ปาริชาตซ่อนรัก

Tags: ปาริชาตซ่อนรัก สุรเสกข์ ปาริชาต บุษบาฮาวาย

ตอน: ตอนที่ 3

ตอนที่ 3

การกลับมาทำงานแบบเต็มตัวอีกครั้งของสุรเสกข์ ทำให้เกิดเหตุแย่งชิงเลขานุการิณีกัน จากเดิมที่นภษรมีหน้าที่ช่วยงานเพียงคุณสุพล ทว่าพอมีสุรเสกข์เพิ่มมา สาวใหญ่จึงต้องแบ่งเวลาไปช่วยดูแลเขาด้วยอีกคน งานนี้แม้เจ้าตัวจะไม่ปริปากบ่น หากแต่ก็ไม่ได้พ้นสายตาผู้เป็นนาย

“นั่งก่อนสิ”

พอเห็นร่างสูงของลูกชายผลักประตูเข้ามาในห้อง คุณสุพลที่เพิ่งไหว้วานให้เลขาตามตัวมาก็พยักหน้าไปที่เก้าอี้

“พ่อมีอะไรครับ”

“จะแบ่งงานกันทำให้เป็นเรื่องเป็นราวน่ะสิ”

พอได้ยินคำพูดนี้ของบิดา สุรเสกข์ก็คลี่ยิ้ม เพราะนั่นหมายความว่าคุณสุพลกำลังจะมอบหมายหน้าที่การงานให้เขารับผิดชอบเต็มตัวตั้งแต่บัดนี้

“ผมขอยุโรป พ่อเอาโซนเอเชียไป”

คนเป็นลูกชายแสดงเจตจำนง ทุกวันนี้มูลค่าการนำเข้าอะไหล่และอุปกรณ์ประดับยนต์ของบริษัททั้งทางโซนเอเชียและยุโรป มีคุณสุพลเป็นผู้ดูแลเองทั้งหมด เม็ดเงินถูกโยนไปทางยุโรปมากกว่าหากแต่ปริมาณกลับอยู่ที่ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้

แม้ทั้งตัวคุณสุพลและสุรเสกข์นั้นจะหลงใหลในคุณภาพยานยนต์ทางฝั่งยุโรป แต่ในเมื่อรถยนต์ของเอเชียกลับทำตลาดได้ดีกว่า จึงเป็นธรรมดาที่ส่วนแบ่งตลาดอะไหล่และอุปกรณ์ประดับยนต์จะโตตามไปด้วย

“เหตุนี้ใช่ไหมถึงดิ้นรนจะไปสั่งอะไหล่ที่บริษัทด้วยตัวเอง ทั้ง ๆ ที่ต้องฝ่าไปถึงเยอรมันนี”

คุณสุพลดักคอ เขารับประกันกับตัวเองว่าจะต้องปั้นสุรเสกข์ให้ผงาดอยู่ในธุรกิจยิ่งกว่าที่เขาเคยทำได้ ดังนั้นเมื่อขณะเรียนอยู่ที่อังกฤษและคนเป็นลูกชายขอไปเปิดโลกทัศน์ในถิ่นยานยนต์คุณภาพก้องโลก เขาจึงไม่รีรอที่จะฉวยโอกาสนั้นส่งใบสั่งซื้อให้ลูกชายถือติดมือไปด้วยเป็นใบเบิกทาง

“มันมีหลายเหตุผลน่ะพ่อ ตกลงให้ผมดูแลอะไหล่ยุโรปนะครับ”

“เอาสิ แล้วจะให้คุณษรมาแยกเอกสารไปเก็บไว้ที่ห้องทำงานเราเลย อ้อ...พ่อหาเลขาใหม่มาเพิ่มอีกคนหนึ่งแล้วนะ แต่ยังไม่มาเริ่มต้นทำงาน”

“เหรอครับ แล้วพ่อจะให้เป็นเลขาของใคร”

ความที่คุ้นเคยกับนภษรมาหลายปี หากเป็นไปได้สุรเสกข์ก็อยากจะเลือกเธอมาเป็นเลขา อีกอย่างงานที่ได้รับมอบหมายก็ถูกเขาตั้งเป้าเอาไว้ในใจแล้วว่าต้องทำออกมาให้ดีที่สุด ฉะนั้นมือขวาที่ต้องมาคอยช่วยเหลือนอกเหนือจากผู้เป็นพ่อแล้ว เลขาสาวใหญ่ผู้มากประสบการณ์คนนั้นน่าจะเป็นที่พึ่งให้ได้เป็นอย่างดี

“ไม่แบ่งแยกอย่างนั้นสิ ใหม่ ๆ คงต้องช่วยกันก่อน สอน ๆ กันไป”

“พ่อพูดเหมือนกับยังทำงานไม่เป็นอย่างนั้นแหละ”

“ใช่ เป็นเด็กจบใหม่ เพิ่งเรียนจบเดือนที่แล้วนี่เอง”

“โธ่...ทำไมไม่หาที่มีประสบการณ์ล่ะครับ”

คำพูดของคนเป็นพ่อ ทำให้คนฟังถึงกับเลิกคิ้วหนาและเอ่ยถามออกมาด้วยความแปลกใจ ก่อนจะลอบมองความผิดปกติจากทางสีหน้าของผู้เป็นพ่อ ขณะเอ่ยปากถึงว่าที่เลขา หากแต่ก็ไม่พบพิรุธอันใดนอกจากท่าทีอธิบายเนิบ ๆ ตามแบบฉบับ

“ก็มีคนฝากมา พ่อเห็นว่าพอจะมีงานให้ทำเพราะเราก็จะกลับมาพอดี ก็เลยรับปากไป”

“แล้วจะมาเริ่มงานเมื่อไหร่ครับ”

“ตอนแรกพ่อก็นึกว่าเสกข์จะพักก่อนสักอาทิตย์แล้วถึงจะเริ่มต้นมาทำงาน ก็เลยบอกเด็กให้มาทำงานวันจันทร์หน้า แต่ถ้าเป็นอย่างนี้ให้มาก่อนก็ดีนะ เดี๋ยวจะลองถามดูว่าพร้อมมาหรือเปล่า”

“ผมไม่อยากอยู่ว่าง ๆ อยากทำอะไรให้สมองมันไม่ว่าง ถ้าเด็กใหม่ของพ่อจะมา ก็ดูหน่วยก้านก่อนแล้วกัน ถ้าทำงานใช้ได้พอเข็นไหวเราก็แบ่งกันให้เด็ดขาดไปเลย ถ้าได้แบบคุณษรก็ดีนะครับ”

“จะเหมือนได้ไง ขานั้นเค้าทำงานมากับเราเป็น 10 ปี”

คุณสุพลว่าพลางหัวเราะหึ ๆ ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเขาว่าเมื่อครั้งที่นภษรมาเริ่มต้นทำงานด้วยกันใหม่ ๆ เธอก็ยังคงมีเรื่องขาดตกบกพร่องให้ต้องปรับปรุงหลายอย่าง กว่าจะรู้ใจกันเช่นทุกวันนี้ ทว่าคำพูดของลูกชายที่มีมาก่อนหน้า ทำให้เขาต้องมองเสี้ยวหน้าคมที่ถอดแบบไปเสียส่วนใหญ่นั้นอย่างเต็มตาแล้วเอ่ยถามด้วยความข้องใจ

“ช่วงนี้สมองวุ่นวายเหรอ แน่ใจนะว่าสมอง ไม่ใช่หัวใจ”

“โธ่...พ่อ ไม่ใช่ทั้งสองอย่างนั่นแหละครับ สมองผมว่างพอ ๆ กับหัวใจ”

รอยยิ้มจาง ๆ ของลูกชายพร้อมคำปฏิเสธที่มีมาให้ได้ยิน ทำให้คุณสุพลไม่อยากจะคาดคั้น เขาพอรู้อยู่บ้างว่าช่วงปิดเทอมของปีที่แล้วและสุรเสกข์ได้เป็นตัวแทนบริษัทร่วมแข่งแรลลี่ ข่าวลือก็สะพัดมาเข้าหูอันมีเนื้อความว่ากามเทพได้เล็งศรปักเข้าที่อกของชายหนุ่มกับหญิงสาวคู่หนึ่ง และด้วยความที่อยู่ในเมืองไทย เขาจึงรับรู้ข่าวคราวของหญิงสาวคนนั้นอยู่เนือง ๆ ท้ายสุดก็จบลงตรงที่มีเสี่ยเต็นท์รถรับไปอุปการะอย่างเป็นทางการแล้ว ส่วนสุรเสกข์นั้นเขาไม่แน่ใจนักว่าจะทราบข่าวอะไรบ้างหรือไม่ในเมื่อเพิ่งกลับมา

“เป็นอย่างนั้นก็ดีแล้ว ว่าแต่จะขนแฟ้มไปเลยไหม จะได้บอกคุณษรให้พาเด็ก ๆ มาช่วยขน คงเอาไปแต่แฟ้มไม่ได้หรอก ต้องเอาที่เก็บมันไปด้วย”

“เอาไว้ตอนใกล้เลิกงานก็ได้ครับ ตอนนี้ผมขอบางแฟ้มไปดูก่อนเพราะยังไม่รู้จะเริ่มทำอะไรตรงไหน”

“ว่างก็เรียนงานกับคุณษรสิ เอ่อ...แต่อย่าเพิ่งไปกวนเธอเลย พ่อกำลังให้ร่างจดหมายอยู่”

“งั้นผมลงไปโชว์รูมแล้วก็แอบไปร่อนข้างนอกสักหน่อยดีกว่า รอให้เลิกงานเดี๋ยวค่ำมืด แม่จะรอ”

“จะไปไหนล่ะ”

“ไปดูเสื้อผ้าใหม่สักหน่อยครับ ที่ส่งมาทำไมยังไม่ถึงก็ไม่รู้”

“ก็ให้แม่เค้าไปช่วยดูให้สิ จะได้เปิดหูเปิดตา วัน ๆ หมกตัวอยู่แต่ในบ้านแล้วก็บ่นเบื่อ”

น้ำเสียงของคุณสุพลที่ฟังดูเหมือนยังอาทรกันอยู่ลึก ๆ และไม่ได้มีเค้าของความรำคาญเจือปนมาด้วยแต่อย่างใด ทำให้สุรเสกข์นึกเบาใจขึ้นมาบ้าง เพราะเขาเองก็ไม่อยากเชื่อว่าผู้เป็นพ่อจะทำตัวเหลวไหล ในเมื่อตั้งแต่กลับมาเมืองไทยก็ได้ทานข้าวมื้อเย็นที่บ้านด้วยกันทุกวัน

“ก็จริงนะครับ งั้นเสร็จจากที่โชว์รูมแล้วผมกลับไปรับดีกว่า ไปแล้วนะครับ”

ขาดคำร่างสูงก็ลุกขึ้นแล้วหมุนกายมุ่งหน้าตรงไปยังประตู คุณสุพลมองตามแล้วลอบระบายลมหายใจ เมื่อหวนนึกไปถึงหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งตกปากรับคำกันเป็นมั่นเหมาะแล้วว่าจะมาเริ่มต้นทำงานที่นี่ในตำแหน่งเลขานุการด้วยวุฒิการศึกษาวิทยาศาสตร์บัณฑิต วิชาเอกเคมี หากแต่คำพูดของสุรเสกข์ที่ย้ำชัดว่าเขาไม่ต้องการได้เลขาหน้าใหม่ ความกังวลของคุณสุพลจึงค่อยคลายลง



สุรเสกข์สามารถหว่านล้อมเอาตัวคุณมยุรินไปเดินห้างสรรพสินค้าด้วยกันได้อย่างไม่ยากลำบากนัก ด้วยพอเขาหยิบยกเอาเหตุผลเรื่องเครื่องแต่งกายที่ยังส่งมาไม่ถึงและมีความจำเป็นต้องใช้เพราะเริ่มต้นไปทำงานเป็นจริงเป็นจังแล้ว คนเป็นแม่จึงยินยอมออกจากบ้านไปด้วยกันโดยไม่ขัด

“รู้ไหมครับว่าพ่อก็ยังเป็นห่วงแม่อยู่นะ”

เมื่อพากันขึ้นบันไดเลื่อนมุ่งหน้าสู่แผนกเสื้อผ้าบุรุษ สุรเสกข์ที่เดินเคียงข้างมารดาก็เอ่ยออกมาตามที่ตนรู้สึก ก่อนจะส่ายหน้าเมื่อได้ยินเสียงของอีกฝ่ายดังมาราวกับไม่ยอมเชื่อ

“รู้ได้ยังไง”

“ก็พ่อนั่นแหละครับเป็นคนออกความคิดว่าให้ผมกลับบ้านไปรับแม่มาเดินเลือกเสื้อผ้าด้วยกัน พ่อรู้ด้วยว่าแม่เบื่อการอยู่บ้านว่าง ๆ”

“รู้ดีขนาดนั้นเชียว”

“ก็ผมบอกแล้วไงครับว่าพ่อไม่ได้ลืมแม่หรอก แค่กลับดึกบ้างมีธุระไปนั่นไปนี่บ้างก็แค่นั้น ตามประสานักธุรกิจ”

คุณมยุรินปิดปากเงียบไม่เถียง ดีเหมือนกันที่สุรเสกข์เชื่อว่าพ่อของเขายังสนใจไยดีในตัวภรรยาอยู่ ไม่ใช่ต่างคนต่างมีมุมเล็ก ๆ ในชีวิตเหมือนที่นางรู้สึกมาตลอดช่วง 2 ปีให้หลังนี้

“เราเองก็กำลังจะเป็นนักธุรกิจ จะทำตัวแบบนั้นด้วยไหม”

พอถูกถามดักคอแกมประชด สุรเสกข์ก็ยกมุมปากขึ้นยิ้มด้วยนึกขำในท่าทีของผู้เป็นแม่ รู้จากสัญชาติญาณว่านางคงไม่นึกนิยมแน่นอนหากเขาจะออกเที่ยวเตร่หลังเลิกงานแล้วกลับเข้าบ้านดึก ๆ ดื่น ๆ

“ก็ต้องทำสิครับ เหตุผลมันมีหลายอย่าง อย่างแรกก็สังคม เพื่อนฝูง สาว ๆ แล้วก็เหตุผลทางธุรกิจ รับรองลูกค้า”

“อะไรนะ สาว ๆ เหรอ อย่ามาคุย ไหนวันก่อนบอกว่าเพิ่งอกหัก”

“ก็มันหักแค่นิดเดียว ต่อไปนี้ก็จะตั้งหน้าตั้งตาหาใหม่ไงครับ”

“หาแถวไหน ในผับในบาร์รึ นี่...แม่จะบอกให้ว่าคนดีเค้าก็จะอยู่ในที่ดี ๆ ไปหาในที่อย่างนั้นคิดเอาเถอะว่าจะได้คนแบบไหนมา”

“งั้นก็ต้องไปหาในวัดน่ะสิแม่ งานนี้คงได้แม่ชีมาชัวร์”

“วุ้ย...บาปกรรมไปกันใหญ่ ไม่พูดด้วยแล้วลูกคนนี้นี่”

สุดท้ายคุณมยุรินก็ตัดบทด้วยความหมั่นไส้แกมเอ็นดู รู้ว่าลูกชายแสร้งพูดให้ขำเท่านั้นเอง

“ถึงแล้ว จะเอาอะไรมั่ง”

พนักงานขายที่เห็นลูกค้าคู่แม่ลูกมาหยุดยืนและมองแค่แวบเดียวก็รู้ว่าต้องไม่ใช่ธรรมดา รีบปราดเข้ามาทักทาย ก่อนจะนำเสนอเสื้อผ้าหลากสีหลายแบบให้กับสุรเสกข์ ซึ่งเจ้าตัวก็ทำหน้าที่แค่ชี้นิ้วพร้อมระบุขนาดและจำนวนอยู่หน้าเคาน์เตอร์โดยไม่คิดจะลองสวมของจริง ค้านกับความเห็นของคุณมยุริน

“ไม่ลองสวมดูก่อนสักหน่อยเหรอเสกข์ เดี๋ยวใส่ไม่ได้ เป็นภาระต้องเอากลับมาเปลี่ยนวันหลังอีก”

“ไม่เป็นไรครับ ผมใส่เสื้อไซส์นี้อยู่แล้ว”

“แล้วกางเกงล่ะ ไปลองสักหน่อยเถอะแม่ว่า เค้ามีบริการตัดขาสอยชายให้ด้วย ลองใส่แล้วจะได้ตัดออกมาพอดี”

พอขัดคนเป็นแม่ไม่ไหวเพราะเหตุผลที่ถูกหยิบยกขึ้นมากล่าวอ้างนั้นก็ล้วนแต่สมควรทำตามทั้งสิ้น ดังนั้นเมื่อรับกางเกงมาจากพนักงานขายได้ เขาก็เดินตรงไปยังห้องลองเสื้อผ้าตามที่ฝ่ายนั้นผายมือบอกทางทันที

ห้องลองเสื้อผ้าที่มีผ้าม่านกั้นเอาไว้นั้นดูไม่แน่นหนานัก แต่เมื่อคิดว่าคนที่มาใช้บริการน่าจะเป็นลูกค้าผู้ชายเหมือนกัน สุรเสกข์จึงไม่คิดอะไรมาก พอไปถึงหน้าห้องก็ดึงชายเสื้อตัวที่กำลังใส่อยู่ติดกายออกนอกกางเกง ก่อนจะปลดเข็มขัดแล้วรูดซิปตามพลางก้าวขาเข้าไปหลังม่านซึ่งเป็นห้องสี่เหลี่ยมขนาดไม่ได้กว้างขวางมากนัก ทว่า...

“อุ๊ย...ว้าย...”

เสียงใสของใครบางคนอุทานออกมา ทำให้ร่างที่กำลังเตรียมจะถอดกางเกงถึงกับชะงักมือ มองเจ้าของเสียงด้วยความตื่นตะลึงไม่แพ้กัน และหากให้เดาอายุ เขาก็คิดว่าคงจะราว ๆ 20 ปี

“ขุ...คุณเข้ามาได้ยังไง ยี้”

เสียงใสฟังดูร้อนรนเอ่ยถามขณะมือไม้ที่หยิบจับอะไรไม่ถูกก็กอดเสื้อผ้าแนบอกอันมีแค่บราตัวจิ๋วปิดบังสายตา

“อ้าว...ก็นี่มันห้องลองเสื้อผ้าของผู้ชายไม่ใช่เหรอ คุณนั่นแหละเข้ามาได้ยังไง”

สุรเสกข์เถียงเพราะขัดใจในเสียง ‘ยี้’ ที่ดังมากระทบโสตประสาทอย่างชัดเจนนั้นยิ่งนัก

“ก็...ก็...ฝั่งโน้นมันเต็ม แล้วพนักงานขายเค้าบอกว่าจะเฝ้าหน้าห้องให้นี่ คุณก็ช่วยออกไปก่อนสิ”

“เรื่องอะไร ออกไปผมก็อายคนสิ”

พอได้ยินเสียงร้องอันบ่งบอกถึงความรังเกียจหรือขยะแขยงก็สุดจะเดานั้นดังมาจากคนที่ลนลานจนทำอะไรไม่ถูก สุรเสกข์ก็นึกอยากจะแกล้งให้สมกับที่เธอมาบังอาจมาทำร้ายความรู้สึกเขา ดังนั้นแทนที่จะรีบดึงกางเกงซึ่งถูกรูดซิปลงจนเห็นกางเกงชั้นในสีขาวขึ้นมาให้เรียบร้อย เขากลับยืนมองใบหน้าเรียวสะอาดสะอ้านที่คอยเปลี่ยนสีจากแดงเรื่อสลับซีดเผือดเพราะความตระหนกตกใจอย่างนึกขำ

“งั้นก็หยุดยืนอยู่ตรงนั้น ห้ามขยับตัว ไม่งั้นฉันจะร้องให้คนช่วยจริง ๆ ด้วย”

แม้จะยังอยู่ในภาวะคับขันแถมสถานที่ก็ยังแทบไม่พอให้แมวดิ้นตายจนทำให้ทั้งเขาและเธออยู่ใกล้กันแค่เอื้อม หากแต่หญิงสาวที่มือก็ต้องคอยกอดเสื้อผ้าปิดบังเรือนกายท่อนบนเอาไว้ ยังไม่วายจะส่งเสียงขู่ สุรเสกข์จึงได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอา

“นี่...แม่คุณ ใครจะทำอะไรคุณ กลัวนักก็ออกไปข้างนอกเลยไป”

ชายหนุ่มว่าอย่างหัวเสีย เพราะหน้าตาเขาออกจะเป็นคนดีมีคุณธรรมแต่กลับถูกหญิงสาวมองแล้วร้อง ‘ยี้’ จนเกือบสูญเสียความมั่นใจ

“บ้า ฉันจะออกไปทั้งที่โป๊อยู่แบบนี้ได้ยังไง คุณนั่นแหละออกไป”

“เรื่องอะไร ธุระไม่ใช่”

“แต่ฉันเข้ามาก่อน”

“นี่มันห้องผู้ชาย ถ้าผมออกไปตอนนี้แล้วมีใครรู้ ผมก็เสียหน้า แถมคุณนั่นแหละที่จะต้องได้อายชาวบ้าน จะทำอะไรก็รีบทำ แล้วผมจะได้ทำธุระของผมบ้าง พูดมากชักช้าเดี๋ยวก็ถอดมันตรงนี้เสียเลย”

“อย่านะ ฉันไม่ลองแล้วก็ได้ จะรีบใส่เสื้อผ้าและออกไปข้างนอก คุณห้ามมองนะ หันหน้าไปก่อน”

ขาดคำร่างบางก็หมุนตัวหันหลังมาให้ สุรเสกข์ที่ถูกหญิงสาวตัวเล็กทำใจดีสู้เสือออกคำสั่งเสียงสั่น จึงยอมหันหลังให้แต่โดยดี

ก่อนคิ้วหนาจะเลิกขึ้นพร้อมกับคลี่ยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าตรงหน้าเขาก็มีกระจกเงาบานใหญ่ตั้งอยู่เหมือนกัน ดังนั้นต่อให้ต้องยืนหันหลัง หากแต่เงาของใครบางคนที่กำลังพยายามกลับด้านเสื้อผ้าเพื่อสวมมันก็ยังสะท้อนออกมาให้เขาเห็นทุกอิริยาบถอยู่ดี ที่สำคัญคือเห็นได้รอบตัวเพราะฝั่งที่เธอยืนก็มีกระจก!

ภาพของไหล่บางที่ลาดเอียงลงสู่ต้นแขนกลมกลึงนั้นช่างขาวเนียนผุดผ่อง ทั้งแผ่นหลังอรชรที่สอบลงรับเอวกิ่วคอด ไม่มีเหตุผลใดเลยที่จะทำให้สุรเสกข์ไม่เชื่อว่าภายใต้อาภรณ์ท่อนล่างที่ปิดบังสายตาต้องมีสะโพกผายงอนงามซ่อนอยู่ เหตุที่มั่นใจอย่างนั้นเพราะดูอย่างทรวงอกของเธอสิ ต่อให้มีบางอย่างห่อหุ้มโอบอุ้มไว้ เขาก็ยังเห็นมันแทบล้นทะลักด้วยขนาดที่สวนทางกับความบอบบางอ้อนแอ้นของร่างกาย

“ว้าย แล้วคุณจะรีบถอดทำไมตอนนี้ล่ะ”

หลังจากได้ยินเสียงสวบสาบและมันก็เงียบหายไปชั่วอึดใจ เสียงอุทานของเธอก็ดังขึ้นอีก คราวนี้ก็ทำเอาสุรเสกข์เริ่มยัวะ

“ก็คุณช้านักนี่ สวมเสื้อผ้าแค่นี้เอง หยุดเถียงนะ ไม่พอใจก็เดินโทง ๆ ออกไปเลย”

สุรเสกข์ท้า ในขณะที่ปากก็ว่าส่วนมือก็ขยับกางเกงตัวเดิมออกจากร่างกายแบบไร้ซึ่งความเก้อเขินใด ๆ ร้อนถึงเจ้าของตาโตต้องบังคับให้จับจ้องอยู่เฉพาะใบหน้าของเขาเท่านั้น

“ฉันแต่งตัวเสร็จแล้วย่ะ”

หญิงสาวว่าก่อนจะเดินแบบขาดความมั่นใจผ่านหน้าเขาเพื่อออกไปข้างนอก และเพราะความคะนองที่แล่นวูบขึ้นมา ด้วยเห็นใบหน้าเรียวของคนที่เถียงเขาอย่างไม่ลดละซับสีระเรื่อน่ามอง สุรเสกข์จึงทนเก็บปากเก็บคำไม่ไหว

“ผมเห็นแล้ว จากในกระจกนี่”

ดูเหมือนคำพูดประโยคนี้จะอานุภาพแรง เพราะร่างบางที่เตรียมก้าวขาออกไปทั้ง ๆ ที่ยังไม่ลองสวมเลยแม้แต่น้อย ได้หยุดกึกแล้วก้าวเท้าถอยหลังกลับเข้ามาอีก นิ้วเรียวชี้หน้าต่อว่าเขาเสียงสั่น

“คุณมันเป็นผู้ชายที่แย่ที่สุด ฉวยโอกาส โรคจิต ลามก บ้ากาม”

“อะไรกัน ก็คุณไม่ใช่เหรอที่บอกให้ผมหันหน้าไป แล้วกระจกมันก็อยู่ตรงนี้ คุณโชว์ให้ผมดูเองจะให้ผมยืนหลับตารึไง ขอโทษ...ผมไม่ใช่ฤๅษีกลางป่า”

“เชอะ พูดออกมาได้ทุ...”

“อ๊ะ ห้ามด่าผมอีกนะ ขืนด่าอีกคำเดียว วันนี้คุณมีสิทธิ์ได้สามีแบบนั้นแน่ ๆ”

สุรเสกข์ว่าพลางชี้นิ้วปรามสีหน้าจริงจัง ซึ่งพอเห็นร่างบางสะบัดหน้าแล้วหายลับไปในทันที เขาจึงได้แต่หัวเราะหึ ๆ ด้วยความชอบใจ

สุดท้ายการลองสวมกางเกงที่กำลังจะควักเงินซื้อก็ผ่านไปด้วยดี ต่อให้เจ้าตัวจะรู้สึกว่าเป้ากางเกงค่อนข้างตึงไปกว่าปกตินิดหน่อยก็ตาม



ปาริชาตเดินออกมาจากห้องลองเสื้อด้วยความเสียศูนย์ ก่อนจะตรงดิ่งไปยังพนักงานขายที่มาคะยั้นคะยอให้เธอเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องลองเสื้อฝั่งผู้ชายแล้วรับประกันว่าจะอยู่เฝ้าด้านนอก หากแต่กลับไปยืนคุยอยู่กับหญิงสูงวัยแต่งกายด้วยเสื้อผ้าราคาแพงคนหนึ่ง

“คุณคะ ไหนคุณรับปากนักหนาว่าจะไปยืนเฝ้าอยู่หน้าห้องให้ไง แล้วทำไมมัวแต่มายืนคุยอยู่ตรงนี้”

ปาริชาตเอ่ยถ้อยคำตำหนิเสียงขุ่น ไม่อยากส่องกระจกดูใบหน้าตัวเองตอนนี้เลยว่าจะกลายเป็นนางมารร้ายไปแล้วหรือยัง ทางฝ่ายพนักงานขาย พอได้เห็นลูกค้าแสดงความไม่พอใจออกมาเช่นนี้ เธอก็ออกอาการตกใจ

“โอ๊ะ...ตายจริง ขอโทษค่ะ พอดี...”

“ถ้าฉันถูกผู้ชายปล้ำในห้องลองเสื้อ คุณจะรับผิดชอบไหม”

“ต้องขอโทษจริง ๆ ค่ะคุณ”

คำขอโทษของพนักงานขายที่เริ่มมีสีหน้าไม่สู้ดีนั้น ไม่ได้ทำให้อารมณ์เดือดดาลในใจของปาริชาตสงบลงได้เลย ฉะนั้นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายจนคำพูดนอกจากขอโทษขอโพยออกมาอีกหนเท่านั้น เธอจึงไม่รีรอที่จะยัดเสื้อตัวสวยซึ่งเกือบตกลงใจเป็นเจ้าของกลับคืน แถมสำทับด้วยคำพูดที่บอกให้อีกฝ่ายรู้ว่าการเจรจาตกลงกันที่มีขึ้นก่อนหน้านี้ทั้งหมดถือเป็นโมฆะ

“พอแล้วค่ะ คุณไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เอาเสื้อผ้าที่คุณบอกว่าจะลดราคาให้เป็นพิเศษนี้กลับคืนไป”

“โธ่...คุณคะ อย่าเพิ่งตัดสินใจทำแบบนี้เลยค่ะ เสื้อตัวนี้เหมาะกับคุณจริง ๆ นะคะ แถมราคาก็ยังลดให้อีกเป็นพิเศษด้วย ใจเย็น ๆ แล้วไปลองใหม่ได้ไหมคะ ห้องทางฝั่งโน้นว่างแล้วค่ะ”

หญิงสาวในชุดยูนิฟอร์มติดตรายี่ห้อสินค้าบนอกเสื้อยังคงเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อมและสำนึกผิด หากแต่ทางฝ่ายปาริชาตก็ไม่ยอม เธอปฏิเสธหนักแน่นจนคนที่คิดว่าตัวเองต้องชวดยอดขายตัวนี้จริง ๆ แล้วนั้นอ่อนใจ ร้อนถึงคุณมยุรินที่ยืนเป็นสักขีพยานอยู่ตรงนั้นต้องพลอยรู้สึกผิดตามไปด้วย เพราะนางเป็นคนเรียกพนักงานขายคนนั้นมาสอบถามเรื่องสินค้า

“เอ่อ...หนู ฉันต้องขอโทษหนูด้วยนะที่เป็นคนไปเรียกพนักงานเค้ามาถาม”

ความที่เห็นลูกชายหยิบเสื้อเชิ้ตสำหรับใส่ทำงานแล้วร่วมครึ่งโหล คุณมยุรินจึงนึกไปถึงสามี ดังนั้นเมื่ออยากเห็นรายละเอียดของเสื้อผ้าที่แขวนอยู่หากแต่สูงเกินมือเอื้อมถึง นางจึงจำเป็นต้องเรียกพนักงานขายที่ยืนเฉยอยู่ตรงนั้นนำลงมาให้ ไม่คิดเลยว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้

“ไม่เกี่ยวกับคุณหรอกค่ะ ถ้าเค้าไม่โลภและบอกคุณว่ามีหน้าที่ยืนเฝ้าหน้าห้องให้ลูกค้า มันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถ้าเป็นคนอื่นเค้าอาจจะไปฟ้องหัวหน้าคุณแล้วก็ได้”

คราวนี้สีหน้าที่ไม่สู้ดีของพนักงานขายคนเดิมก็ยิ่งดูซีดลง จนคุณมยุรินนึกสงสาร

“เอาล่ะ ฉันขอโทษด้วยก็แล้วกันที่มีส่วนทำให้หนูยุ่งยากใจ เอาเป็นว่าเสื้อตัวนั้นฉันขอซื้อให้แทนคำขอโทษจะได้ไหม”

เมื่อเห็นว่าเรื่องราวกำลังจะบานปลาย คุณมยุรินจึงเสนอความรับผิดชอบเพราะดูไม่ยุติธรรมนักหากจะปล่อยให้พนักงานขายคนนั้นต้องรับกรรมแต่เพียงฝ่ายเดียว ที่สำคัญตอนนี้คำว่า ‘ฟ้องหัวหน้าคุณ’ ก็ทำให้ต่อมน้ำตาของหล่อนใกล้จะแตกอยู่รอมร่อแล้ว

“มีอะไรกันเหรอครับแม่”

เสียงเอ่ยถามของสุรเสกข์ ที่แม้จะไม่ดังมาก แต่ก็ดูเหมือนจะทำให้ทุกอย่างชะงักความตึงเขม็งไว้ได้ชะงัด ที่สำคัญลูกค้าสาวน้อยอีกคนนั้นก็เริ่มออกอาการถอยกรูด ภายหลังเงยหน้าขึ้นมองตามเสียงที่ได้ยินเหมือนเช่นอีก 2 คนที่เหลือ

“อ๋อ...เกิดเหตุแย่งพนักงานขายกันนิดหน่อย แม่ผิดเองล่ะลูก”

“อ้อ...คุณนั่นเอง”

เสียงทุ้มของสุรเสกข์ที่ดังขึ้น แถมมุมปากหยักที่ยกขึ้นยิ้มขณะจับสายตาอยู่ที่ใบหน้าเรียวของหญิงสาวคู่กรณีปากตะไกรนั้นสร้างความแปลกใจให้กับคุณมยุรินเป็นอันมาก

“รู้จักกันเหรอเสกข์”

“ครับ...ก็เมื่อกี้ นี่คุณ...ทำไมปล่อยให้ผู้หญิงเข้ามาใช้ห้องลองเสื้อผู้ชายล่ะ”

สุรเสกข์พูดค้างไว้ก่อนจะหันไปเอ่ยถามเอากับพนักงานขาย ไม่สนใจว่าฝ่ายนั้นจะตกอยู่ในอาการย่ำแย่มากเพียงใด และก่อนที่เธอจะเอ่ยคำแก้ตัวออกมาด้วยสีหน้าท่าทางเลิ่กลั่ก ปาริชาตที่คิดว่าเธอทนยืนอยู่ต่อหน้าผู้ชายผิวขาวจัดใบหน้าคมเข้มที่ส่งสายตาโลมเลียมาให้ต่อไปอีกไม่ไหว จึงไขก๊อกขอแยกตัวไป

“เอ่อ...ฉันขอตัวค่ะ”

ขาดคำปาริชาตก็หันหน้าจ้ำอ้าวออกไปในทันที พนักงานขายที่เริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะเข้าตาจนอีกครั้งจึงไม่คิดจะรั้งตัวเธอเอาไว้อีก จำใจยอมปล่อยยอดขายนั้นหลุดมือไปแก้ภาวะวิกฤตให้ตนเอง



ความที่ได้เห็นหญิงสาวเบิกตาโตเป็นประกายออกกว้าง ขณะเห็นสุรเสกข์มาสมทบพร้อมกางเกงสแล็คสีดำตัวใหม่ในมือ ก่อนล่าถอยไปราวกับไม่ต้องการติดใจเอาความอะไรอีก ทั้งที่ก่อนหน้ายังยืนกรานจะเอาผิดกับพนักงานขายให้ได้ สร้างความกังขาให้กับคุณมยุรินจนนางต้องบอกตนเองว่าจะไม่มีทางปล่อยให้เรื่องราวผ่านไปโดยไม่ได้รับความกระจ่าง

ดังนั้นเมื่อชำระค่าสินค้าแล้วและเดินทอดน่องดูนั่นดูนี่อยู่กันเพียงลำพัง คนเป็นแม่จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

“เสกข์ ลองอธิบายให้แม่ฟังสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น แล้วเป็นเราใช่ไหมที่เข้าไปในห้องลองเสื้อที่หนูคนนั้นเค้าใช้อยู่

“อ้าว...ทำไมแม่ถามอย่างนี้ล่ะครับ ผมจะไปรู้ได้ยังไงว่ามีคนอยู่ในนั้น”

“แม่เองแหละที่ไปเรียกพนักงานขายคนนั้นมาถาม เพราะตอนแรกเห็นเค้ายืนเฉยอยู่ ก็นึกว่าว่าง”

“มันเป็นห้องลองเสื้อผ้าของผู้ชายนี่แม่ ใครจะคิดว่ามีผู้หญิงอยู่ในนั้น”

ความที่ไม่คิดว่าจะมีผู้หญิงอยู่ในนั้นนี่แหละ ที่ทำให้สุรเสกข์เริ่มปลดตะขอและรูดซิปกางเกงลงเสียตั้งแต่ยังไม่ทันจะได้ก้าวเท้าเข้าไปในห้องแคบ ๆ นั่น

“แล้วเสกข์เห็นอะไรมั่ง”

“แล้วแม่คิดว่าผู้หญิงที่กำลังจะลองเสื้อ เธอมีสภาพเป็นยังไงล่ะครับ หึ...”

“ตายจริง นี่...ยังมีหน้ามาหัวเราะนะเรา”

คุณมยุรินอุทานออกมาก่อนจะตีแปะเข้าไปที่ต้นแขนของลูกชาย ที่ยังมีหน้าหลุดเสียงหัวเราะออกมาให้ได้ยิน ไม่ว่าเสียงนั้นจะเป็นตัวแทนของความขบขัน ชอบใจหรือคึกคะนอง นางก็คิดว่าไม่ควรจะมีมาให้ได้ยิน ต่อให้คนที่เสียหายจะไม่ใช่คนรู้จักก็ตาม

“ผมไม่เอาเรื่องพนักงานขายคนนั้นอีกคนก็บุญแล้ว”

“บ้า...ขืนไปเอาเรื่องเค้าก็น่าเกลียด ตัวเองเป็นผู้ชาย มีอะไรเสียหายตรงไหน”

คุณมยุรินยังจำสีหน้าที่พร้อมจะปล่อยโฮของพนักงานขายคนนั้นได้ดี ซึ่งความสำนึกผิดที่มีส่วนทำให้เกิดความชุลมุนก็ทำให้นางอยากแก้ต่างแทนคนที่อยู่ในภาวะปฏิเสธฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ได้อย่างพนักงานขายคนนั้น

“เมื่อกี้ก็ไม่น่าไปตำหนิเค้าเลยว่าปล่อยให้ผู้หญิงเข้ามาลองเสื้อผ้าในห้องลองของผู้ชายได้ยังไง ก็เค้าเฝ้าอยู่ แต่แม่นั่นแหละที่ไปเรียกเค้ามาถาม”

“ผมแค่ไม่อยากให้เขาทำแบบนี้อีกในวันหน้า ก็เท่านั้นเอง”

สุรเสกข์ว่าด้วยสีหน้าระบายรอยยิ้ม จริง ๆ แล้วเขาก็ถูกด่าโดยไม่มีเหตุจำเป็นเช่นกัน แต่ในเมื่อสิ่งที่ได้เห็นเต็มตาในวันนี้ ลับ ลวง พราง จนจุกอกและไม่อาจไปขยายความต่อได้อีกไม่ว่ากรณีใด ๆ ทั้งสิ้น คำด่าที่ได้รับเขาก็จะถือว่าหายกัน



ปล.ผิดพลาดประการใด ติติงแนะนำมาได้นะคะ ^_^




บุษบาฮาวาย
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 มี.ค. 2556, 21:03:13 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 มี.ค. 2556, 21:03:13 น.

จำนวนการเข้าชม : 1686





<< ตอนที่ 2   ตอนที่ 4 >>
วนัน 21 มี.ค. 2556, 11:31:29 น.
มารอคะ


หยองตอด 22 มี.ค. 2556, 01:23:30 น.
อ้าว คิดว่านางเอกจะเป็นผู้หญิงคนแรกซะอีก รอตอนต่อไปจ้า ;)
ปล. อะไหล่รถยนต์ สะกดถูกแล้วหนิคะ


ree 26 มี.ค. 2556, 22:29:47 น.
นางเอกคือคนที่ลองเสื้อใช่หรือเปล่า


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account