ฤๅพรหมอธิษฐาน[จบแล้ว]
จารจำ ความหลัง ฝังจิต จารจิต ความรัก ที่มาดหมาย จารจด ความผูกพัน มิเสื่อมคลาย ใจสลาย จำพราก รักนิรันดร์
Tags: โรแมนติก พีเรียด

ตอน: บทที่ ๓.๑

ตอนใหม่มาแล้วค่าาา
เรื่องนี้ พระเอก 20 นางเอก 8 ห่างกัน 12 ปีแน่ะ....ห่างมากไปมั้ยค้าา *^_^*


------------------------------------------------------


เมื่อเรือลำน้อยเข้าเทียบท่า นางพุดก็รีบจูงมือนายของตนขึ้นเรือนไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที ขณะที่ขุนบวรฤทธิเดชเดินขึ้นเรือนตามมาเพื่อขอโทษขอโพยท่านผู้หญิงลำดวนในความสะเพร่าของตัวเองที่ปล่อยให้ลูกสาวของท่านกระโดดลงน้ำจนเกือบถูกเรือชนหรืออาจจะจมน้ำได้ ท่านรับฟังอย่างตกใจ

“ตายจริง!” ว่าพลางยกมือทาบอก แววตาเบิกกว้างตระหนกชัดเจน “ลูกสาวของฉันกระโดดลงน้ำจริงๆรึ พ่อบวร”

“ขอรับ”

“คุณพระคุณเจ้าช่วย! ไฉนแม่พลอยจึงทำเช่นนั้น! น้องว่ายน้ำไม่เป็นนะพ่อบวร”

“แม่พลอยอาจจะก้าวพลาดตกจากแพกระมังขอรับ”

สิ้นเสียงนั้น ประตูห้องของแม่พลอยก็เปิดออก พร้อมกับนางพุดที่ก้าวเท้านำออกมา โดยกำชับนายของตนให้ระวังไม่ให้เหยียบธรณีประตู

พลอยรุ้งอาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่แล้ว...เป็นเสื้อคอกระเช้าสีขาว นุ่งโจงเรียบร้อย คาดด้วยเข็มขัดเงิน ผมเกล้าไว้เป็นมวยอยู่บนศีรษะมีดอกมะลิดอกใหม่ร้อยรัดโดยรอบ ใบหน้ากลมป้อมขาวผ่องด้วยแป้งที่นางพุดผัดให้ ถึงกระนั้นปานแดงบนแก้มซ้ายก็ยังเห็นชัดเจนอยู่มาก

แม้ว่าพลอยรุ้งจะอยู่ที่นี่มาสามวันแล้ว แต่ก็ยังไม่ชินกับการนุ่งโจงกระเบนเสียที ดังนั้นเวลาเดินเหินจึงดูประดักประเดิดอย่างน่าขัน

“เดินดีๆเจ้าค่ะ” นางพุดกระซิบบอก ขณะจูงมือแม่พลอยมาหาท่านผู้หญิงซึ่งกำลังเคี้ยวหมากนั่งคอยอยู่ตรงกลางเรือน

พลอยรุ้งถอนหายใจเฮือก พยายามอย่างยิ่งที่จะเดินให้เป็นกุลสตรีมากที่สุด หากเมื่อเห็นขุนบวรฤทธิเดชหันมามองเช่นนั้น เจ้าตัวก็แทบสะดุดขาตัวเอง

“เป็นอย่างไรบ้าง แม่พลอย”

ท่านผู้หญิงเอื้อมมือมากอดรัดเธอไว้ข้างกายเมื่อเดินมาถึง ก่อนจะเอ่ยถามอย่างเป็นกังวล

“ลูกสบายดีเจ้าค่ะ”

ผู้เป็นแม่ไม่ค่อยจะวางใจนักจึงวางหลังมือแตะต้องตามหน้าผากและซอกคอ

“แม่ว่าให้หมอตรวจสักหน่อยดีไหม”

“อย่ายุ่งยากเลยเจ้าค่ะ ลูกไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ”

ถ้อยคำที่ดูเป็นผู้ใหญ่ ผิดแผกจากเมื่อก่อนทำให้ท่านผู้หญิงต้องขมวดคิ้ว มองจ้องดวงตากลมโตใสซื่อบริสุทธิ์ของลูกสาวนิ่งนาน ก่อนเสียงขุนบวรฤทธิเดชจะดึงให้ท่านตื่นจากภวังค์

“กระผมคงต้องกลับแล้วขอรับ”

“ไปดีมาดีเถิดพ่อ วันหลังมาพาแม่พลอยไปเที่ยวอีกหนา”

ชายหนุ่มรับคำ หันมาส่งยิ้มให้กับเด็กสาว...เป็นยิ้มที่พลอยรุ้งเคยคุ้นมาตลอดสามปี และยังคงทำให้เธอใจเต้นเหมือนเคย ทว่าคราวนี้มีความปวดแปลบแฝงอยู่ด้วย คนตัวเล็กนกมือจรดหน้าผาก ไหว้ลาอีกฝ่ายตามมารยาท

เมื่อขุนบวรฤทธิเดชกลับไปแล้ว ท่านผู้หญิงก็หันมาซักถามเรื่องที่เธอกระโดดลงไปในน้ำ ว่าเป็นความจงใจหรือเธอก้าวพลาดเอง พลอยรุ้งนิ่งไปครู่ใหญ่เพื่อหาคำตอบที่เหมาะสมที่สุด จากนั้นจึงเอื้อนเอ่ยเสียงหวานว่า

“ลูกจำไม่ค่อยได้แล้วเจ้าค่ะ” ยิ้มประจบเสียหนึ่งที ก่อนจะหาทางเลี่ยงด้วยการขอลงไปเดินเล่นรอบบ้าน โดยอ้างว่าไม่อยากจับเจ่ายู่แต่ในห้องเหมือนเคย คนเป็นแม่ผู้ไม่เคยเห็นลูกสาวขอออกมาสูดอากาศข้างนอกมาก่อนย่อมดีใจจนลืมเลือนสิ่งที่สงสัยในหัวใจไปเสียสิ้น

“เอาเถิด จะไปเดินเล่นแม่ก็ไม่ว่า แต่อย่าไปไหนไกลนะแม่พลอย”

เมื่อได้รับอนุญาตเด็กสาวก็รีบวิ่งลงจากเรือนโดยเร็ว ตั้งใจไว้ว่าจะไม่ให้นางพุดเดินตามเป็นเงาตามตัวอีกต่อไป ทว่า...บ่าวผู้จงรักภักดีหาได้ยอมให้เธอคลาดสายตาไม่ นางพาร่างท้วมของตัวเองตามมาติดๆพร้อมร้องเรียก

“คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูเจ้าขา รอบ่าวด้วยเจ้าค่ะ!”

มีหรือที่ผู้เป็นนายตัวจ้อยจะยอมฟัง ร่างเล็กยังคงตั้งหน้าตั้งวิ่ง หากเสียงกำไลข้อเท้าที่ดังกรุ๊งกริ๊งคงทำให้ผู้เป็นบ่าวตามหาตัวได้ง่าย เจ้าตัวจึงรีบไปหลบซ่อนตัวกลางพุ่มไม้ขนาดใหญ่ พวกบ่าวไพร่ที่กำลังเก็บกวาดใบไม้ตรงสวนหันมามองเป็นตาเดียว แม่พลอยเกรงว่าจะมีคนปากโป้งไปบอกนางพุดจึงยกนิ้วชี้แตะริมฝีปาก กวาดมองแต่ละคนด้วยสายตาดุๆเป็นเชิงบังคับ เท่านั้นแหละ บ่าวไพร่ทุกคนไม่ว่าหญิงชายพากันก้มหน้าก้มตาทำงานของตนต่อไปในทันที

พลอยรุ้งมองพี่เลี้ยงร่างตุ้ยนุ้ยที่ถลกโจงวิ่งตามเธอหน้าตั้งหันซ้ายแลขวาด้วยความขบขัน เมื่อนางพุดไม่พบจึงมุ่งหน้าไปที่ท่าน้ำ เห็นดังนั้นเด็กสาวจึงเดินออกจากที่ซ่อน จรดปลายเท้าแผ่วเบาไปยังสวนข้างเรือน ผ่านชิงช้าไม้ใต้ต้นไม้ขนาดใหญ่ที่แผ่ขยายกิ่งก้านสาขามอบความร่มรื่นเย็นชื่นใจ เจ้าตัวจึงกระโดดขึ้นไปนั่งเล่นอยู่พักหนึ่ง เมื่อรู้สึกเบื่อจึงเปลี่ยนไปเดินทอดน่องริมรั้วไม้ที่กั้นแบ่งเขตบริเวณบ้างของพระยาสุรศักดิ์เสนากับบ้านที่อยู่ติดกัน

ความอยากรู้อยากเห็นทำให้พลอยรุ้งอยากสำรวจดูว่าบ้านข้างๆนั้นเป็นบ้านของใคร ใหญ่โตสวยงามเพียงใด จึงพยายามชะแง้แลมองด้วยการกระโดดสามสี่ครั้ง กระทั่งสายตาเหลือบไปเห็นว่ามีประตูที่เปิดแง้มไว้อยู่ห่างออกไปเพียงสามสี่ก้าวยาวๆเท่านั้น เจ้าตัวไม่รอช้ารีบรุดหน้าตรงไปยังประตูนั้น เปิดมันให้กว้างมากพอที่ตัวเองจะแทรกผ่านไปได้

เมื่อได้มายืนอีกฟากฝั่ง พลอยรุ้งก็ได้เห็นสภาพบ้านที่อยู่ติดกับบ้านของพระยาสุรศักดิ์เสนา...เป็นลักษณะเรือนไทยหมู่ ๔ หลัง ตรงกลางเป็นชานโล่งกว้างตั้งตระหง่านท่ามกลางแมกไม้ บ่าวไพร่บริวารเดินกันให้ขวักไขว่

บริเวณที่ติดกับรั้วไม่ยังมีเรือนไทยหลังเล็กตั้งอยู่ มีบ่าวไพร่เดินขึ้นลงบางตา พลอยรุ้งกวาดตามองผ่านๆ หากก็ต้องสะดุดเข้ากับเรือนกายสูงใหญ่ของใครบางคน...ตอนแรกหญิงสาวยังจำไม่ได้ แต่เมื่อเพ่งมองอยู่ครู่ จึงแน่ใจว่าบุรุษผู้นั้นคือขุนเทพไกรศรนั่นเอง!

ร่างเล็กชักหวั่นใจ ด้วยเธอนั้นก้าวข้ามอาณาเขตบ้านเขามาโดยไม่ได้รับอนุญาต แม้จะยืนเกาะอยู่ที่ประตูไม่ได้เข้าไปเดินเพ่นพ่านก็เถอะ...อย่างไรก็ถือว่าเป็นการบุกรุกอยู่ดี! คิดได้ดังนั้น สาวน้อยในร่างเด็กจึงรีบเดินกลับบ้านของตนเองในทันที

ก้าวเล็กๆของเด็กตัวน้อยคงไม่อาจเทียบเท่ากับก้าวยาวๆของบุรุษวัยฉกรรจ์ได้ ดังนั้นเมื่อแม่พลอยก้าวไปได้เพียงสิบก้าว ร่างน้อยก็ลอยหวือสู่อ้อมแขนแข็งแกร่งของใครบางคนอย่างไม่ให้ทันได้ตั้งตัว

“ไยเจ้าจึงมาแอบด้อมๆมองๆบ้านพี่เช่นนั้นเล่า หนูพลอย”

คนตัวเล็กอ้าปากค้าง แววตาวาววับขึ้นมาอย่างไม่พอใจ เมื่อตนเองถูกกักขังในอ้อมกอดของบุรุษแปลกหน้า

จริงๆจะว่าแปลกหนาก็คงไม่ได้...สำหรับแม่พลอยแล้ว ขุนเทพไกรศรคงเป็นพี่ชายที่แสนดีกระมัง ไม่เช่นนั้นตอนสามขวบเด็กสาวคนนี้คงไม่ร้องเรียกให้อุ้มเช่นนั้นเป็นแน่

“พลอยแค่ไปเดินเล่น ไม่ได้ตั้งใจบุกรุกนะเจ้าคะ”

คิ้วเข้มเลิกสูง พร้อมกับดวงตาคมดุอ่อนแสงลง

“พี่ไม่ได้ว่าเจ้าดอก...หากเจ้าอยากไปเที่ยวบ้านพี่ เจ้าก็ไปได้ เมื่อตอนก่อนพี่จะไปราชการที่พิษณุโลก แม่ของเจ้ายังพาเจ้าไปวิ่งเล่นที่บ้านพี่อยู่บ่อยๆเลยหนา เดี๋ยวนี้ไม่ได้ไปเลยรึ”

คำถามนั้นพลอยรุ้งไม่รู้ว่าจะตอบเช่นไร จึงเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นเสีย

“ปล่อยพลอยเถิดเจ้าค่ะ” เธอพยายามเค้นเสียงออกมาโดยไม่ใส่อารมณ์แบบ ‘ผู้หญิง’ ...เสียงของแม่พลอยจึงแผ่วเบา และค่อนข้างออดอ้อน

“เดี๋ยวนี้พี่อุ้มเจ้าไม่ได้แล้วหรือ” คนตัวโตก็ใช่ว่าจะยอมทำตามง่ายๆ ...นอกจากจะไม่ปล่อยแล้ว ยังก้มหน้ามาจ้องเธออย่างจริงๆจังๆเสียด้วย

พลอยรุ้งเม้มริมฝีปาก หรี่ตามองคนอุ้มอย่างระแวง

“ขุนเทพมองพลอยทำไมเจ้าคะ”

เธอได้เห็นหน้าตาเขาชัดเจนก็ตอนนี้เอง รูปหน้าคมสัน จมูกโด่ง คิ้วเข้ม ริมฝีปากหยักลึก เมื่อรวมกันแล้ว แม้จะไม่ใช่พิมพ์นิยมของสาวสมัยที่เธอจากมา หากก็ดูดีมากพอที่จะทำให้ผู้หญิงสักคนหลงรักได้

แม่พลอยกะพริบตาปริบๆ จ้องมองเขาอย่างลืมตัว ขณะที่เขาเองกลับขมวดคิ้ว...ดูเหมือนไม่พอใจอะไรบางอย่าง

“ไยเจ้าไม่เรียกพี่ว่าพี่เทพเหมือนเดิมเล่า”

“พลอย...” คนถูกถามอึกอักเล็กน้อย ก่อนตอบว่า “พลอยจำไม่ได้แล้วเจ้าค่ะว่าเมื่อก่อนเคยเรียกขุนเทพว่าอย่างไร” ชายหนุ่มกำลังจะอ้าปากเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่เธอขัดขึ้นมาเสียก่อน

“ว่าแต่ขุนเทพยังไม่ตอบพลอยเลยนะเจ้าคะ”

“พี่แค่อยากเห็นว่าเจ้ายังเหมือนเดิมหรือไม่”

“แล้ว?...”

“เจ้ายังหน้ากลมไม่เปลี่ยนเลยหนา เพียงแต่...” เขาถอยห่างออกไป แล้วเอื้อนเอ่ยเสียงห้าว “...ตาของเจ้ามีประกายแปลกไปจากเดิมนัก”

แน่ล่ะ...ก็เธอไม่ใช่หนูพลอยของเขา แต่เป็นพลอยรุ้งที่เกิดหลังเขาหลายร้อยปีนี่นา!

ก่อนที่จะสนทนากันต่อ เสียงเรียกอย่างดีใจก็ดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าหนักๆย่ำถี่เร็ว

“คุณหนูอยู่ที่นี่เอง! บ่าวไปตามหาถึงท่าน้ำนู่นเจ้าค่ะ ร้อนใจ นึกว่า...” เจ้าตัวพูดแค่นั้นก่อนยกมือไหว้ขุนเทพไกรศรผู้กำลังอุ้มแม่พลอยไว้แนบอก

ตอนนั้นเองที่เขายอมวางเธอลงกับพื้น แล้วฝากนางพุดไปบอกท่านผู้หญิงว่าจะมากราบเท้าท่านตอนค่ำๆ ก่อนจะเดินกลับบ้านของตัวเอง โดยไม่ลืมลาแม่พลอยของเขาด้วยการลูบแก้มเสียหนึ่งที

พลอยรุ้งได้แต่ยกมือเช็ดรอบสัมผัสนั้น มองตามจนลับตา ก่อนจะเร่งฝีเท้ากลับขึ้นไปบนเรือนในทันใด


ค่ำวันนั้น เป็นครั้งแรกที่พลอยรุ้งได้ร่วมรับประทานอาหารกับท่านเจ้าคุณสุรศักดิ์เสนา...บิดาของแม่พลอย เด็กสาวที่เธอมาอาศัยร่างอยู่ ท่านเป็นชายร่างสูงผอมวัยห้าสิบต้นๆ ผมเริ่มมีสีเทาแซมตามกาลเวลาที่ล่วงเลย หากลักษณะยังองอาจผึ่งผาย ท่านดูเป็นคนพูดน้อย แต่...ใช้สายตาพูดได้ดี

ระหว่างรับประทานอาหาร แม้ท่านจะไม่ได้คุยเล่นกับเธออย่างสนิทสนม แต่ยามทอดสายตามองมา หญิงสาวสัมผัสได้ถึงความห่วงใยและความรักเต็มเปี่ยม แม้เมื่อยามที่เธอดูเก้งๆก้างๆกับการ ‘เปิบ’ ท่านก็ไม่ได้ดุด่าว่ากล่าวอะไร พลอยรุ้งคิดว่าท่านคงนึกสงสัยว่าเหตุใดลูกสาวของท่านจู่ๆก็เปิบไม่เป็นเสียอย่างนั้น

ท่านผู้หญิงลำดวนเองก็สงสัยเช่นกัน ท่านลอบมองเธอเป็นระยะๆ ลองรุ้งรู้ดีว่าท่านเอะใจในความเปลี่ยนไปของลูกสาว แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อเธอไม่ใช่แม่พลอยของท่านจริงๆ

“แม่พลอย...ทำเช่นนั้นไม่ถูกหนา”

ท่านเอื้อนเอ่ยอย่างอ่อนโยน พร้อมกับค่อยๆสอนให้เธอรู้จักการเปิบที่ถูกต้อง

“ทำแบบนี้ ดูแม่นี่...” ว่าพลางขยับนิ้วมือให้เธอเห็นอย่างชัดเจน “เจ้าใช้นิ้วแค่สามนิ้วก็พอ ไม่ใช่ห้านิ้วแบบที่เจ้าทำอยู่ อย่างนี้...”

ท่านสาธิตให้ดู โดยใช้นิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วหัวแม่มือตะล่อมอาหารพอเป็นคำ ให้อาหารคำนั้นอยู่ในอุ้งนิ้วทั้งสามแล้วจึงส่งเข้าปาก

“ไหน เจ้าลองทำดูซิ”

คนตัวเล็กกะพริบตาปริบๆ ยิ้มอย่างจืดเจื่อนด้วยรู้สึกว่าการรับประทานอาหารของคนสมัยนี้ช่างยุ่งยากนัก ระหว่างที่เธอพยายามใช้สามนิ้วของตัวเอง ท่านก็พร่ำสั่งสอนต่อไปว่า

“เจ้าต้องตะล่อมให้เป็นคำเล็กๆ เวลาป้อนใส่ปากจักได้ไม่ต้องปากกว้างมากเกินไป ที่สำคัญ...ข้าวก็จักไม่ร่วงพรูจากอุ้งมือเจ้าอีกด้วย”

พลอยรุ้งรับฟังแล้วทำตามอย่างทุลักทุเลในคราแรก ท่าทางพิลึกพิลั่นของเธอทำให้เจ้าคุณสุรศักดิ์เสนาเผลอหัวเราะเบาๆในลำคอ ก่อนเอ่ยว่า

“หลังจากฟื้นไข้ เจ้าดูไม่เหมือนแม่พลอยคนเดิมเลยหนา”

คนตัวเล็กแทบจะสำลักข้าวที่กำลังกลืนลงคอ เจ้าตัวคว้าขันน้ำที่วางไว้ข้างตัวมาดื่มอึกใหญ่ แล้วตบหน้าอกแรงๆ ก่อนจะไอโขลกๆ เรียกเสียงหัวเราะจากผู้เป็นพ่อ หากสำหรับผู้เป็น...ท่านเอาแต่ส่ายหน้าอย่างไม่ชอบใจนัก

“จริงเจ้าค่ะคุณพี่ ดูกระโดกกระเดก แปลกตาเหลือเกิน”

คนถูกว่ากระแอมกระไอแล้วยิ้มให้ท่านทั้งสอง จากนั้นจึงก้มหน้าก้มตารับประทานต่อไป กระทั่งอิ่มกันทั้งสาม บ่าวไพร่ยกสำรับอาหารคาวไปเก็บ ก่อนจะยกสำรับอาหารหวานมาให้ เป็นข้าวเหนียวสังขยา กับขนมช่อม่วง พลอยรุ้งผู้ชื่นชอบขนมไทยเป็นชีวิตจิตใจถึงจ้องมองตาไม่กะพริบ

“พอเห็นของโปรดก็ทำตาวาวเชียวหนาแม่พลอย”

พลอยรุ้งได้รู้ในตอนนั้นว่าของโปรดของเด็กสาวคนนี้คือขนมทั้งสองชนิด โชคดีที่เธอเองก็ชอบของหวานจึงไม่ต้องฝืนรับประทานเพื่อไม่ให้ท่านทั้งสองประหลาดใจไปมากกว่านี้

“ใครทำหรือเจ้าคะ”

“เอ...เจ้านี่ถามแปลก จำไม่ได้รึว่าแม่ไม่เคยไว้ใจบ่าวไพร่คนไหน นอกจากตัวแม่เอง”

คนฟังไม่ได้ประหลาดใจอะไร เนื่องด้วยรู้อยู่แล้วว่าสตรีสมัยก่อนนั้นเก่งงานบ้าน งานเรือนเพียงใด เมื่อมาเทียบกับสมัยนี้คงต่างกันราวฟ้ากับเหว แม้เธอเองจะไม่ใช่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ในเรื่องนี้ หากก็ไม่ได้เก่งฉกาจจนทำอาหารและขนมได้ทุกประเภท

ตั้งแต่เกิดมาจนอายุ ๒๒ เธอเคยทำขนมอยู่ไม่กี่อย่าง ที่ถนัดที่สุดคือกล้วยบวดชี กับบัวลอยไข่หวาน ส่วนขนมช่อม่วงนั้นเธอเคยแต่รับประทาน แต่ไม่เคยทำเลยแม้แต่น้อย

“ขนมช่อม่วงทำยากไหมเจ้าคะ”

“ไม่ยากดอก ไว้แม่จะสอนเจ้าเอง หรือไม่...อดใจรอสักหน่อย เจ้าก็จักได้เรียนในวังเอง”

“วัง?”

ท่านผู้หญิงลำดวนเคี้ยวข้าวเหนียวสังขยาคำเล็ก แล้วกลืนเรียบร้อยจึงเอ่ย

“ใช่...แม่จักพาเจ้าไปถวายตัวกับเสด็จ” พลอยรุ้งใจเต้นแรง...รู้สึกตื่นเต้นที่ตัวเองจะได้เข้าไปสัมผัสกับความเป็น ‘ชาววัง’ เช่นที่เคยอ่านตามหนังสือ หากอีกใจหนึ่งก็กริ่งเกรงด้วยเธอนั้นไม่ใช่คนที่นี่ ถ้าจะต้องมาถูกขังไว้ในวังเมื่อสาวๆสมัยก่อนคงจะอึดอัดน่าดู

“คุณแม่จักพาพลอยไปเมื่อใดเจ้าคะ”

“แม่ว่า...จักพาเจ้าไปปีหน้า”

ได้ยินเช่นนั้นเจ้าตัวก็เบาใจไปได้มาก...อย่างน้อยเธอคงไม่ติดอยู่ในร่างแม่พลอยถึงหนึ่งปีหรอก แค่สองเดือนตามคำอธิษฐานของเธอ ก็มากเกินพอแล้ว!

คนตัวเล็กหันไปสนใจขนมหวานตรงหน้าต่อ แล้วปล่อยให้ผู้ใหญ่สนทนากัน ได้ยินแว่วๆจากพระยาสุรศักดิ์เสนาว่าหน้าน้ำปีนี้จะมีการเล่นสักวากัน...พลอยรุ้งหูผึ่งตั้งใจฟังในทันใด เธอจำได้ดีว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกโปรดฯให้มีการฟื้นฟูการเล่นสักวาขึ้นให้เหมือนเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยา โดยให้ราษฎรลอยเรือเล่นสักวาที่คลองมหานาคซึ่งเป็นคลองที่ขุดต่อจากคลองรอบกรุงเหนือวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร[1]

“อีกนานไหมเจ้าคะถึงจะถึงวันลอยเรือเล่นสักวา”

คนตัวเล็กอดรนทนไม่ไหว ลืมตัวโพล่งถามออกไป ก่อนจะยิ้มประจบ ออดอ้อนว่า

“พลอยอยากไปเที่ยวเจ้าค่ะ”

“มีแต่หนุ่มๆสาวๆเขาไปจีบกัน เจ้าจักไปดูทำไม”

“พลอย...” หญิงสาวนิ่งคิดหาเหตุผลดีๆ ทว่ายังไม่ทันตอบอะไร บ่าวคนหนึ่งก็เข้ามาคุกเข่า แล้วรายงานว่า

“ขุนเทพไกรศรมาเจ้าค่ะ คุณท่าน”

ท่านผู้หญิงพยักหน้ารับรู้ด้วยทราบจากนางพุดแล้วว่าขุนเทพไกรศรจะมาหาในค่ำวันนี้ จากนั้นสั่งให้บ่าวคนนั้นเชิญเขาขึ้นมาบนเรือน

ตอนนั้นพลอยรุ้งขยับกายอย่างอึดอัด เพราะนั่งพับเพียบมานาน อยากจะเปลี่ยนมานั่งขัดสมาธิเสียเต็มประดา แต่รู้ดีว่าคงโดนดุเป็นแน่แท้ เจ้าตัวจึงทำหน้ามุ่ยทนนั่งในสภาพเช่นนั้นต่อไป ดังนั้นยามเมื่อขุนเทพไกรศรเดินขึ้นเรือนมาพร้อมบ่าววัยฉกรรจ์สองคน เขาจึงได้เห็นใบหน้าบูดบึ้ง และแววตาขุ่นข้องหมองใจของแม่พลอยเข้าเต็มเปา

ร่างสูงใหญ่เหลือบมองเด็กสาวก่อนนั่งพับเพียบ ยกมือไหว้เจ้าของบ้านและท่านผู้หญิง

“พ่อเทพ ไม่ได้พบกันเสียนาน ตัวสูงใหญ่ขึ้นมากเทียว ไปอยู่ที่นู่นกี่ปีแล้วล่ะ ...สัก ๕ ปีแล้วกระมัง”

“ขอรับ” ตอบพร้อมกับหันไปฉวยถุงผ้าจากมือบ่าวที่ติดตามมาแล้วยื่นให้ท่านผู้หญิง “ของฝากจากนางนู้นขอรับ”

“ขอบใจมากพ่อเทพ”

ท่านผู้หญิงเอ่ยขอบคุณ ก่อนไต่ถามสารทุกข์สุกดิบสักพัก พร้อมกับชวนรับประทานขนมหวานที่ตอนนี้เหลือเพียงชิ้นเดียวในถ้วย ท่านจึงเรียกบ่าวไพร่ให้นำมาเพิ่ม แต่ขุนเทพปฏิเสธ

“กระผมอิ่มมากนักขอรับ...แม่ของพระผมทำอาหารเลี้ยงต้อนรับที่ผมกลับบ้านอยู่มากโขเทียวขอรับ ท่านน้าเก็บไว้ให้หนูพลอยเถิดขอรับ กระผมยังจำได้ว่าหนูพลอยชอบของหวานนัก เดี๋ยวนี้ยังชอบอยู่ไหมขอรับ”

ท่านเจ้าคุณหัวเราะร่วน พลางพยักหน้า

“ยังชอบอยู่เหมือนเดิม รสปากคงเปลี่ยนกันไม่ได้ง่ายๆดอก จริงไหม”

ผู้ใหญ่ทั้งสามพูดคุยสัพเพเหระอีกสักพัก แล้วให้เด็กหยิบขนมช่อม่วงชิ้นสุดท้ายเข้าปาก แล้วเคี้ยวหงุบหงับอย่างเอร็ดอร่อย กระทั่งท่านผู้หญิงวกคุยเรื่องเล่นสักวา แม่พลอยที่ทำท่าไม่สนใจในสิ่งใด รีบยกน้ำขึ้นดื่มแล้วหันมาสนใจในทันใด

“พ่อเทพจักไปหรือไม่” ยังไม่ทันได้ตอบ คนตัวเล็กก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน

“พลอยอยากไปเจ้าค่ะ”

“แม่พลอย!” ท่านผู้หญิงเรียกเสียงเข้ม ขณะที่ท่านเจ้าคุณลอบยิ้ม แล้วเอ่ยว่า

“หากเจ้าว่าง ช่วยพาแม่พลอยไปทีเถิด ข้ากับท่านผู้หญิงแก่เกินกว่าจะไปดูบ่าวสาวเขาจีบกันแล้ว ครั้นจะให้ไปกับบ่าวไพร่ก็เป็นห่วงนัก เจ้าพอจะมีเวลาพาไปหรือไม่ พ่อเทพ”

พลอยรุ้งชักไม่อยากไปก็ตอนนี้เอง เธอยังจำได้ที่เขาถือวิสาสะมาอุ้มตัวเธอเมื่อตอนเย็น แถมยังจับแก้มเธอเสียอีก ...แม้แม่พลอยจะยังเด็ก แต่เธอนั้นใช่เด็กเสียที่ไหนเล่า! ทว่า...แม้จะปั้นปึ่งเพียงใด...หากความอยากรู้อยากเห็นกลับมากกว่า เจ้าตัวจึงดีใจเล็กๆที่ได้ยินผู้ชายขี้เก๊กคนนั้นตอบว่า

“กระผมยินดีขอรับ”


[1]คลองมหานาค เป็นคลองที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกโปรดเกล้าฯให้ขุดต่อจากคลองรอบกรุง ตรงเหนือวัดสะแก(ต่อมาทรงสถาปนาวัดสะแกเป็นพระอารามหลวง จึงพระราชทานนามใหม่ว่า วัดสระเกศ) ไปทางทิศตะวันออก เมื่อ พ.ศ.๒๓๒๘ พระราชทานนามว่า"คลองมหานาค" ตามแบบอย่างคลองมหานาคที่วัดภูเขาทอง นอกเขตพระนครที่กรุงเก่า วัตถุประสงค์ของการขุดคลองนี้ก็เพื่อให้ใช้เล่นเพลงเรือดอกสร้อยสักวาในฤดูน้ำหลาก เหมือนประเพณีดั้งเดิมสมัยกรุงศรีอยุธยา





อัพครึ่งหนึ่งแล้วค่าาา...หวังว่าเรื่องนี้จะทำให้รีดเดอร์มีความสุขนะค้า
ขอบคุณที่ติดตามค่าาา

หากผิดพลาดตรงไหน ขออภัยล่วงหน้า และยินดีรับคำแนะนำค่ะ ^__^



ศศิภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 มี.ค. 2556, 19:46:36 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 มี.ค. 2556, 08:43:34 น.

จำนวนการเข้าชม : 2198





<< บทที่ ๒   บทที่ ๓.๒ >>
เคสิยาห์ 18 มี.ค. 2556, 20:13:59 น.
โถ..พ่อคู้ณ กว่าแม่พลอยจะเป็นสาวเต็มที่ พ่อก็คงแข้งขาลั่นเอี๊ยดอ๊าด เป็นเรือนไม้หน้าฝนซะละกระมัง


Auuuu 18 มี.ค. 2556, 20:52:04 น.
อยากกินขนมจังงงงง อิอิอิอิ


mhengjhy 18 มี.ค. 2556, 22:18:55 น.
โอ้ยๆ กินเด็ก 555555


คิมหันตุ์ 19 มี.ค. 2556, 00:29:51 น.
สิบสองปี....น่าจะไหวนะคะ..อิอิ


หมูอ้วน 19 มี.ค. 2556, 06:22:55 น.
อายุเป็นเพียงตัวเลขค่าาาา สำหรับหมูอ้วน ผ่านค่าาา ชอบผู้ใหญ่กินเด็กค่าา ฮิ...


ธราธาร 19 มี.ค. 2556, 10:03:09 น.
คนสมัยก่อนเนอะ รอสักแม่พลอย 15 ก็โอเคแล้ว ..ขุนเทพก็..27 เนอะๆ กำลังดี


Zephyr 25 มี.ค. 2556, 23:08:23 น.
ไปตามอ่านเวบนู้นมา เลยลืมเมนท์เวบนี้เลย อิอิ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account