ลิขิตรักในสายลม # จุฬามณี
รัก หวานๆ ขม ของสาวไทยกับหนุ่มมาเลย์
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: 22.

ตอนที่ 22

เสียงเคาะประตูห้องทำให้ปวุฒิที่อยู่ในชุดกางเกงบ็อกเซอร์เสื้อกล้ามสีขาวนอนซุกตัวอยู่ภายใต้ผ้านวมต้องค่อย ๆ เปิดเปลือกตาที่หนักอึ้งของตน และพอยกนาฬิกาที่ข้อมือมาดูเวลาเขาก็รีบดีดตัวลุกขึ้นตามความเคยชิน เขาชินกับการทำงานจนเหนื่อยกลับมาถึงบ้านอาบน้ำแล้วก็ล้มตัวลงนอน บางครั้งตั้งนาฬิกาปลุกไว้จวนแจกับเวลานัดเพื่อที่จะรีบร้อนลุกขึ้นมาแต่งตัวออกจากบ้าน แต่ว่าครั้งนี้นอกจากนอนดึกแล้วเขายังรู้สึกหนักหัวเพราะฤทธิ์ของเบียร์ที่กินไปเมื่อตอนเย็น ผสมกับเหล้าที่กินแบบท้าชนกับหลินฮันหมิงเพราะอยากเอาชนะแบบลูกผู้ชาย ผลก็คือ ทั้งเขาและหลินฮันหมิงนั้นถูกหามปีกกลับโรงแรม

เสียงเคาะประตูยังดังกระชั้นก่อนจะมีเสียงแหลมเล็กลอดเข้ามาสองเสียง เป็นเสียงของณิชกานต์ประสานกับเสียงของวรรณรดา

“รู้แล้ว ๆ” เขาตะโกนเสียงดังตอบกลับไปก่อนจะโผไปเปิดประตูให้แล้ววิ่งถลากลับมายังเตียงนอนตลบผ้าห่มคลุมท่อนล่างของตัวเอง สองสาวพากันก้าวตามเข้ามาในห้องโดยกลิ่นน้ำหอมนั้นนำทางมาก่อน ปวุฒิดึงหมอนขึ้นมาปิดหน้าเพราะไม่อยากให้สองสาวเห็นสภาพพระเอกสุดหล่อที่เพิ่งตื่นนอน

“เป็นอย่างไรบ้างคะ” เสียงหวานของวรรณรดาร้องถาม

“ปวดหัว”

“แล้วจะไปเที่ยวไหวไหมเนี่ย”

ปวุฒิยังไม่ทันตอบณิชกานต์ก็ขัดขึ้นมา

“คุณดาเดี๋ยวนิดกลับห้องก่อนนะ ปวดห้องน้ำน่ะ”

“อ้าว เข้าที่นี่ก็ได้”

“ไม่เอาค่ะ กลับห้องดีกว่า” ว่าแล้วณิชกานต์ก็ผลุนผลันจากไปทิ้งวรรณรดาไว้กับปวุฒิ แต่ว่าณิชกานต์ก็ไม่ได้ปิดประตูห้องจนสลักทำงานเพียงแต่ปิดแย้ม ๆ ไว้เท่านั้น วรรณรดาจึงหันไปคุยกับคนบนเตียงต่อ

“พี่ปุ้มเป็นอย่างไรบ้างค่ะ” ช่วงไหล่ต้นแขนที่เห็นทำให้วรรณรดากลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ปวุฒิเอาหมอนออกจากหน้าก่อนจะค่อย ๆ ถดตัวพิงพนักที่นอน มองวรรณรดาที่อยู่ในชุดกางเกงยีนเสื้อสีชมพูอ่อนกรุยกรายที่มองตนอยู่

“ปวดหัวครับ”

“กินยาไหม”

“ไม่ดีกว่า เดี๋ยวอาบน้ำแล้วคงจะดีขึ้น นี่มันกี่โมงแล้วครับ” อันที่จริงเขารู้ว่าตอนนี้ เกือบสี่โมงเช้าแล้วแต่เขาก็ถามไปอย่างนั้นเอง

“จะสี่โมงแล้วค่ะ”

“วันนี้เราจะไปไหนกันบ้างครับ”

“คุณนิดอยากไปเมอร์เดกาสแคว์ค่ะ” เมอร์เดกาสแคว์ (Merdeka Square) หรือ จัตุรัสเมอร์เดกา ตั้งอยู่ ณ จุดบรรจบของแม่น้ำคลางกับน้ำแม่กอมบัก ถือเป็นศูนย์กลางของเมืองในแง่ประวัติศาสตร์การก่อเกิดประเทศเมเลเซีย เป็นสถานที่ที่ธงชาติอังกฤษเจ้าอาณาณิคมถูกปลดลงจากเสาแล้วแทนที่ด้วยธงชาติมาเลเซีย เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2500 นับเป็นวันชาติของมาเลเซีย ซึ่งคำว่า ‘เมอร์เดกา’ หมายถึง เอกราช

ด้วยก่อนหน้านั้นวรรณรดาบอกเล่าไว้แล้วว่าที่ในเมืองกัวลาลัมเปอร์มีอะไรตรงจุดไหนน่าสนใจบ้าง ปวุฒิจึงตอบกลับมาว่า “ไปกันตอนจะเที่ยงวันแบบนี้ไม่ร้อนตับแลบเลยเหรอครับ เปลี่ยนที่ไปดีกว่าไหม”

“จะไปขึ้นตึกแฝด ก็ต้องต่อคิวยาวค่ะ แล้วอีกอย่างตอนบ่าย ๆ พี่รุตก็จะกลับเมืองไทยแล้ว”

วิศรุตจะกลับเมืองไทยเที่ยวบินเย็น แต่ว่าณิชกานต์ยังคงอยู่เที่ยวต่อเพราะหญิงสาวจองเที่ยวบินขากลับเที่ยวบินเดียวกับปวุฒิ วรรณรดา ขวัญชีวีและทีมงาน ดังนั้น วันนี้และพรุ่งนี้ทั้งวันกับหนึ่งคืน ณิชกานต์ยังต้องอยู่กับพวกเขา อยู่โดยที่ปวุฒิไม่ได้รู้สึกลำบากใจเพราะว่าณิชกานต์กับวรรณรดาเข้ากันได้ดีเกินคาด และณิชกานต์ก็ทำตัวเหมือนน้องสาวที่ตามมาเที่ยวด้วยเท่านั้น ไม่ได้ทำทีท่าจะแย่งชิงความรู้สึกดี ๆ ที่เขาควรจะมีให้วรรณรดาเลยสักนิด

แต่เขาเองเมื่อเห็นวิศรุตทำท่าจะจริงกับณิชกานต์ขึ้นมาความรู้สึกหึงหวงและรู้สึกห่วงใยก็ทวีความรุนแรงขึ้น เขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน แต่เมื่อเทียบอารมณ์ของเขาเมื่อได้อยู่ใกล้กับผู้หญิงสองคนนี้แล้ว เขารู้สึกว่ายามที่เขาอยู่กับณิชกานต์เขามีความสุขมากกว่า

ส่วนวรรณรดานั้นแม้จะรู้สึกว่าเธอรักและแคร์ความรู้สึกเขามาก แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าเธออยู่สูงสุดสอย มันเหมือนของที่ไม่ได้คู่ควรกัน วรรณรดาไม่ได้เกิดมาเพื่อเขา แต่เขาก็ไม่รู้จะตัดไม่ตรีวรรณรดาให้เด็ดขาดอย่างไร

ปวุฒิหลับตาครุ่นคิด วรรณรดาจึงถือวิสาสะเดินไปหยุดข้างเตียงขอเขาก่อนจะใช้หลังมืออังไปที่หน้าผาก “ไม่สบายหรือเปล่าคะ”

“พิษเหล้ามากกว่าครับ ผมไม่ได้มีไข้หรอก” ปวุฒิเอียงศีรษะหนีหลังมือเพียงแค่นั้นวรรณรดาก็รู้สึกได้ว่าเขาไม่ได้ต้องการการแสดงเอาใจใส่จากตัวเธอ แต่วรรณรดาก็หัวเร็วพอจะแก้เก้อ โดยรีบพูดเรื่องกำหนดการ

“เมื่อเช้านี้เราเซ็ทโปรแกรมกันใหม่ค่ะ งานของขวัญจะเสร็จตอนบ่าย ๆ เพราะมีถ่ายนอกสถานที่แค่นิดหน่อยเอง ดากับขวัญอยากไปมะละกากัน คุณมาร์คก็เลยขันอาสาขับรถพาไป เราจะไปค้างที่มะละกากันสองคืน วันรุ่งขึ้นก็นั่งรถกลับมาขึ้นเครื่องกลับเมืองไทยพร้อมคณะค่ะ” วรรณรดาบอกแผนการให้เขาได้รับรู้เขานิ่งตรึกตรองกับแผนใหม่ วรรณรดาจึงต้องถามซ้ำ “พี่ปุ้มมีความเห็นอย่างไร”

“แล้วจะกลับมาทันเหรอ”

“คุณมาร์คว่าทันค่ะแค่ร้อยกว่ากิโลเองค่ะ ออกแต่เช้ามืดหน่อย เครื่องขึ้นเกือบเที่ยง”

“หรือผมจะกลับเมืองไทยวันนี้พร้อมคุณรุตดี เลื่อนตั๋วได้ไหม เลื่อนตั๋วทันไหมครับ”

“ไปเที่ยวด้วยกันดีกว่าค่ะ คุณนิดก็ไปด้วย หลาย ๆ คนสนุกดี”

“ถ้าผมไปด้วย ผมเกรงว่าผมจะทำให้เสียบรรยากาศ”

“บรรยากาศอะไรคะ”

“คุณดาก็รู้นี่ครับ”

“ยังทำไมใจไม่ได้อีกเหรอคะ”

“ทำได้แล้ว แต่ถ้าแสลงลูกตามันก็ไม่ดีนักหรอก ผมว่าผมกลับเมืองไทยวันนี้เลยดีกว่า เลื่อนตั๋วให้ผมเถอะ ถ้าเลื่อนไม่ได้ก็ดูตั๋วใบใหม่ให้ผม ขวัญมีคุณนิดกับคุณดาเป็นเพื่อนแล้วผมก็ไม่มีห่วงแล้ว”

“ต้องถามคุณนิดก่อนนะคะ ถ้าพี่ปุ้มไม่อยู่เขาจะอยู่ไหมเพราะคุณนิดตามมาด้วยก็เพราะพี่ปุ้ม”

ปวุฒิถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะยกมือทั้งสองข้างขยี้ผมตัวเองอย่างครุ่นคิด

“เอาอย่างไรคะ คุณนิดอยากไปมะละกามากนะคะ พอรู้ว่าจะได้ไปมะละกาตื่นเต้นดีใจใหญ่ และถ้ารู้ว่าพี่ปุ้มกลับ คุณนิดก็ต้องกลับด้วยแน่ พี่ปุ้มก็รู้ว่าขวัญเขาไม่ค่อยชอบนิด นิดเองก็รู้ตัวดี ดาเองถ้าต้องไปเป็นกว้างขวางคอขวัญกับคุณมาร์ค ดาก็เขินเหมือนกันนะคะ”

ฟังเหตุผลของวรรณรดาแล้วปวุฒิพยักหน้าเบา ๆ

“คุณดาก็กลับพร้อมผมกับคุณนิดไปเลย”

“ไม่ได้หรอกค่ะ ขวัญว่าดาแน่ ๆ แล้วขวัญก็คงไม่ไปมะละกาหรอก”

“ก็ให้ขวัญกลับกับเราด้วย”

“กลับไปก็ไม่มีงานอะไรไม่ใช่เหรอคะ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว เที่ยวกันก่อนดีกว่าค่ะ ดาเองบอกตรง ๆ ว่าจะมีโอกาสมาที่นี่อีกหรือเปล่าก็ไม่รู้”

“ทำไมละครับ”

“แค่นี้คุณแม่ก็โทรมาตามแล้วค่ะ บอกว่าดาเหลวไหล ทิ้งงานมาเที่ยวนะคะ”

“โอเคครับ ไปก็ไป”

“งั้นพี่ปุ้มก็ลุกอาบน้ำแต่งตัวเถอะค่ะ จะได้ออกไปหาอะไรกินกัน จะเที่ยงแล้วไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย เดี๋ยวเป็นโรคกระเพาะนะคะ”

“คุณดาก็ออกจากห้องไปก่อนซี่ ตอนนี้ผมโป๊”



หลังทำงานเสร็จแล้วขวัญชีวีก็ขอตัวทีมงานกลับมาที่โรงแรมพร้อมกับหลินฮันหมิงที่ไปคอยอำนวยความสะดวกให้กับทีมงาน และเป็นกำลังใจให้กับตัวพรีเซนต์เตอร์สาวจนช่างแต่งหน้าและฝ่ายเสื้อผ้าดูออกว่าทั้งสองคนนั้นดูจะมีใจให้กัน และคนที่รู้ว่างานนี้มีปวุฒิตามมาด้วยแต่ว่าไม่ได้มานั่งเฝ้าแต่กลับไปเที่ยวเตร่กับเซเลบริตี้สาว แถมนิชกานต์ยังบินตามมาเที่ยวอีกคน ก็อดสอบถามตื้นลึกหนาบางกับเหตุการณ์ในครั้งนี้กับขวัญชีวี แต่ขวัญชีวีก็บอกเพียงว่า

“จะตอบคำถามนี้ที่เมืองไทย” ขวัญชีวีแย้มเพียงเท่านี้ คนที่อยากรู้ก็เดาออกว่า ความสัมพันธ์ของขวัญชีวีกับ ปวุฒินั้นคงจะต้องจบกัน และขวัญชีวีก็คงจะหนีแรงเสน่หาของหนุ่มมาเลเซียไม่ได้แน่ ๆ

เมื่อนั่งรถออกมาแล้วหลินฮันหมิงก็เอ่ยปากถามชวนคุยว่า“เหนื่อยไหมครับ”

“ไม่ค่ะ แค่เดิน ๆ ยิ้ม ๆ พูดแค่นิดเดียวเอง อันที่จริงถ่ายในสตูแล้วตัดต่อเอาก็ได้นะคะ”

“อยากให้เห็นว่าครีมของเราสู้แดดได้จริงครับ”

“แต่ขวัญใช้ของตัวอื่นอยู่นะคะ”

หลินฮันหมิงหัวเราะเบา ๆ

“ต่อไปคุณขวัญต้องเปิดใจใช้เวอร์ซาดีโก้นะครับ ดูผิวพี่สาวผมทั้งสองคนซิ”

“คนจีนผิวดีอยู่แล้ว ครีมอะไรก็ผุดผ่อง” นอกจากชมผิวพี่สาวของเขา ตัวเขาเองขวัญชีวีก็รู้สึกว่าผิวของเขาเนียนเป็นอย่างมาก แต่ว่าขนสีดำที่ขนตามแขนหลังมือนั้นก็ทำให้ใจของขวัญชีวีวาบหวิวขึ้นมาได้เช่นกัน

“คนมาเลเซียไม่ได้มีแต่คนจีนนะครับ มีหลายเชื้อชาติ คนผิวคล้ำ ชาวมลายูเยอะแยะมากมายที่ใช้แล้วติดใจ จนครีมของเราขายดีเป็นอันดับหนึ่งที่นี่”

“แล้วไม่คิดจะทำครีมของผู้ชายบ้างเหรอคะ ตลาดที่เมืองไทยตอนนี้แข่งขันกันอย่างดุเดือด”

“ทำครับแต่ยังไม่ได้ส่งไปขายที่เมืองไทย แต่ก็เป้าหมายว่า ภายในปีสองปีนี่แหละครับ อยากให้ชื่อเวอซาดีโก้สำหรับคุณผู้หญิงติดหูคนไทยก่อน กลับไปอย่าลืมนะครับ ต้องใช้เวอร์ซาดีโก้นะ...ลองหน่อยเวลาออกงานอีเวนท์จะได้พูดได้อย่างเต็มปากว่าเนื้อครีมของเราแตกต่างจากยี่ห้ออื่นอย่างไร”

“ค่ะ”

“กลับไปแล้วก็อย่าลืมคิดถึงผมด้วยนะครับ” แม้เขาจะสวมแว่นกันแดดแต่ขวัญชีวีก็เหลือบไปเห็นว่าสายตาที่เหลือบมามองนั้นกรุ้มกริ่มเพียงใด

“แล้วเรื่องที่คุณขวัญทิ้งให้ผมขบคิดไว้ ตอนนี้ผมกำลังคิดอยู่นะครับว่า จะทำอย่างไร ผมถึงจะอยู่เมืองไทยเป็นการถาวรได้”

“คุณมาร์ค ขวัญยังไม่ได้สร้างเงื่อนไขอะไรเลยนะคะ”

“ก็คุณขวัญบอกกับผมว่าไม่คิดจะไปอยู่ที่ไหนนอกจากเมืองไทย มันก็เหมือนสร้างเงื่อนไขให้ผมไม่ใช่เหรอครับ”

“สร้างให้คุณมาร์ค” ขวัญชีวีแสร้งทำหน้าฉงนด้วยอยากจะดูว่าเขาจะกล่าวอ้างไปอย่างไรอีก

“คุณขวัญก็รู้ว่าผมชอบคุณขวัญ”

“ขวัญรู้...” ขวัญชีวีชักสีหน้าประหลาดใจขึ้นอีก แต่ว่ามันก็กลั้วด้วยรอยยิ้มสัพยอกเขา

“เวลาของผมมีจำกัดครับ ผมต้องรีบบอกความในใจของผมให้คุณขวัญรับรู้ เพราะตอนไปเที่ยวมะละกากันมีคนอื่นไปด้วย ผมคงไม่กล้าพูดอะไรมากมายแบบนี้หรอก”

“เชิญเลยค่ะอยากพูดอะไรพูดเลย”

“เมื่อคุณขวัญไม่อยากย้ายไปอยู่ที่อื่น คุณขวัญแต่งงานก็ต้องแต่งงานกับคนไทยด้วยกัน อยู่เมืองไทยด้วยกัน แต่ปัญหาของผมคือ ผมเป็นคนมาเลย์มีชีวิตส่วนใหญ่อยู่ที่นี่ และถ้าผมจะทำให้คุณขวัญชอบจนตกลงแต่งงานกับผมได้นั้น ผมจะต้องไปอยู่เมืองไทยเกือบ ๆ จะเรียกว่าถาวรหรือสามารถอยู่กับคุณขวัญตลอดไป”

เมื่อเห็นว่าเขาเก็บเอาคำพูดของเธอไปครุ่นคิดและคิดวางแผนเพื่ออนาคตด้วยกันขวัญชีวีจึงหันหน้าไปตั้งใจฟังเขาพูด เธอก็อยากจะรู้เหมือนกันว่า คนต่างชาติที่หมอดูทำนายไว้ว่าเป็นเนื้อคู่กับเธอ ซึ่งในวันนี้เธอก็มั่นใจว่า เป็นเขาคนนี้ จะพูดอย่างไรเพื่อให้เธอใจอ่อนตกลงคบหากับเขาเป็นแฟน ดูใจกัน และแต่งงานภายในปีสองปีนี้ และเหตุผลที่เขาอยากแต่งงานเร็ว ๆ นั้นเธอก็พอเข้าใจ นั่นก็คือเขาอยากให้พ่อเขานอนตายตาหลับแต่เขาจะแก้ปัญหาที่ไม่ได้อยู่เมืองไทยตลอด 356 วันใน 1 ปีนี้อย่างไร

“คุณขวัญจ้องหน้าผมทำไมครับ”

“ตั้งใจฟังอยู่ค่ะ”

“ตั้งใจมากไป ผมก็เขินเหมือนกันนะ”

“นี่เขินแล้วเหรอคะ”

“เขินแล้วครับ หน้าผมแดงแล้วนะ ดูซิ” เขาหันหน้ามาหา ขวัญชีวีเหลือบตามองดูหน้าของเขาเพียงนิดก่อนจะมองถนนเบื้องหน้าแล้วก็พูดว่า

“ใกล้ถึงโรงแรมแล้วนะคะรีบพูดๆ เลยค่ะ”

“จำทางได้แล้วเหรอครับ”

“ขวัญจำทางแม่นค่ะ อีกสองไฟแดงก็ถึงโรงแรมแล้ว”

“คุณขวัญไม่ต้องกลัวนะครับ อย่างไรผมจะต้องย้ายไปอยู่เมืองไทยเป็นการถาวรแน่นอน เพียงแต่ตอนนี้ผมยังคิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไรเท่านั้นเอง” หลินฮันหมิงยังวกกลับมาที่เรื่องเดิม

“คุณมาร์คเข้าใจว่าขวัญชอบคุณมาร์คแล้วใช่ไหมคะ”

“ผมว่าผมเข้าใจถูกต้องนะ”

“หลักฐาน อยากได้หลักฐาน พยานรู้เห็นค่ะ ขวัญมั่นใจว่าขวัญยังไม่ได้บอกคุณมาร์คเลยว่าขวัญชอบคุณมาร์ค” ขวัญชีวีทำหน้ายุ่ง ๆ ดวงตาวิบวับกับมุกของเขา

“แต่ใคร ๆ ก็รู้ว่าคุณขวัญชอบผม เพราะคุณขวัญยกคุณปุ้มให้คุณดาไปแล้ว”

“ขวัญไม่ได้รักพี่ปุ้มก็ไม่ได้หมายความว่าขวัญจะรักคุณมาร์คนะคะ”

“แต่ผมรักคุณขวัญครับ”

“มารักขวัญได้ไง”

“รักข้างเดียวก่อนก็ได้ แต่ผมมั่นใจว่าผมไม่ได้รักคุณขวัญข้างเดียวแน่ ๆ ผมมั่นใจครับ”

“ค่ะ เอาเลยค่ะ ตามสะดวกใจเลยค่ะ”

“แล้วคุณขวัญดีใจไหมที่ผมรักคุณขวัญ”

“มีคนหล่อ ๆ มาตกหลุมรักไม่ดีใจได้อย่างไร แต่ว่า ก็ไม่ใช่ครั้งแรกนะคะ แล้วขวัญก็หักอกคนหล่อ ๆ มาเยอะแล้วด้วย ตัวอย่างก็คือพี่ปุ้มเห็นไหมคะ”

“เขาไม่ใช่เนื้อคู่กับคุณขวัญนี่ครับ”

“แล้วคุณมาร์ครู้ได้อย่างไรว่าใครเป็นเนื้อคู่กับขวัญ”

“รู้ได้สัญชาตญาณครับ”

สายตากรุ้มกริ่มของเขาทำให้ขวัญชีวีต้องเบือนหน้าหนี



ปวุฒิจะไปนั่งด้านหลังแต่ว่าขวัญชีวีบอกให้เขาไปนั่งด้านหน้าคู่กับคนขับ เขาจึงต้องไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ เบาะหลังด้านหลังคนขับเป็นที่ของขวัญชีวี ที่ตรงกลางเป็นของวรรณรดา และด้านหลังปวุฒิเป็นที่นั่งของ ณิชกานต์ เมื่อรถแล่นออกจากโรงแรมแล้ว หลินฮันหมิงก็หันมาบอกว่า

“ขอโทษด้วยนะครับที่รถของผมคันเล็กไปหน่อย”

“ไม่เป็นไรค่ะ แค่นี้ก็เกรงใจจะแย่แล้ว” วรรณรดาแสดงความกระตือรือร้นที่จะพูดคุยกับเขา ปวุฒินั้นเมื่อขึ้นรถมาแล้วเขาก็นั่งเงียบ ๆ พิงเบาะ โดยสายตาของเขานั้นจับจ้องอยู่ที่ท้องถนนและข้างทางเสียเป็นส่วนใหญ่ ใจของเขานั้นรู้สึกอึดอัด ไม่อยากไปมะละกาสักนิด แต่เขาก็รู้สึกเกรงใจวรรณรดากับไม่อยากให้ขวัญชีวีเห็นว่าพอพ่ายในเกมรักครั้งนี้แล้วเขาก็พาลรีพาลขวางหนีกลับเมืองไทยโดยไม่สนใจความรู้สึกของใคร

“นี่ถ้าคุณรุตไม่กลับเมืองไทยไปก่อน เราจะทำอย่างไรคะ” ณิชกานต์นั้นไม่ยอมทำตัวเงียบเหงาเพราะถือว่าเมื่อมาแล้วเธอจะต้องสนุกและได้ความรู้ไปด้วย และเจ้าถิ่นจะต้องเป็นไกด์ให้กับเธอ

“ผมก็คงจะเปลี่ยนเป็นหารถตู้ให้ครับ จะได้นั่งกันสบายกว่านี้”

“ระยะทางกี่กิโลเมตรคะ” ณิชกานต์ซักอีก

“ร้อยห้าสิบกิโลเมตรได้ครับ รถวิ่งไม่ถึงสองชั่วโมงก็ถึงแล้ว นี่น่าจะถึงราว ๆ หกโมงเย็นพอดี เข้าโรงแรมแล้วก็ออกมาหาข้าวกินกัน” คืนนี้เขาจองห้องพักที่มีสองเตียงใหญ่สำหรับสาว ๆ สามคน ส่วนตัวเขากับปวุฒินั้นนอนห้องเตียงเดียวคนละห้อง และค่าใช้จ่ายในการพาเที่ยวมะละกาเมืองเก่าแก่ในครั้งนี้เขาก็บอกกับสามสาวแล้วว่าเขาขอเป็นเจ้าภาพ

“แล้วมะละกานี่มีอะไรน่าสนใจคะ”

“มะละกาเป็นเมืองมรดกโลกครับ เป็นเมืองเก่า เก่ากว่าปีนัง เก่ากว่ากัวลาลัมเปอร์ เป็นเมืองท่าในอดีต ตั้งแต่สมัยที่ประเทศโปตุเกส ออกล่าอาณานิคม”

“เก่าขนาดไหนคะ”

“ดาไม่ได้เอาหนังสือมาเหรอ” เมื่อเห็นว่าณิชกานต์ซักไม่หยุดปากขวัญชีวีจึงได้ขัดขึ้นมา

หลินฮันหมิงที่ขับรถอยู่มองกระจกส่องหลังแล้วยิ้มบาง ๆ ส่งสายตาให้กับขวัญชีวีซึ่งถูกวรรณรดาถองให้เบา ๆ แต่วรรณรดาก็รับมุกหน้าตาเฉยว่า “เอามาอยู่ในกระเป๋าสะพาย”

“เอาให้นิดเขาอ่านซิ...”

“ก็มากับเจ้าถิ่น ก็อยากให้เจ้าถิ่นเล่าอะไรให้ฟัง น่าจะได้อรรถรสมากกว่านะ” เมื่อถูกตีรวนอารมณ์ของณิชกานต์จึงฉิวขึ้นมาบ้าง

“คนขับรถต้องการสมาธิ” ขวัญชีวีไม่ยอมสงบปาก

“ไม่เป็นไรครับ มีเพื่อนคุยระหว่างขับรถก็ดี แต่ผมเองก็ไม่ค่อยสันทัดเรื่องประวัติศาสตร์สักเท่าไหร่ ก็จะตอบเท่าที่ตอบได้ครับ”

“ขวัญอยากฟังเพลงค่ะ เปิดเพลงหน่อยได้ไหม”

“ผมมีแต่เพลงบ้านผมนะครับจะฟังรู้เรื่องไหม”

“รถของคุณมาร์คเสียบแฟลชไดร์ฟได้หรือเปล่าละคะ”

“ได้ครับ คุณขวัญมีมาหรือเปล่าครับ”

“ไม่มีหรอกค่ะไม่ได้พก มีใครมีบ้าง”

“ดาก็ไม่มี”

“งั้นก็เปิดเพลงของมาเลเซียคลอ ๆ หน่อยก็ได้ค่ะ อยากฟังดนตรีว่าเป็นอย่างไร”

“ก็มีทั้งภาษาจีนและภาษามาเลย์ผสมกันนะครับ” ว่าแล้วเขาก็กดปุ่มเปิดเครื่องเสียง ทำให้ทุกคนต้องเงียบฟัง ส่วนวรรณรดาเปิดกระเป๋าหยิบหนังสือข้อมูลมะละกาส่งให้ณิชกานต์ที่นั่งนิ่ง...แต่คนอย่างณิชกานต์นั้นไม่ยอมที่จะนิ่งให้ขวัญชีวีเห็นว่าเธอยอมหรอก เมื่อคุยกับหลินฮันหมิงไม่ได้ หญิงสาวจึงชวนปวุฒิคุย

“พี่ปุ้มคุยบ้างก็ได้นะคะ น้ำลายบูดแย่”

“ไม่หรอก”

“คิดถึงร้านอาหารแย่แล้วมั้ง มาหลายวันแล้ว”

“ก็มีห่วงบ้าง แต่ว่ามีนารทดูแลอยู่ ผู้จัดการร้านก็เก่ง ก็คงไม่มีปัญหาอะไร”

“ว่าไปมามาเลย์นี่ยังไม่ได้กินอาหารมาเลย์เลยนะคะ กินแต่อาหารฝรั่งกัน” ณิชกานต์หันไปชวนหลินฮันหมิงคุยต่อ

“เย็นนี้ผมจัดให้นะครับ แต่ต้องถามทางโรงแรมอีกทีว่าร้านไหนอร่อยสุด”

“คุณมาร์คมามะละกาบ่อยไหมคะ”

“ไม่บ่อยครับ สองสามครั้งเองมั้ง คือเราก็ไม่ได้มีญาติอยู่ที่นี่เหมือนที่สิงคโปร์”

“ประมาณว่าไปแล้วก็ไม่อยากไปอีก ไม่มีอะไรน่าสนใจ น่าเบื่อใช่ไหมคะ”

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ ไปอีกก็ได้ แต่ว่ามะละกามันดูโบราณ ๆ ไปซ้ำ ๆ ก็ไม่มีอะไรใหม่ ๆ จะว่าน่าเบื่อก็ได้”

“แล้วนี่เบื่อเมืองไทยบ้างหรือยังคะ”

“คนละแบบครับ มะละกาแคบ ๆ แล้วอีกอย่าง พวกตึกชิโนโปตุกีสที่ปีนังก็มีไม่น้อย ผมก็เลยไม่ตื่นเต้นอะไร ส่วนเมืองไทยกว้างใหญ่ คนเยอะมีที่ท่องเที่ยวอีกหลายที่เลยที่ผมยังไม่ได้ไป” เมื่อรู้ว่าณิชกานต์นั้นไม่ได้คิดทอดสะพานให้ตนเหมือนแรก ๆ แล้วหลินฮันหมิงก็คลายความระมัดระวังตัวเองลงเช่นกัน

“แล้วคุณมาร์คอยากไปไหนละคะ”

“อยากไปเที่ยวทางภาคเหนือครับ”

“หน้าหนาวจะดีมาก ๆ ค่ะ แล้วก็ใกล้แล้วด้วย”

ณิชกานต์ยังชวนหลินฮันหมิงคุยอยู่เรื่อย ๆ เรื่องที่คุยนั้นนอกจากจะเป็นเรื่องภูมิประเทศ ประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม การดำรงชีวิตอยู่ของประชาชนที่มีหลายเชื้อชาติ โดยมีวรรณรดากับขวัญชีวีช่วยกันซักถามเป็นครั้งคราว ส่วนปวุฒินั้นพิงเบาะหลับตาไม่พูดไม่จาทำเหมือนว่านอนหลับ ทั้งที่ในใจของเขาเขานั้นรู้สึกแปลก ๆ กับเสียงของณิชกานต์ที่ซักถามหลินฮันหมิงไม่ได้หยุดหย่อน กระทั่งรถสีม่วงของหลินฮันหมิงแล่นถึงเมืองมะละกา เขาก็ลืมตาขึ้นมาดูตึกรามบ้านช่องตามข้างทางซึ่งระหว่างทางนั้นนอกจากสวนยางพารา สวนปาล์มน้ำมัน เขาก็ไม่เห็นว่า มีอะไรน่าสนใจอีก


เมื่อเช็คอินเข้าห้องพักแล้ว ณิชกานต์ก็ล้มตัวลงบนที่นอนของตนทันทีเพราะเมื่อยขบกับการนั่งเบียดกันในรถคันกะทัดรัดสีม่วงมารีนที่ดูใกล้ ๆ จะเห็นว่าเหมือนสีน้ำเงินเข้มเหมือนกัน

ส่วนขวัญชีวีเดินไปยังระเบียง วรรณรดาเข้าห้องน้ำ พอออกมาก็พบว่าณิชกานต์คว้าหนังสือท่องเที่ยวเมืองมะละกาของตนไปนั่งเหยียดยาวอ่านด้วยทีท่าสนใจเป็นอย่างมาก และเมื่อสนิทสนมกันแล้ววรรณรดาก็รับรู้ว่าณิชกานต์นั้นเป็นนักอ่านตัวยงเช่นกัน ดังนั้นหญิงสาวจึงมีเรื่องคุยกันได้เรื่อย ๆ ส่วนขวัญชีวีเดินกลับเข้ามาในห้องรื้อค้นกระเป๋าหยิบกระเป๋าเครื่องสำอางไปที่หน้ากระจก สองสาวยังคงคุยกันเรื่องความน่าสนใจของเมืองมะละกา กระทั่งเห็นว่าไม่มีใครสนใจตัวเอง ขวัญชีวีจึงเดินไปเปิดประตูห้องพัก

“ไปไหนขวัญ” วรรณรดาเรียกไว้

“ไปดูพี่ปุ้มหน่อย เหมือนจะไม่สบายนะ”

ปิดประตูแล้วขวัญชีวีก็เดินไปเคาะประตูห้องของปวุฒิ และปวุฒิก็ลุกออกมาเปิดประตูด้วยสีหน้าเพลีย ๆ ดูอิดโรยอย่างที่ทุกคนเห็นตั้งแต่เขาตื่นนอน

“มีอะไรหรือขวัญ” เขาเดินนำขวัญชีวีเข้ามาในห้องก่อนจะทรุดตัวลงนอนคว่ำกอดหมอน ขวัญชีวีปิดประตูแล้วเดินตามไปยืนอยู่ข้างเตียง

“พี่ปุ้มไม่สบายหรือเปล่า”

“ห่วงพี่ด้วยเหรอ”

“ห่วงซิคะ”

“ขอบคุณ” ปวุฒิยังคงหลับตาพูดกับขวัญชีวีเพียงสั้น ๆ ขวัญชีวีมองออกว่า ปวุฒิกำลังประท้วงเธอ แต่ว่าทำอย่างไรได้ อย่างไรแล้วเธอกับเขาก็จะต้องจบลงเมื่อกลับเมืองไทย

“กลับไป ขวัญจะปรึกษาพี่อรเรื่องแถลงข่าวนะคะ”

“ไม่ต้องหรอก...บอกนักข่าวสักคนว่าเราเลิกกันก็พอแล้ว เดี๋ยวข่าวก็กระจาย อย่าแถลงเลย ไม่อยากตอบคำถามงี่เง่าว่าเลิกกันทำไม” น้ำเสียงของปวุฒิประชดประชัน

“เอาอย่างนั้นก็ได้

“แต่บางทีพี่อาจจะปล่อยภาพที่พี่อี๋อ๋อกับนิดเขาในเน็ตไปก่อนก็ได้นะ คนอื่นจะได้รู้ว่าเราเลิกกันทำไม”

“ตกลงพี่ปุ้มเลือกนิดใช่ไหม”

“ทำไมล่ะ เขาไม่ดีตรงไหน”

“ขวัญไม่ชอบเขา”

“พี่ก็ไม่ชอบไอ้มาร์คนั่นเหมือนกัน”

“พี่ปุ้ม”

ปวุฒิถดตัวลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิแล้วก็พ่นลมหายใจแรง ๆ “บอกตรงๆ ว่าพี่ยังรักขวัญอยู่นะ แต่เมื่อขวัญหมดรักพี่แล้ว พี่ก็คงต้องปล่อยใจของพี่ให้มันลอยไปสู่ทิศทางที่ควรจะเป็น พี่คงไม่เลือกคุณดาแน่นอน คุณดาเขาก็คงรู้”

“แล้ววันที่ผ่านมาล่ะ”

“พี่ก็ไม่ได้วางตัวผิดปกติอะไร อันที่จริงพี่น่าจะกลับเมืองไทยวันนี้เสียเลยนะ...” ว่าแล้วปวุฒิก็ถอนหายใจออกมา

“ก็เมื่อทนมาถึงขั้นนี้แล้วก็ทนให้ถึงที่สุดแล้วกันค่ะ...ขวัญขอตัวก่อนนะคะ”



จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 มี.ค. 2556, 08:04:29 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 มี.ค. 2556, 08:16:13 น.

จำนวนการเข้าชม : 1819





<< 21.   23. >>
จุฬามณีเฟื่องนคร 18 มี.ค. 2556, 08:05:51 น.
สำหรับลิขิตรักในสายลม ในเว็บสถาพร เปิดใ้ห้สั่งซื้อแล้วนะครับ พร้อมส่งหนังสือให้ได้ในวันที่ 21 มีนาคม...ราคาปก 240 บาท เหลือเพียง 204 บาท สำหรับท่านที่จะซื้อจากสวน วันเสาร์ อาทิตย์ ที่ 23-24 ก็คงไปที่ร้านหนังสือแล้วนะครับ ฝากไว้ในอ้อมอกอ้อมใจอีกสักเล่มนะครับ...


จุฬามณีเฟื่องนคร 18 มี.ค. 2556, 08:07:30 น.
สำหรับงานหนังสือ วันพุธที่ 3 ผมจะมีขึ้นเวทีเสวนา เวลา 12-13 00 น. วันพฤหัสบดีที่ 4 ทางสถาพรให้เข้าบูธไปพบนักอ่านครับเวลา 13-16 00 น. ////อยากได้สบู่จันทร์เจ้าฉาย ฟรี 1 ก้อนหลังจากที่ซื้อ ลิขิตรักในสายลม หรือ พระอาทิตย์ขึ้นในคืนหนาว(เรื่องละ 1 สิทธิ์) พบกันได้ที่บู๊ธสถาพร นะครับ วันเดียวเท่านั้น .......


Zephyr 18 มี.ค. 2556, 19:25:07 น.
อ้าว หักมุมจริงซะ
งืออออออ แต่นะดูโอเคดีเหมือนกันค่ะ ปุ้มกะนิด เพราะแอบนอยๆกะสองคนนี้บางคราวเช่นกัน


pumkin 19 มี.ค. 2556, 20:34:40 น.
อยากให้พี่ปุ้มคู่นิดค่ะ อิอิ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account