Secret Love: ปฏิบัติการแอบรัก
แค่ได้อยู่ใกล้ๆ แค่ได้มองเห็นเขามีความสุข

ฉันยอมแลกทุกอย่าง...แม้เขาจะไม่รับรู้ถึงสิ่งที่ฉันทำเลยก็ตาม!

สายฝนเมื่อวันหนึ่ง นำพาเขาและเธอมาเจอกัน

ก่อเกิดเป็นมิตรภาพที่สวยงาม...จนเบ่งบานกลายเป็นความรู้สึกแสนพิเศษ

เพียงแต่ว่า...มันเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับ ‘เธอ’ เพียงคนเดียว!

เธอ...เจ็บเมื่อเห็นเขาเจ็บ

เธอ...ยอมเจ็บเพื่อให้เขามีรอยยิ้ม

แต่เมื่อการกระทำของเธอถูกเขามองว่าต้องการขัดขวางความรัก

คนเป็น ‘แค่เพื่อน’ จะทำอะไรได้...นอกจาก...


...เดินออกไปจากชีวิตเขา...

Tags: หมอ, นักศึกษา, เพื่อน, รัก, โรแมนติก

ตอน: ความเปลี่ยนแปลง [120%]

“สวัสด่ะคุณพริม”

ร่างงามระหงที่ยืนหันหลังให้อ่างล้างมือยิ้มเย็น ดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้มที่ถูกปกปิดไว้ด้วยคอนแทคเลนส์สีดำทำให้ไม่สามารถมองเห็นแววตาที่แท้จริง หากกระไอบางอย่างในบรรยากาศการเผชิญหน้าที่พริมารู้สึกได้นั้นบอกว่าคนตรงหน้าเธอมิได้มีความเป็นมิตรยื่นให้อย่างแน่นอน

พริมาไม่รู้จะพูดอะไรมากไปกว่าทักทายตอบเบาๆ “สวัสดีค่ะคุณนุช”

“วันนี้ไม่ได้มาทานข้าวกับภูหรือคะ?” นุชนาถเอ่ยปากถาม หญิงสาวอยู่ในชุดแส็คสีน้ำเงินเข้ม สวมทับด้วยสูทตัดเย็บประณีต ส่งให้บุคลิกของนุชนาถทั้งสวยสง่า กระฉับกระเฉงคล่องแคล่วสมกับเป็นผู้หญิงยุคใหม่ เป็นหญิงสาวเต็มตัว...

ไม่ใช่เด็กกะโปโลไม่ยอมโตอย่างเธอ...

“ปกติก็ไม่ได้ไปไหนมาไหนด้วยกันอยู่แล้วล่ะค่ะ” พริมาข่มอารมณ์ไม่พอใจกับน้ำเสียงประชดประชันที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนของนุชนาถ พยายามบอกตัวเองว่าให้อย่างไรคนตรงหน้าก็เป็นคนรักของเพื่อนสนิท เธอต้องใจเย็นเข้าไว้ “แล้วคุณนุชล่ะคะ มากับใคร?”

“ฉันจำเป็นต้องบอกเธอด้วยหรือเปล่า?” สรรพนามที่เปลี่ยนไปทำให้พริมารู้ว่าหญิงสาวตรงหน้าเริ่มไม่สบอารมณ์ บางที...ความโกรธที่เธอเห็นได้จากนัยน์ตาคู่นั้นอาจจะเป็นทั้งโกรธจริง หรืออาจจะเป็นเพราะต้องการกลบเกลื่อนอะไรบางอย่าง “ไม่ใช่เรื่องของเธอสักนิด”

“ก็ไม่ใช่จริงๆ นั่นแหละค่ะ ส่วนตัวแล้วฉันก็ไม่ได้อยากรู้เลยว่าคุณจะมากับใคร เพราะไม่ว่ายังไงคุณคงคิดได้ล่ะว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่เหมาะสมรึเปล่า”

ใบหน้าที่ตกแต่งไว้สวยงามเริ่มบูดเบี้ยวตามแรงอารมณ์ เลขาสาวพยายามข่มไม่ให้ตัวเองโกรธเกินไปเมื่อเค้นเสียงถาม “หมายความว่ายังไง?”

“ก็หมายความถึงสิ่งที่คุณกำลังแสดงออกเหมือนเป็นคนรักกับผู้ชายคนอื่นที่ไม่ใช่ภูธเรศไงคะ” หญิงสาวตอบเสียงเย็น ว่าจะไม่หลุดความคิดของตัวเองไปแล้วแต่ก็ยังอดไม่ได้

เธอโกรธ...โกรธที่ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้สำนึกเลยด้วยซ้ำว่าการกระทำของเธอแบบนี้ กลางที่ชุมนุมชนแบบนี้ ผู้คนที่พบเห็นจะตีความเป็นแบบไหน แล้วถ้าคนอื่นที่รู้จักภูธเรศมาเห็นแล้วเอาไปบอกเขาล่ะ นิติเวชหนุ่มจะรู้สึกอย่างไร...

ตรงกันข้ามกับพริมา เรือนร่างบอบบางของนุชนาถกลับยืนด้วยท่วงท่าสบายๆ ใบหน้าของเลขาสาวกลับมาเรียบเฉย มีแต่ดวงตาเท่านั้นที่แสดงอารมณ์กราดเกรี้ยวมากกว่าเยือกเย็นตามน้ำเสียงที่ใช้ “ไม่ว่าฉันจะทำอะไรก็ตาม มันก็เรื่องของฉัน ไม่เกี่ยวกับคุณ”

“ทั้งๆ ที่สิ่งที่คุณทำมันทำให้เพื่อนฉันเจ็บปวดอย่างนั้นน่ะเหรอคะ?” พริมาถามเสียงสั่นน้อยๆ ทั้งเจ็บปวดทั้งสงสารภูธเรศ

สงสาร...เมื่อคิดถึงใบหน้าคมคายของชายหนุ่มที่คอยยิ้มร่าอยู่เสมอยามพูดถึงแฟนสาว เจ็บปวดแทน...เมื่อคิดถึงความรักท่วมท้นที่เขามีต่อผู้หญิงตรงหน้าเธอ

ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นระหว่างเธอกับภูธเรศ มันก็ไม่ได้เปลี่ยนความจริงไปได้ว่าคนที่ภูธเรศรักไม่ใช่เธอ แต่เป็นผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าของเธอตอนนี้!

เลขาสาวเบือนหน้าหันเข้าหากระจกเงาบานยาวที่กรุเต็มผนังห้องน้ำด้านหนึ่ง ก่อนที่จะสำรวจความเรียบร้อยของเครื่องสำอางบนใบหน้าคล้ายไม่สนใจอีกฝ่ายที่ยืนจ้องเธอแน่วนิ่งอยู่ข้างๆ “แล้วยังไง ฉันบอกแล้วว่านี่เป็นเรื่องของฉัน...อ้อ! ไม่ใช่สิ...ต้องบอกว่าเป็นเรื่องระหว่างฉันกับภูธเรศ ‘คนอื่น’...” นุชนาถเน้นเสียงหนัก ปรายตามองหญิงสาวอีกคนจากในกระจกด้วยดวงตาเย้ยหยัน “...ไม่เกี่ยว”

‘คนอื่น’ กำหมัดแน่น ขบริมฝีปากอิ่มจนรู้สึกได้ถึงคาวเลือดจางๆ ในปาก หากยังแข็งใจเชิดหน้าขึ้นยามเอ่ย

“ฉันจะไม่บอกภูธเรศถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ถ้าคุณรับรองว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบในวันนี้ขึ้นอีก ถ้า...คุณสัญญาว่าจะไม่ทำแบบนี้ ไม่ทำให้ภูต้องเสียใจอย่างนี้อีก”

“ภูเขาไม่เสียใจหรอก ถ้าเขาไม่รู้” นุชนาถเผยอยิ้มน้อยๆ ทว่าดวงตานั้นแสดงความเชื่อมั่น “ถ้าเธออยากเห็นเขาเสียใจ ก็ไปบอกสิ ไปบอกเลย ต่อให้เธอจะพูด...จะบอกอะไรกับภู ฉันจะบอกอะไรเธออย่างหนึ่งนะพริมา”

เลขาสาวหันหน้ามาสบสายตากับพริมาโดยตรง ดวงตาหวานที่กรีดอายไลเนอร์สีเข้มเน้นให้แววตาคู่นั้นดุดันมากขึ้น “ฉันต่างหากที่เขาจะฟัง เพราะฉันเป็นแฟนเขา เพราะเขารักฉัน!”

พูดจบ หญิงสาวก็ยกยิ้มให้กับ ‘เพื่อน’ ของแฟนหนุ่มอีกครั้ง ก่อนจะเดินเชิดหน้าออกไปจากห้องน้ำอย่างมั่นใจ

นุชนาถแน่ใจ เธอดูพริมาออก ผู้หญิงคนนั้นไม่มีวันทำให้ภูธเรศต้องเจ็บปวดอย่างแน่นอน ดังนั้นเธอจะไม่เอาเรื่องที่เห็นในวันนี้ ในอดีต และแม้แต่ในวันต่อๆ ไป ไปบอกภูธเรศอย่างแน่นอน

เพราะอะไรน่ะเหรอ...

ก็เพราะเธอรู้ ว่าพริมารักภูธเรศขนาดไหนอย่างไรล่ะ!


ใบหน้าขาวซีดของคนที่เดินออกมาจากห้องน้ำทีหลังปรากฏให้ผู้หมวดหนุ่มเห็นชัดเจน

พริมาเดินผ่านโต๊ะที่กฤษณะสังเกตเห็นว่าตั้งแต่เข้ามาหญิงสาวก็ดูเหมือนจะพยายามหลีกเลี่ยงที่จะมองไป แต่บางครั้งก็พยายามแอบมองเหมือนอดไม่อยู่ คราวนี้เขาเห็นว่าเธอเดินผ่านโต๊ะที่มีชายหญิงที่ผู้หมวดหนุ่มเดาว่าน่าจะเป็นคู่รักกันเร็วรี่ ก่อนจะมาทรุดนั่งตรงที่นั่งของตนเอง

ชายหนุ่มรีบยื่นแก้วน้ำให้คนหน้าซีดพลางบอกอย่างเป็นห่วง “พริม ไม่สบายเหรอ หน้าซีดมากเลยนะ”

“งั้นเหรอคะพี่กฤษณ์” หญิงสาวหลับตาสนิทแน่นอยู่ครู่หนึ่ง คล้ายพยายามสะกดอารมณ์บางอย่าง ก่อนจะลืมตาสีน้ำตาลอ่อนขึ้นสบตาชายหนุ่ม แววตาเคร่งเครียดเมื่อครู่มลายไปหมดสิ้น กลับมาเป็นพริมาคนเดิมที่ร่าเริงเหมือนเคย “พริมปวดหัวหน่อยๆ น่ะค่ะ เดี๋ยวทานข้าวเสร็จคงต้องทานยาตามไปด้วย”

“ไมเกรนเหรอพริม กลับไปพักก่อนมั้ย?”

“ยังไงก็ต้องกลับไป พฐ. อยู่ดีนะคะ อย่าลืมสิว่ารถพริมก็อยู่ที่นั่น”

ไม่ทันที่กฤษณะจะได้ตอบว่าอย่างไร ก็มีเสียงเรียกอย่างดีใจดังขึ้นก้องร้าน “เจ๊! เจ๊พริมรึเปล่า?”

พริมาและผู้หมวดหนุ่มเหลียวไปมองคนมาใหม่ที่กลายเป็นจุดเด่นด้วยเสียงเมื่อครู่ทันควัน ก่อนที่หญิงสาวจะยิ้มกว้างพลางร้องเรียกด้วยน้ำเสียงดีใจ “ปาล!”

“โอ้ย! เจ๊พริมจริงๆ ด้วย ดีใจจังเลย”

ชายหนุ่มที่มากับเพื่อนสองสามคนผละจากพวกก่อนจะเดินตัดมาทางโต๊ะของพริมา ก่อนจะคว้ามือหญิงสาวไปเขย่าโดยแรงด้วยความดีใจ “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะเจ๊ คิดถึงมากๆ เลย ตอนนี้เจ๊ทำอะไรอยู่ที่ไหนล่ะ”

“ต่อโทที่เดิมนี่แหละ แต่อีกสาขานึง เราล่ะ”

“ผมนะ...”

รุ่นพี่รุ่นน้องพากันดีใจที่ได้เจอกันอีกครั้ง จนกระทั่งพริมานึกออกว่าผู้หมวดหนุ่มยืนอยู่ข้างๆ จึงแนะนำเสียงใส “พี่กฤษณ์คะ นี่รุ่นน้องในชมรมดนตรีของพริมเองค่ะ ชื่อปาล ปาล...นี่ ร.ต.ท.กฤษณะ” หญิงสาวพูดต่อรัวเร็วเมื่อเดาสีหน้ายิ้มๆ ของรุ่นน้องออก “ผู้หมวดเป็นพี่เลี้ยงที่ฝึกงานของพี่”

“สวัสดีครับ” ชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง ผมยาว ท่าทาง ‘อินดี้’ เต็มขั้นยกมือไหว้ผู้สูงวัยกว่าอย่างนอบน้อม พริมาพูดต่อยิ้มๆ

“นายคนนี้ร้องเพลงเพราะมากค่ะ เล่นดนตรีก็เก่ง...ไงเรา ไหนบอกว่าเรียนจบจะทำวงกับเพื่อนไง ไปถึงไหนแล้วล่ะ”

“ก็เนี่ย กำลังมีปัญหาอยู่นี่แหละ พวกผมได้เล่นประจำที่...” รุ่นน้องของพริมาเอ่ยชื่อร้านเหล้าแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่าเป็นร้านที่มีบรรยากาศสบายๆ เหมาะสำหรับการนั่งสังสรรค์กันแบบ ‘ชิลๆ’ “แล้วทีนี้นักร้องผู้หญิงอยู่วงเดียวกัน ก็ไอ้ตุ๊กตาน่ะพี่จำได้ใช่มั้ย เออ...ตุ๊กตามันดันรถชนขาหัก เข้าโรง’บาลเมื่อเช้านี้เอง บุญจริงๆ ที่พวกผมได้มาเจอเจ๊”

“บุญยังไงยะ” พริมาทำหน้างง

คนมีปัญหายิ้มกว้าง “บุญสิ เจ๊น่ะไปร้องแทนตุ๊กตามันก่อนได้มั้ย”

“ไม่เอา” หญิงสาวส่ายศีรษะพรึด “ไม่ได้ร้องเพลงนานแล้ว ไม่ได้วอร์ม ร้องไม่ดีหรอก”

“ไม่เอาน่าเจ๊ อย่างเจ๊น่ะแค่ซ้อมแป๊บเดียวก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว น่านะ ถือว่าช่วยกันเถอะพี่ พวกผมเพิ่งได้งานที่นี่ ไม่อยากเสียมันไปจริงๆ”

ดูสีหน้าอ้อนวอนของรุ่นน้องแล้วพริมาชักจะใจอ่อน แต่กฤษณะที่ยืนฟังอยู่เงียบๆ กลับถามขึ้น

“ร้องเพลงตอนกลางคืนนี่ร้องตั้งแต่กี่โมงถึงกี่โมงล่ะ”

“สามทุ่มถึงห้าทุ่มครับ มีเบรกสิบห้านาที”

“ดึกเกินไป” ผู้หมวดว่าพลางหันมามองหญิงสาวที่ยังหน้าซีดน้อยๆ แล้วเอ่ย “พริมก็ไม่ค่อยสบายด้วย พี่ว่า...”

“ได้” พริมารับปากหน้าตาเฉย “เย็นนี้นัดซ้อมก่อนกี่โมง?”

“ซักทุ่มนึงหรือหกโมงตามแต่พี่จะสะดวกเลย”

“งั้นเอาหกโมงเย็นเลยละกัน เผื่อไปกินข้าวอะไรกันก่อน” หญิงสาวสรุปเสร็จสรรพ ตกลงอะไรกันอีกสักพักรุ่นน้องก็เดินจากไป

เมื่อมองไปทางโต๊ะของนุชนาถ ก็พบว่าอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว พริมาเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนหันกลับมาหาผู้หมวดหนุ่มที่ยังคงหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างไม่เห็นด้วย “จะดีหรือน้องพริม เราไม่สบาย...”

“พริมไม่ได้เป็นอะไรค่ะ นี่ปกติของพริมแล้ว” หญิงสาวยักไหล่น้อยๆ ก่อนจะเอ่ยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ปนออดอ้อน “ถ้าได้กลับไปพักเสียก่อนไปร้องก็คงดีกว่านี้ล่ะค่ะ”

กฤษณะย่นหัวคิ้วครุ่นคิด ก่อนตัดสินใจพยักหน้า “งั้น...เดี๋ยวพี่จะคุยกับคุณหญิงให้ว่าวันนี้ไม่มีงานแล้ว ให้เรากลับก่อนได้”
“ขอบคุณค่ะพี่กฤษณ์”

“ไม่ต้องขอบคุณหรอก พี่ยังไม่ไว้ใจ” ชายหนุ่มนิ่งไปสักครู่แล้วจึงเอ่ย “พี่ว่า...พี่จะไปส่งเราที่ร้านดีกว่า กี่โมงนะ? หกโมงใช่มั้ย?”

“ไม่เป็นไรค่ะพี่ ไม่ต้องไปก็ได้” พริมาส่ายหัวจนผมม้าที่รวบไว้ปลิวกระจาย “พริมไม่...”
กฤษณะพูดเพียงสั้นๆ “พี่เป็นห่วงพริม”

“พี่กฤษณ์อย่าทำอย่างนี้เลย”

หญิงสาวยังปฏิเสธ แววตาอ่อนแรงหากแฝงแววเครียด อารมณ์ที่กักเก็บไว้ยามเมื่อเผชิญหน้ากับนุชนาถเริ่มทะลักทลาย “ทำอย่างนี้ใครได้อะไรขึ้นมาคะ? พริมบอกได้เลยว่าพริมไม่เปลี่ยนใจหรือคิดกับพี่เป็นอย่างอื่นไม่ว่าพี่จะทำยังไงก็ตาม แล้วพี่จะได้อะไรคะนอกจากความเสียใจ...ถ้าพี่รักพริมจริง ตัดใจซะตั้งแต่ตอนนี้เถอะค่ะ”

ถ้อยคำเด็ดขาดที่พริมาพูดยังผลให้อีกฝ่ายนิ่งงัน ปากอ้าค้างน้อยๆ คล้ายต้องการพูดอะไรออกมา แต่ไม่มีเสียงใดที่หลุดออกมาจากริมฝีปากหยักได้รูปนั้นแม้แต่คำเดียว ดวงตาทั้งคู่ฉายแววรวดร้าวเสียจนคนมองเกือบหลุดปากปลอบประโลม...

ใช่ว่าเธอจะไม่เข้าใจเจตนาว่าอีกฝ่ายบริสุทธิ์ใจแท้จริง ที่เสนอความคุ้มครองดูแลก็เพราะเป็นห่วงจากใจจริง...แต่มันไม่ดีกับเขาเลยสักนิด ไม่ดีกับใครเลยแม้แต่คนเดียว กับการที่ต้องมาอยู่ใกล้ คอยดูแลคนที่รัก ทั้งๆ ที่รู้ว่าทำให้ตายยังไงเขาก็ไม่แล

...ให้เธอเจอความรู้สึกแบบนั้นเพียงคนเดียวก็เกินพอแล้ว

“พี่...ไม่เคยคิด พี่เพียงแค่...ต้องการแน่ใจเท่านั้นว่าพริมจะสบายดี”

ชายหนุ่มเอ่ยเบาๆ เบือนหน้าหนีไม่ยอมสบดวงตาสีน้ำตาลใสที่มองตรงมาแน่วแน่คล้ายเจ็บปวดเกินทนหากเหลือบไปเห็น

พริมาพยักหน้าน้อยๆ กล้ำกลืนความรู้สึกผิดลงไปในอกก่อนเอ่ย “กลับกันเถอะค่ะพี่กฤษณ์”

หญิงสาวหันหน้าหนีจากร่างสูงที่แววตาฉายชัดว่ากำลังปวดร้าว หากท่าทางกล้ำกลืนนั้นทำให้พริมาพร่ำขอโทษในใจเป็นร้อยเป็นพันครั้ง

ขอโทษค่ะพี่กฤษณ์...พริมขอโทษ...

รู้ว่าเขาต้องเจ็บปวด แต่มันจะหายไปในที่สุด

ไม่ใช่เรื้อรัง กัดกร่อนจิตใจยาวนานเหมือนเธอ

ผู้หมวดหนุ่มมองแผ่นหลังบางที่เหยียดตรงกำลังห่างออกไปเรื่อยๆ ริมฝีปากบางเม้มแน่นเมื่อสัมผัสได้ถึงความรู้สึกรวดร้าวบางอย่างที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างบางนั้น

พริมามีใจให้คนอื่นไปแล้ว...ทำไมเขาจะไม่รู้ และเขาก็รู้ว่าตอนนี้เธอก็ผิดหวัง...ไม่ต่างจากเขา

เธอห้ามเขาก็เพราะไม่ต้องการให้เขาเจ็บ นั่นเขาก็รู้อีก...

แต่ในตอนนี้คนที่เขารักกำลังเจ็บปวด ไม่มีใครเคียงข้าง จะให้เขาปล่อยมือไปจากเธอ เขาก็ทำไม่ได้เหมือนกัน!



“เป็นอะไรถึงจะกลับก่อนหรือพริม?”

เข้ามาในห้องแอร์เย็นฉ่ำที่ตัดกับสภาพอากาศร้อนจัดด้านนอกของศูนย์พิสูจน์หลักฐานแล้ว พริมาก็เดินเข้าไปหา ร.ต.อ. มรว.มธุการี ก่อนที่จะเอ่ยขออนุญาตกลับก่อนกำหนด โดยมีกฤษณะที่ท่าทางเงื่อนหงอนตามมาหยุดอยู่ด้านหลัง

พริมาไม่ทันได้เอ่ย ผู้หมวดหนุ่มก็แทรกด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “น้องพริมไม่สบายครับคุณหญิง”

“ไม่สบาย? เป็นอะไรหรือ ปกติก็เห็นแข็งแรงดีนี่นะ” น้ำเสียงหวานใสเอ่ยคล้ายไม่ใส่ใจนัก แต่พริมารู้ดีว่าเบื้องหลังกิริยาเรื่อยๆ ของอาจารย์พิเศษคนนี้ คุณหญิงจะรับรู้ทุกถ้อยคำที่เธอพูดโดยไม่ตกหล่นเลยแม้แต่น้อย

คุณหญิงผู้กองวางรูปถ่ายคดีที่พริมาเหลือบมองเพียงแวบเดียวก็จำได้ว่าเป็นภาพถ่ายฝีมือของเธอเอง เป็นคดีชีวิตที่เธอไปถ่ายภาพโดยที่ภูธเรศไปตรวจสภาพศพในวันนั้น ก่อนจะเอ่ยต่อเรียบๆ อย่างไม่รอฟังคำตอบ

“ความจริงหากไม่เป็นอะไรถึงขั้นล้มหมอนนอนเสื่อ ก็ไม่ควรกลับก่อน เวลาทำงานก็ต้องเป็นเวลาทำงาน ไม่สบายก็ต้องรับผิดชอบตนเอง แต่งานต้องไม่เสีย งานพิสูจน์หลักฐานมันเหนื่อย ร้อน ต้องทนเห็นภาพไม่โสภาต่างๆ นานา ยิ่งงานตรวจที่เกิดเหตุยิ่งไม่เหมือนงานด้านอื่นที่เขาสบายกว่า ไม่เหมือนงานยา ที่ได้อยู่ในห้องแอร์เกือบตลอดวัน เวลาทำงานจริงๆ แค่ปวดหัวตัวร้อนไม่เป็นเหตุผลที่จะทำให้พักงานได้หรอกนะ”

แววตาเคร่งขรึมทำให้พริมาห่อตัวเล็กน้อย รู้สึกผิดขึ้นมาครามครันเหมือนคนที่ละทิ้งการงานของตนเองไปเพื่อความสบายส่วนตัว หญิงสาวกำลังจะเอ่ยปากบอกว่าไม่เป็นไร จะอยู่ทำงานต่อ แต่ก็ไม่ทันกฤษณะที่เหลือบมองใบหน้าขาวซีดและท่าทางสิ้นเรี่ยวแรงจะเอ่ยขออนุญาตอีกครั้ง

“แต่น้องพริมไม่สบายมากจริงๆ นะครับคุณหญิง ผมกลัวน้องเค้าเป็นลมเป็นแล้งไปเสียก่อน ดูสิครับ หน้าน้องเค้าซีดมากเลย...”

“เป็นหมอหรือ ถึงได้รู้ดีนักว่าอาการเขาเป็นยังไง?” คราวนี้แววตาเฉียบคมมองปราดมาที่ผู้ใต้บังคับบัญชารวดเร็ว ทว่ากฤษณะไม่ระย่อต่อแววตานั้นเพราะรู้ว่าเนื้อแท้แล้วคุณหญิงผู้กองเธอเป็นคนใจดี หากปากหนักและค่อนข้างเคร่งกับงานเท่านั้นเอง

“เปล่าครับผม” ชายหนุ่มหลุบตาลงต่ำ ก่อนจะเอ่ออีกครั้งตามแรงความเป็นห่วงพริมาเหลือเกิน “แล้วคุณหญิงจะอนุญาตให้น้องพริมไปพักไหมครับ?”

“ตกลงใครป่วยกันแน่ เราจะได้อนุญาตไปพักได้ถูกคน มาเดือดร้อนแทนเขาทำไม ถ้าเขาอยากกลับจริงๆ ก็ให้เขาขอเองสิ...ว่าไงพริมา เป็นอะไร?”

“พริมปวดหัวค่ะอาจารย์ รู้สึกเหมือนความดันลดพิกล” ร่างโปร่งบางย่นคิ้วนิดๆ “ตอนแรกพริมเห็นว่างานตอนบ่ายคงไม่มีแล้ว อีกอย่างวันนี้ตอนเย็นพริมมีธุระต้องไปจัดการด้วย กลัวจะหายไม่ทัน พริมก็เลยคิดว่าจะขอลาตอนบ่าย แต่ถ้าอาจารย์คิดว่าพริมไม่ควรจะลา พริมก็ไม่ลาค่ะ”

“เราไม่คิดว่าควรจะลา แต่เราจะให้ลาละกัน” แม้น้ำเสียงจะยังเครียดขรึม หากพริมาสัมผัสได้ถึงกระแสห่วงใยที่เจืออยู่ในประโยคสั้นๆ นั้น “แล้วจะกลับยังไง ขับรถกลับเองไมได้หรอก ไม่สบายอย่างนี้”

“พริมขับได้ค่ะ”

คุณหญิงมธุการีสั่นศีรษะเป็นเชิงปฏิเสธ “ไม่เสี่ยงดีกว่า ไม่อยากมาตรวจที่เกิดเหตุคดีลูกศิษย์ตัวเอง”

“งั้นผมไปส่งน้องพริมก็ได้ครับ” ผู้หมวดหนุ่มขันอาสา ถึงแม้จะรู้ว่าหญิงสาวไม่อยากให้เขาเข้าใกล้ แต่ด้วยความเป็นห่วงก็ทำให้อดไม่ได้

“ไม่ได้” ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเหลือบแลไปทางผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยแววตาตำหนิ “เวลางาน หมวดจะเอาไปใช้เรื่องส่วนตัวได้ยังไง”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะพี่กฤษณ์ ขอบคุณมาก” หญิงสาวบอกอย่างกึ่งๆ โล่งใจ เกือบจะโพล่งออกไปด้วยซ้ำว่าอย่ามายุ่งกับเธอให้มากกว่านี้เลย ถ้าไม่อยากเจ็บเสียเอง ก่อนจะหันไปหาอาจารย์อีกครั้ง “พริมกลับเองได้ค่ะอาจารย์ ค่อยๆ ขับไปไม่น่าจะเป็นอะไร”

ผู้กองสาวไม่ตอบประโยคของลูกศิษย์ เพียงหันไปพยักหน้าให้กับกฤษณะ บอกใบ้ให้เขาออกไปนอกห้องก่อน ผู้หมวดหนุ่มเหลือบมองใบหน้าเซียวๆ ของพริมาอีกครั้ง ก่อนจะจำใจเดินออกไปพร้อมกับปิดประตูตามหลังเรียบร้อย

“นั่งก่อนสิพริม ยืนๆ เดี๋ยวก็เป็นลมไปหรอก”

“ขอบคุณค่ะ”

หญิงสาวทรุดลงนั่งบนเก้าอี้บุนวมแข็งๆ สูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อพยายามต้านอาการปวดหัวข้างเดียวที่ทวีความรุนแรงขึ้นตามเวลาที่ผ่านไป

“รู้รึเปล่าว่าทำไมเราไม่อยากให้กฤษณ์ไปส่งเธอ”

“ไม่ทราบค่ะ”

“มันไม่เหมาะ” คุณหญิงเข้าประเด็นตรงๆ “พริมอยู่ในฐานะเด็กฝึกงาน ไม่ได้เป็นเด็กฝึกงานคนเดียวในพิสูจน์หลักฐาน ไหนจะยายภัทรที่มาด้วยกันอีก ไหนจะเด็กที่มาจากม.อื่นอีก เราไม่อยากเปิดโอกาสให้ใครมานินทาลูกศิษย์เราหรอกนะ”

คำบอกเล่าสั้นๆ อธิบายอะไรได้มากมายในความรู้สึกของพริมา

มธุการีไม่ได้ใจร้าย แต่อาจารย์ของเธอไม่ต้องการให้ใครมาว่าได้ว่าเธอเป็น ‘เด็กของอาจารย์’ การที่ผู้กองสาวจะมาทำท่าสนิทสนม หรือให้อภิสิทธิ์เธอมากกว่าคนอื่นนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรอย่างยิ่ง และการที่ ‘กัน’ กฤษณะไม่ให้แสดงความห่วงหาอาทรนั้นก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ของเธอเอง ไม่ให้ใครมาว่าเอาได้ว่ามาทำหรือมาหา ‘อะไร’ นอกเหนือการฝึกงาน ซึ่งมันจะส่งผลเสียตั้งแต่ตัวเธอเอง ไปจนถึงมหาวิทยาลัย

“พริมเข้าใจค่ะ

“งั้นเหรอ” คุณหญิงผู้กองลากเสียงเบาๆ คล้ายครุ่นคิด ไม่อยากเสี่ยง หากก่อนจะได้พูดอะไรไปมากกว่านี้ คนในห้องทำงานก็ได้ยินเสียงเคาะ ก่อนที่ใบหน้าสวยหวานหากเรียบเฉยอยู่เป็นนิจของ พ.ญ.วีรยาจะปรากฎขึ้นตรงช่องประตู

“อ้าววี มาไงเนี่ย”

คุณหญิงมธุการียิ้มชื่นเมื่อเห็นเพื่อนรักเดินเข้าประตูมา ก่อนที่หมอวีรยาจะยื่นซองเอกสารปิดผนึกเรียบร้อยที่ติดมือมาตั้งแต่แรกให้ พร้อมอธิบายน้ำเสียงเรียบเรื่อย

“พอดีเราทำธุระแถวนี้ เลยคิดว่าจะแวะเอาผลชันสูตรที่เธอเคยขอไว้เอามาให้ด้วย จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปที่นิติเวชไง”

“ขอบใจมาก” มือเรียวสีน้ำผึ้งอ่อนยื่นไปรับเอกสารจากมือเพื่อนมาเปิดดูอย่างยินดี ก่อนจะเอยถาม “แล้วนี่เอาของมาให้แล้วยังไงต่อล่ะ ทำไมไม่มาตอนพักเที่ยง เราสามคนไม่ได้ทานข้าวด้วยกันมาหลายวันแล้วนะ ยายพายก็บ่นถึงเธอบ่อยๆ ว่าช่วงนี้เธอเอาแต่หลบหน้าหลบตาเพื่อนฝูง หรือสามีไม่ปล่อยให้ออกมาเที่ยวนอกบ้านจ๊ะ?”

คุณหญิงผู้กองเอ่ยเย้าด้วยน้ำเสียงสดใสพลางยิ้มเจ้าเล่ห์

ใบหน้าหวานหากเรียบเย็นของคุณหมอสาวขึ้นสีระเรื่อเพียงเล็กน้อย หากวีรยาก็ไม่เหมือนผู้หญิงทั่วไปที่จะแสดงความเขินอายออกมาง่ายๆ จึงพูดเพียงแต่ “ช่วงนี้งานยุ่งนิดหน่อยน่ะ ต้องใส่เคสใหม่ๆ เอาไปสอนพวกนักศึกษาแพทย์กับพวกป.โทด้วย เดี๋ยวเราก็จะกลับก่อนละกัน”

“อ้าว กลับเร็วจัง” คุณหญิงอุทานเสียงผิดหวังชัดเจน เรียกรอยยิ้มน้อยๆ จากเพื่อนสนิทให้แย้มออกมา ก่อนที่ผู้กองสาวจะหันไปทางลูกศิษย์ที่ยังนั่งนิ่งอยู่ “จริงสิ วีจะกลับแล้ว เราฝากพริมกลับด้วยได้มั้ย?”

วีรยาหันมาหาลูกศิษย์ที่มีโอกาสได้เจอกันในชั่วโมงเรียนวิชานิติเวชศาสตร์ที่เธอเป็นผู้รับผิดชอบกระบวนวิชาอยู่ ก่อนที่จะเลิกคิ้วนิดๆ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายใบหน้าซีดเซียวก็พยักหน้าเป็นเชิงตอบรับโดยไม่ถามอะไร

“งั้นดีเลย เราจะได้สบายใจ จะไปส่งเองหรือจะให้ใครไปส่งก็เป็นเวลางาน เราไม่อยากให้เสียงาน” ร่างโปร่งบางหากเคลื่อนไหวปราดเปรียวของมธุการีลุกขึ้นยืนรวดเร็ว ก่อนจะเดินไปพร้อมๆ กับเพื่อนจนถึงรถยนต์ของคุณหมอ “ฝากด้วยนะ ไปลงหน้าม.แล้วให้เขาต่อรถไปเองคงได้ เราไม่ไว้ใจให้เขาขับรถกลับเอง กลัวจะไปเป็นข่าวหน้าหนึ่งพรุ่งนี้”

วีรยาเพียงยิ้ม ไม่พูดว่าอะไรอีก พริมาอ้อมไปนั่งที่เบาะหน้าข้างคนขับ สีหน้าเจื่อนๆ เมื่อต้องอยู่กับคุณหมอน้ำแข็งเพียงลำพัง ในใจผุดคำบอกเล่าของภูธเรศซึ่งเป็นลูกศิษย์โดยตรงของคนที่กำลังขับรถไปเรื่อยๆ

‘จริงๆ เราก็ไม่ได้เรียกอาจารย์วีว่าหมอน้ำแข็งตั้งแต่แรกหรอก พี่มัดนั่นแหละเป็นคนเริ่มก่อน พวกนักศึกษาแพทย์คนอื่นๆ เลยพลอยติดเรียกตามไปด้วย แต่ไม่เรียกต่อหน้าหรอกนะ กลัวโดนคำสาปราชินีน้ำแข็ง’

ภูธเรศพูดพลางหัวเราะ คนฟังก็หัวเราะไปด้วยเมื่อนึกถึงพี่มัดหรือ พ.ต.ท.มัฑวาน สารวัตรสืบสวนสอบสวนที่เป็นสามีของคนข้างๆ เธอ ดูเหมือนชีวิตคู่นั้นไม่ได้ละลายน้ำแข็งที่จับอยู่ทั่วของวีรยาลงไปเท่าไหร่เลย

นั่งรถมาเรื่อยๆ วีรยานั้นขับไปส่งถึงที่หอ โดยบอกเรียบๆ ว่ารับปากมธุการีเอาไว้แล้ว จึงต้องมาส่งให้ถึงที่ หญิงสาวได้ยาแก้ปวดหัวไมเกรนมาจากคุณหมอสาวก่อนที่อีกฝ่ายจะขับรถจากไป ทิ้งให้เธอโผเผขึ้นไปถึงห้องคนเดียว เข้าไปในห้องได้พริมาก็ทรุดตัวลงนอน หลับตาพริ้ม

...สงสัยเพราะเมื่อคืนไม่ได้นอนแหงๆ วันนี้เลยออกอาการซะขนาดนี้...

คิดถึงสาเหตุที่ทำให้นอนไม่หลับเมื่อคืน อาการปวดหัวที่หน่วงๆ อยู่ก็จี๊ดขึ้นมาอีกครั้ง พริมาไถศีรษะทุยเข้าไปซุกอยู่ในกองหมอน หลับตาแน่น พยายามไล่ความทรงจำสุดแสนจะน่าอายให้ออกไปจากสมองโดยเร็วที่สุด

เกลียดตัวเองที่รู้สึกหวั่นไหวไปกับสัมผัสนั้น เกลียดความทรงจำที่ยังประทับรอยหนักแน่น เกลียดสมองตัวเองที่ไม่เคยจำถึงความเจ็บปวดทุกครั้งที่ต้องพยายามถอยห่าง

...เกลียดใจตัวเองที่ไม่เคยเลิกรักเขาได้เสียที



หน้าจอมือถือที่กระพริบถี่ยามชายหนุ่มหยิบออกมาดูทำให้คิ้วหนาขมวดเข้าหากันอย่างไม่รู้ตัว

แม้จะเห็นว่าภาพที่ปรากฏบนหน้าจอคือใบหน้าสวยหวานของแฟนสาว แต่เพราะเป็นเวลางาน และเขาก็ยังคงทำงาน ภูธเรศจึงเลือกที่จะหย่อนโทรศัพท์ลงไปในกระเป๋ากางเกง แล้วรับคลิปชาร์ตที่มีรายละเอียดของอาการคนไข้จากพยาบาลมากวาดสายตาดู พลางเหลือบมองร่างเหยียดยาวของผู้ป่วยที่นอนอยู่บนเตียงสลับกันไปมา

“คุณหมอนภาฝากขอโทษหมอภูด้วยค่ะที่ไม่ได้อยู่อธิบายเคสด้วยตัวเอง พอดีว่าหมอต้องออกไปธุระข้างนอกด่วนเลยน่ะค่ะ”

พยาบาลสาวเอ่ยขึ้นเสียงเบา เกรงว่าจะรบกวนคนเจ็บ และเผื่อหมอหนุ่มจะอยากได้ยินที่เธอพูดชัดเจนจนต้องเอียงตัวลงมาใกล้เธอมากขึ้น หญิงสาวคลี่ยิ้มบางก่อนเอ่ยต่อ “อีกอย่างวันนี้ไม่รู้เป็นอะไร มีแต่เคสด่วนเข้ามาตลอด คุณหมอประจำ ER คนอื่นเลยไม่ได้มาอธิบายให้หมอฟัง...”

“ความจริงไม่ต้องอธิบายอาการหรอกฮะ” ร่างสูงเอ่ยยิ้มๆ หากในใจนึกรู้ว่าอีกฝ่ายคงเป็นพยาบาลย้ายมาใหม่ถึงไม่รู้ว่าปกติเขาก็เข้ามาดูเคสเองโดยที่แพทย์ผู้ทำการรักษาเบื้องต้นไม่ได้เข้ามาอธิบายอะไรให้ฟังอยู่แล้ว เว้นแต่เขาไม่เข้าใจตรงไหน (หรืออ่านลายมือไม่ออกตรงไหน) ถึงค่อยเอ่ยถาม

อีกอย่างคนไข้รายนี้ก่อนที่หมอนภา แพทย์ประจำ ER จะออกไปทำธุระ ก็เรียกให้เขาเข้ามาถ่ายภาพและซักถามข้อมูล รวมทั้งตรวจสอบบาดแผลก่อนเรียกร้อยแล้ว เพราะเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าผู้ป่วยรายนี้ต้องเป็นผู้ป่วยทางคดี แต่เมื่อจัดการถ่ายภาพบาดแผลพร้อมตรวจบาดแผลเสร็จแล้ว ไม่ทันได้บันทึกคำบอกเล่าใดๆ ของผู้ป่วย ชายหนุ่มก็มีธุระเข้ามาด่วนจนต้องปล่อยให้หมอนภาทำการรักษาบาดแผลไปก่อน เมื่อภูธเรศกลับเข้ามาอีกครั้งหมอนภาก็ไม่อยู่เสียแล้ว

รอยยิ้มอบอุ่นทำให้อีกฝ่ายถึงกับหน้าแดงก่ำ รินดาสังเกตหมอคนนี้มาหลายวันแล้ว ยามที่เขาเข้ามาคุยกับแพทย์ ER หรือเข้ามาตรวจอาการของคนไข้บางคน ท่าทางอ่อนโยนและการปฏิบัติต่อคนไข้ด้วยความนุ่มนวลท่ามกลางความวุ่นวายของห้องฉุกเฉิน รวมกับท่าทางแสนจะสุภาพของอีกฝ่ายและรูปร่างหน้าตาที่หล่อเหลาพอที่จะเป็นที่ใฝ่ฝันถึงของสาวน้อยสาวใหญ่ทั้งโรงพยาบาล ก็ทำให้พยาบาลที่ย้ายมาใหม่อย่างเธอใจเต้นไม่เป็นส่ำ

หญิงสาวขยับเข้าไปใกล้ร่างสูงเมื่อเห็นว่าเขาไม่มีทีท่าจะเข้ามาใกล้เธออย่างที่คิด ก่อนจะชะงักแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าไปยื่นให้ภูธเรศพร้อมเอ่ยอายๆ “คุณหมอเช็ดเหงื่อหน่อยนะคะ”

ร่างสูงในเสื้อกาวน์ที่นานๆ จะใส่เสียทียิ้มให้พยาบาลสาวอีกครั้ง ก่อนหยิบเอาทิชชูในกระเป๋าของตนเองมาเช็ดอย่างลวกๆ “ขอบคุณครับที่บอก”

“รินคิดว่าหมอนิติเวชคงได้แต่ผ่าศพอย่างเดียวมากกว่า” หญิงสาวชวนคุย นึกอยากให้บทสนทนานี้ยืดยาวออกไปเรื่อยๆ เพื่อที่เธอจะได้ยืนข้างเขาอย่างนี้ไปนานๆ “แต่กลับเห็นหมอมาตรวจคนไข้ด้วย”

“นิติเวชไม่ได้มีแต่หน้าที่ผ่าศพนี่ครับ” ภูธเรศพูดเสียงกลั้วหัวเราะ พลางมองคนเจ็บที่ยังไม่ได้สติอีกครั้งก่อนจะเอ่ย “เรายังต้องตรวจคนไข้ทางคดี หรือคนไข้ที่เหตุของการบาดเจ็บน่าจะเป็นเรื่องทางคดีด้วย...นี่คนนี้สั่งแอดมิท แล้วใช่มั้ยฮะ?”

“ค่ะ”

“งั้นคงต้องรอให้คนไข้ฟื้นขึ้นมาเสียก่อน ผมถึงค่อยสอบถามเหตุการณ์ได้ ยังไงก็ขอบคุณมากนะครับ”
บอกเสร็จไม่พูดพล่ามทำเพลง ชายหนุ่มยื่นแผ่นชาร์ตให้กับพยาบาลสาว ก่อนเดินออกมาจากห้อง ER ด้วยความเร็วจนชายเสื้อกาวน์สะบัดไหว

รินดามองตามร่างสูงด้วยแววตาหวามไหว หากเพื่อนพยาบาลด้วยกันกลับเอ่ยขึ้นลอยๆ กับพยาบาลอีกคนด้วยเสียงที่ดังพอที่จะได้ยินกันทั่ว ใช่เพียงแต่เตียงคนไข้ข้างๆ กันนี่เลย

“หมอภูนี่หล่อก็หล่อ นิสัยก็ดี บ้านก็ฐานะพอใช้ได้ เสียดายนะเธอ”

“เสียดายอะไรเหรอมิน” พยาบาลอีกคนรับมุข

คนเปิดประเด็นยิ้มสมใจเมื่อเห็นรินดาทำท่าวนเวียนอยู่ใกล้เตียงผู้ป่วย ทั้งๆ ที่ใบหน้าสวยของพยาบาลสาวนั้นไม่ได้ปิดบังความอยากรู้อยากเห็นเลยด้วยซ้ำ “ก็เสียดายว่าหมอภูมีแฟนแล้วไง”

“มีแฟนแล้ว?” รินดาเหลียวขวับไปมองเพื่อนพยาบาลด้วยกันหลังจากที่อุตส่าห์อดใจไม่ให้หันไปอยู่เป็นนาน ก่อนจะกัดริมฝีปากแน่นเมื่อรู้ตัวว่าแสดงท่าทีให้พวกนั้นเห็นมากเกินไป

เธอเป็นคนใหม่ของที่นี่ ทำให้เป็นเป้าสายตาและกลายมาเป็นเป้าของการนินทาให้ระคายหู หญิงสาวพยายามเงียบเฉยเสีย ไม่สนใจ ไม่ร้อนรน เพื่อที่จะให้เรื่องมันจบๆ ไปแล้วจะได้ไม่มีใครมายุ่งกับเธอ

อีกฝ่ายยิ้มอย่างสมใจ ก่อนจะเอ่ยเสียงติดจะหยัน “ก็ใช่น่ะสิจ๊ะดา คุณหมอภูธเรศน่ะมีแฟนเล้ว กับคุณนุชน่ะก็รักกันมานาน เห็นว่าตั้งแต่สมัยเรียนเลยด้วยซ้ำมั้งจ๊ะ เพราะฉะนั้นพวกที่ได้แต่มอง...ก็คงได้แต่มองต่อไป”

“น่าสงสารเนอะ” ลูกคู่ของอีกฝ่ายพยักเพยิด หญิงสาวได้แต่นิ่งขึงอยู่ตรงนั้นชั่วครู่ ก่อนเดินออกมาโดยมีเสียงหัวเราะน้อยๆ ตามหลัง



ใบหน้าคมฉายแววขุ่นเมื่อหยิบโทรศัพท์ที่คอยสั่นอยู่ตลอดระหว่างที่เขาทำงานอยู่ขึ้นมาดู พบว่ามีสายที่ไม่ได้รับเกือบสิบสาย และทุกสายมาจากคนๆ เดียว...นุชนาถ

ชายหนุ่มหรี่ตามองจำนวนสายที่ไม่ได้รับด้วยใบหน้าเรียบเฉย หากในใจนึกสงสัย...ปกตินุชนาถจะไม่ใช่คนโทรมาหาเขา ยิ่งช่วงหลังๆ ที่เขาเริ่มจับได้ว่าหญิงสาวให้ความสนิทสนมกับสันต์มากเกินลูกจ้างกับนายจ้าง แต่นุชนาถก็ปัดความสงสัยของเขาทิ้งไปเสียด้วยเหตุผลที่ว่าเธอไม่ได้คิดอะไร และเธอรักเขาคนเดียว

เขาอยากเชื่อ...อยากเชื่อเหลือเกินว่าทุกถ้อยคำที่แฟนสาวพูดเป็นความจริง แต่พฤติกรรมที่หญิงสาวแสดงออกมาหลายครั้งหลายคราว ทั้งความสนิทสนมเกินสมควรที่อีกฝ่ายหนึ่งมีต่อ ‘เจ้านาย’ ที่ขัดต่อคำพูดว่า ‘รักเขาคนเดียว’ อีกล่ะ...

‘มันก็เหมือนกับที่ภูสนิทกับคุณพริมาไงคะ ภูสนิทกับเขาแบบเพื่อนสนิท ไปไหนต่อไหน จะสนิทยังไงนุชไม่เคยว่า แต่นี่พอนุชจะมีเพื่อนผู้ชาย...เพื่อนที่พ่วงตำแหน่งเจ้านายด้วย มันผิดตรงไหนคะ?’

คำพูดที่พาดพิงไปถึงการกระทำของหมอหนุ่มทำให้เขาเถียงไม่ออก ความสนิทสนมที่ออกจะเกินพอดีไปหน่อยของเขากับพริมานั้นเป็นเหมือนนุชนาถว่า เธอมีสิทธิจะโกรธเขาด้วยซ้ำกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำไป ไม่ต้องนับจูบที่เกิดขึ้นเมื่อคืนหรอก...

แล้วเขามีสิทธิอะไรที่จะไปโกรธเธอกัน ในเมื่อสิ่งที่เขากับเธอทำ มันก็เหมือนๆ กันนั่นล่ะ?

แล้วถ้าเป็นอย่างนั้น เขากับนุช ‘ซื่อสัตย์’ ต่อกันจริงหรือ?

นุชนาถนั้นไม่แน่นอน หลายๆ การกระทำที่เขาเห็น มันมากกว่าความสนิทสนมฉันเพื่อน...อาจจะมากพอๆ กับที่เขาจูบพริมา หรือบางทีอาจจะมากกว่า...

แล้วความรักที่ไม่ได้ดำรงอยู่บนความซื่อสัตย์ของทั้งสองฝ่าย ยังจะเรียกว่าความรักได้อีกหรือ?

หมอหนุ่มใจหายวาบ เมื่อมองอย่างเป็นกลางที่สุด ระยะหลังมานี่เขาแทบจะเรียกได้ว่าไม่สนใจนุชนาถเอาเสียเลย แฟนสาวของเขาจะตะบึงตะบอน เขาก็ง้องอนเหมือนจะทำเป็นหน้าที่ การรับไปกินข้าว ไปรับไปส่ง ออกไปดูหนังฟังเพลงที่ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ทำก็กลายเป็นเพียงการออกไปโดยไม่ได้รู้สึกปลาบปลื้มอะไรอีกแล้ว ไม่มีความภาคภูมิใจที่ได้ควงดาวมหาวิทยาลัยสุดสวยแบบเมื่อก่อนหลงเหลือ ไม่มีคำหวานหรือแววตารักใคร่ที่ส่งให้กันมาเนิ่นนาน

สิ่งเหล่านั้นเลือนหายไปจากดวงตานุชนาถตั้งแต่เขาตัดสินใจต่อเฉพาะทางเป็นหมอนิติเวช มันหายไปตั้งแต่เขาเริ่มทำงานหนัก ไม่มีเวลาให้เธอ ไม่มีเงินที่จะพาเธอไปเที่ยวหรือซื้อของ ไม่มีหน้าที่การงานที่จะอวดอ้างกับเพื่อนๆ เธอได้

เขามองไม่เห็นมันอีก...ตั้งแต่เธอมีสันต์เขามาในชีวิต

แต่ความเจ็บปวดที่เขาควรจะรู้สึกเจียนตายไปกับมัน...กลับเป็นสิ่งที่บางเบาเมื่อเทียบกับการได้ยิน ‘เพื่อนสนิท’ อย่างพริมาบอกว่าเธอจะหาคน ‘ดูแล’ แทนเขา

ภูธเรศหลับตาลง พยายามนึกภาพใบหน้างดงามของแฟนสาว ยอมที่จะมองข้ามผ่านความเฉยชาและการนอกใจที่เห็นได้ชัดแจ้งของนุชนาถ เกาะเกี่ยวความทรงจำเก่าๆ เอาไว้ เพราะเขาเองที่เป็นคนพูดกับนุชนาถในคราวที่ยังหวานชื่นกันว่า

‘ผมจะรักนุชคนเดียว ไม่มีทางนอกใจนุชเด็ดขาด!’

แต่ไหนแต่ไรเขาเป็นคนขึ้นชื่อในเรื่องคำมั่นสัญญา ที่พูดแล้วจะไม่มีการคืนคำเป็นอันขาด

ชายหนุ่มก้มลงมองหน้าจอโทรศัพท์ที่กระพริบถี่ขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนกดรับสายด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ทั้งๆ ที่หัวใจกำลังขัดแย้ง

“สวัสดีครับนุช”

สายตาคนรับโทรศัพท์แปรเปลี่ยนจากเรียบเฉย ไม่รู้ร้อนรู้หนาว กลายเป็นขุ่นเคือง และรุ่มร้อนขึ้นทุกคำพูดที่นุชนาถเล่าให้ฟัง



สองเท้าพาตัวเองก้าวไปหยุดอยู่ตรงทางเดินไปสู่ระเบียงที่จะตัดไปหาตึกผู้ป่วยนอก รินดาผ่อนลมหายใจยาว พยายามบังคับใจตัวเองให้หายโกรธตอนที่ได้ยินเสียงทุ้มนุ่มที่เริ่มคุ้นหูดังขึ้นแว่วๆ คล้ายๆ กับกำลังทะเลาะ...หรือตัดพ้ออะไรบางอย่างกับปลายสาย

รินดารีบแนบตัวลงกับเสาติดผนังเพื่อบดบังตนเองจากสายตาของคนที่กำลังโทรศัพท์ หากตั้งใจฟังทุกคำพูดที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมา แต่ก็ได้ยินเพียงแว่วๆ

“ผมเหนื่อยกับสิ่งที่นุชทำ ผมอาจจะไม่มีเวลาให้นุชก็จริง แต่นุชต้องการอะไรนุชก็บอกผมได้นี่ ผมพยายามแล้ว และผมก็จะพยายามต่อไป ถ้านุชให้โอกาสผม แต่นี่...”

นุช? เมื่อครู่นี้พวกพยาบาลเหล่านั้นบอกว่าคนรักของภูธเรศชื่อนุชนี่...พยาบาลสาวขมวดคิ้ว สีหน้าครุ่นคิด

ดูเหมือนคุณหมอกำลังมีปัญหากับแฟนนี่? ไหนพวกนั้นบอกว่ารักกันจะเป็นจะตายยังไงล่ะ นี่ทำไมดูเหมือนแฟนเขาทำอะไรผิดร้ายแรงล่ะ ฟังเสียงคุณหมอภูธเรศก็รู้...น้ำเสียงเหนื่อยหน่ายกับความสัมพันธ์ เจ็บปวดกับการถูกทรยศเสียขนาดนั้น...ไม่เรียกว่ารักกันปานจะกลืนหรอก เรียกว่าความสัมพันธ์ถึงทางตันแล้วมากกว่า

แล้วถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็ไม่ผิดถ้าคุณหมอจะมีคนใหม่นี่...


ร้านที่พริมามาร้องเพลงช่วยรุ่นน้องนั้นอยู่ในสวน บรรยากาศร่มรื่นและต้นไม้ที่ขึ้นอยู่โดยรอบทำให้ลืมเลือนอากาศร้อนอบอ้าวเมื่อยามกลางวันไปหมดสิ้น

พริมาแต่งตัวต่างออกไปจากตอนกลางวัน หญิงสาวสวมเดรสสั้นแค่เข่าสีดำแขนกุด รองเท้าส้นสูงแต่พอสบายสีเดียวกัน ใบหน้าเนียนตกแต่งบางๆ ด้วยเครื่องสำอางที่นานทีปีหนเจ้าของจึงจะแตะเสียครั้งหนึ่ง ผมยาวจรดบั้นเอวถูกมวยเอาไว้หลวมๆ เผยให้เห็นต้นคอและลาดไหล่เนียนระหง ปอยผมบางๆ ตกลงมาเคลียใบหน้าส่งให้ร่างโปร่งบางดู ‘หวานซ่อนเปรี้ยว’ ไร้เครื่องประดับใดๆ นอกจากนาฬิกาข้อมือเรือนหนาหนักที่เจ้าตัวใส่ติดจนชิน ไม่อยากถอดออกถึงแม้มันจะไม่เข้ากับชุดที่ใส่อยู่ก็ตาม ไม่ได้อยู่ในแบบที่รุ่นน้องเรียกว่า ‘ลุคเท่ๆ’ เพราะร้านที่มาเล่นดนตรีนั้นเป็นร้านค่อนข้างหรู กรุกระจกล้อมรอบทั้งสองชั้น พร้อมทั้งระเบียงกว้างรับอากาศเย็นๆ จากต้นไม้ที่มีมากในบริเวณร้าน และแนวเพลงที่รับร้องก็ไม่ใช่ร๊อคหรือเพลงหนักๆ หากเป็นป๊อปเบาๆ สบายๆ หนักหน่อยก็แค่ป๊อปร๊อคแบบเบาๆ เท่านั้น

อาการปวดหัวที่รุมเร้าจากสองวันที่แล้วนั้นเพียงทุเลาลงไปบ้าง ไม่ได้หายขาดไปเสียเลย สีหน้าไม่ค่อยดีของหญิงสาวทำเอารุ่นน้องที่ไปรับที่หอไม่ได้ซักไซ้อะไรมาก และย้ำว่าหากเธอไม่ไหวก็ขอให้พักเท่านั้น

“เจ๊ มีคนฝากมาให้”

ปาลตีหน้าปุเลี่ยนตอนยื่นแก้วไวน์ขาวหอมกรุ่นให้รุ่นพี่ที่กำลังนั่งพักอยู่บนเก้าอี้ด้านหลังเวที หลังจากที่เมื่อครู่ก่อนเธอขึ้นไปร้องเพลงจนเสร็จไปเบรคหนึ่ง ก่อนจะทำปากยื่นเมื่ออีกฝ่ายตวัดสายตามองเขียวปั๊ด

“รู้อยู่ว่าฉันไม่กินของพวกนี้ เอามาทำไมเนี่ย แกเอาไปคืนเค้าทีสิ”

“ไม่ได้หรอกพี่ ดูท่าคงเมามากอ่ะ ขืนคืนไปเดี๋ยวมีเรื่อง”

พริมาเหล่ตามองคนพูดอย่างคาดโทษ ก่อนจะหยิบแก้วทรงสูงบรรจุน้ำสีเหลืองจางใส หอมกรุ่น ยกขึ้นมาสูดช้าๆ เหมือนจะเก็บเอาความหอมหวานของไวน์ชั้นดีไว้เพียงผู้เดียว แล้วจึงยื่นเอาให้รุ่นน้องพร้อมกับบอกหน้าตาเฉย

“งั้นแกจัดการแทนเลย”

“เฮ้ยพี่!” ปาลตาโตเมื่อได้ยินคำพูดแสดงความใจป้ำของหญิงสาว “พี่จะบ้าเหรอ แก้วละตั้งหลายร้อย”

“หลายร้อยแล้วไง ฉันกินไม่ได้นี่หว่า” หญิงสาวยักไหล่ก่อนจะลุกขึ้นยืนบิดตัวแก้เมื่อย ชี้ไปที่น้ำเปล่าอุ่นๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะเล็กข้างกาย “ร้องเพลงกินได้เท่านี้แหละ”

ชายหนุ่มหัวเราะน้อยๆ ก่อนแกล้งถอนหายใจเฮือกใหญ่ “น่าสงสารเจ๊ กินของดีไม่ได้ เสร็จเรา”

คนพูดจับก้านแก้ว ทำท่าจิบละเลียดเสียจนคนมองหมั่นไส้ ต้องเอ่ยเตือนเสียงดุ “รีบๆ กินเข้าไปเลย จะหมดเบรกแล้วนะ”

ปาลตวัดตามองคนเร่งที่ยืนหัวเราะน้อยๆ เกือบจะเป็นค้อน หากไม่ทันร่างโปร่งบางที่พอเร่งเสร็จก็หลับตาพริ้ม มือเรียวยกขึ้นนวดศีรษะได้รูปด้วยแรงกดค่อนข้างหนักเพราะอาการปวดหัวเหมือนจะกำเริบขึ้นมาอีกครั้ง ใบหน้าซีดเซียวทำให้ปาลมองด้วยความกังวล

“เจ๊ ไหวมั้ย?”

ไม่มีเสียงตอบรับ นอกจากอาการพยักหน้าน้อยๆ เท่านั้น

“ผมขอโทษนะเจ๊ที่ให้เจ๊ช่วย ทั้งๆ ที่เจ๊ก็ไม่ค่อยสบายอย่างนี้” ชายหนุ่มทรุดลงนั่งยองๆ ข้างเก้าอี้ที่พริมาซุกซบอยู่ “แล้วตอนนี้ก็ดันมีเจ้าถิ่นมากะลิ้มกะเหลี่ยเจ๊อีก เฮ้อ! ไอ้พวกนั้นมันเมาแล้วพูดไม่รู้เรื่องซะด้วยสิ มาหลายทีละ เสียงดังข่มคนอื่นบ่อยจะตาย เจ๊ก็ต้องระวังตัวไว้นะ”

“เข้าใจแล้ว” พริมาพยักหน้าส่งๆ ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง ชายหนุ่มรุ่นน้องระบายลมหายใจเบาๆ ก่อนจะถอยออกมา ทิ้งร่างโปร่งบางไว้ในห้องเพียงลำพัง



“เป็นไงร้านนี้ บรรยากาศดีอย่างที่บอกไว้มั้ย?”

ท่าทางของสารวัตรหนุ่มรุ่นพี่ร่าเริงเสียจนคนเป็นหมอต้องตีสีหน้าสดชื่นไปด้วย เพียงเพราะไม่อยากทำลายบรรยากาศคึกคักของหมู่คณะที่มัฆวานสร้างไว้

รูปร่างหน้าตาของผู้เข้ามาใหม่ในร้านดึงดูดสายตาของหลายๆ โต๊ะให้จับจ้องด้วยความสนใจ ชื่นชม และอาจจะมีหมั่นไส้ปนมาด้วยเล็กน้อย หากคนพามาที่ดูเจนพื้นที่กลับส่งโปรยยิ้มไปรอบๆ ก่อนจะหันมาพูดกับคนอื่นๆ ที่เดินตามเข้าไปภายในบริเวณร้าน

“ข้างล่างเหมือนจะเต็มแฮะ คงต้องขึ้นไปข้างบนละ อดได้เห็นนักร้องเลย” สารวัตรหนุ่มว่าเสียงละห้อยแบบไม่จริงจังนัก

“อะไรคุณ นักร้องอะไร อย่าลืมนะว่าอาจารย์ของหมอวีก็ยืนอยู่ตรงนี้ ลูกศิษย์หมอวีก็ยืนอยู่ตรงนี้ ขืนทำท่าเจ้าชู้เดี๋ยวพวกเราจะได้เอาไปบอกหมอวีปะไร”

รชานนท์ที่เป็นอาจารย์ของภรรยา และอดีตศัตรูหัวใจที่ตอนนี้กลายมาเป็นมิตรกันได้เอ่ยกระเซ้า พลางหันไปพยักพเยิดกับหมอหนุ่มที่เดินตามมา “จริงไหมหมอ?”

“ผมเป็นลูกศิษย์อาจารย์วีอยู่แล้ว คงต้องเข้าข้างอาจารย์ก่อน” ภูธเรศตอบยิ้มๆ เรียกเสียงหัวเราะจากคนหาพวกได้สำเร็จและเสียงเอะอะของมัฆวานให้ดังขึ้นอย่างครื้นเครง

ภูธเรศเหลียวมองบรรยากาศรอบตัวอย่างพอใจ สองสามวันมานี่เขาเหมือนหลงวนอยู่ในความรู้สึกแปลกประหลาดเสียจนไม่เข้าใจอารมณ์ของตนเองเลยแม้แต่น้อย

กับนุชนาถนั้นเขาและเธอได้ตกลงที่จะปรับเปลี่ยนอะไรหลายๆ อย่างให้ดีขึ้น อย่างน้อยๆ ในความสัมพันธ์ที่กำลังทรงตัวอยู่บนเส้นด้ายที่เปื่อยเก่าเจียนขาด มันก็เป็นความผิดของทั้งเขาและเธอ นุชนาถอาจจะทำผิดที่เผลอไผลไปกับสันต์ แต่เขาเองก็ทำผิดที่ไม่สามารถทำอะไรให้แฟนสาวได้อย่างที่เธอต้องการ ภูธเรศสัญญาว่าจะปรับปรุงตัว จะเอาใจเธอให้ดีขึ้น จะทำหน้าที่คนรักอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง และจะไม่แบ่งเวลาที่ควรเป็นของนุชนาถไปให้ใครอื่นอีก...

...ใครอื่นที่มีชื่อว่าพริมาก็ไม่ได้!

ชายหนุ่มหน้าหมองลงเมื่อใบหน้าเนียนใสของ ‘เพื่อนสนิท’ วาบขึ้นมาในห้วงคำนึงอีกครั้ง ให้ตาย...การสนิทสนมกับพริมาเมื่อก่อนมันเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ เปี่ยมไปด้วยมิตรภาพและความหวังดี แต่ในตอนนี้...

มิตรภาพ...เหมือนจะถูกเจือจางลงด้วยความรู้สึกบางอย่าง...บางอย่างที่หนักแน่น ร้อยรัดแน่นหนา และพันผูกเกินกว่าที่เขา...คนที่อยู่ในสถานะที่มี ‘คนรัก’ แล้วอย่างเขาจะเอ่ยขึ้นมาได้

ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง...ภูธเรศหัวเราะขื่น

นุชนาถอาจจะเอาแต่ใจ เรียกร้องต้องการ แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะทำให้ความรู้สึกที่เขามีต่อพริมาถูกต้อง นุชนาถอาจจะเคยเผลอใจ นอกใจ หวั่นไหวไปกับคนอื่น แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าการที่เขาจะนอกใจเธอเป็นเรื่องที่ถูกเช่นเดียวกัน ความผิดของคนหนึ่ง ไม่ได้แปลว่าจะทำให้ความผิดของอีกคนผิดน้อยลงเสียเมื่อไหร่...

ที่สำคัญ นุชนาถมีสิทธิ์เต็มที่ในตัวเขา ในขณะที่เขาไม่มีสิทธิ์ใดๆ เลยในตัวพริมา!

“ขึ้นไปข้างบนกันเถอะ”

เสียงทุ้มของอติชาติดังขึ้น ภูธเรศมองเห็นรอยยิ้มน้อยๆ จากชายหนุ่มที่ไม่ค่อยมีเวลามาสังสรรค์กับคนอื่นเขานักเนื่องจากชายหนุ่มมีอาชีพเป็นอัยการที่มีคดีให้สะสางมากมาย และยิ่งช่วงหลังจากลงหลักปักฐาน แต่งงานไปกับอโณชา ทนายความหนึ่งในสามสาวแห่งวงการกฎหมายของจังหวัด ก็ทำให้ชายหนุ่ม ‘รู้อยู่’ เพิ่มขึ้นจากนิสัยเดิมที่ไม่ค่อยชอบออกไปไหนนอกบ้านหลังเลิกงานอยู่แล้ว

นิติเวชหนุ่มเดินขึ้นบันไดตามคนอื่นๆ ขึ้นไป มัฆวานรี่ไปนั่งโต๊ะที่ล้อมรอบไปด้วยโซฟานุ่มหนาติดผนังกระจกใส ต้นไม้ที่ตั้งประดับไว้ทำให้บรรยากาศผ่อนคลายขึ้น แสงเรื่อนวลตานั้นมาจากโคมไฟเพดาน โคมตั้งพื้น และเทียนหอมที่จุดไว้บนโต๊ะแต่ละโต๊ะ กลิ่นอโรมาหอมอ่อนๆ เจือกรุ่นไปกับอากาศเย็นพอดีๆ ทำให้ผู้ที่นั่งอยู่ก่อนมีท่าทีผ่อนคลายสบายตัวมากขึ้น

สารวัตรหนุ่มผู้นำในการมา ‘นั่งคุยเล่นแบบผู้ชายๆ’ สั่งเครื่องดื่มและกับแกล้มสองสามอย่างอย่างคล่องแคล่งเคยชิน ก่อนที่จะส่งเมนูไปให้กับผู้ร่วมโต๊ะคนอื่นๆ ให้ได้สั่งอาหารบ้าง ภูธเรศที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่มสั่นศีรษะปฏิเสธเมนูที่ถูกนำมายื่นให้ ก่อนจะเสยกน้ำเปล่าขึ้นดื่มเมื่อคนอื่นๆ เริ่มคุยกัน

ความจริงแล้วเขาไม่ได้สนิทสนมกับเหล่าบรรดา ‘เพื่อนเขย’ ของอาจารย์วีรยาตั้งแต่แรก หากเมื่อเริ่มเรียนนิติเวช ได้ออกตรวจเองบ้างก็ทำให้ต้องเจอกับสารวัตรมัฆวาน สามีของอาจารย์วีรยาที่เป็นสารวัตรมือฉกาจ มีฝีมือในการวิเคราะห์คดีเป็นเลิศ เขาได้ตรวจในเคสที่ชายหนุ่มเป็นเจ้าของคดีอยู่สองสามครั้ง ค้นพบว่าสารวัตรหนุ่มนั้นมีนิสัยร่าเริงเฮฮา และติดจะเจ้าชู้ แต่อาจารย์รชานนท์เคยแอบบอกเขาว่าจริงๆ แล้วเมื่อก่อนสารวัตรมัฆวานเจ้าชู้จริงๆ แต่ตอนนี้เจ้าชู้เป็นท่าทางไปอย่างนั้น เพราะรักภรรยาผู้เย็นชาอย่างจริงจัง

ส่วนคนที่แอบกระซิบบอกเรื่องสารวัตรมัฆวานกับเขานั้นก็เป็นอดีตอาจารย์ของสามสาวแห่งวงการกฎหมาย อาจารย์รชานนท์นั้นสอนเอกจิตวิทยาที่หญิงสาวทั้งสามเคยไปเรียนด้วย และต่อมาก็กลายเป็นสามีของหม่อมราชวงศ์มธุการีหรือที่เรียกกันติดปากว่าคุณหญิงผู้กอง หนึ่งในเพื่อนรักของวีรยา และเป็นผู้กองสาวแห่งกองพิสูจน์หลักฐาน ซึ่งหากไม่มีอะไรผิดพลาดคลาดเคลื่อน คุณหญิงผู้กองก็น่าจะต้องเปลี่ยนคำเรียกเป็น ‘คุณหญิงสารวัตร’ ในเร็วๆ นี้

และคนสุดท้าย...หมอหนุ่มเหลียวไปมองใบหน้าขาว หากเครื่องหน้าคมเข้มของอติชาติ สามีของทนายสาวเพื่อนอีกคนของอาจารย์วีรยา อัยการหนุ่มนั้นงานยุ่ง และปกติก็ไม่ได้ออกภาคสนามเหมือนกับมัฆวาน ดังนั้นนานๆ ทีภูธเรศจึงจะได้เห็นอติชาติที แต่ปกติแล้วหากเขาตามวีรยาไปขึ้นศาลในฐานะพยานผู้เชี่ยวชาญก็จะได้เจอชายหนุ่มค่อนข้างบ่อย

ทั้งสามคู่ชู้ชื่น...คำข้างหลังนี้เขาเติมเอง ทั้งสามคู่ต่างมีหน้าที่การงานที่เกี่ยวพันกันอย่างแยกไม่ออก ยกเว้นไว้คนคือรชานนท์ที่ไม่ได้ทำหน้าที่เกี่ยวอะไรในทางกฎหมายมากนัก แต่ก็ยังเป็นที่ปรึกษาทางคดีในแง่จิตวิทยาให้กับคนอื่นๆ ได้ แต่ถ้าเป็นความเกี่ยวเนื่องกันอย่างแยกไม่ออกก็คงต้องเริ่มจากมัฆวาน ที่เมื่อเกิดคดีขึ้นก็ต้องเป็นเจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนเจ้าของคดี และต้องแจ้งไปให้ทางหน่วยตรวจสถานที่เกิดเหตุของคุณหญิงมธุการีเป็นคนมาตรวจสถานที่เกิดเหตุ หากมีศพแล้วก็ต้องแจ้งหมอนิติเวชซึ่งก็อาจจะเป็นคนอื่น (แต่ส่วนมากคนออกภาคสนามก็จะเป็นวีรยาเสียบ่อยๆ) หรือวีรยาให้เขามาตรวจศพ เมื่อรวบรวมหลักฐานต่างๆ เรียบร้อยแล้วก็ถึงขั้นส่งฟ้องไปที่อัยการคืออติชาติ และไม่มากนักที่บรรดาจำเลยจะแจ็คพ็อตเลือกอโณชาเป็นทนายจำเลย...

คนทั้งหกคนจึงมีความเกี่ยวพันโยงใยกันทั้งแง่ของการงานและความสัมพันธ์อย่างแยกไม่ออก

ส่วนเขา เนื่องจากจะต้องกลายมาเป็นผู้ปฏิบัติงานทางนี้เต็มตัวในสักวัน วีรยาจึงสนับสนุนให้ทำความสนิทสนมกับคนเหล่านี้เอาไว้ เพื่อการทำงานในอนาคต แต่พอรู้จักกันนานเข้าก็กลับคุ้นเคยและนิยมกันด้วยเนื้อแท้ของแต่ละคนเสียอย่างนั้น ทว่าเขากำลังอยู่ในช่วงเรียนค่อนข้างหนัก ทำให้ไม่ค่อยได้มาร่วมสังสรรค์กับคนอื่นๆ บ่อยนัก

วันนี้เลยเป็นเหมือนวันพิเศษที่นานๆ จะมีสักครั้งหนึ่ง

เขาโทรไปบอกนุชนาถว่าจะมาดื่มกับคนอื่นๆ น้ำเสียงของแฟนสาวเนือยๆ ไม่ได้เดือดร้อนหรือเรียกร้องอะไรเหมือนแต่ก่อน แต่นั่นอาจเป็นเพราะเสียงดังอึกทึกรอบด้านจากอีกฝ่ายที่บอกภูธเรศกลายๆ ว่าเธอไม่ได้กำลังเหงาหรือต้องการเขา...

ชายหนุ่มยิ้มขื่นให้กับความสัมพันธ์ที่ง่อนแง่นเกินทนอันนั้น...

เครื่องดื่มและกับแกล้มต่างๆ เริ่มทยอยกันมาวางไว้บนโต๊ะตรงหน้า ชายหนุ่มทั้งหลายเริ่มลงมือกินดื่มพลางพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ภูธเรศเพียงยิ้มน้อยๆ และคอยพยักหน้าเออออเวลามีคนเอ่ยถึงเขาเท่านั้น

วันนี้เขารู้สึกเหนื่อย...

จริงๆ ต้องบอกว่าเขารู้สึกเหนื่อยล้า...ทุกวัน...ที่เขาไม่ได้เจอพริมา

ยิ่งการเจอกันครั้งล่าสุดนั้นมี ‘เหตุการณ์พิเศษ’ เกิดขึ้นระหว่างเขาและเธอ ทำให้ชายหนุ่มยิ่งลืมยากเข้าไปอีก แต่โทรศัพท์ครั้งล่าสุดระหว่างเขาและนุชนาถที่คุยกันถึงพริมา นุชนาถก็บอกเขาเองนี่ว่าเจอพริมาอยู่กับหมวดกฤษณะ

‘ท่าทางคุณพริมามีความสุขมากเลยนะคะ สงสัยคุณพริมาจะเจอคนที่เป็นของเธอแล้วแน่ๆ แต่นุชไม่ชอบเลยที่เขาต้องมาว่าเรื่องนุชกับคุณสันต์ ทั้งๆ ที่นุชกับคุณสันต์ไม่มีอะไรกันแล้ว แต่มันเลี่ยงเรื่องไปกินข้าวอะไรนี่ไม่ได้จริงๆ มันเป็นเรื่องงาน ลูกค้าของนุชเขาไปเข้าห้องน้ำ เลยเหลือแต่นุชกับคุณสันต์ที่นั่งอยู่ด้วยกัน แล้วคุณพริมาก็ว่านุชเสียๆ หายๆ’

‘นุชว่าพริมไปกับหมวดกฤษณะเหรอครับ?’

‘ก็ใช่น่ะสิคะ’ น้ำเสียงนุชนาถแฝงแววขุ่นเล็กน้อยที่ชายหนุ่มเอ่ยถึงผู้หญิงอีกคน ‘นุชว่าภูดีใจเถอะค่ะ อีกหน่อยก็ไม่ต้องไปค่อยดูแลประคบประหงมเขาอีกแล้ว คุณพริมาก็มีคนดูแลแล้ว ภูจะได้ไม่ต้องเหนื่อย ไม่ต้องไปคอยห่วงอะไรเขาอีก เพราะมีคนทำหน้าที่นั้นแทนภูแล้ว’

“เรื่องมันก็เป็นอย่างที่ว่านี่แหละ ไม่เชื่อถามภูดู ใช่ไหมวะหมอภู?”

จู่ๆ น้ำเสียงครึกครื้นที่คุยกันจนถึงเมื่อครู่ก็ขาดหาย พร้อมๆ กับสายตาสามคู่ที่มองตรงมา

“ฮะ...เออ...ใช่ครับ”

สารวัตรหนุ่มมองเขม็งไปที่ชายหนุ่มรุ่นน้องชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ย

“ทำไมทำหน้าเป็นตูดอย่างนั้นหือ? มีอะไรวะ?”

ไม่พูดเปล่า ฝ่ามือหนักๆ ของสารวัตรหนุ่มตบลงมาไม่เบานักที่ไหล่ ก่อนคนตบจะยื่นแก้วไวน์ก้านยาวมาให้ด้วยรอยยิ้ม

“ชาร์ดอนเนย์ ลองหน่อย”

ภูธเรศรับแก้วไวน์มาจับไว้ที่ก้าน ก้มลงมองพร้อมกับหมุนแก้วในมือให้ไวน์ในแก้ววิ่งวนเสียสี่ห้ารอบ ก่อนจะสูดกลิ่นเจือผลไม้แห้งหอมหวานเข้าปอดช้าๆ ปล่อยให้ความหวานหอมล่วงผ่านประสาท ก่อนยกขึ้นจิบทีละน้อย ไม่ได้ยึดธรรมเนียมว่าต้องอมไว้สักครู่เหมือนคนอื่นๆ แต่อย่างใด

คนยื่นไวน์ให้ยิ้มกริ่ม ก่อนเอ่ย “เอ้า ไวน์ก็ดื่มแล้ว ฉะนั้นหมอมีเรื่องอะไร เล่ามาให้พวกพี่ฟังซะดีๆ”

“เล่าอะไรฮะ?” ภูธเรศขมวดคิ้วงงงัน

“ก็เล่าว่าใครหรืออะไรทำให้เราต้องทำหน้าซังกะตายอย่างนี้ไงล่ะ” รชานนท์เอ่ยกลั้วหัวเราะ ในขณะที่อติชาติจิบไวน์เฉย แต่ดวงตาใคร่รู้เหมือนคนอื่นๆ

“ผมก็...ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่ปัญหาหัวใจเล็กๆ น้อยๆ” ภูธเรศหัวเราะประกอบ หากดวงตาไม่มีแววสุข “เดี๋ยวมันก็ผ่านไปแล้วล่ะครับ”

คนสูงวัยกว่าทั้งสามหันไปสบตากันแวบหนึ่ง ก่อนที่จะมีคำถามใดตามมา เสียงดนตรีข้างล่างก็ดังขึ้น พร้อมๆ กับน้ำเสียงหวานใสที่เอ่ยทักทายบรรดาผู้ฟัง

น้ำเสียงที่...คุ้นหูชายหนุ่มทั้งสี่เหลือเกิน

“นั่น...เสียงเหมือนใครสักคนที่ผมรู้จักเลยว่ะ” สารวัตรหนุ่มนั่นแหละที่เป็นคนเอ่ย ก่อนที่เสียงร้องนุ่มหวานจะดังขึ้น พร้อมกับเสียงปรบมือดังลั่น “ผมต้องรู้จักแน่ๆ สิ”

“สารวัตรก็ต้องรู้จักสิ นั่นเสียงน้องพริมนี่” อัยการหนุ่มที่พูดน้อยที่สุดในกลุ่มเอ่ยยิ้มๆ “เสียงดีเสียด้วย ต้องเอาไปเล่าให้พายฟังเสียแล้ว”
อติชาติพูดถึงภรรยาด้วยน้ำเสียงเอ็นดู ชายหนุ่มและอโณชานั้นถือว่าพริมาเป็นรุ่นน้องคณะอยู่แล้ว

ภูธเรศกระชับมือที่จับก้านแก้วไวน์ขึ้นเล็กน้อย ความตั้งใจที่จะอยู่ห่างๆ จากพริมาเสียหน่อยเพื่อปรับความคิดความรู้สึกของตนเองเริ่มสั่นคลอนเมื่อได้ยินเสียงหวานๆ ของเพื่อน...ของคนที่หากเขาไม่ปฏิเสธความรู้สึกของตนเอง หมอหนุ่มก็พูดได้เต็มปาก

...คิดถึง...

ความรู้สึกนั้นรุมเร้า ประดังประเดขึ้นมาในหัวใจ เหมือนใจถูกบีบจนเจ็บแปลบ คิดถึงจนอยากจะลุกออกไปยืนอยู่ตรงหน้าเธอ ดึงร่างบางนั้นมากอดให้สมกับความโหยหา กอดให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขา...มีแต่เขา...และเขาคนเดียวเท่านั้นที่จะดูแลเธอได้ เขาเท่านั้นที่มีสิทธิ...

ก็เพียงแค่คิด...

“แก้วไวน์แพงมั้ย?” สารวัตรหนุ่มมองสีหน้าของหนุ่มรุ่นน้อง ก่อนจะหันไปกระซิบถามท่านอัยการเบาๆ
คนเป็นอัยการส่ายหน้า ตอบกลับด้วยเสียงกระซิบแผ่ว “ไม่น่าจะแพงนะ แก้วแบบนี้ที่ไหนก็มีขาย แต่ที่สำคัญตอนนี้คือ ใครทำแผลเป็นบ้าง?”

สองหนุ่มหันไปหาอาจารย์ที่ยกไวน์ขึ้นจิบเฉย รชานนท์ลดแก้วในมือลงเมื่อมองเห็นสายตาฝากฝังก่อนพูดเบาพอกัน “แล้วคนมีเมียเป็นหมอนี่ทำแผลไม่เป็นหรือไง”

“เมียเป็นหมอ แต่ผมไม่ได้เป็นหมอด้วยนี่หว่า...” มัฆวานกลอกตาอย่างอ่อนใจ ก่อนที่ทั้งสามจะหันมาจ้องหมอหนุ่มที่ไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกตัว ด้วยความกลัวว่าอีกฝ่ายจะเผลอบีบจนก้านแก้วไวน์หักจนตัวเองได้รับบาดเจ็บไปด้วย

ภูธเรศไม่ได้รับรู้ถึงความกังวลของคนรอบตัว ดวงตาสีดำสนิทมองผ่านภาพตรงหน้า หากสมองและหัวใจผุดภาพเจ้าของเสียงร้องแว่วหวาน ยามที่เธอยิ้ม หัวเราะ บ่นว่าเขา ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนนั้นฉายประกายลึกซึ้ง

เขาคิดถึงเธอเหลือเกิน...

“ก็จบลงไปอีกเพลงหนึ่งแล้วนะคะ” เสียงพริมาไม่สดใสเท่าใดนัก ชวนให้ภูธเรศรู้สึกกังวลว่าหญิงสาวจะเป็นอะไร เจ็บไข้ได้ป่วยอะไรรึเปล่าช่วงระหว่างวันที่เขาไม่ได้ดูแลเธอ “เพลงต่อไปนี้พริมเอามาฝากทุกๆ คนเลยนะคะ ทุกๆ คนที่มีความรักคงเคยรู้รสชาติมันมาบ้างแล้ว ความรักนำมาทั้งความสุขและความเศร้า เพลงที่แล้วแสดงให้เห็นถึงความสุขของความรัก และเพลงนี้...จะแสดงให้เห็นถึงความเศร้าที่ความรักนำพามาให้ โดยเฉพาะความรักที่เป็นการรักข้างเดียว หรือเป็นการแอบรัก...ด้านมืดของพระจันทร์ค่ะ”

เสียงกีตาร์อ่อนหวานผสานเสียงร้องที่นอกจากจะใสกังวานแล้ว ยังมีความเศร้าสร้อยเจืออยู่ในทุกถ้อยคำ คล้ายกับว่าคนร้องนั้นก็ตกอยู่ในห้วงอารมณ์เดียวกับเพลงนี้

‘ในค่ำคืนดวงจันทร์ถักทอ ฉายแสงด้านหนึ่งจากฟ้า
แสงจันทร์ด้านนั้นที่เธอใฝ่หาสวยจับใจเธอ
มองกลับกันที่ฉันอยู่นี้เป็นเพียงด้านหนึ่งข้างหลัง
ไร้แสงมืดมิดเธอมองไม่เห็นฉันเฝ้าอยู่...อย่างเดียวดาย
...อีกฝั่งหนึ่งของพระจันทร์...
ฉันคนที่เหงาอยู่ตรงนี้ เธอคงไม่รู้ว่ามีฉัน
เธอได้แต่เห็นฝั่งแสงจันทร์ ฉันแค่ด้านมืดของจันทร์ลางๆ
ฉันคนที่เหงาอยู่ตรงนี้ ฉันอยู่ตรงนี้อย่างเหน็บหนาว
ได้แต่อ้างว้างปวดร้าวในใจ ที่เธอไม่เคยเห็นเลย
...ด้านมืดแห่งจันทร์... ’

พริม...ภูธเรศหลับตาลง

ใครว่าเราไม่เคยเห็นด้านมืดแห่งจันทร์ ในเมื่อเราก็ยืนอยู่ตรงด้านมืดอีกด้านหนึ่งมาตลอด!



เมื่อเสียงกีตาร์สุดท้ายจางหายไป เสียงปรบมือก็ดังขึ้นอีกครั้ง

พริมายิ้มรับจนเสียงปรบมือเริ่มจางหาย ก่อนจะเริ่มร้องเพลงสบายๆ อีกสองสามเพลง คอที่เจ็บตั้งแต่ตอนเย็นเริ่มแสดงอาการอีกครั้ง น้ำอุ่นช่วงระหว่างพักคงไม่สามารถระงับอาการได้อีกแล้ว

หญิงสาวพยายามกลั้นเสียงไอเอาไว้อย่างสุดความสามารถ แต่เมื่อไม่สามารถกลั้นได้ ช่วงที่พูดๆ อยู่เธอจึงเบี่ยงหน้าหลบไมค์โครโฟนก่อนจะไอออกมาอย่างสุดกลั้น เสียงที่ลอดมือที่ปิดปากแน่นหลุดเข้าไมค์โครโฟนกังวานแผ่วไปทั่ว ก่อนที่ร่างโปร่งบางจะหันเข้าหาไมค์โครโฟนอีกครั้งพร้อมกับพูดอย่างอารมณ์ดี

“ว้า...พริมไอเสียแล้ว แต่ก็ได้เวลาอำลากันแล้วล่ะค่ะ ยังไงทุกๆ คนก็ต้องรักษาสุขภาพตัวเองให้ดีนะคะ เดี๋ยวจะป่วยเหมือนพริม ตอนนี้พริมขอลาไปก่อน สวัสดีค่ะ"

หญิงสาวผละจากไมค์โครโฟน ก่อนจะหันไปส่งสัญญาณกับปาล หนุ่มรุ่นน้องกระวีกระวาดเก็บของเร็วขึ้น ก่อนที่เธอจะก้าวลงจากเวทีซึ่งเป็นยกพื้นธรรมดาไม่สูงมากนัก เสียงอ้อแอ้ของลูกค้าที่พยายามเลี่ยงมาตั้งแต่หัวค่ำก็ดังขึ้น

“น้องพริม น้องพริมจากลับแล้วเหรอครับ ให้พี่ต่อไปส่งม้ายครับ”

พริมาเหลือบมองคนเมาที่อาสาไปส่งก่อนสั่นศีรษะปฏิเสธด้วยท่าทางสุภาพ หากคนเมาก็คือคนเมาที่ย่อมพูดไม่รู้เรื่อง เสียงชายหนุ่มจึงเพิ่มระดับขึ้นด้วยความไม่พอใจที่นักร้องสาวที่หมายตาไว้ปฏิเสธตนเอง

ปาลรีบมากั้นกลางระหว่างคนเมากับรุ่นพี่สาว หากไม่สามารถห้ามปากของฝ่ายเมาได้

“โอ้ย! อย่ามาเล่นตัวหน่อยเลย มาร้องเพลงอย่างนี้ มันก็ไปต่อกับใครที่ไหนได้อยู่แล้ว ไปต่อกับพี่ต่อดีกว่าน่า”

คนถูกว่าไปกับใครก็ได้หน้าตึง อยากตอกกลับให้เจ็บ แต่เมื่อคิดถึงผลดีผลเสียแล้ว และเห็นว่าอีกฝ่ายคงไม่รู้สึกรู้สาอะไรแน่จึงเลือกที่จะเงียบและเดินออกไปจากเวทีดีกว่า

หากไม่ทันที่หญิงสาวจะขยับตัว ชายคนนั้นก็ผลักปาลจนเซ ก่อนจะกราดไปจับแขนหญิงสาวเป็นพัลวัน พริมาถอยกรูด เกือบใช้หมัดซัดเข้าให้ถ้าไม่มีใครบางคนถลาเข้ามาแยกเธอและชายคนนั้นออกจากกัน

“เฮ้ย! มึงเป็นใคร มายุ่งอะไรด้วย!” คนเมาตวาดก้อง หากพริมาอุทานเบาๆ อย่างดีใจ

“พี่กฤษณ์”

“ไม่ต้องกลัวนะพริม” ผู้หมวดหนุ่มหันมาปลอบขวัญหญิงสาว โดยไม่ทันได้ดูให้ชัดว่าพริมาอยู่ในสภาพเสียขวัญหรือเปล่า ก่อนจะหันไปเอ่ยกับอีกฝ่ายด้วยสีหน้าแข็งกร้าว “ผมเป็นตำรวจ ถ้าอยากมีเรื่องก็เอาเลย ผมจะได้จับคุณข้อหาก่อความไม่สงบ ทะเลาะวิวาทไปเลย”
สีหน้าผู้หมวดหนุ่มขึงขังเสียจนแม้อีกฝ่ายที่ไม่แน่ใจว่าชายหนุ่มเป็นตำรวจจึงหรือเปล่าอึ้งงัน เมื่อเห็นว่ายังไม่เชื่อกฤษณะจึงหยิบบัตรประจำตัวขึ้นมาชูให้เห็นชัดๆ ไม่ทันที่จะทำอะไรต่อ เจ้าของร้านก็พาคนมาช่วยแยกคนเมาออกไปเสีย

พริมาถอนหายใจโล่งอก ก่อนยิ้มน้อยๆ ให้กับผู้หมวดหนุ่ม “ขอบคุณค่ะพี่กฤษณ์ บังเอิญจริงนะคะที่พี่มาที่ร้านนี้ เลยช่วยพริมได้พอดีเลย”

กฤษณะหลบสายตาจดจ้องของอีกฝ่าย แน่ใจเหลือเกินว่าทั้งเขาและเธอก็รู้พอๆ กันนั่นล่ะ ว่าการที่เขามาช่วยเธอทันเวลาไม่ใช่เหตุบังเอิญ...

ชายหนุ่มยิ้มหยันกับตัวเอง

...สงสัยเขาเป็นพวกมาโซคิสม์ เสียล่ะมั้ง รู้อยู่เต็มอกว่าเธอไม่รัก แล้วยังจะมาให้ตอกย้ำตัวเองอีก...

“พริมจะกลับรึยัง?” ผู้หมวดหนุ่มเลี่ยงไปเสียอีกเรื่อง “เอารถมาเองไหม ถ้าไม่...ให้พี่ไปส่งนะ”

หญิงสาวขยับตั้งท่าจะปฏิเสธ แต่ปาลที่คำนวณแล้วว่าประเดี๋ยวเขาคงต้องเข้าไปเคลียร์เรื่องที่เกิดขึ้นกับเจ้าของร้านพูดออกมาก่อนว่า

“พี่พริมกลับกับคุณตำรวจได้ไหมครับ ผมคงอยู่อีกนาน พี่ก็ไม่ค่อยสบาย กลับไปพักผ่อนเร็วๆ ดีกว่านะ”

พริมาเม้มริมฝีปากน้อยๆ ในใจฉุนโกรธคนพูดขึ้นมาหน่อยๆ หากก็เข้าใจเหตุผลของหนุ่มรุ่นน้องอีกเช่นกัน

สุดท้ายหญิงสาวจึงถอนหายใจ ก่อนยิ้มให้ผู้หมวดหนุ่มเมื่อพูด “ok ค่ะ พริมจะกลับกับพี่ละกัน รบกวนด้วยนะคะ”

จู่ๆ ความรู้สึกสังหรณ์อะไรบางอย่าง...อาจจะเป็นสัญชาตญาณระแวดระวังทำให้หญิงสาวขมวดคิ้ว รู้สึกเหมือนใจสั่นไปครู่หนึ่งด้วยความตระหนก คล้ายมีใครบางคนกำลังเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันกับเธออยู่อย่างนั้น หากความต้องการอยากกลับถึงที่พักเร็วๆ ทำให้หญิงสาวปัดความรู้สึกหวั่นหวาดออกจากใจเสีย ก้าวตามนายตำรวจหนุ่มออกไปจากร้านอย่างรวดเร็ว




พอรถของกฤษณะแล่นจากไป พริมาจึงถอนหายใจยาวอีกครั้ง

จากร้าน ผู้หมวดหนุ่มพาเธอไปทานข้าวต้มอุ่นๆ โดยให้เหตุผลว่าเธอไม่สบาย ควรหาอะไรรองท้องก่อนค่อยกลับไปกินยาที่ห้องพัก มิไยที่หญิงสาวจะบอกว่าค่อยต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเอาก็ได้ แต่กฤษณะก็ไม่ยินยอม

ฤทธิ์ความไม่สบายประกอบกับความง่วงงุนทำให้หญิงสาวไม่ทันสังเกตสิ่งผิดปกติใดๆ พริมามุ่งมั่นเพียงแต่การเดินให้ถึงห้องตนเองก่อนจะไปหยิบยาซักเม็ดมากินแล้วนอนให้เต็มอิ่ม หากเมื่อเปิดประตู กดสวิตซ์เปิดไฟให้สว่างไปทั้งห้อง พริมาถึงได้เรียนรู้ว่าควรจะเชื่อสัญชาตญาณของตัวเองเอาไว้บ้าง

“ว่าไง...ไปไหนมาถึงกลับดึกเอาป่านนี้?”

ผู้ชายที่นั่งหน้าขรึมอยู่ในความมืด รอเธอกลับมาจากข้างนอกเอ่ยถามเสียงเย็น...น้ำเสียงที่นานๆ ครั้งเขาจะใช้เสียที และไม่เคยนำมาใช้กับเธอเลยแม้แต่ครั้งเดียว และนั่นทำให้หญิงสาวรู้ด้วยความรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ...


ภูธเรศกำลังโกรธ...


........................................

มาชดเชยหลังจากที่หายไปนานมากกกกกกกกก...ค่ะ ^_^

ยังจะมีใครจำเค้าได้อยู่มั้ยน้อ...



ปณัชญา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 ส.ค. 2556, 14:43:15 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 ส.ค. 2556, 14:43:15 น.

จำนวนการเข้าชม : 2514





<< บทที่ 9: ความอ่อนแอ   ความเจ็บปวด [100%] >>
Jiab 13 ส.ค. 2556, 14:50:13 น.
จำได้ค่ะ รอภิรมย์รักอยู่นะคะ


lovemuay 13 ส.ค. 2556, 15:29:34 น.
จำได้ค่ะ คิดถึงคุณหมอปากแข็งคนนี้มากเลยค่ะ


ukkanirut 14 ส.ค. 2556, 16:07:39 น.
หายไปนานคนอ่านใจจะขาดนะคะ ^^
เอ็นดูพริม งานเข้าได้ตลอดเว

ปล. ชอบคำบรรยายความคิดของหมอภูเรื่องความสัมพันธ์"เราสามคน" มันทำให้รู้สึกว่า พระเอกก็ไม่ได้อภิสิทธิ์ใดๆที่จะกลายเป็นคนถูก เมื่อตัวเองก็ยังแอบนอกใจแฟน ^^


Pat 16 ส.ค. 2556, 05:55:05 น.
ยังต่อติดอยู่ค่า


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account