับรู้กระมัง

ทั้งๆ ที่เขาแทบจะไม่มีหวังเลยว่าพริมาจะตอบรับมาในทางที่ดี

“พี่คิด” ผู้หมวดหนุ่มตอบรับตรงๆ “พี่ชอบพริม”

ถึงแม้คำตอบจะเป็นไปตามคาด แต่พริมาก็อดที่จะเบิกตากว้างด้วยความตกใจไม่ได้ “พี่กฤษณ์!”

“พี่ชอบพริมจริงๆ” เมื่อพูดคำแรกแล้ว คำต่อๆ มาก็ง่ายขึ้น “พี่ชอบความสดใส รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ พี่ชอบความเป็นตัวของตัวเองของพริม ชอบที่พริมเข้าใจอะไรง่าย ชอบ...หลายๆ อย่าง อาจจะเป็นทุกอย่างที่พริมเป็น พี่ชอบทั้งนั้น”

เสียงเสียดสีกันของกิ่งไม้ที่เกิดจากลมดังแผ่วเบา มือหนาหยุดพัดให้หญิงสาวเมื่อเห็นว่ามีลมมาแล้ว ทิ้งให้เกิดความเงียบระหว่างคนสองคนอยู่ครู่หนึ่ง

พริมาถอนหายใจยาว...ตอนแรกที่เธอคิดไว้คือหากกฤษณะชอบเธอจริงๆ เธอจะยินดีลองคบกับเขาเพื่อดูนิสัย แต่ในใจลึกๆ แล้วหญิงสาวรู้ตัวเองว่าต้องการคนข้างๆ มาเป็นเครื่องมือในการทำให้เธอลืมใครบางคนมากกว่า

หากดวงตาซื่อตรง แววตาจริงใจที่เต็มไปด้วยความชอบอย่างบริสุทธิ์ใจนั้นทำให้พริมาต้องคิดหนัก

เธอเองเป็นคนที่เข้าใจความรู้สึกที่มีอยู่ฝ่ายเดียวของตนเองมานาน นานพอที่จะรู้ว่ามันเจ็บปวดและทรมานขนาดไหน แต่อย่างน้อยพริมาก็รู้ว่าความเจ็บปวดที่เกิดจากการแอบรัก คงน้อยกว่าความเจ็บปวดที่เกิดจากคนที่รักใช้ประโยชน์จากความรู้สึกของเธอเองเพื่อให้ลืมใครบางคน...

ก็เหมือนจูบในคืนนั้นที่เธอเข้าใจได้ดีว่าภูธเรศเพียงต้องการใครบางคนมาทำให้เขารู้สึกดีขึ้น...ก็เท่านั้นเอง

“พริม...”

“พริมไม่ต้องพูดอะไรหรอก” กฤษณะยิ้มอ่อนโยน หากดวงตาสลดลงอย่างรู้ตัว “พี่แค่อยากบอกพริมเท่านั้น”

“ไม่ค่ะพี่กฤษณ์ พริมขอพูดให้ชัดเจนไปเลย” หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ รับรู้ว่าสิ่งที่ตนจะพูดต่อไปนั้นทำร้ายจิตใจอีกฝ่ายมากแน่นอน “พริมไม่ได้ชอบพี่ค่ะ ขอโทษด้วย”

กฤษณะนิ่งงันไปอีกครั้ง ก่อนที่ชายหนุ่มจะกระตุกยิ้มบางๆ ที่มุมปากคล้ายกำลังเย้ยหยันตนเอง “พี่รู้ น้องพริม”

“พริมขอโทษ...” เสียงหญิงสาวแผ่วเบา

“ความรักไม่มีความผิดถูกหรอก มันเป็นเรื่องของความรู้สึกต่างหาก” ชายหนุ่มยิ้มกว้างมากขึ้น สบสายตาคมกับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่ฉายแววรู้สึกผิดเต็มเปี่ยม ก่อนจะแหย่อีกฝ่ายให้ยิ้มออกมา “หรือถ้าพริมรู้สึกผิดมาก ก็ลองชอบพี่หน่อยก็ได้นะ”

“พริมทำไม่ได้หรอกค่ะ” แม้จะกลัวอีกฝ่ายเสียใจแค่ไหน แต่พริมกลับตัดทางให้ความหวังชายหนุ่มไม่เหลือ

เพราะเธอรู้ว่าการมีความหวัง...มันเจ็บปวดขนาดไหน

“อะไรจะตอบรวดเร็วขนาดนั้น คิดหน่อยก็ได้นะ” ผู้หมวดหนุ่มหัวเราะน้อยๆ “พี่ก็หนุ่ม ใจดี สปอร์ต แล้วก็อยู่ที่เดียวกับพริมนะ”

“แล้วไง” พริมาแซวกลับสนุกสนานเมื่ออีกฝ่ายเล่นมุกกับเธอก่อน “พริมไม่อยากพูดในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ”

“พูดอย่างนี้พี่เจ็บนะเนี่ย เอาซะตรงเลย เหลืออะไรไว้ให้พี่ได้คิดหน่อยก็ได้นา”

“อย่าเลยพี่กฤษณ์ เชื่อพริม มีความหวังนี่มันเจ็บสุดๆ ยิ่งกว่าโดนตัดทุกทางอีกนะคะ ตัดใจเสียดีกว่าต้องมาเจ็บซ้ำๆ คาราคาซังตั้งเยอะเลย”

“พูดเหมือนคนมีประสบการณ์งั้นแหละ”

กฤษณะเอ่ยยิ้มๆ แม้หัวใจจะหนักอึ้งไปด้วยความผิดหวัง หากเพราะทำใจไว้บ้างแล้วว่าหญิงสาวไม่ได้รักเขาในเชิงชู้สาวเลยแม้แต่น้อย ผู้หมวดหนุ่มจึงไม่ได้เสียใจมากมายอย่างที่เคยนึกเอาไว้ แต่ก็ทำเอาสะเทือนใจจนคิดว่าตอนกลางคืนคงต้องไปหาอะไรมากินให้ลืมเธอเสียหน่อย

ร่างสูงของผู้หมวดหนุ่มลุกขึ้นยืนรวดเร็วพลางเอ่ย “เที่ยงแล้ว ไปหาอะไรทานกันเถอะ วันก่อนพี่ไปเจอร้านนึงน่านั่งมาก พริมไปทานกับพี่หน่อย เดี๋ยวเลี้ยงเอง ฉลองเนื่องในวันอกหัก”

“พูดซะพริมรู้สึกผิดอีกแล้วนะ” หญิงสาวท้วงยิ้มๆ หากลุกขึ้นเตรียมตัวเช่นกัน “แต่เพราะพริมเป็นต้นเหตุที่ทำให้พี่กฤษณ์ต้องเลี้ยง เพราะงั้นพริมขออนุญาตเต็มที่เลยละกันนะคะ”

“ตามสบายอีหนู วันนี้ป๋าจัดหนัก”

“พริมจะกินให้ท้องกางไปเล้ย!”



เมื่อร่างกระทบกับแอร์เย็นฉ่ำหลังจากที่เจอลมร้อนมาทั้งวัน อากาศที่เปลี่ยนอย่างรวดเร็วทำให้พริมาเริ่มที่จะปวดหัวจี๊ดขึ้นทันที

ทว่าเมื่อเดินไปนั่งที่มุมหนึ่งแล้วมองไปรอบๆ ร้าน สายตาหญิงสาวก็ไปสะดุดกับใครบางคนที่ทำให้เธอต้องทำตัวลีบ ยกเมนูในมือขึ้นบังใบหน้าทันควัน

“หิวเหรอน้องพริม?”

กฤษณะที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยเลยถามเสียงซื่อ ก่อนจะยกเมนูขึ้นมองบ้างเพราะดูท่าทางรีบร้อนของคนมาด้วยแล้วคงหิวมากจริงๆ

พริมาเหลือบตามองออกไปจากเมนูที่เต็มไปด้วยอาหารราคาค่อนข้างแพงเอาเรื่อง ก่อนค่อยๆ จับสังเกตคนที่เธอเพิ่งเห็นอย่างเงียบๆ จากโต๊ะที่อยู่ห่างกันออกไปสองโต๊ะอย่างนี้ ทำให้หญิงสาวมั่นใจว่าอีกฝ่ายคงไม่สังเกตเห็นเธอเพราะเธออยู่ในมุมที่ค่อนข้างอับของร้าน หากไม่พยายามมองก็ไม่ค่อยจะเห็นโต๊ะที่เธอนั่งเท่าใดนัก

น้ำเสียงหัวเราะแบบนี้ กิริยาอาการชิดเชื้อสนิทสนมยิ่งกว่าที่เธอเคยเห็นมาแบบนี้ ทำให้คนมองรู้สึกปวดหัวมากขึ้นทุกที

ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจับจ้องอยู่ตรงร่างบอบบางแสนงามของนุชนาถ คนรักของเพื่อนกำลังนั่งแทบติดกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่พริมาจำได้เลาๆ ว่าเป็นเจ้านายของเธอเอง ก่อนจะขมวดคิ้วมุ่นเมื่อทั้งคู่หัวเราะคิกคัก ก่อนที่ฝ่ายชายจะใช้มือหนาโน้มศีรษะฝ่ายหญิงมาซบไหล่กว้างอย่างอ่อนโยน คำถามสารพันผุดกันแย่งพื้นที่ในสมองของพริมาเพื่อที่จะได้เป็นเป็นคำถามแรกที่หญิงสาวมีคำตอบให้...ทว่าเธอไม่มีคำตอบใดๆ ให้กับตัวเองเลยแม้แต่น้อย

พริมาก็พอรู้ เคยเห็นบ้างถึงความสนิทสนมที่นุชนาถมีให้กับเจ้านายของคนเอง แต่ครั้งหลังสุดที่เธอเห็นก็แค่จับมือนี่ แต่คราวนี้...

นุชนาถคิดอะไรของเธอ จึงแสดงท่าทางแบบนั้นกับผู้ชายคนอื่นต่อหน้าผู้คนมากมายทั้งๆ ที่ตัวเองก็มีแฟนอยู่แล้ว?

ร่างโปร่งบางตั้งใจจะเมินหนีเสีย ให้อย่างไรเธอก็ไม่อยากจะยุ่งเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างภูธเรศและแฟนสาวถ้าเพื่อนไม่ขอให้ช่วย เพราะถือว่าเป็นเรื่องระหว่างคนสองคน ‘คนนอก’ อย่างเธอยื่นมือเข้าไป หากทำให้เขาดีกันได้ก็ดีไป หากผลกลายเป็นตรงกันข้าม...เธอมิเป็นฝ่ายผิดไปเสียหรือ?

“น้องพริมจะสั่งอะไรครับ”

“คะ?” หญิงสาวกระพริบตาปริบๆ ก่อนมองเห็นบริกรที่มายืนรอรับเมนูอยู่ข้างๆ โต๊ะ แล้วจึงหันไปหาผู้หมวดหนุ่มที่นั่งยิ้มอยู่ กฤษณะมองเห็นแล้วว่าเมื่อครู่อีกฝ่ายคงเหม่อลอยจนไม่ได้ยินเสียงเขาถนัดนักจึงเอ่ยซ้ำอีกครั้ง

“น้องพริมจะสั่งอะไรรึเปล่า เมื่อกี้พี่สั่งกับข้าวไปหลายอย่างแล้วนะ จะเอาอีกก็ได้นะ งานวันนี้ไม่มีอะไรแล้ว กลับเข้าไปสายหน่อยก็ได้”

พริมาขอดูเมนูที่อีกฝ่ายสั่งไปเมื่อครู่ก่อนโคลงศีรษะไปมาเบาๆ เป็นเชิงปฏิเสธ “พริมไม่เอาอะไรแล้วค่ะ เท่านี้ก็พอแล้ว”

รอจนเมนูที่สั่งได้ครบแล้ว พริมาและผู้หมวดหนุ่มจึงเริ่มต้นทานอาหารกัน ถึงแม้ต่างฝ่ายต่างบอกแก่กันว่าเรื่องที่คุยก่อนมาทานข้าวจะจบลงไปอย่างไม่มีอะไรค้างคา แต่ความกระอักกระอ่วนบางอย่างก็ยังคงอยู่ จนทำให้ไม่ได้เจริญอาหารมากนัก

ทานข้าวไปได้หน่อยพร้อมกับการพูดสัพเพเหระ พริมาก็สังเกตเห็นความเคลื่อนไหวบางอย่างที่โต๊ะของนุชนาถ หญิงสาวชะเง้อดู ก่อนจะเห็นภาพที่ฝ่ายหญิงตักกับข้าวพอคำ ก่อนป้อนฝ่ายชายถึงปากอย่างอ่อนหวาน ในขณะที่ฝ่ายชายก็ก้มลงหอมแก้มนวลอย่างหยอกเย้า กิริยาเป็นคู่รักหวานแหววเสียจนคนเฝ้ามองรู้สึกเจ็บแปลบไปทั้งใจ...

...สงสารภูธเรศเหลือเกิน

หากมองอย่างตรงไปตรงมา การที่ภูธเรศสนิทสนมกับเธอมากเกินกว่าผู้หญิงคนอื่นๆ จนทำให้บางคนเข้าใจผิดว่าเธอและคุณหมอหนุ่มเป็นแฟนกันนั้นก็เพราะทั้งคู่เป็นเพื่อนสนิทกัน แต่ก็ไม่เคยทำท่าทางสนิทสนมเกินเพื่อนอย่างที่นุชนาถกำลังแสดงออกมาตอนนี้

มือเรียวของคนมองแตะริมฝีปากตัวเองอีกครั้งเมื่อคิดมาถึงตรงนี้...ถึงแม้ภูธเรศจะเคยทำสิ่งที่ไม่ควรกับเธอ แต่นั้นก็เป็นที่รโหฐาน มิได้ประเจิดประเจ้อเหมือนที่อีกฝ่ายทำในตอนนี้ และที่สำคัญ ภูธเรศทำไปเพราะความเมา แต่นุชนาถทำไปด้วยสติสัมปชัญญะครบถ้วน

ดังนั้นเมื่อนุชนาถลุกขึ้นแล้วเดินไปทางห้องน้ำ พริมาจึงพึมพำขอตัวจากกฤษณะแผ่วเบาก่อนลุกขึ้นตามเข้าไปในห้องน้ำอย่างรวดเร็ว


ก่อนจะพบว่าอีกฝ่ายกำลังยืนรอเธอเข้ามาหาอยู่แล้ว



ปณัชญา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 มี.ค. 2556, 02:16:00 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 มี.ค. 2556, 02:16:00 น.

จำนวนการเข้าชม : 2503





<< บทที่ 8 ความเปลี่ยนแปลง   ความเปลี่ยนแปลง [120%] >>
ใบบัวน่ารัก 11 มี.ค. 2556, 06:19:44 น.
มาดับตบ
หรือมาขู่ ดักทางไว้ก่อน
อยากทิ้งแต่ไม่อยากให้พริม
หมอก็เมาซะเนียนนิ จับไม่ได้ซะทก็กลุ้มต่อไป


lovemuay 11 มี.ค. 2556, 06:28:17 น.
หวังว่ายัยนั่นจะไม่หาเรื่องพริมนะ ว่าแต่ถ้าพี่หมอหายเมาแล้วจะยังจำได้มั๊ยเนี่ย ว่าทำอะไรลงไป


mhengjhy 11 มี.ค. 2556, 12:01:54 น.
โอ๊ะ พริม อย่าไปยอม ส่วนคุณหมอ...ฮึ้ย หงุดหงิด 555


Auuuu 11 มี.ค. 2556, 20:39:34 น.
นุชนาถถถถถถถถถถ


nunoi 11 มี.ค. 2556, 21:23:06 น.
ยัยนุชนาถแรงได้อีกนะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account