สนิมดอกรัก (ตีพิมพ์แล้ว - สนพ.อรุณ)
แพรวเพชร สิริณธรณ์ ไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
เมื่อเผ่าภาคินที่เธอเข้าใจว่าเสียชีวิตไปแล้วเกือบสี่ปี
จู่ๆจะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
แถมยังมาในมาดมหาเศรษฐีหนุ่มรูปหล่อ ร่ำรวย
และโหดเหี้ยมเหมือนในนิยายเป๊ะ!
.
.
.
.
“เชิญกรอกข้อมูลส่วนตัวก่อนนะคะ เดี๋ยวดิฉันจะแนะนำรายละเอียดและขอบเขตการให้บริการให้ฟัง อ้อ...ต้องให้ดิฉันแจ้งค่าใช้จ่ายให้ทราบคร่าวๆก่อนไหมคะ เพราะค่าบริการของเราไม่แพงก็จริง แต่สำหรับคนกำลังเก็บเงินแต่งงาน มันก็...เป็นจำนวนเงินไม่น้อยเลย”

“ดูเหมือนว่าเงินจะเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตคุณเสมอเลยนะ คุณแพรวเพชร” เผ่าภาคินหยัน

“พูดอย่างกับว่ามันไม่สำคัญสำหรับคุณงั้นแหละ” หญิงสาวบิดริมฝีปากนิดๆอย่างดูถูก จากนั้นเดินไปยังโต๊ะที่วางชิดผนัง ดึงเอกสารแผ่นหนึ่งจากแท่นใสทรงกระบอกถือมากางตรงหน้าชายหนุ่ม พลางอธิบายด้วยท่าทีเหมือนทองไม่รู้ร้อน ไม่สนใจแม้จะเห็นว่าสายตาที่จ้องเธอแทบจะแผดเผาลุกเป็นไฟ

“นี่ค่ะ อัตราค่าสมัครแรกเข้าสำหรับลงทะเบียนเป็นสมาชิกของคิวปิดฯ ส่วนคอร์สที่คุณจะเข้าใช้บริการแยกคิดเป็นรายครั้ง เรามีรายการให้คุณเลือกเยอะค่ะ ทั้งดำน้ำ วาดรูป อบรมบุคลิกภาพ เที่ยวพิพิธภัณฑ์ ทำบุญไหว้พระ ทำขนม อ้อ...แต่สุดท้ายนี่ฉันไม่แนะนำนะคะ เพราะคุณคงไม่อยากให้ครูคนนั้นรู้ว่ามาสมัครเป็นลูกค้าที่นี่”

“แล้วมีคอร์สสับรางไม่ให้รถไฟชนกันบ้างไหม หรือไม่ก็พวก...วิธีซ่อนชู้ ซ่อนกิ๊กอะไรแบบนี้น่ะ ผมสนใจเป็นพิเศษ และถ้าให้แนะนำ ผมว่าคุณน่ะเหมาะจะเป็นวิทยากรมาก ใช้ประสบการณ์ตรงมาสอนก็ได้ คงมีคนอยากเรียนกันเยอะแยะ”

แพรวเพชรหัวเราะขัน “แปลกนะคะ คุณพูดเองแท้ๆว่าฉันไม่ได้มีเกียรติ มีเสน่ห์ หรือว่ามีค่าพอให้คุณเสียดมเสียดายอะไรแล้ว แต่ไอ้ที่คุณพูดๆมาเนี่ย เหมือนว่า...คุณจะจำเรื่องราวเกี่ยวกับตัวฉันได้แม่นยำจังเลย”

หญิงสาวดักคอและลอยหน้าเอ่ยประโยคต่อไปว่า “เอ...หรือว่าอันที่จริงแล้วคุณไม่ได้คิดอย่างที่พูด แต่กำลังเรียกร้องความสนใจจากฉัน หรือบางทีไอ้ที่บอกว่าจะแต่งงานกับคุณนวลนรีนั่นก็เป็นแค่การโกหก แกล้งทำเป็นโชว์ออฟ เพียงเพราะอยากให้ฉันรู้สึกรู้สาไปด้วยเท่านั้นเอง ประชด...อะไรทำนองนั้นน่ะเหรอคะ”

ปฏิกิริยาที่ไม่ได้คาดไว้ล่วงหน้าทำให้เผ่าภาคินค้นหาคำตอบโต้ไม่พบแม้แต่คำเดียว

แพรวเพชรแต้มยิ้มทำสีหน้าสมเพช จากนั้นก้าวเข้ามาใกล้ เอื้อมมือแตะแก้มอีกฝ่ายแผ่วเบาหยอกเย้า “โถ...น่ารักจริง แต่ขอโทษด้วยที่ต้องทำให้ผิดหวัง ฉันแต่งงานแล้ว และก็ไม่เคยคิดนอกใจสามี เพราะเขาเป็นคนดีมาก ยิ่งเขาดีเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งนึกเสียดายที่เคยไปเกลือกกลั้วกับของสกปรกมาก่อน โชคดีที่เขาไม่ถือสาอดีตของฉัน ไม่เช่นนั้นฉันคงไม่ได้เป็นผู้หญิงโชคดีอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้”

ประโยคสุดท้ายทิ่มแทงหัวใจคนฟังจนแทบทนไม่ไหว และเพียงเสี้ยววินาทีที่เผ่าภาคินปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือความควบคุม อุ้งมือแข็งแรงก็ตวัดคว้าต้นแขนหญิงสาวพร้อมทั้งบีบรุนแรง กระแสบางอย่างที่แล่นปราดผ่านปลายนิ้วทำให้ชายหนุ่มเกือบจะปล่อยมือ แต่เขาก็ฝืนกำมือแน่น เค้นเสียงลอดไรฟันเอ่ยคำถัดมา

“ใช่ ฉันมันเลว ชั่ว แต่ก็สมกันดีแล้วไม่ใช่เหรอ ผู้ชายสกปรกกับผู้หญิงที่น่าขยะแขยงน่ะ แพรวเพชรคนอ่อนโยนไร้เดียงสาที่ฉันเคยรู้จัก มาวันนี้กลับกลายเป็นผู้หญิงกร้านโลก หลายใจ น่ารังเกียจไปแล้ว ทุเรศที่สุด”

“ในเมื่อพี่เผ่าคนที่ฉันเคยรู้จักตายไปแล้ว แพรวเพชรคนที่คุณเคยรู้จักก็สมควรจะตายไปได้แล้วเหมือนกัน ถือว่าเราเสมอกันไงคะ” หญิงสาวยิ้มกว้างอย่างสะใจ

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

เนื้อหาทั้งหมดที่ปรากฎบนหน้าเพจนี้สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พุทธศักราช ๒๕๓๗ ห้ามมิให้ทำการคัดลอก ดัดแปลง หรือแก้ไข บทความเพื่อนำไปใช้ก่อนได้รับการอนุญาต

หากฝ่าฝืน สิริณ จะดำเนินการทางกฎหมายทั้งจำและปรับ โดยไม่มีการประนีประนอมใดๆทั้งสิ้น

ผู้ใดชี้เบาะแสการคัดลอก สิริณ มีรางวัลนำจับให้ด้วยนะคะ ^^
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ ๙

เพียงกลับมาถึงสำนักงานแพรวเพชรก็ต้องแปลกใจ เมื่อพบถุงกระดาษสีน้ำตาลมีลวดลายคล้ายกระเป๋าแบรนด์เนมยี่ห้อดังวางอยู่บนโต๊ะทำงาน ไม่มีบัตรข้อความแนบอยู่ คล้ายว่าจู่ๆมันก็โผล่ขึ้นมาโดยไร้ที่มาที่ไป ครั้นเปิดดูในถุง จึงพบห่อผ้าสีเหลืองอ่อนพิมพ์อักษรเป็นชื่อกระเป๋าเจ้าดังดังคาด

รอยยิ้มแต้มบนใบหน้าทันที ขณะเดาว่านราธิปคงตั้งใจจะทำให้เธอประหลาดใจ จึงไม่เคยเอ่ยถึง ‘ของขวัญ’ พิเศษชิ้นนี้เลยตลอดช่วงเช้าที่อยู่ด้วยกัน

หญิงสาวคลายเชือกมัดปากถุงผ้า ดึงของข้างในออกมาด้วยความตื่นเต้น ดวงตาคู่งามเบิกกว้างเมื่อเห็นกระเป๋าหนังสีน้ำตาลทรงสี่เหลี่ยมคางหมูขนาดกลาง พิมพ์ลวดลายตัวอักษรสลับดอกไม้และรูปเรขาคณิตเล็กๆ

“หลุยส์ วิตตอง!” แพรวเพชรยิ้มกว้างไม่เก็บกิริยาปลาบปลื้ม กระเป๋าแบรนด์เนมใบละหลายแสนที่แม่สามีหิ้วมาฝากจากยุโรปไร้ความหมายไปเลยเมื่อเทียบกับของในมือ ไม่ใช่แค่เพราะเป็นของที่สามีซื้อให้เท่านั้น แต่เพราะมันคือกระเป๋ายี่ห้อดังที่เธอใฝ่ฝันถึงตั้งแต่ตอนยังเป็นเด็กสาว

หญิงสาวสำรวจภายในและด้านนอกกระเป๋าด้วยความชื่นชม จับสายขึ้นมาทดลองหิ้วและสะพายด้วยท่าทีชื่นมื่นยินดี เธอหยิบกระเป๋าหนังสีฟ้าอ่อนยี่ห้อหรูที่ใช้ติดตัวทุกวันมาวางบนโต๊ะ ความเห่อทำให้ตัดสินใจถ่ายของใช้ส่วนตัวใส่กระเป๋าใบใหม่โดยไม่หยุดคิดสักวินาที

หลังจากสะพายกระเป๋าหมุนซ้ายขวา พิศดูเงาสะท้อนจากผนังกระจกฟากหนึ่งของห้องทำงาน แม้จะไม่ใช่กระจกเงา เห็นแค่รางๆ ก็นำความพออกพอใจมาสู่เจ้าตัวยิ่งยวด

ในที่สุดแพรวเพชรก็เก็บความปลาบปลื้มไว้คนเดียวไม่ไหว จึงสะพายกระเป๋าออกจากห้องไปเคาะประตูห้องอิงอรุณ แล้วผลักเข้าไปทันที ผู้บุกรุกหมุนตัวไปมาอวดกระเป๋าด้วยอาการเหมือนเด็กได้ของเล่นใหม่ เป็นผลให้หุ้นส่วนเขม้นตามองด้วยอาการแปลกใจ

“ต๊าย! ซื้อกระเป๋าใหม่หรือเพชร หลุยส์เลยเหรอยะนี่ อย่าบอกนะว่าที่หนีงานเมื่อเช้าเพราะแอบไปซื้อกระเป๋าใบนี้มาน่ะ” อิงอรุณลุกขึ้นมายืนหน้าโต๊ะ จับตัวเพื่อนหมุนไปมา พินิจกระเป๋าด้วยความชื่นชมไม่แพ้กัน

“เปล่าซะหน่อย นี่พี่นราส่งมาให้เราเป็นของขวัญเซอร์ไพรส์ต่างหาก”

“พี่นราเนี่ยนะ! นี่พี่ชายอิงบังอาจขัดใจแม่หรือเนี่ย ใครๆก็รู้ว่าแม่ชอบให้เพชรหิ้วชาแนลกับพราด้ามากกว่า”

“ก็นั่นน่ะสิ สงสัยพี่นราจะยอมใจอ่อนแล้วมั้ง”

อิงอรุณส่ายหน้า “บางทีอิงก็ไม่ค่อยเข้าใจความคิดแม่เหมือนกันนะ กะอีแค่กระเป๋าสะพาย จะต้องแบกพระยศพระเกียรติของนามสกุลอะไรกันขนาดนั้นก็ไม่รู้ เป็นสะใภ้บ้านเทียมสุบรรณนี่ยากกว่าที่ใครคิดเนอะ”

“คงไม่ยากเท่าเป็นลูกสาวหรอก” แพรวเพชรลอยหน้าค้าน “ดีแค่ไหนแล้วที่คุณแม่ยอมให้เพชรใช้พราด้าได้บ้าง นี่ถ้าท่านบังคับให้เพชรหิ้วแอร์เมสเหมือนท่าน เพชรตายแน่” คนพูดทำหน้าสยองเมื่อเอ่ยถึงกระเป๋ายี่ห้อดังที่ซื้อขายกันในราคาหกหลักขึ้นไป แถมยังต้องเข้าคิวสั่งซื้อแล้วรอรับของอีกเป็นปีๆด้วย กระเป๋า...ยี่ห้อเดียวที่อิงอรุณมีสิทธิ์หิ้ว นอกจากนั้น...หมดหวัง!

“ทำไงได้ล่ะ เพื่อนฝูงคุณแม่มีแต่ไฮโซ ขืนปล่อยให้เพชรหิ้วแอลวีใบละสองหมื่น คงมีคนแอบเอาไปนินทาลับหลังว่าแม่งกกับลูกสะใภ้แน่นอน” อิงอรุณยักไหล่ บ่นอย่างไม่จริงจังนัก

แพรวเพชรโบกมือ “จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม สรุปคือพี่นราอุตส่าห์ยอมขัดใจคุณแม่ซื้อกระเป๋าหลุยส์ให้เพชร พี่นรานี่น่ารักที่สุดเลยแฮะ”

“งั้น ‘คืนนี้’ หล่อนก็ขอบคุณพี่ชายฉันซะให้สุดฤทธิ์สุดเดช ให้ ‘ฟ้าเหลือง’ กันไปข้างเลยดีมะ” คนพูดเน้นเสียงที่บางคำพลางทำสีหน้ามีเลศนัย

“บ้า! อิงนี่ชักจะทะลึ่งใหญ่แล้วนะ” แพรวเพชรฟาดเพียะที่แขนเพื่อนทันควัน นึกดีใจที่อีกฝ่ายเอี้ยวตัวหลบเป็นพัลวัน จนไม่น่าจะสังเกตเห็นพิรุธบนใบหน้าเธอ ว่ากำลังพยายามซ่อนความลับบางอย่างเอาไว้!

“อะไรยะ อิงยังไม่ได้ทะลึ่งตรงไหนเลยสักนิด เพชรนั่นแหละคิดลึกไปเองแท้ๆ” จำเลยบ่นกระปอดกระแปด ลูบแขนป้อยๆ ทว่าใบหน้ายิ้มชื่นเป็นตรงข้าม

สองสาวหัวเราะขันความเยอะของกันและกันยังไม่ทันอิ่ม เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น อิงอรุณเอี้ยวตัวกลับไปกดรับสายด้วยการเปิดลำโพง

“คุณอิงคะ มีแขกมาขอพบคุณอิง แจ้งว่าชื่อคุณนวลนรีค่ะ”

“คุณนวลเหรอ...เชิญไปที่ห้องรับรองก่อน เดี๋ยวฉันออกไป” เจ้าของห้องกดตัดสายแล้วหันมามองเพื่อนด้วยสีหน้างงๆ “คุณนวลมาทำไมไม่รู้ ไม่ได้นัดไว้ล่วงหน้าด้วย ที่เจอกันเมื่อตอนสายก็ไม่เห็นพูดอะไร”

“คงมีธุระด่วนมั้ง” แพรวเพชรช่วยคิด

“ไม่รู้สิ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ไปทักคุณนวลหน่อยดีไหม”

“อืม...เอาสิ” แพรวเพชรปลดกระเป๋าออกจากบ่า เปลี่ยนมาถือติดมือไว้ ขณะเดินเคียงข้างเพื่อนตรงไปยังห้องประชุมที่คู่ค้าคนใหม่คอยอยู่

ตอนที่สองสาวผลักประตูกระจกฝ้าเข้าไปในห้อง นวลนรีซึ่งนั่งประจำอยู่ที่โต๊ะกลมกำลังพลิกแฟ้มความสำเร็จของบริษัทดูด้วยท่าทีสนใจ ก็เงยหน้าขึ้นส่งยิ้มมาให้ทันที “คุณอิง อ้าว...คุณเพชร สวัสดีค่ะ”

หญิงสาวทั้งสามทักทายกันเรียบร้อยแล้ว นวลนรีจึงเข้าเรื่องโดยไม่รอช้า

“หลังจากคุณอิงกลับมาแล้ว นวลถึงเห็นว่าคุณอิงลืมสมุดบันทึกไว้ที่ร้านน่ะค่ะ ครั้นจะให้คนส่งเอกสารวิ่งเอามาให้ก็กลัวหาย เพราะข้างในมีเช็คเงินสดหลายใบ นวลกำลังจะขับรถเอามาให้ ก็พอดี...คนนี้เขาแวะไปที่ร้าน เลยอาสาพามาคืนให้คุณอิงนี่ละค่ะ” หญิงสาวบุ้ยใบ้ไปยังมุมซึ่งทุกคนมองผ่านไปตอนเดินเข้ามาครั้งแรก

อิงอรุณและแพรวเพชรมองตามสายตาของผู้เป็นแขก จึงได้เห็นว่าที่ด้านหนึ่งของห้อง ผู้ชายตัวสูงคนหนึ่งยืนพิงโต๊ะ ปล่อยขาสบายๆ กำลังมองมายังเจ้าของสถานที่ บนใบหน้าเขาแต้มด้วยรอยยิ้มแจ่มใส...

“สวัสดีครับคุณอิงอรุณ คุณแพรวเพชร” เผ่าภาคินก้มศีรษะนิดๆให้เจ้าถิ่น แต่แล้วรอยยิ้มบนใบหน้าก็ขยายกว้างขึ้นเมื่อชี้มายังแพรวเพชร “คุณแพรวเพชรกำลังจะออกไปข้างนอกหรือครับ ผมกับนวลมารบกวนเวลาหรือเปล่า”

“ไม่ใช่หรอกค่ะ พอดี...” แพรวเพชรหัวหมุนจี๋ กำลังคิดหาข้ออ้างมาอธิบายถึงกระเป๋าที่เธอหิ้วอยู่

“ยายเพชรเขาเห่อน่ะค่ะ สามีส่งของขวัญมาเซอร์ไพรส์” อิงอรุณชิงตอบให้ก่อน

“โรแมนติกจัง ขนาดแต่งงานกันมาตั้งหลายปีแล้วก็ยังให้ของขวัญกันอยู่เสมอ” เผ่าภาคินเอ่ยลอยๆ

แพรวเพชรพยายามมองหาร่องรอยประชดประชันจากน้ำเสียงและสีหน้าคนพูด ก็ไม่พบสิ่งใดผิดปกติสักนิด รอยยิ้มของเขาดูจริงใจ...อย่างไม่น่าเชื่อ

“คุณเผ่าภาคินจะเอาไปทำบ้าง พี่ชายอิงก็ไม่สงวนลิขสิทธิ์ รับประกันได้ว่า หลุยส์ วิตตอง เป็นของขวัญเซอร์ไพรส์ที่ผู้หญิงทุกคนจะต้องชอบแน่นอน ใช่ไหมคะคุณนวล” ตอนท้ายอิงอรุณหันไปเย้านวลนรีซึ่งส่งยิ้มแกนๆคืนมา

“บังเอิญว่าผมไม่ชอบให้ของแบบที่ใครๆให้กัน ผมอยากให้อะไรที่คนรับชอบมากกว่า”

“แล้วอย่างคุณนวลนี่ต้องให้อะไรหรือคะถึงจะถูกใจ” อิงอรุณทำน้ำเสียงไม่เชื่อถือ

“อิง...เสียมารยาทน่า อย่าละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของคุณนวลแบบนี้สิ” แพรวเพชรรีบสะกิดเพื่อน ไม่กล้าถามตัวเองเหมือนกันว่า ที่ทำอย่างนั้นเพราะไม่อยากได้ยินคำพูดแสดงความสนิทสนมระหว่างเผ่าภาคินกับนวลนรี หรือเพราะเหตุผลอื่น

“ไม่เป็นไรค่ะคุณอิง คุณเพชร นวลก็อยากรู้เหมือนกันว่าพี่เผ่าเข้าใจนวลแค่ไหน” นวลนรีเอ่ยคล้ายล้อเลียน ไม่จริงจังนัก แต่คนช่างสังเกตอย่างแพรวเพชรกลับรู้สึกถึงร่องรอยคาดหวังบางเบาที่ตกหล่นอยู่ในน้ำเสียงนั้น

“นวลพูดอย่างนี้ พี่กดดันเลยนะเนี่ย” เผ่าภาคินทำหน้าแหย ก่อนมองปราดไปสบตากับแพรวเพชรอย่างรวดเร็วแวบหนึ่ง “อืม...นวลก็คงจะชอบพิมพ์กดคุกกี้ลายเก๋ๆสักเซ็ต ผ้ากันเปื้อนติดลูกไม้ฝรั่งเศส หรือไม่ก็...ชีสเค้กจากร้านฮาร์ปส์ที่โตเกียวละมั้ง ว่าไง...พี่เดาได้ใกล้เคียงไหมจ๊ะ” ตอนท้ายเขาเอ่ยถึงร้านกาแฟและขนมหวานชื่อดัง ซึ่งมีสาขาอยู่ตามหัวเมืองใหญ่ทั่วทุกภาคในญี่ปุ่น

“ตายแล้ว นี่นวลดูเป็นคนตะกละขนาดนั้นเลยเหรอคะ” นวลนรีกลั้นยิ้ม “แต่ก็เดาถูกจริงๆนะคะ เค้กร้านฮาร์ปส์นี่ กินยังไงก็ไม่เบื่อ ไปญี่ปุ่นทุกครั้งต้องไปกิน หรือใครจะไปญี่ปุ่นก็ต้องขอให้หิ้วมาฝากทุกที”

เผ่าภาคินส่งยิ้มให้หญิงสาวและเผื่อแผ่มายังผู้ชมอีกสองคนด้วย “แปลว่าทฤษฎีของคุณอิงผิดนะครับ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะอยากได้หลุยส์ วิตตอง สักหน่อย”

“แน้...นวลชอบเค้กน่ะใช่ แต่ถ้าได้หลุยส์ นวลก็ชอบเหมือนกันนะคะ” นวลนรีท้วง ทำสีหน้าล้อเลียน

“ดูท่าว่าผมจะต้องซื้อหลุยส์อีกใบแล้วสินะ งั้นเดี๋ยวออกจากที่นี่แล้วไปเลือกกันเลยดีไหม” ชายหนุ่มเย้าคนข้างกายด้วยรอยยิ้ม จากนั้นหันมาชี้กระเป๋าของแพรวเพชรอย่างกล่าวหา “ที่ผมต้องเจียดเงินกินข้าวมาซื้อกระเป๋าให้นวล เป็นเพราะ ‘สามี’ คุณแท้ๆเลยนะเนี่ย”

แพรวเพชรอึ้งไปชั่วขณะ แต่แล้วก็นึกคำตอบโต้ได้ทันท่วงที “ของขวัญก็เป็นแค่ส่วนประกอบนึงของความสัมพันธ์เท่านั้นเองค่ะ ดิฉันเชื่อว่าในท้ายที่สุดแล้ว ผู้หญิงเราไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าความรักและ ‘ความซื่อสัตย์’ จากคนของเราหรอก”

“ในเมื่อกูรูด้านความสัมพันธ์อุตส่าห์ย้ำขนาดนี้ ผมคงต้องยึดคำแนะนำของคุณเพชรไว้เป็นสรณะเลยนะเนี่ย เอ...นี่แปลว่าถ้าผมมีความรัก ความซื่อสัตย์ และกระเป๋าหลุยส์ วิตตอง ตามเทศกาลให้ผู้หญิงของผมแค่นี้...ผมก็จะไม่ต้องถูกทิ้ง ไม่ต้องอกหักแล้วใช่ไหมครับ”

“คุณเผ่าภาคินคงต้องปรึกษาคุณนวลนรีแล้วละค่ะ เพราะว่าผู้หญิงแต่ละคนมีความต้องการไม่เท่ากัน ที่ดิฉันพูดเมื่อกี้เป็นแค่พื้นฐานสำคัญสำหรับดิฉันเพียงคนเดียวเท่านั้นเอง”

“ดีนะเนี่ยที่คุณเพชรไม่เติมปัจจัยเรื่องเงินเข้ามาอีกข้อ ไม่งั้นคงไม่มีผู้หญิงคนไหนแลผมแน่ๆเลย”

ทั้งที่เขาอุตส่าห์พูดดีจนเธอแปลกใจมาได้เกือบจะตลอดรอดฝั่งแล้วเชียว ในที่สุดชายหนุ่มก็อดปากประชดเธอไม่ได้อยู่ดี แพรวเพชรเม้มปากเป็นเส้นตรงขณะใบหน้าเชิดขึ้นอย่างถือดี

“ไม่ต้องประกาศให้โจ่งแจ้งหรอกค่ะ ถึงมันจะเป็นความจริง ก็ไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากจะยอมรับออกมาดังๆหรอกว่าชอบคนรวย อันที่จริงการที่คุณสามารถซื้อหลุยส์ วิตตอง ตามเทศกาลส่งให้ฝ่ายหญิงได้ นั่นก็เป็นการอธิบายเป็นนัยอยู่แล้วว่าเงินไม่ใช่ปัญหาของคุณ” แพรวเพชรยกกระเป๋าในมือขึ้นอวดนิดๆ “ของขวัญราคาแพงแบบนี้ เป็นวิธีที่ผู้หญิงบางคนใช้ประเมินฐานะของผู้ชายไงคะ แยบยลแล้วก็ไม่โฉ่งฉ่างจนไก่ตื่นด้วย”

“เพชร!”

“คุณเพชร!” ผู้หญิงอีกสองคนอุทานขึ้นแทบจะพร้อมกัน
คนถูกเรียกไม่สะทกสะท้าน หันมาส่งยิ้มให้สองสาว เอ่ยต่ออย่างไม่รู้ไม่ชี้ “คุณเผ่าภาคินคงเคยมีประสบการณ์เลวร้ายในเรื่องความรักมาก่อน ก็เลยหวาดระแวงว่าเรื่องราวแบบเก่าจะเกิดขึ้นซ้ำรอย ผู้หญิงไม่เหมือนกันทุกคนหรอกค่ะ อย่าเอาคนคนหนึ่งไปวัดวางคนอีกคนหนึ่งเลย คุณไม่มีทางจะได้คำตอบเหมือนกันหรอก”

“แปลกนะ...ผมกลับไม่คิดอย่างนั้น บางครั้งมาตรฐานของสังคมก็หล่อหลอมให้คนกลายเป็นพวกวัตถุนิยมเหมือนๆกันไปหมด ที่เลือกให้ความสำคัญกับเงินเป็นอันดับแรกอยู่ดี” เผ่าภาคินย้อน

“เอ้อ...นวลชักจะรบกวนเวลางานของคุณเพชรและคุณอิงนานเกินไปแล้ว เดี๋ยวนวลกับพี่เผ่าขอตัวก่อนดีกว่าค่ะ” นวลนรีเห็นท่าไม่ดีจึงรีบตัดบท เมื่อผู้ชายข้างกายที่ปกติไม่ค่อยพูดค่อยจา จู่ๆเกิดอยากจะโต้คารมว่าด้วยเรื่องสังคมศึกษากับคู่ค้าของเธอเสียดื้อๆ นวลนรีรีบส่งสมุดบันทึกในมือให้อิงอรุณ “นี่ค่ะคุณอิง เช็กดูหน่อยนะคะว่าของข้างในยังอยู่ครบไหม เกิดนวลจิ๊กเช็คเงินสดไปใบหนึ่ง รวยไม่รู้เรื่องเลย”

อิงอรุณรับลูกด้วยการหัวเราะพลางรับสมุดไปถือไว้เฉยๆ “โอ๊ย! พูดอะไรอย่างนั้นคะ ถ้าคุณนวลจะจิ๊กเช็คไปแค่ใบเดียว สู้ยึดไว้ทั้งเล่มเลยดีกว่า ยังไงอิงต้องขอบคุณมากนะคะที่เสียเวลาแวะเอามาคืนให้ อิงสะเพร่าจริงๆเลย ดีนะเนี่ยที่ไปลืมไว้ที่ร้านคุณนวล ขืนเป็นที่อื่น คงต้องทำใจว่าหายและไม่ได้คืนแล้วแน่ๆเลย”

“นวลไม่ได้ทำอะไรมากมายขนาดนั้นหรอกค่ะ คุณอิงอย่าคิดมากเลย งั้นนวลไม่กวนแล้วนะคะ ขอตัวค่ะ” นวลนรีก้มศีรษะให้เจ้าของบริษัททั้งสอง เผ่าภาคินจึงกระทำดังนั้นตามด้วย

สองผู้ช่วยกามเทพมองตามจนแขกลับกายไปจากห้องรับรอง แล้วจึงทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ข้างตัวอย่างสิ้นแรง

“เพชรเอ๊ย! อยู่ดีไม่ว่าดี ดันไปเปิดประเด็นให้พี่เผ่าเหน็บเธอทำม้าย” อิงอรุณลากเสียงยาวไม่พอใจ

“ถึงไม่เปิดโอกาสให้ ถ้าเขาอยากเหน็บ ก็หาเรื่องวกมาแขวะเราจนได้น่ะแหละ เพราะงั้นชงให้เขาประชดสะดวกๆไปเลยดีกว่า จะได้ไม่ต้องมาเกร็งตัวรอรับศึกกันให้เหนื่อย จะด่าก็รีบด่าให้จบแล้วไปซะ” แพรวเพชรหยันพลางวางกระเป๋าลงบนโต๊ะ พยายามทำตัวให้สดชื่นกระปรี้กระเปร่าด้วยการรำพึง “อิงว่าเราโทร.ไปขอบคุณพี่นราเรื่องกระเป๋าก่อนดีไหม”

“เอาสิ” อิงอรุณยุส่งด้วยการเลื่อนโทรศัพท์มือถือไปตรงหน้าเพื่อน “เปิดเสียงออกลำโพงด้วยนะ อิงอยากรู้ว่าพี่ชายจะน้ำเน่าได้กว่านี้อีกหรือเปล่า”

แพรวเพชรขันน้องสามี แต่ก็ทำตามอย่างว่าง่าย เธอเปิดโปรแกรมในโทรศัพท์มือถือ เรียกเข้าไปยังเลขหมายของนราธิป เพียงชั่วครู่บนหน้าจอก็ปรากฎภาพของชายหนุ่มพร้อมกับเสียงทักทาย

“ว่ายังไงครับเพชร”

แพรวเพชรยิ้มกว้าง ถอยออกห่างจากโทรศัพท์เล็กน้อย หยิบกระเป๋ามาสะพาย เอี้ยวตัวอวดกับกล้องติดโทรศัพท์ “สวยไหมคะ”

“สวยจ้ะ อะไรที่อยู่กับเพชรก็สวยหมดแหละ”

“แหวะ จะอ้วก!” อิงอรุณโพล่งแทรก แพรวเพชรจึงหันโทรศัพท์ไปทางเพื่อน ให้สามีเห็นว่าต้นเสียงเป็นใคร

“อ้าว! ยายอิงก็อยู่ด้วยเหรอ แล้วนี่มาชุมนุมกันทำไม มีอะไรหรือเปล่า”

แพรวเพชรหมุนโทรศัพท์กลับมาที่ตนเอง “มีค่ะ เพชรจะขอบคุณพี่นราไงคะ สำหรับสิ่งนี้” เธอยกกระเป๋าขึ้นชูหน้ากล้องอีกครั้ง

“ขอบคุณพี่ทำไม” นราธิปขมวดคิ้วนิดๆ

“ก็ที่พี่นราส่งของขวัญมาให้เพชรไงคะ” คนรับของขวัญหัวเราะคิก ขันกับมุกไม่รู้ไม่ชี้ของสามี

เกิดความเงียบขึ้นในชั่วอึดใจ กว่านราธิปจะตะกุกตะกักเอ่ย “พี่ไม่ได้ส่งอะไรไปให้เพชร”

แพรวเพชรสบตาสามีผ่านกล้องโทรศัพท์ สมองวิ่งจี๋ ทว่าเธอกลับจนด้วยคำพูดหรือแม้แต่คำถามใดๆทั้งสิ้น

“คงเป็น...ของขวัญจาก ‘คนอื่น’ มากกว่า” น้ำเสียงนุ่มนวลเค้นออกมายากเย็น แพรวเพชรเห็นรอยเจ็บปวดในดวงตาคนพูดชัดเจน

“พี่นรา...” มือที่หิ้วกระเป๋าแกว่งไปมาเบาๆด้วยความผาสุกหล่นลงข้างลำตัวอย่างหมดแรง

“พอดีพี่มีประชุม ขอวางสายก่อนนะ” เขาตัดบท แต่คนที่รู้จักนราธิปดีย่อมอ่านออกว่านั่นคือข้ออ้างเท่านั้น

“เดี๋ยวค่ะพี่นรา...”

“ไว้คุยกันคืนนี้นะจ๊ะ” ชายหนุ่มกดปุ่มตัดการติดต่อทันที

โปรแกรมปิดไปแล้ว ภาพบนโทรศัพท์ตัดกลับไปเป็นรูปของสามคนพ่อแม่ลูกที่เธอตั้งเอาไว้บนหน้าจอ มีเพียงความเงียบที่ดังก้องกังวานอยู่ในห้อง แพรวเพชรซึ่งเพิ่งหายจากอาการตะลึงหันมาสบตาอิงอรุณ ขณะขนที่หลังคอลุกชันเมื่อเริ่มเดาบางสิ่งบางอย่างออก...

สี่ปีก่อนหน้านี้...วันที่มหาวิทยาลัยประกาศผลสอบวิชาสุดท้าย ซึ่งเป็นคล้ายคำประกาศล่วงหน้าว่าแพรวเพชรสอบผ่านและเก็บหน่วยกิตครบแล้ว เธอเรียนจบแล้ว!

หลังจากฉลองร่วมกับเพื่อนในคณะเรียบร้อย ค่ำนั้นเผ่าภาคินชวนเธอขึ้นรถไฟเดินทางสู่เมลเบิร์นเพื่อฉลองกันตามลำพัง เผ่าภาคินลางานเกือบหนึ่งสัปดาห์เพื่อพาเธอเที่ยวไปทั่วๆออสเตรเลียฝั่งตะวันออกไล่ลงไปถึงตอนใต้ แพรวเพชรมีความสุขที่สุดจนอยากจะหยุดเวลาเอาไว้แค่นั้น เธอไม่อยากกลับไปเผชิญหน้ากับโลกความเป็นจริง กลับไปซิดนีย์...เพื่อพบสายตาแสดงความผิดหวังในตัวเธอจากนราธิป

หญิงสาวรู้ว่าเวลาที่จะได้อยู่เคียงข้างคนรักเหลือสั้นลงทุกที เมื่อเรียนจบแม่ต้องเรียกเธอกลับบ้าน และที่นั่น...เธอจะต้องผูกพันกับผู้ชายแสนดีคนหนึ่งที่เธอไม่ได้รักด้วยการเข้าพิธีวิวาห์!

ค่ำคืนสุดท้ายในเมลเบิร์นนั่นเอง หลังรับประทานอาหารมื้อหรูที่เผ่าภาคินตั้งใจเลือก แพรวเพชรดื่มแชมเปญไปไม่น้อยจนตาเริ่มปรือ แก้มแดงก่ำ เมื่อแอลกอฮอล์อยู่ในเส้นเลือด เดรสกำมะหยี่เนื้อนุ่มก็เริ่มหนาเกินไปสำหรับอากาศเย็นสบายในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ ขณะรองเท้าส้นสูงทำให้เธอเดินแทบไม่ตรงทาง ได้แต่ตุปัดตุเป๋อยู่ในอ้อมกอดของคนข้างกาย

เมื่อมายืนหน้าตู้กระจกบานกว้างซึ่งภายในติดไฟสปอตไลต์สีส้มอมทองให้ฉาดฉายมายังกระเป๋าหนังสุดหรู แพรวเพชรก็ยืนแนบหน้าผากกับตู้ จ้องมองประกายโลหะสีทองวาวที่ติดอยู่บนกระเป๋าด้วยดวงตาฉายแววตื่นเต้น

‘สักวันนะ เพชรจะต้องเป็นเจ้าของกระเป๋าหลุยส์สักใบให้ได้เลย’ ดวงตาฉ่ำปรือเบิกกว้างขณะเหลียวมาสบสานกับคนข้างๆ บอกเล่าความฝันให้เขาฟัง

‘อดทนหน่อยนะเพชร ขอเวลาให้พี่สร้างเนื้อสร้างตัวอีกหน่อย แล้วอย่าว่าแต่กระเป๋าหลุยส์นี่เลย ไม่ว่าเพชรอยากได้อะไร พี่จะหามาให้เพชรเอง’

‘พี่เผ่าไม่หาว่าเพชรฟุ้งเฟ้อเหรอคะ’ หญิงสาวผละจากตู้กระจก กอดแขนเขาไว้แน่นขณะซบศีรษะกับบ่าแกร่งอย่างพึ่งพิง แกมด้วยอาการออดอ้อน

‘ผู้หญิงคนอื่นอยากได้หลุยส์เขาเรียกฟุ้งเฟ้อ แต่ถ้าผู้หญิงคนนั้นคือเพชร พี่ว่าน่ารัก’ เขางึมงำเอ่ยคำว่า ‘รัก’ ด้วยน้ำเสียงแหบต่ำ ย้ำความหมายว่าลึกซึ้งกว่าที่เอ่ยมากมายนัก

แพรวเพชรจำได้ เธอให้รางวัลคำหวานที่เขาหยิบยกมากำนัลด้วยจุมพิตหวานฉ่ำ มือที่ตวัดอ้อมต้นคอหนาดึงให้ชายหนุ่มโน้มศีรษะลงมาหาพร้อมทั้งยึดเขาไว้มั่น

รัก...แพรวเพชรไม่อายเลยสักนิดที่จะบอกใครๆว่าเธอรักผู้ชายคนนี้เหลือเกิน ความตื่นเต้นที่ต้องหลบๆซ่อนๆผูกสร้างความสัมพันธ์ลับหลังสายตา ‘ผู้คุม’ ทำให้ชีวิตรักมีเรื่องหวือหวาเร้าใจยิ่งขึ้น คล้ายเด็กที่อยากจะทลายกรงที่คุมขังออกมา และเพียงลิ้มรสความเสรีก็รู้สึกว่าหอมหวานยิ่งนัก

หอมหวาน...จนเธอเตลิดไปกับอิสรภาพเหล่านั้น และข้ามผ่านจารีตอันดีงามของสตรีไทย!

“ถ้านี่ไม่ใช่ของขวัญจากพี่นรา แล้วมันเป็นของใคร” เสียงอิงอรุณกระชากเธอจากกล่องความทรงจำกลับคืนมาสู่ปัจจุบันในเสี้ยววินาที

ภาพหวามใจจากวันวานทำให้หญิงสาวหน้าร้อนฉ่า ครั่นเนื้อครั่นตัวแปลกๆ แพรวเพชรรีบลูบหน้าแรงๆ ซ่อนอาการประหลาดที่ผุดขึ้นในใจรวดเร็ว ไม่กล้าตอบคำถามนี้ ทั้งที่พอจะเดาได้รางๆว่าคำตอบคืออะไร

“พี่เผ่าใช่ไหม” อิงอรุณถามออกมาตรงๆ

“ไม่รู้ ถ้าเป็นเขา เมื่อกี้ทำไมไม่เห็นพูดอะไรเลย”

“พูดสิ!” น้องสาวสามีชักสีหน้า “เขาบอกว่าต้องไปซื้อกระเป๋า ‘อีกใบ’ นั่นไง!”

หัวใจคนฟังกระตุกวาบ เสียงเผ่าภาคินที่บอกว่า จะโทษ ‘สามี’ เธอที่เป็นต้นเหตุให้เขาต้องเสียเงิน ยังดังก้องในหู หญิงสาวไม่กล้าตีความเลยว่าคำที่เขาเน้นเสียงหนักมีความหมายอื่นลึกซึ้งกว่าแอบแฝงอยู่หรือไม่!

กระนั้นแพรวเพชรก็ยังฝืนแสร้งทำท่าทางไม่ใส่ใจ “อาจจะเป็นแค่ความบังเอิญก็ได้นะอิง”

“ส่งคืนเขาไปนะเพชร อิงขอร้อง”

“แล้วถ้าเขาบอกว่าไม่ใช่คนส่งมาละ เรามิหน้าแตกยับเยินหรือ เขาคงหาว่าเราเข้าข้างตัวเอง” หญิงสาวซบหน้ากับฝ่ามืออย่างอับจนหนทาง

อิงอรุณหายใจเข้าลึกๆ ข่มความไม่พอใจที่ไม่กล้าชี้ชัดว่าเคืองแพรวเพชรหรือโกรธเผ่าภาคินลงในอก ขณะขยับเข้ามากอดเพื่อนไว้ “เพชรไม่ต้องคิดมากนะ”

“ไม่คิดมากได้ยังไง เมื่อกี้พี่นราโกรธ เรารู้” เครือสะอื้นจางๆปะปนมาในน้ำเสียงนั้น

“งั้นรีบลุกเลย ไปแต่งหน้าใหม่ให้สดชื่น ไปรับลูกที่เนิร์สเซอรี่ แล้วไปหาพี่นรา ชวนกันไปช็อปปิ้งสามคนพ่อแม่ลูก แป๊บเดียวพี่นราก็ลืมโกรธแล้ว”

ดวงตาแพรวเพชรที่เหลือบมามองเธอคล้ายแววตาของเด็กหลงทางที่กำลังหาทางออกให้กับตนเองไม่พบ และคำถามถัดมาก็ยิ่งตอกย้ำให้อีกฝ่ายหนักใจยิ่งขึ้น

“อิงไม่โกรธ ไม่เกลียดเราเหรอ อิงเคยคิดบ้างไหม...ว่าพี่นราน่าจะได้เจอผู้หญิงที่ดีกว่านี้”
.
.
.
“อุ๊ย! โลกกลมจัง นั่นคุณเพชรใช่ไหมคะพี่เผ่า” นวลนรีเขย่าแขนเขา ทำท่าจะดึงเข้าไปยังร้านอาหารไทยที่เปิดโล่งอยู่กลางห้างสรรพสินค้าตรงหน้า ซึ่งแพรวเพชรกับลูกสาวนั่งอยู่ตรงโต๊ะชิดกับรั้วไม้เตี้ยๆของร้าน กำลังง่วนอยู่กับจานอาหารตรงหน้าเด็กหญิง

“นวล...คุณเพชรเธออาจต้องการความเป็นส่วนตัวก็ได้นะ” เขาท้วง ด้วยไม่แน่ใจว่าจะทนมองได้ไหม หากว่าในวินาทีใดวินาทีหนึ่งข้างหน้า นราธิปจะก้าวเข้ามาสมทบและทำให้ภาพครอบครัวที่เห็นอยู่สมบูรณ์แบบขึ้น!

“ลูกสาวคุณเพชรน่ารักออก นวลขอเข้าไปทักนิดเดียวเอง...นะค้า” เมื่อไม่แน่ใจว่าเขาจะค้านอีกหรือเปล่า นวลนรีจึงตัดสินใจปล่อยมือจากแขนชายหนุ่ม แล้วเดินลิ่วๆเข้าไปหาแพรวเพชรทันที

หญิงสาวเข้าไปยืนเกาะแนวรั้วเตี้ยๆจากนอกร้าน ทักทายด้วยน้ำเสียงล้อเลียน “วันนี้เราเจอกันบ่อยดีจังนะคะคุณเพชร”

สีหน้าแพรวเพชรที่เงยขึ้นมามองนวลนรีสะดุดไปเล็กน้อย และเพียงเสี้ยววินาทีเธอก็ปรับให้เป็นปกติได้อย่างรวดเร็ว ทั้งยังแลเลยมายังเขาที่เพิ่งก้าวตามมาสมทบด้วยเช่นกัน

“คุณนวล คุณ...เผ่าภาคิน” เสียงนั้นสั่นเล็กน้อย เขาสังเกตเห็นว่าเธอไม่สบตาเขาเลย แต่เสหันไปทางเด็กหญิง บอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “หนูกานจ๋า ธุคุณลุงกับคุณน้าก่อนลูก”

“ธุค่ะคุณน้า ธุค่ะคุณลุง” เด็กหญิงพนมมือกลมป้อมทำความเคารพเขาและนวลนรีด้วยกิริยาแช่มช้อย บอกให้รู้ว่ามารดาอบรมมาอย่างดี

“สวัสดีค่ะคนเก่ง ลูกสาวคุณเพชรชื่ออะไรหรือคะ” นวลนรีชวนคุยตามประสาคนรักเด็ก

เผ่าภาคินแทบไม่ได้ฟังบทสนทนาที่กำลังดำเนินไป แต่ถือโอกาสนั้นสำรวจธิดาของแพรวเพชรด้วยความสนใจแทน ครั้งก่อนที่พบกันเขามัวแต่เคียดแค้นทุกสิ่งจนไม่ได้สนใจอะไรเลย

เจ้าตัวเล็กที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เด็กสวมเสื้อคอบัวแขนพองสีครีมพิมพ์ลายดอกไม้จิ๋วๆ เข้าคู่กับกระโปรงสีชมพูบานฟ่องยาวแค่หัวเข่า ผมเส้นเล็กสีน้ำตาลเข้มยาวแค่บ่า ด้านหน้าติดกิ๊บประดับดอกไม้เก็บผมไม่ให้ปรกหน้าผาก เผยให้เห็นดวงหน้ากลมป้อม ผิวออกขาวอมเหลือง ดวงตากลมโต หน่วยตาดำขลับ ขณะพวงแก้มอิ่มยุ้ย เครื่องหน้าทุกชิ้นที่รวมกันควรแก่การอธิบายว่าปากนิดจมูกหน่อยอย่างยิ่ง

เขาสังเกตเห็นว่าเด็กหญิงช่างไม่มีเค้าของแพรวเพชรเลยสักนิด ขณะที่ผู้เป็นแม่ผิวขาวจัด แม้เรือนผมที่เห็นบัดนี้จะเป็นสีน้ำตาลอ่อนขมวดเป็นเกลียว แต่เขาจำได้...ผมธรรมชาติของหญิงสาวเป็นสีดำราวนกกาน้ำ ทั้งยังเรียบตรงประหนึ่งแพรภูษาเนื้อละเอียด แต่กานติมากลับไม่ได้ส่วนนี้มาจากมารดาเลย

รอยขมขื่นรื้นขึ้นในคออย่างปัจจุบันทันด่วน เพียงแค่คิดว่าเด็กหญิงคงจะได้ส่วนผสมที่ดีมาจากบิดามากกว่ากระมัง! ช่างเป็นความจริงที่น่ารังเกียจเหลือเกิน...กานติมาคือลูกของแพรวเพชรกับผู้ชายคนนั้น!

ความริษยาที่พลุ่งขึ้นในใจทำให้เผ่าภาคินรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออกดื้อๆ และเขาไม่อยากทนอยู่ตรงนั้นอีกแม้แต่วินาทีเดียว!

ชายหนุ่มเสแตะข้อศอกนวลนรีแทนการขัดจังหวะสนทนา ทั้งยังตัดบทหญิงสาวที่ละม้ายว่าจะมีเรื่องพูดคุยกับแพรวเพชรไม่รู้จบสิ้นด้วยการเอ่ย “นวล เรามารบกวนเวลาของคุณเพชรนานไปแล้วนะ”

“อุ๊ยตาย! ขอโทษจริงๆค่ะคุณเพชร นวลนี่เสียมารยาทจัง ชวนคุยซะนานเลย” นวลนรีหันไปทางเด็กหญิง เอื้อมไปแตะแก้มยุ้ยๆนั้นอย่างมันเขี้ยว “น้าไปก่อนนะคะหนูกาน”

“ธุคุณน้าก่อนค่ะลูก” แพรวเพชรทวงลูกสาว พลางล้วงมือไปในกระเป๋า หยิบซองทิชชูเปียกออกมา ดึงกระดาษแผ่นบางเฉียบมาเช็ดมือและปากให้กานติมาอย่างอ่อนโยน เพื่อให้เด็กหญิงทำความเคารพผู้ใหญ่ได้

เผ่าภาคินไม่สนใจรับไหว้กานติมา ทว่าเผลอมองตามมือของหญิงสาวไปด้วยความลืมตัว แล้วเขาก็ขมวดคิ้วนิดๆ เมื่อเห็นว่าเธอมิได้ใช้กระเป๋าใบเดียวกับที่เห็นตอนบ่ายแล้ว แต่เป็นกระเป๋าหนังหูหิ้วสั้นสีฟ้าอ่อนทรงสี่เหลี่ยมก้นกว้าง ติดยี่ห้อเป็นป้ายสามเหลี่ยมที่ด้านหน้า

“อ้าว...คุณเพชรเปลี่ยนกระเป๋าแล้วหรือคะ” นวลนรีก็สังเกตเห็นเช่นกัน ทั้งยังถามตรงๆเสียด้วย

แพรวเพชรตวัดตามองมาทางเขาทันควัน ชายหนุ่มรีบเสมองไปทางอื่นเพื่อซ่อนพิรุธ ทั้งที่หูตั้งใจเงี่ยฟังคำตอบอย่างจดจ่อ

“เสียดายกระเป๋าใหม่น่ะค่ะ เอามาขนสัมภาระของหนูกาน เดี๋ยวจะเยินหมด เลยใช้ใบเก่าไปก่อน”

เผ่าภาคินเหลือบมองสีหน้าของหญิงสาว แต่ก็ต้องผิดหวัง เมื่อแพรวเพชรมิได้มีท่าทีผิดปกติอะไรเลย เธออธิบายด้วยน้ำเสียงธรรมดา ราวกับว่ามิได้เอะใจกับที่มาที่ไปปริศนาของกระเป๋าใบนั้นสักนิด

“แล้วไหนคะ กระเป๋าที่คุณเผ่าภาคินบอกว่าจะชวนคุณนวลมาซื้อ ไม่เห็นเอามาอวดเพชรบ้างเลย” คำหยอกเย้าถัดมานั่นทำให้เขาสะดุ้งโหยง ฟังดูเหมือนปรารถนาดี แต่ไฉนกลับรู้สึกว่าแพรวเพชรกำลังท้าทายเขาอยู่ก็ไม่รู้

เพียงสบตาเธอ เผ่าภาคินก็ยิ่งมั่นใจว่าเขาไม่ได้คิดไปเอง เธอรู้...ว่าเขาเป็นคนส่งกระเป๋าใบนั้นไปให้!

“ก็กำลังจะไปซื้ออยู่นี่ไงครับ” เขาโต้โดยไม่หยุดคิด แล้วก็หน้าเสียไปเมื่อแพรวเพชรหัวเราะขันๆ

“ถ้าจำไม่ผิด ที่พารากอนก็มีช็อปหลุยส์ วิตตอง นี่คะ”

โชคดีที่นวลนรีโบกมือโบกไม้ปฏิเสธเป็นพัลวัน “มีไปก็เท่านั้นค่ะ นวลยังไม่อยากได้กระเป๋าใหม่ตอนนี้หรอก” คนพูดเบะปากทำหน้าสยองนิดๆ “ไว้คุณเพชรชวนแฟนไปที่ร้านนวลบ้างสิคะ” นวลนรีชวนทิ้งท้าย

“ตกลงค่ะ เพชรสัญญาเลย ไว้จะชวนพี่นราไปอุดหนุนคุณนวลแน่นอน เดี๋ยวจะพาหนูกานไปด้วย ลูกสาวเพชรชอบทานเค้กค่ะ ของหวานๆเนี่ยถึงไหนถึงกันเลย”

“โอ้โห...งั้นต้องนัดวันกันเลยนะคะ อย่าให้ไปชนกับพี่เผ่า รายนี้ก็กินหวานเก่งมาก นี่ถ้าน้องกานกับพี่เผ่าเข้าร้านนวลพร้อมกัน สงสัยน้ำตาลจะขาดตลาดแหงๆ”

เผ่าภาคินขยับจะแย้ง แต่ก็ช้ากว่า...

“หนูกานเขาชอบทานหวานเหมือนพ่อน่ะค่ะ” แพรวเพชรเอ่ยขึ้นลอยๆ

อีกแล้ว...ความรู้สึกคล้ายมีเข็มนับร้อยเล่มทิ่มแทงเข้ามาในหัวใจพร้อมกัน และคราวนี้เผ่าภาคินไม่ยอมอดทนฟังเรื่องแสลงหูอีกต่อไป เขาชักสีหน้า ไม่รู้ตัวสักนิดว่าทำไม่ได้แม้เพียงแค่ฝืนปั้นสีหน้าเพื่อบอกลาตามมารยาท!

“พี่จะไปคอยที่ร้านอาหารนะ นวลคุยจบเมื่อไหร่ก็ตามไปละกัน ขอตัวครับคุณแพรวเพชร” เขาก้มศีรษะให้ ‘สองแม่ลูก’ นิดเดียว แล้วหมุนตัวออกจากที่นั่นเร็วยิ่งกว่าพายุ

“อ้าว อะไรของเขาเนี่ย” นวลนรีพึมพำอย่างงงๆ ก่อนจะตัดใจบอกลา “ปกติพี่เผ่าไม่เคยอารมณ์เสียอย่างนี้นะ สงสัยจะโมโหหิวแหงเลย คราวนี้นวลต้องไปจริงๆแล้วค่ะ ขอตัวนะคะคุณเพชร แล้วพบกันค่ะ”

หญิงสาวโบกมือให้ลูกสาวของแพรวเพชร แล้วเดินแกมวิ่งตามไปยังทิศทางที่เผ่าภาคินลับกายไป แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อขึ้นบันไดเลื่อนมาอีกสองชั้นเพื่อจะพบว่า ‘คนโมโหหิว’ ยืนอยู่ที่มุมค่อนข้างสงบข้างตู้กระจกของร้านเสื้อผ้าแห่งหนึ่ง ท่าทางที่เขาหันหน้าเข้าหาผนัง เอนศีรษะกดหน้าผากแตะกำแพงนั่น ดูท้อแท้ สิ้นหวัง และผิดไปจากมาดผึ่งผาย ยโส และเชื่อมั่นในตนเองของเผ่าภาคินอย่างยิ่ง

นวลนรีก้าวเข้าไปยืนเคียงข้าง แตะบ่าเขาเบาๆด้วยความเป็นห่วง “พี่เผ่าเป็นอะไรหรือเปล่าคะ”

สีหน้าเผือดซีดของชายหนุ่มทำให้เธอยิ่งเป็นกังวล “พี่เผ่า...นี่หิวจนจะเป็นลมเลยเหรอคะ ตายแล้ว นวลขอโทษค่ะที่มัวแต่คุยเล่นกับน้องกานเพลินไปหน่อย ไปค่ะ! เข้าไปสั่งอะไรมารองท้องกัน เผื่อจะได้รู้สึกดีขึ้น”

เผ่าภาคินไม่ตอบ แต่รวบมือเธอไปจับไว้ ทั้งยังบีบแน่น “พี่ไม่ได้เป็นอะไรจ้ะนวล”

“ใครว่าละคะ พี่เผ่าหน้าซีดจนเกือบเขียวแล้วนะ”

“พี่ไม่เป็นอะไรจริงๆ ไม่ได้หิวด้วย แค่...วูบนิดหน่อยตามประสาคนแก่ละมั้ง”

นวลนรีตวัดค้อนใส่อย่างหมั่นไส้ “อะไรกันคะ เพิ่งจะผ่านสามย่านมาแท้ๆ ปีนี้พี่เผ่าสามสิบสามเองไม่ใช่เหรอ ทำไมจะรีบแก่จังเลยล่ะ”

“พี่คง...ทำงานหนักเกินไปมั้ง ความดัน ความเครียดเลยรุมเร้าให้แก่เร็ว”

คนฟังเบ้หน้า “รู้ตัวก็ดีแล้วนะคะว่าพี่เผ่าน่ะทำงานหนักมากเกินไป นวลโทร.ไปเจอคุณป้าทีไร ท่านต้องบ่นเรื่องนี้ตลอดเลย ถามจริงๆเถอะค่ะ พี่เผ่าจะหาเงินไปทำไมมากมาย ที่มีอยู่ทุกวันนี้ ใช้ไปจนชั่วชีวิตก็ยังเหลือเลย”

“ไม่ได้สิ พี่ต้องหาเงินไว้เยอะๆ เผื่ออีกหน่อยจะได้ไม่ไปพาลูกสาวใครมาลำบากไง”

“ถ้าจะลำบากก็ตรงที่ต้องนับเงินจนนิ้วหงิกนี่แหละ” หญิงสาวประชด

“นวลเชยจัง สมัยนี้เขาใช้เครื่องนับกันแล้วทั้งนั้นแหละ” เจ้าตัวเปลี่ยนประเด็นเพื่อแหย่ให้นวลนรีลืมสีหน้าและท่าทางอย่าง ‘ผู้แพ้’ ของเขาไปให้หมด

“ค่า พ่อคนทันสมัย” หญิงสาวลอยหน้า เน้นเสียงเหน็บแนม

“ไป! ไปกินข้าวกันดีกว่า พี่ชักหิวหน่อยๆแล้ว สปาเกตตีร้านนี้อร่อยด้วย เผื่อนวลจะลอกสูตรไปทำให้พี่กินบ้าง” เผ่าภาคินจูงหญิงสาวเข้าร้านอาหารที่หมายตา พลางชวนคุยสัพเพเหระ ไม่ให้ความเงียบเข้ามาแทรกตรงกลาง

หารู้ไม่ว่าการกระทำของเขามิได้หลุดรอดจากสายตาและนิสัยช่างสังเกตแบบผู้หญิงของคนข้างกายเลย และนั่นเป็นครั้งแรกที่นวลนรีรู้สึกว่าเธอรู้จักผู้ชายคนนี้น้อยมาก หรือบางที...เธออาจไม่เคยรู้จักเขาเลยก็เป็นได้!



สิริณ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 มี.ค. 2556, 00:01:22 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 มี.ค. 2556, 00:01:22 น.

จำนวนการเข้าชม : 1829





<< ตอนที่ ๘   ตอนที่ ๑๐ >>
สิริณ 13 มี.ค. 2556, 00:04:52 น.
มาเสพดราม่ากันต่อค่ะ ฮิฮิ
ยังคงยืนกรานว่าเล่มนี้ แฮปปี้เอนดิ้งแ่น่นอน
เดากันเล่นได้เลย ว่าเรื่องจะไปทางไหนต่อ
คอมเม้นต์ไหนโดนใจสิริณ เดี๋ยวมีรางวัลให้ค่ะ
เดาถูกหรือผิดไม่ว่ากันค่ะ
อยากรู้ว่านักอ่านจินตนาการกันไปถึงไหนแว้วววว อิอิ

เช่นเคยคับพ้ม อ่านจบแล้ว
หากถูกใจ ก็ขอแรงกดไล้ค์เบาๆคนละที
ให้คนเขียนได้ปลาบปลื้ม ยินดีไปตามประสาบ้างนะค้า ^^


พันธุ์แตงกวา 13 มี.ค. 2556, 03:50:24 น.
สงสารนวลจัง นวลก็อยากได้หลุยส์เหมือนกันนะคะพี่เผ่า อิอิ
คุณพ่อ ไม่มีสายสัมพันธ์บ้างเลย


Pampam 13 มี.ค. 2556, 05:14:16 น.
พี่เผ่านี่ปากคอเราะร้ายแถมยังเล่นสงครามประสาทกับหนูเพชรอีก


invisible 13 มี.ค. 2556, 07:26:02 น.
เป็นคู่กันสงสัยเข้าข่ายพรหมลิขิตบันดาลชักพาแน่เลยพี่เผ่ากับเพชร ^^


supayalak 13 มี.ค. 2556, 11:47:32 น.
อือหือ เชียร์มวยกันมันหยดติ่งๆ เลือดสาดกันเลยทีเดียว เกมส์นี้ใครจะล่าใครละเนี่ยเพราะต่างคนก็ไม่มีใครแพ้ใครเลยนะเนี่ย


nunoi 13 มี.ค. 2556, 11:52:27 น.
อืมม ชอบทานหวานเหมือนพ่อ พี่เผ่าเนี๊ยะไม่ฉุกคิดบ้างเลยเหรอ


หมูอ้วน 13 มี.ค. 2556, 13:41:13 น.
ให้พี่นรา คู่กับหนูนวล ดีมั้ยค่ะ


goldensun 13 มี.ค. 2556, 15:45:56 น.
นึกว่า พอพี่เผ่าเห็นหน้าหนูกานชัดๆ จะเห็นเค้าตัวเองหรือแม่ตัวเองอยู่บ้าง กลับไปคิดว่าเหมือนคุณนราไปได้
เดาว่า ที่สุดแล้ว พี่เผ่าคงได้รู้ความจริงว่า หนูกานเป็นลูก และเพชรกับพี่เผ่าน่าจะได้รู้ว่า ใครทำพี่เผ่าเกือบตาย
และน่าจะปรับความเข้าใจกันได้ ถึงจะแฮปปี้เอนดิ้งได้
เพราะเพชรไม่รู้เรื่องที่พี่เผ่าเกือบตาย พี่เผ่าก็ไม่รู้ว่าทำไมเพชรถึงทิ้งไปแต่งงานกับคุณนราธิป
แต่คุณนรานี่สิจะยอมปล่อยมือจากเพชรได้ท่าไหน จะมีส่วนรู้เรื่องที่พี่เผ่าเกือบตายมั้ย
จะเห็นความรักแท้ของทั้งคู่แล้วยอมแพ้ได้รึเปล่า


lookpud 13 มี.ค. 2556, 20:50:30 น.
น่าสงสารทุกคนเลย


sai 13 มี.ค. 2556, 21:09:59 น.
ใครหนอๆๆๆๆ ผู้อยู่เบื้องหลังงง ลุ้นๆๆๆๆ


bloomberg 14 มี.ค. 2556, 18:49:01 น.
น้องนวลคะ หิวข้าวน่ะหน้าซีดเฉย ๆ แต่พี่เผ่าซีดจนเกือบเขียวนี่แสดงว่าหายใจไม่ทันค่ะ คือแบบว่าแค้นอ่ะค่ะ ....เหอ เหอ


ทราย 14 มี.ค. 2556, 19:45:35 น.
พี่เผ่านี่ ไปแกล้งเค้า แล้วตัวเองก็กลับมาหน้าซีดตลอดๆ ชอบทำให้เค้าเจ็บ แต่ตัวเองเจ็บกว่า

อินมากค่ะ 55


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account