ลิขิตรักในสายลม # จุฬามณี
รัก หวานๆ ขม ของสาวไทยกับหนุ่มมาเลย์
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: 23.
ตอนที่ 23
มะละกา เป็นรัฐทางตอนใต้ในประเทศมาเลเซีย ตรงข้ามกับเกาะสุมาตราของประเทศอินโดนีเซีย ก่อตั้งขึ้นราวศตวรรษที่ 13 โดยเจ้าชายปรเมศวร เนื่องจากอยู่ในเส้นทางการค้า มะละกาจึงเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว กลายเป็นเมืองที่ต่างชาติต้องการยึดครอง
ชาติตะวันตกที่เคยมีอำนาจเหนือมะละกา ได้แก่ โปตุเกส ดัตซ์และอังกฤษ
ปัจจุบันมะละกาเป็นรัฐที่มีวัฒนธรรมผสมผสานระหว่างกลุ่มคนหลายเชื้อชาติหลายศาสนา ซึ่งเป็นสีสันของมะละกา ที่ยิ่งทวีแรงดึงดูดใจให้นักท่องเที่ยวมาสัมผัส
จัตุรัสดัตซ์เป็นจุดกลางเมืองมะละกาที่แวดล้อมไปด้วยสถาปัตยกรรมยุคอาณานิคม ได้แก่ โบสถ์ไครส์เชิร์ช อาคารสแตทด์ฮุยส์ อาคารพิพิธภัณฑ์เยาวชน หอนาฬิกา กังหันลมฮอลันดา ป้อมปืนมะละกา และที่พลาดชมไม่ได้คือ รูปปั้นกระจง บริเวณวงเวียนหน้าจัตุรัสดัตซ์ เพราะกระจงตัวนี้คือสัญลักษณ์สำคัญเมื่อครั้งเจ้าชายปรเมศวรผู้ครองนครเทมาเส็กหรือสิงคโปร์หนีจากการโจมตีของกองทัพชวามาอยู่มะละกา แล้วเห็นกระจงตัวหนึ่งกำลังถูกหมาป่าไล่ล่า ด้วยความจนตรอกทำให้เจ้ากระจงน้อยตัวนั้นเปลี่ยนจากหนีมากัดฟันสู้กับหมาป่า และเตะหมาป่าตัวหนึ่งตกลงไปในน้ำ เจ้าชายปรเมศวรรู้สึกมีกำลังใจในการต่อสู้ และทรงตัดสินใจปักหลักสร้างเมืองมะละกาขึ้น กลายเป็นเมืองมั่งคั่งในเวลาต่อมา
โรงแรมอัลดี้-สตัคไฮส์ (Aldy Hotel Stadhuys) ที่หลินฮันหมิงพาคณะจากเมืองไทยไปพักนั้นตั้งอยู่ในย่านสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญอันได้แก่พิพิธภัณฑ์ จัตุรัสดัตช์ และเนินเขาเซนต์พอลที่บนยอดเขานั้นมีซากโบสถ์เซนต์ปอล ซึ่งเป็นจุดชมวิวมะละกาได้ด้วย
หลินฮันหมิงให้เวลาลูกทัวร์จากเมืองไทยพักผ่อนทำธุระส่วนตัวก่อนออกไปรับประทานอาหารเย็นด้วยกันเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง เมื่อขวัญชีวีเดินออกจากห้องไปแล้ว ปวุฒิก็ลุกจากเตียงเปิดประตูออกมาหวังไปเดินเล่นฆ่าเวลาเพราะเขาคิดได้ว่าเขาไม่ควรจมปลักอยู่กับความรักอันมืดมนและจับต้องไม่ได้นี้ และเมื่อก้าวข้ามประตูโรงแรมเขาก็พบณิชกานต์ยืนหันรีหันขวางถ่ายรูปรถสามล้อถีบที่แต่งรถด้วยดอกไม้พลาสติกและเครื่องเสียงติดลำโพงเปิดเพลงลั่นถนนวิ่งผ่านไปผ่านมาโดยมีนักท่องเที่ยวยิ้มแย้มเป็นผู้โดยสาร และเมื่อหันมาเห็นเขาณิชกานต์ยิ้มกว้างให้ เป็นยิ้มที่สดชื่นเป็นยิ้มที่เหมือนแสงสว่างสาดเข้ามาเป็นยิ้มที่เขารู้สึกว่าอบอุ่นหัวใจขึ้นมาอย่างประหลาด เขายิ้มตอบให้หญิงสาวก่อนจะรีบสาวเท้าเดินหลบเลี่ยงรถสามล้อถีบเดินข้ามถนนเข้าไปหา
“ยิ้มอะไรหรือพี่ปุ้ม”
“ยิ้มดีใจกับชีวิตใหม่”
“ชีวิตใหม่ หมายความว่าไงคะ” ณิชกานต์นั้นอมยิ้มถามเขาดวงตาวิบวับ เขาจับแขนณิชกานต์แล้วเดินไปหยุดข้างกำแพงสีแดงอิฐที่อยู่ตรงกันข้ามกับโรงแรม
“พี่ตัดใจจากขวัญได้แล้ว ตอนนี้หัวใจพี่ว่าง แต่พี่รู้สึกว่ามันว่างเดี๋ยวเดียวเอง”
“ทำไมคะ”
“ไปเดินเล่นกันดีกว่า ไปทางไหนดี”
“ดูจากหนังสือข้อมูลแล้ว ถ้าไปทางนี้ จะไปจัตุรัส แล้วข้ามสะพานไปจะเป็นเมืองเก่าพวกตึกชิโนโปตุกีส ตึกแถวสไตล์จีน กลางคืนจะมีถนนคนเดิน เดี๋ยวค่อยไปกลางคืนก็ได้มั้ง แต่ถ้าไปทางนี้ จะไปป้อม ไปวังสุลต่าน นิดว่าไปทางนี้กว่า”
“ตามใจเลย ไปรถสามล้อถีบไหม”
“ดีค่ะ”
เมื่อโบกรถสามล้อถีบ ถามไถ่ราคาแล้ว เขากับณิชกานต์ก็ปีนไปนั่งคู่กัน และระหว่างที่รถสามล้อถีบโดยชายตัวใหญ่หน้าดำหนวดเครารุงรังเคลื่อนไปเขาก็ดึงโทรศัพท์มือถือออกมาถ่ายรูปเขากับณิชกานต์ที่ยิ้มสดชื่นให้กับกล้องอย่างเต็มใจ
“รูปนี้พี่จะโพสต์นะ”
“ได้เลยค่ะ”
และเมื่อสารถีพาไปถึงปลายสายซึ่งอยู่ห่างจากจุดที่ทั้งสองเรียกขึ้นรถไม่เท่าไหร่ณิชกานต์ก็หัวเราะเสียงดัง
“นิดว่าถ้าแค่นี้ เดินมาก็ได้นะ เราก็นึกว่าไกล”
“ก็คิดว่าได้นั่งสามล้อไง”
ปวุฒิเป็นคนจ่ายค่าโดยสาร พอเห็นไปณิชกานต์ก็กดชัตเตอร์ให้เขายิ้มให้กล้องดวงตาเป็นประกายทีเดียว
“ดูพี่ปุ้มมีความสุขขึ้นจริง ๆ ด้วย”
“ตรงนี้เรียกว่าอะไร”
“ป้อมประตูซานดิเอโก้ ตรงโน้นเป็นวังสุลต่าน และตรงนี้ก็คือตึกอนุสรณ์การประกาศเอกราชค่ะ”
ป้อมซานดิเอโก้ ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาเซนต์ปอล สร้างขึ้นโดยชาวโปตุเกสในปี พ.ศ. 2054 เป็นส่วนที่ยังหลงเหลืออยู่ของป้อมเอฟาโมซาซึ่งถูกทำลายย่อยยับในสงครามแย่งชิงมะละการะหว่างโปตุเกสกับฮอลันดา จนเมื่อชาวดัตซ์แห่งฮอลันดาเข้ามาปกครองมะละกา ป้อมเอฟาโมซาได้รับการบูรณะอีกครั้ง แต่สุดท้ายก็ถูกกองเรืออังกฤษทำลายจนยับเยินอีกหน คงเหลือเพียงป้อมประตูซานติเอโกไว้เป็นมรดกแห่งประวัติศาสตร์การแย่งชิง
อนุสรณ์การประกาศเอกราช ตั้งอยู่ตรงข้ามป้อมประตูซานติเอโก สร้างขึ้นในยุคที่อังกฤษปกครอง ซึ่งแม้จะสร้างตามสถาปัตยกรรมแบบวิตอเรีย แต่ยังคงเอกลักษณ์ของอิสลามด้วยยอดโดมคู่สีทอง แต่เดิมเคยใช้เป็นสโมสรมะละกา ปัจจุบันปรับปรุงเป็นสถานที่จัดแสดงเรื่องราวประวัติศาสตร์ช่วงที่ถูกปกครองโดยชาติตะวันตก และเหตุการณ์วันประกาศอิสรภาพซึ่งเกิดขึ้นในวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2500 โดยรัฐบาลมาเลเซียเลือกเมืองมะละกาแห่งนี้เป็นสถานที่ประกาศอิสรภาพ
วังสุลต่านแห่งมะละกา ตั้งอยู่ด้านหลังตึกอนุสรณ์การประกาศเอกราช อาคารสร้างใหม่แทนของเดิมที่ถูกไฟไหม้ โดยรูปแบบของการสร้างจำลองจากวังสุลต่านในสมัยก่อนถูกโปรตุเกสเข้ายึดครอง เป็นอาคารทรงยาว สร้างจากไม้ทั้งหลัง ภายในจัดแสดงเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของมะละกาด้านการเดินเรือช่วงสมัยที่ถูกปกครองโดยชาติตะวันตก พร้อมด้วยวิถีชีวิต เครื่องแต่งกาย และการละเล่น มีจุดเด่นที่การจำลองเหตุการณ์ต่าง ๆ ทางประวัติศาสตร์ได้อย่างสมจริง โดยเฉพาะห้องท้องพระโรงขององค์สุลต่าน
แต่เมื่อณิชกานต์กับปวุฒิเดินไปหยุดตรงทางเข้าก็เห็นป้ายที่เขียนว่า ‘ปิดปรับปรุง’ ทั้งสองคนจึงเดินกลับมาที่ป้อมซานดิเอโก้ทีมีปืนใหญ่สมัยโบราณตั้งอยู่ด้านหน้า ซึ่งมีนักท่องเที่ยวถ่ายรูปกันเต็มไปหมด
“บันไดทางขึ้นไปไหน” มองผ่านซุ้มโคงของป้อมไปจะเห็นบันไดปูนสูงชัน
“ไปโบถส์เซนต์ปอลค่ะ แต่ว่า เราอย่าเพิ่งขึ้นเลย ได้เวลาแล้ว เดี๋ยวทางนั้นจะรอนาน...”
“พี่อยากขึ้นไปชมพระอาทิตย์ตกจังเลย...คงจะสวยมาก”
“แต่พวกนั้นจะรอเรานะคะ”
“ถ้าเราจะแยกจากพวกเขาเที่ยวกันเองล่ะ”
“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ”
“ว่าไปมะละกาก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรนะ” เพราะจากจุดที่ยืนอยู่ก็มองเห็นห้างสรรพสินค้าใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลนักและตอนที่นั่งรถมาเขาก็เห็นแล้วว่าในเมืองเก่ามีจุดไหนบ้างที่น่าสนใจ และที่สำคัญหลินฮันหมิงเลือกโรงแรมได้ดีทีเดียว
“ก็เล็กนิดเดียวแหละค่ะ แต่ว่าพรุ่งนี้เรายังมีเวลาตะลุยที่นี่อีกวันนะ พรุ่งนี้เย็นค่อยขึ้นไปดูก็ได้ ไปกินข้าวก่อนดีกว่า ไปค่ะ แต่ไม่ต้องนั่งสามล้อกลับไปหรอก ใกล้แค่นี้เอง เปลืองตังค์”
“อยากนั่งอีก ขี้เกียจเดิน แล้วอีกอย่างสนุกดี”
อันที่จริงปวุฒิไม่ได้สนุกกับการนั่งรถ แต่เขาคิดว่า เมื่อถึงหน้าโรงแรมแล้ว ทั้งหลินฮันหมิง วรรณรดา ขวัญชีวีจะต้องยืนเมียงมองหาพวกเขาอยู่แน่ ๆ และถ้าเขานั่งรถสามล้อถีบที่มีที่นั่งผู้โดยสารอยู่ด้านข้างนี้ไปกับ ณิชกานต์สีหน้าเปี่ยมล้นไปด้วยความสุขแล้ว วรรณรดาก็คงจะรู้ดีว่า ตอนนี้เขา ชัดเจนแล้วว่า เขาเลือก ณิชกานต์
“มีแผนอะไรหรือเปล่าคะ” ณิชกานต์เอ่ยถามเมื่อเขาถ่ายรูปคู่กับเธออีกและเธอก็ยินดีที่จะเอียงคอดูแนบชิดสนิทสนมกับเขา
“นิดรังเกียจคนที่เพิ่งอกหักมาไหมละ”
“พี่ปุ้ม”
“พี่พูดเรื่องจริงนะ ต่อไปพี่จะมีแต่นิดเท่านั้น นิดยินดีคบหากับพี่ไหม”
“คุณดาล่ะ คุณดาเค้า”
“นิดตามพี่มามาเลเซียทำไม แล้วจะไปสนใจความรู้สึกของคุณดาทำไม”
“แต่คุณดาเป็นคนดีมาก ดีจนนิดละอาย”
“ถึงว่า ช่วงหลัง ๆ ทำเหินห่างพี่นะ จนพี่น้อยใจ คิดว่า นิดคงไม่สนใจดาราจน ๆ คนนี้เสียแล้ว” ถ้าเทียบกับวิศรุตหรือหลินฮันหมิงปวุฒิถือว่าจน
“พี่ปุ้มแน่ใจนะคะว่า น้อยใจนิด”
“พี่ตัดขวัญเขาได้แล้ว กลับไป มีข่าวว่า ไปคนละทางแน่นอน”
“แล้วพี่ก็จะมีนิดในทันทีเลยทีเดียว”
“ไม่ดีหรือไง”
ใบหน้าของณิชกานต์แดงระเรื่อเป็นคำตอบ และเมื่อสามล้อถีบพาไปถึงหน้าโรงแรมปวุฒิก็คาดเดาไว้ไม่ผิดจริง ๆ ขวัญชีวีปั้นหน้าบึ้งเมื่อเห็นว่าเขานั่งรถสามล้อคู่มากับณิชกานต์ แต่วรรณรดานั้นกลับถ่ายรูปให้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ไม่แสดงอาการผิดหวังเสียใจแต่อย่างใด ส่วนหลินฮันหมิงนั้นมีสีหน้าเรียบเฉย
“ขอโทษทีค่ะ พอดีพี่ปุ้มอยากนั่งสามล้อ”
“ไปไหนกันมาคะ” วรรณรดาถามด้วยสีหน้าปกติ
“ตรงนี้เองคุณดา” ลงจากรถโดยมีปวุฒิประคองแล้วณิชกานต์ก็เดินมาหาวรรณรดา
“หิวข้าวจะแย่แล้ว” ขวัญชีวีพ่นลมหายใจแรง ๆ ระบายความอึดอัดใจ
“แล้วร้านอาหารไปทางไหนไกลไหมครับคุณมาร์ค” เมื่อไม่ได้เป็นคู่แข่งปวุฒิจึงดูสดชื่นขึ้นเมื่อคุยกับหลินฮันหมิง
“ร้านอาหารอยู่ตรงแม่น้ำมะละกานี้เองครับ เดินไปก็ได้ครับ...ไปกันครับ คุณขวัญหิวแย่แล้ว”
“อันที่จริงมีโรงแรมที่ดีกว่าที่นี่นะครับ แต่ว่ามันไกลจากจุดท่องเที่ยวไปหน่อย” เมื่อก้าวขานำลูกทัวร์กิตติมศักดิ์จากเมืองไทยทั้งสี่คนหลินฮันหมิงก็เริ่มอธิบายทันที
“ดาว่าตรงนี้โอเคมากเลยค่ะ แบบนี้แหละที่ดาต้องการ”
“ที่นี่พิพิธภัณฑ์เยอะครับ ถ้าชอบดูชอบศึกษาละได้เลย หน้าที่พักเราพิพิธภัณฑ์ทั้งนั้นเลยครับ”
ด้านหน้าโรงแรมอัลดี้-สตัคไฮส์ซึ่งเป็นตึกสามชั้นทาสีแดงอิฐเช่นเดียวกับโบสถ์คริสต์มะละกาและสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ๆ ในย่านนั้น มีพิพิธภัณฑ์ถึงสามแห่ง อันได้แก่ พิพิธภัณฑ์โบราณคดี พิพิธภัณฑ์อิสลาม พิพิธภัณฑ์ประชาชนตั้งเรียงรายไปจนถึงป้อมซานดิเอโก้ที่ปวุฒิและณิชกานต์นั่งรถสามล้อถีบไปกันมาแล้วแต่ด้วยหมดเวลาราชการสถานที่เหล่านั้นจึงปิดทั้งหมด
“พรุ่งนี้ แค่ตรงนี้ก็ครึ่งวันแล้วมั้งคะ” วรรณรดาที่เดินขนาบข้างหลินฮันหมิงเอ่ยปากถาม
“คุณดาชอบพิพิธภัณฑ์เหรอครับ”
“ดาชอบค่ะ ชอบเดินดู เดินอ่าน ชอบศึกษาหาความรู้แบบนอกระบบ”
“คุณขวัญล่ะ”
“ขวัญอะไรก็ได้”
ตอนนี้ณิชกานต์กับปวุฒิเดินรั้งท้ายและหลังมือของทั้งคู่ก็เสียดสีกันไปในขณะที่เท้าก้าวตามไกด์ร่างสูง โดยปวุฒิเองก็พยายามจะฉวยโอกาสจับจูงมือณิชกานต์ขณะก้าวเดินแต่ณิชกานต์ย่นจมูกให้...เพราะไม่อยากทำร้ายจิตใจของวรรณรดาจนกว่าเธอจะได้คุยกับวรรณรดาให้เข้าใจ
“คุยอะไรกันคะ อยากฟังด้วย” ณิชกานต์รีบก้าวมาเดินขนาบข้างวรรณรดา
“คุณนิดชอบพิพิธภัณฑ์ไหม”
“นิดอยากไปช็อปปิ้งค่ะ เมื่อกี้เห็นห้างสรรพสินค้าแล้ว มีตั้งหลายห้างนะใหญ่โตทีเดียว”
“ผมว่าพรุ่งนี้ ครึ่งวันผมปล่อยฟรีสไตล์ดีกว่าไหม มีแผนที่ท่องเที่ยวกันแล้ว ทุกคนก็ตามสะดวกเลย ขึ้นแท็กซี่บ้าง เดินบ้าง นั่งสามล้อบ้างจะดีมาก แล้วฝั่งตึกชิโนโปตุกีสก็มีพิพิธภัณฑ์เยอะเหมือนกันนะครับ” ที่ล็อบบี้ของโรงแรมมีแผนที่แจกฟรีตอนเช็คอินทั้งหมดคว้ากันไปคนละใบ
“นิดอยากไปดูพิพิธภัณฑ์บ้าบ๋าย่าหยาค่ะ ที่อยากมามะละกานี่ก็เพราะนิดดูซีรีย์เรื่องนี้นะคะ ตอนที่เมืองไทยเอาฉาย นิดไม่เป็นอันทำอะไรเลย ว่าละครไทยน้ำเน่าแล้ว เรื่องนี้สุด ๆ แล้วทางไทยก็แปลชื่อเป็นภาษาไทยได้ สุด ๆ เหมือนกัน”
“ชื่ออะไรครับ”
“ชื่ออังกฤษ The Little Nyonya ค่ะ...ถ้าคุณมาร์คแปลคุณเป็นภาษาไทยจะให้ชื่อว่าอะไร” ณิชกานต์ชวนเขาเล่นเกม
“เรื่องราวเล็ก ๆ ของชาวนอนยา”
“ช่อง tpbs ตั้งชื่อว่า รักยิ่งใหญ่จากใจดวงน้อยค่ะ บ้าบ๋าย่าหยา รักยิ่งใหญ่จากใจดวงน้อย” ดวงตาของณิชกานต์เป็นประกายทีเดียว
“ทำไมเป็นใจดวงน้อยได้คะ” วรรณรดาซัก
“อยากรู้ต้องไปหามาดูค่ะ อันที่จริง ถ้ามีหนังสือแล้วแปลเป็นภาษาไทยคงจะดีมาก”
“เรื่องราวเกี่ยวกับอะไรครับ” ระหว่างที่ซักถามเขาก็พาเดินผ่านนักท่องเที่ยว รถยนต์ซึ่งซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นรถที่ผลิตในประเทศมาเลเซีย รถสามล้อถีบที่รับนักท่องเที่ยวจากหน้าโบสถ์คริตส์มะละกาไปยังหน้าป้อมฯ
“เรื่องเกี่ยวกับคนจีนในมะละกาค่ะเกิดขึ้นสมัยโลกครั้งที่ 2 แต่เรื่องนี้ประเทศสิงคโปร์สร้างนะคะ ทำไมไม่ใช่มาเลเซียก็ไม่รู้”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ”
“งั้นคุณมาร์คต้องหาซีรีย์เรื่องนี้ไปดูค่ะ ดูซิว่า ใกล้เคียงกับชีวิตบรรพบุรุษของคุณมาร์คหรือเปล่า รันทดมาก ๆ”
“ลามปาม” ขวัญชีวีที่ฟังอยู่สบถเบา ๆ แต่ว่าณิชกานต์ที่เดินอยู่ห่าง ๆ ไม่ได้ยิน
“รันทดก็คืออะไรครับ” หลินฮันหมิงซักบ้าง
“ก็เศร้าโศกค่ะ”
“แล้วลามปรามละครับ” เขาเอาคำพูดเบา ๆ ของขวัญชีวีถามขึ้นมา ณิชกานต์จึงมองหน้าวรรณรดาพร้อมกับทำหน้าฉงนเพราะว่าตัวเองยังไม่ได้พูดคำว่า ลามปามออกไปแล้วหลินฮันหมิงไปเอาคำนี้มาจากไหน
“ลามปราม แปลว่า ล่วงเกินค่ะ นิดขอโทษด้วยนะคะ” ณิชกานต์ตอบทันทีทันใด
“ผมยังไม่ได้รู้สึกว่าคุณนิดล่วงเกินอะไรผมเลยนะครับ”
“แล้วคุณมาร์คนี่เป็นชาวบ้าบ๋าย่าหยาหรือเปล่าครับ” ณิชกานต์ดึงหัวข้อสนทนากลับไปหาเรื่องที่ตนเองสนใน
“ชาวเปอรานากันเป็นลูกผสมระหว่างชาวจีนโพ้นทะเลขึ้นสำเภามาอยู่ที่นี่ แล้วแต่งงานกับชาวมลายู ทางสายคุณตาของผมเป็นจีนแท้ ๆ แต่สายคุณตาผม ตาทวดผมเป็นชาวอังกฤษแต่งกับคนจีน หน้าตาผมก็อย่างที่เห็น ผมไม่ใช่เปอรานากันครับ”
เปอรานากัน (Peranakan) หรือ บ้าบ๋า-ย่าหยา (Baba-Nyonya) คือกลุ่มลูกครึ่งมลายู-จีนที่มีวัฒนธรรมผสมผสาน และสร้างวัฒนธรรมแบบใหม่ขึ้นมาโดยเป็นการนำเอาส่วนดีระหว่างจีน และมลายูมารวมกัน โดยชื่อ ‘เปอรานากัน’ มีความหมายว่า ‘เกิดที่นี่’
ประวัติความเป็นมานั้น ราว ๆ ต้นทศวรรษที่ 14 กลุ่มพ่อค้าชาวจีนโดยเฉพาะกลุ่มฮกเกี้ยนเดินทางเข้ามาค้าค้าในบริเวณดินแดนคาบสมุทรมลายูและตัดสินใจตั้งถิ่นฐานในเมืองมะละกาประเทศมาเลเซียได้แต่งงานกับชาวมลายูท้องถิ่น โดยภรรยาชาวมลายูจะเป็นผู้ดูแลกิจการการค้าที่นี่ สำหรับสายเลือดใหม่ของชายชาวจีนกับหญิงมลายูหากเป็นชายจะได้รับการเรียกขานว่า บ้าบ๋า หรือบ้าบ๋า (Baba) ส่วนผู้หญิงจะเรียกว่า ย่าหยา (Nyonya) และเมื่อคนกลุ่มนี้มีจำนวนมากขึ้น ก็ได้สร้างวัฒนธรรมรูปแบบใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิมของบรรพบุรุษโดยมาผสมผสานกันเป็นวัฒนธรรมใหม่ เมื่อพวกเขาอพยพไปตั้งถิ่นฐานในบริเวณอื่น ๆ ก็ได้นำวัฒนธรรมของตนกระจายไปด้วย วัฒนธรรมใหม่นี้จึงถูกเรียกรวมๆว่า จีนช่องแคบ (Straits Chinese)
ต่อมาต้นทศวรรษที่ 18 เมื่อสมัยอาณานิคมดัตช์ ได้มีชาวจีนอพยพเข้ามามากขึ้น จนทำให้เลือดมลายูของชาวเปอรานากันจางลง จนรุ่นหลังแทบจะเป็นจีนเต็มตัวไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้ทำให้วัฒนธรรมผสมผสานของชาวเปอรานากันจืดจางลงไปเลย การผสมผสานนี้ยังมีให้เห็นในการแต่งกายแบบมลายู เช่น ซารุง กบายา และชุดย่าหยา ซึ่งถือเป็นการแต่งกายอันสวยงามที่ผสมผสานรูปแบบของชาวจีนและมลายูเข้าด้วยกันอย่างงดงาม ฝ่ายหญิงใส่เสื้อฉลุลายดอกไม้ รอบคอ เอว และปลายแขนอย่างงดงาม นิยมนุ่งผ้าซิ่นปาเต๊ะ ฝ่ายชายยังคงแต่งกาย คล้ายรูปแบบจีนดั้งเดิม อาหารแบบเฉพาะตัว และภาษาที่ผสมผสานคำทั้งมลายู จีน และอังกฤษไว้ด้วยกัน
สำหรับประเทศไทย จากพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 ให้นิยามคำว่า ‘บ้าบ๋า’ และ ‘ย่าหยา’ ว่า ‘เรียกชายที่เป็นลูกครึ่งจีนกับมลายูที่เกิดในมลายูและอินโดนีเซีย ว่า บ้าบ๋า, คู่กับ ย่าหยา ซึ่งหมายถึงหญิงลูกครึ่งจีนกับมลายูที่เกิดใน มลายูและอินโดนีเซีย’
ส่วน ในจังหวัดภูเก็ต ชาวเปอรานากัน ทั้งเพศชายและหญิง จะถูกเรียกรวม ๆ กันว่า ‘ชาวบ้าบ๋า’ ส่วนคำว่า ‘ย่าหยา’ เป็นเพียงชื่อของชุดสตรีเท่านั้น
“ค่ะ”
“แล้วรักยิ่งใหญ่จากใจดวงน้อยนี่เป็นอย่างไรครับ ชื่อแปลกดีนะ”
“ก็ ตัวละครนางเอกนี่เป็นหลานของเจ้าของเจ้าสัวมีแม่เป็นใบ้ มีพ่อเป็นช่องถ่ายรูปมาจากญี่ปุ่น เรื่องสมัยสงครามโลกนะคะ เรื่องมันยาวมาก แล้วพอพ่อแม่ตายเพราะไฟสงคราม นางเอกก็กลับมาอยู่กับครอบครัวคุณตาเจ้าสัว ซึ่งมีคุณยาย แม่เลี้ยงของแม่ และลูก ๆ ที่ร้ายกาจมาก นางเอกก็อดทนเพื่อคุณยายของตัวเอง ถูกกลั่นแกล้งสารพัด ตัวละครที่ร้ายก็ร้ายมาก น้ำเน่ามาก แล้วซีรีย์เรื่องนี้ดำเนินเรื่องโดยการเล่าเรื่องของตัวนางเอกตอนแก่นะคะ เธอเล่าให้ลูกหลานตัวเองในยุคปัจจุบันฟัง สรุปแล้ว สุดท้ายคือนางเอกไม่มีลูกค่ะเธอแต่งกับฝรั่ง แล้วเอาลูกของศัตรูมาเลี้ยงเป็นลูกตัวเอง คนที่นั่งฟังเรื่องนางเอกเล่าอยู่น่ะ คือลูกหลานของศัตรู ตอนจบเฉลยอย่างนั้น มันจึงกลายเป็นชื่อเรื่อง รักยิ่งใหญ่จากใจดวงน้อย ไงคะ เหมือนกับว่าความดีเอาชนะทุกสิ่ง และการอภัยกันเป็นเรื่องที่ควรยินดี เป็นซีรีย์ที่ทำได้ซึ้งใจมากค่ะ”
“ผมคงต้องหามาดูซะแล้ว ดีไม่ดีพี่สาวผมสองคนอาจจะมีก็ได้ครับ”
“ร้านอีกไกลไหมคะ” น้ำเสียงของขวัญชีวีดีขึ้น เพราะคำว่า ให้ ‘อภัยกันเป็นเรื่องที่ควรยินดี’ ที่ ณิชกานต์เอ่ยปากออกมา และพอขวัญชีวีครุ่นคิดกลับไปแล้ว เมื่อณิชกานต์รักปวุฒิ ณิชกานต์ก็มีสิทธิ์ที่จะทำตามความต้องการของหัวใจเช่นเดียวกับวรรณรดา
ครั้นเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ปวุฒิเหมาะสมกับณิชกานต์มากกว่า เพราะเป็นดาราด้วยกันจึงเสริมส่งหน้าที่การงานกันอย่างแน่นอน กับวรรณรดานั้น แม้จะผิดหวังก็ใช่ว่าวรรณรดาจะหาคู่ครองไม่ได้...และวรรณรดาก็คงจะคงเห็นว่าปวุฒิกับณิชกานต์เหมาะสมกัน วรรณรดาจึงไม่ได้หม่นเศร้าอย่างที่มันควรจะเป็น เธอเองเป็นคนอื่นจะไปทุกข์ร้อนทำไม
“คุณขวัญหิวแล้วเหรอครับ”
“ไส้กิ่วแล้วค่ะ”
เลือกโต๊ะได้แล้วปวุฒิก็เลื่อนก็เก้าอี้ให้ณิชกานต์และวรรณรดาก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้างณิชกานต์ ส่วนหลินฮันหมิงเลื่อนเก้าอี้ให้ขวัญชีวี พนักงานเสิร์ฟนำเมนูมายื่นให้ ณิชกานต์กับวรรณรดานั่งดูเมนูด้วยกัน ส่วนขวัญชีวีดูคนเดียว ปวุฒิมองการแต่งร้านสไตล์จีน ๆ มีรูปจากซีรีย์เรื่องดังติดอยู่เพื่อดูไอเดียการแต่งร้าน ดูเมนูอาหารเพื่อเก็บกลับไปประยุกต์ใช้กับร้านของตน
“คุณมาร์คสั่งได้เลยค่ะ ดากับนิด อะไรก็ได้เนอะ”
“เช่นกันค่ะ” ขวัญชีวีบอกเขา หลินฮันหมิงจึงรีบสั่งอาหารรวมถึงน้ำดื่ม และช่วงที่รออาหาร เขาก็อธิบายเพิ่มเติมว่า
“ชาวเปอรากันไม่ได้นับถือศาสนาอิสลาม อาหารจึงมีพวกหมูด้วย อาหารจีนที่เรารู้ ๆ กันก็จะจืด ๆ มีเต้าหู้ยี้ มีซีอิ้ว แต่อาหารของชาวมลายูเครื่องเทศกลิ่นจะแรงหน่อย มีกะทิมัน ๆ ใช้น้ำมะขามเปียก อาหารเปอรานากันก็จะเอาของสองอย่างมาผสมผสานกัน ที่ผมสั่งไปเมื่อกี้มี อาบีอาซัม อีตะก์ ซีโร เอินจิก์ กาบิน”
หลินฮันหมิงยังคงสาธยายเมนูอาหารที่สั่งมาอย่างยืดยาวกระทั่งพนักงานเสิร์ฟนำเมนูมาวาง ลูกทัวร์กิตติมศักดิ์จากเมืองไทย จึงได้เห็นว่า อาบีอาซัม ก็คือ แกงหมูน้ำมะขาม อีตะก์ ซีโร คือ เป็ดตุ๋น ส่วน เอินจิก์กาบิน คือ ไก่ทอดเคียงด้วยด้วยน้ำจิ้ม ซึ่งพอได้ชิมอาหารบนโต๊ะหลากหลายชนิดแล้ว ณิชกานต์ก็หันไปบอก ปวุฒิเจ้าของครัวปวุฒิที่เมืองไทยว่า “น่าจะหาเมนูนำไปดัดแปลงใช้ที่ร้านนะคะ”
“สูตรมีแต่ว่ารสชาตินี่ซิมันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่ถ้านารทเขาได้ชิมนะ เขาจะรู้เลยแหละว่าต้องทำอย่างไรบ้าง”
“พูดแบบนี้วันหลังจะชวนพี่นารทมาใช่ไหม”
“ได้มาเปิดหูเปิดตาบ้างก็ดี อยู่แต่ร้านอยู่แต่กองถ่ายก็นะ บางทีเหมือนกบในกะลา”
ทั้งหมดใช้เวลาจัดการกับอาหารประมาณหนึ่งชั่วโมง พอออกจากร้านมาแล้วบนถนนยองเก้อ (Jonker Street) ซึ่งเป็นถนนคนเดินในยามค่ำคืนก็คลาคล่ำไปด้วยผู้คน และด้วยอยากใช้เวลาเป็นส่วนตัวกับตัวเอง หลังจากขอบคุณเจ้าภาพแล้วปวุฒิก็บอกว่า
“ผมว่า ตอนนี้เรารู้แล้วว่า โรงแรมเราอยู่ตรงไหน เอาเป็นว่า เราแยกย้ายกันเดินแล้วกันนะครับ ดีไหม”
“ก็ดีค่ะ” วรรณรดาเห็นด้วย
“แล้วพรุ่งนี้เจอกันที่ห้องอาหารตอนกี่โมง” ณิชกานต์ถามความเห็น
“สักแปดนาฬิกาแล้วกันนะครับ หลังจากนั้นก็มาคุยกันอีกทีว่าจะไปไปกันบ้าง แต่อันที่จริงนะ ถ้าได้เที่ยวในย่านนี้แต่เช้าจะดีมาก มันจะไม่ร้อนครับ” ย่านนี้คือจากจัตุรัสดัตซ์เดินข้ามสะพานมาอีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำมะละกาซึ่งเป็นชุมชนประกอบไปด้วยตึกแถวรูปทรงชิโนโปตุกีสที่ยังคงรักษาไว้ได้เป็นอย่างดีจนกระทั่งองค์การยูเนสโก้ประกาศให้มะละกาเป็นเมืองมรดกโลก
และเมื่อนัดหมายกันเรียบร้อย ขวัญชีวีที่เข้าใจนัยที่ซ่อนเร้นอยู่ในน้ำเสียงของปวุฒิก็พยักหน้าให้วรรณรดาให้เดินไปด้วยกัน และเวลานี้วรรณรดารู้สึกแล้วว่า ตัวเองกลายเป็นส่วนเกิน
“คุณดาไปกับผมกับคุณนิดก็ได้ครับ” ปวุฒิเอ่ยปากชวน ขวัญชีวีนั้นแสร้งไม่ได้ยิน ทำเป็นมองดูผู้คนที่เดินกันให้ขวักไขว่ร้านรวงและสินค้าปะดามี วรรณรดาเองแม้จะอยากเดินคนเดียวแต่ว่าขวัญชีวีคงไม่ยอมแน่ ๆ ครั้นจะไปเดินกับขวัญชีวี วรรณรดาก็รู้ว่าบางทีหลินฮันหมิงก็ต้องการอยู่กับขวัญชีวีตามลำพังก็ได้
“ดาไปกับคุณนิดก็ได้ ขวัญไปกับคุณมาร์คเถอะ” ว่าแล้ววรรณรดาก็ฉุดแขนของณิชกานต์ให้เดินตามปวุฒิไปทิ้งขวัญชีวีให้ยืนอยู่กับหลินฮันหมิง ซึ่งขวัญชีวีก็ไม่ได้ร้องเรียกเพื่อนไว้ เพราะตัวเองก็มั่นใจว่าหลินฮันหมิงเองก็คงพอใจที่จะให้เรื่องเป็นแบบนี้
“คนเยอะจังเลยนะคะ” หลินฮันหมิงเดินมาประชิดขวัญชีวีทันที
“หรือคุณขวัญอยากจะกลับที่พัก”
“ยังหัวค่ำอยู่เลยค่ะ เดินดูอะไรสักหน่อยก็ได้”
“หรือเราจะหาร้านนั่งกันดีครับ ทางนั้นมีร้านขนมนะครับ”
“ขวัญยังอิ่มอยู่เลยค่ะ เดินก่อนดีกว่า ไปคะ”
ขวัญชีวีเดินนำหน้าเขาและหญิงสาวก็ต้องหันกลับมาเมื่อมือข้างซ้ายถูกเขาดึงไว้ ซึ่งเขาไม่ใช่แค่ดึงแต่ถือวิสาสะจับไว้อีกด้วย
“มีอะไรหรือคะ”
“ผมขอเดินจับมือคุณขวัญไว้ได้ไหมครับ”
“กลัวขวัญหลงเหรอคะ” ขวัญชีวีอมยิ้มนิด ๆ แล้วเดินต่อโดยมีเขาเดินเคียงข้าง
“ผมอยากให้คุณขวัญจดจำได้ว่าครั้งหนึ่งเราเคยเดินด้วยกันที่มะละกา ไม่ซิ เป็นครั้งแรกที่ผมเดินจับมือคุณขวัญ”
“เยอะจังเลยค่ะ”
“อะไรคือเยอะ”
ขวัญชีวีปั้นหน้าเหน็ดเหนื่อยใจกับภาษาไทยของเขาแต่ก็ไม่ได้ดึงมือออกเพราะว่านักท่องเที่ยวที่เดินอยู่บนท้องถนนเยอะเหลือเกินและที่สำคัญปวุฒิ วรรณดา และณิชกานต์ก็หายไปจากสายตาเสียแล้ว
“คุณขวัญครับ แวะร้านรองเท้าไหม”
“ทำไมคะ”
“รองเท้าร้านนี้ พื้นรองเท้าทำจากไม้สน ตัวหูรองเท้าทำจากลูกปัดครับสืบทอดวิธีการทำรองเท้ากันมาอย่างยาวนาน ซื้อไปเป็นที่ระลึกสักคู่นะครับ”
ว่าแล้วเขาก็พาเดินเข้าไปในร้าน ถึงตรงนี้แล้วเขาปล่อยมือให้ขวัญชีวีเดินเลือกดูรองเท้า แล้วเขาก็กระซิบเบา ๆ ว่า “อยากได้คู่ไหนเลือกเลยครับ ผมซื้อให้ หรือจะซื้อไปฝากคุณยายกับคุณแม่ด้วยก็ได้นะครับ ผมซื้อให้”
“ขอบคุณค่ะ แต่ขวัญว่าราคาค่อนข้างแพง”
“ไม่เป็นไรครับ นะครับ เลือกไปสามคู่ เอาไปฝากคุณยายกับคุณแม่คุณขวัญด้วย ได้แต่คุยกัน ยังไม่ได้เจอตัวก็อยากส่งของฝากไปก่อน ช่วยเลือกให้หน่อยนะครับ”
เมื่อจนต่อเหตุผลของเขาแล้วขวัญชีวีจำต้องเลือกรองเท้าสำหรับคุณยายและแม่รวมถึงของตัวเองอย่างที่เขาต้องการ และเมื่อชำระเงินเรียบร้อยแล้วเขาก็เป็นฝ่ายถือถุงให้...
ส่วนณิชกานต์ ปวุฒิ และวรรณรดานั้นเมื่อพากันเดินเบียดเสียดผู้คนดูสินค้าเลือกซื้อของฝากพลางถ่ายรูปเป็นที่ระลึกแล้วทั้งหมดก็พากันเดินกลับไปยังโรงแรมและเมื่อจะถึงหน้าโรงแรมปวุฒิก็เอ่ยปากว่า..
“คุณนิด คุณดา” หญิงสาวที่เดินนำหน้าเขาอยู่หันมามอง
“นิด ผมขอคุยกับคุณดาเป็นการส่วนตัวหน่อยได้ไหมครับ”
ณิชกานต์พยักหน้าให้วรรณรดาก่อนจะผลักประตูล็อบบี้เข้าไปเอากุญแจที่ได้ฝากไว้ แต่ว่าพนักงานบอกว่าขวัญชีวีนั้นกลับมาก่อนแล้ว ณิชกานต์เดินขึ้นบันไดไปยังห้องพักโดยในใจก็อดครุ่นคิดไม่ได้ว่าปวุฒิจะคุยอะไรกับวรรณรดา
เมื่อมาถึงหน้าห้องณิชกานต์ก็เคาะประตู ขวัญชีวีมาเปิดประตูให้พอไม่เห็นวรรณรดาขวัญชีวีก็เอ่ยปากถาม
“ดาล่ะ”
“พี่ปุ้ม ขอคุยเป็นการส่วนตัวน่ะ อยู่หน้าโรงแรม” แทรกตัวเข้ามาในห้องแล้วณิชกานต์ก็วางถุงของฝากไว้บนเคาน์เตอร์ก่อนจะทรุดตัวนั่งบนโซฟา ขวัญชีวีนั้นปิดประตูแล้วก็เดินมาทรุดตัวนั่งลงบนเตียง
“คุยอะไรกันพอรู้ไหม”
“ไม่รู้”
“พี่ปุ้มไม่ได้แย้มอะไรให้รู้ก่อนหน้าเลยเหรอ”
“เปล่า”
“แล้วกับเธอ พี่ปุ้มเขาพูดว่าอย่างไรบ้าง”
ณิชกานต์หยักไหล่ส่ายหน้าปฏิเสธ ปวุฒิยังไม่ได้พูดอะไรชัดเจนกับเธอ แต่ณิชกานต์ก็ดูออกว่า ในเวลานี้ เขาดูใส่ใจความรู้สึกของเธอเป็นอย่างมาก
ขวัญชีวีถอนหายใจแล้วลุกขึ้นเปิดประตูระเบียงออกไป และเธอก็ได้เห็นว่า ปวุฒินั้นยืนอยู่กับวรรณรดาสีหน้าของเขานั้นจริงจัง ส่วนวรรณรดานั้นก็ยิ้มแหย ๆ ขวัญชีวีอยากรู้เหลือเกินว่าปวุฒิคุยอะไรกับวรรณรดา
เมื่อณิชกานต์เดินขึ้นห้องพักไปแล้ว ปวุฒิก็เดินนำวรรณรดาข้ามถนนมายังฟุตบาทที่อยู่ตรงกันข้ามกับโรงแรม สายลมเย็น ๆ กับแสงไฟสลัวทำให้วรรณรดาที่เดินตามเขามารู้สึกเย็นยะเยือก และเมื่อเขาหันกลับมาหาด้วยดวงตาเต้นระริก วรรณรดาก้ต้องจ้องตาของเขา และเธอก็เห็นเพียงความว่างเปล่าในดวงตาคู่นั้น
“ก่อนอื่นผมต้องบอกก่อนว่า ไม่รู้ว่าผมเข้าใจผิดไปเองหรือเปล่านะ คือผมคิดว่าที่คุณดาตามมาเที่ยวในครั้งนี้ด้วยก็เป็นเพราะเอ่อ คุณดา มีความรู้สึกดี ๆ กับผม อยากได้ความรู้สึกดี ๆ จากผม” ปวุฒิเลือกที่จะไม่เท้าความถึงความสงสัยว่าการมาที่นี่ของวรรณรดานั้นมีขวัญชีวีชักใยอยู่เบื้องหลัง และเมื่อเขาเอ่ยมาตรง ๆ วรรณรดาที่จ้องหน้าเขาอยู่ก็เมินหน้าไปหากำแพงตั้งใจฟังเขาพูด โดยที่วันนี้เขาไม่ได้ดื่มสติสัมปัชชัญญะของเขาจึงอยู่คบ
“ผมยอมรับว่า แรก ๆ ผมก็หวั่นไหวบ้าง ผมเหมือนคนที่กำลังจมน้ำ อะไรที่พอให้เกาะได้ผมก็ต้องเกาะ แต่เอาเข้าใจจริง ๆ พอคุณนิดตามมา ผมถึงได้รู้ว่า ผมชอบคุณนิดมากกว่าคุณดาครับ” พูดจบแล้วเขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก และเขาก็ยิ้มเมื่อเห็นว่าวรรณรดาไม่ได้ร้องไห้หรือมีสีหน้าผิดหวังเสียใจให้เห็น หญิงสาวมีสีหน้าปกติและน้ำเสียงที่เยือกเย็นอย่างคนที่โตพอจะเข้าใจว่าโลกใบนี้ มันเราจะไม่ได้อะไรอย่างใจเราทั้งหมด
“ค่ะ ยินดีกับคุณนิดด้วย”
“คุณดาไม่โกรธผมนะครับ”
“จะโกรธทำไมละคะ ดายินดีกับความสุขของพี่ปุ้มด้วย จะว่าไปแล้ว พอเห็น พี่ปุ้มกับคุณนิดอยู่ด้วยกัน ดาก็เห็นถึงความเหมาะสม ความเหมาะเจาะลงตัว หลังจากที่คุณนิดมาดาก็ได้เรียนรู้เช่นกันค่ะ”
“เรายังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้นะครับ”
“ค่ะ ขอบคุณนะคะสำหรับมิตรภาพ”
“ผมยังไม่ได้บอกกับนิดเรื่องนี้หรอก ผมอยากคุยกับคุณดาให้จบก่อน”
“แล้วขวัญเขาว่าอย่างไรบ้าง”
“ตอนนี้ชีวิตผมเป็นของผมแล้วครับ ชีวิตขวัญก็เป็นของขวัญ ถ้าคิดอย่างง่าย ๆ คือเราไม่ใช่เนื้อคู่กัน มันก็เลย ไม่สามารถที่จะลงเอยกันได้”
“ดีใจกับพี่ปุ้มกับคุณนิดจริง ๆ ค่ะ” วรรณรดายิ้มให้เขาแม้จะเป็นยิ้มที่ไม่เต็มหน้านักแต่ปวุฒิก็ดีใจว่าเขานั้นทำดีทีสุดแล้ว
มะละกา เป็นรัฐทางตอนใต้ในประเทศมาเลเซีย ตรงข้ามกับเกาะสุมาตราของประเทศอินโดนีเซีย ก่อตั้งขึ้นราวศตวรรษที่ 13 โดยเจ้าชายปรเมศวร เนื่องจากอยู่ในเส้นทางการค้า มะละกาจึงเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว กลายเป็นเมืองที่ต่างชาติต้องการยึดครอง
ชาติตะวันตกที่เคยมีอำนาจเหนือมะละกา ได้แก่ โปตุเกส ดัตซ์และอังกฤษ
ปัจจุบันมะละกาเป็นรัฐที่มีวัฒนธรรมผสมผสานระหว่างกลุ่มคนหลายเชื้อชาติหลายศาสนา ซึ่งเป็นสีสันของมะละกา ที่ยิ่งทวีแรงดึงดูดใจให้นักท่องเที่ยวมาสัมผัส
จัตุรัสดัตซ์เป็นจุดกลางเมืองมะละกาที่แวดล้อมไปด้วยสถาปัตยกรรมยุคอาณานิคม ได้แก่ โบสถ์ไครส์เชิร์ช อาคารสแตทด์ฮุยส์ อาคารพิพิธภัณฑ์เยาวชน หอนาฬิกา กังหันลมฮอลันดา ป้อมปืนมะละกา และที่พลาดชมไม่ได้คือ รูปปั้นกระจง บริเวณวงเวียนหน้าจัตุรัสดัตซ์ เพราะกระจงตัวนี้คือสัญลักษณ์สำคัญเมื่อครั้งเจ้าชายปรเมศวรผู้ครองนครเทมาเส็กหรือสิงคโปร์หนีจากการโจมตีของกองทัพชวามาอยู่มะละกา แล้วเห็นกระจงตัวหนึ่งกำลังถูกหมาป่าไล่ล่า ด้วยความจนตรอกทำให้เจ้ากระจงน้อยตัวนั้นเปลี่ยนจากหนีมากัดฟันสู้กับหมาป่า และเตะหมาป่าตัวหนึ่งตกลงไปในน้ำ เจ้าชายปรเมศวรรู้สึกมีกำลังใจในการต่อสู้ และทรงตัดสินใจปักหลักสร้างเมืองมะละกาขึ้น กลายเป็นเมืองมั่งคั่งในเวลาต่อมา
โรงแรมอัลดี้-สตัคไฮส์ (Aldy Hotel Stadhuys) ที่หลินฮันหมิงพาคณะจากเมืองไทยไปพักนั้นตั้งอยู่ในย่านสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญอันได้แก่พิพิธภัณฑ์ จัตุรัสดัตช์ และเนินเขาเซนต์พอลที่บนยอดเขานั้นมีซากโบสถ์เซนต์ปอล ซึ่งเป็นจุดชมวิวมะละกาได้ด้วย
หลินฮันหมิงให้เวลาลูกทัวร์จากเมืองไทยพักผ่อนทำธุระส่วนตัวก่อนออกไปรับประทานอาหารเย็นด้วยกันเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง เมื่อขวัญชีวีเดินออกจากห้องไปแล้ว ปวุฒิก็ลุกจากเตียงเปิดประตูออกมาหวังไปเดินเล่นฆ่าเวลาเพราะเขาคิดได้ว่าเขาไม่ควรจมปลักอยู่กับความรักอันมืดมนและจับต้องไม่ได้นี้ และเมื่อก้าวข้ามประตูโรงแรมเขาก็พบณิชกานต์ยืนหันรีหันขวางถ่ายรูปรถสามล้อถีบที่แต่งรถด้วยดอกไม้พลาสติกและเครื่องเสียงติดลำโพงเปิดเพลงลั่นถนนวิ่งผ่านไปผ่านมาโดยมีนักท่องเที่ยวยิ้มแย้มเป็นผู้โดยสาร และเมื่อหันมาเห็นเขาณิชกานต์ยิ้มกว้างให้ เป็นยิ้มที่สดชื่นเป็นยิ้มที่เหมือนแสงสว่างสาดเข้ามาเป็นยิ้มที่เขารู้สึกว่าอบอุ่นหัวใจขึ้นมาอย่างประหลาด เขายิ้มตอบให้หญิงสาวก่อนจะรีบสาวเท้าเดินหลบเลี่ยงรถสามล้อถีบเดินข้ามถนนเข้าไปหา
“ยิ้มอะไรหรือพี่ปุ้ม”
“ยิ้มดีใจกับชีวิตใหม่”
“ชีวิตใหม่ หมายความว่าไงคะ” ณิชกานต์นั้นอมยิ้มถามเขาดวงตาวิบวับ เขาจับแขนณิชกานต์แล้วเดินไปหยุดข้างกำแพงสีแดงอิฐที่อยู่ตรงกันข้ามกับโรงแรม
“พี่ตัดใจจากขวัญได้แล้ว ตอนนี้หัวใจพี่ว่าง แต่พี่รู้สึกว่ามันว่างเดี๋ยวเดียวเอง”
“ทำไมคะ”
“ไปเดินเล่นกันดีกว่า ไปทางไหนดี”
“ดูจากหนังสือข้อมูลแล้ว ถ้าไปทางนี้ จะไปจัตุรัส แล้วข้ามสะพานไปจะเป็นเมืองเก่าพวกตึกชิโนโปตุกีส ตึกแถวสไตล์จีน กลางคืนจะมีถนนคนเดิน เดี๋ยวค่อยไปกลางคืนก็ได้มั้ง แต่ถ้าไปทางนี้ จะไปป้อม ไปวังสุลต่าน นิดว่าไปทางนี้กว่า”
“ตามใจเลย ไปรถสามล้อถีบไหม”
“ดีค่ะ”
เมื่อโบกรถสามล้อถีบ ถามไถ่ราคาแล้ว เขากับณิชกานต์ก็ปีนไปนั่งคู่กัน และระหว่างที่รถสามล้อถีบโดยชายตัวใหญ่หน้าดำหนวดเครารุงรังเคลื่อนไปเขาก็ดึงโทรศัพท์มือถือออกมาถ่ายรูปเขากับณิชกานต์ที่ยิ้มสดชื่นให้กับกล้องอย่างเต็มใจ
“รูปนี้พี่จะโพสต์นะ”
“ได้เลยค่ะ”
และเมื่อสารถีพาไปถึงปลายสายซึ่งอยู่ห่างจากจุดที่ทั้งสองเรียกขึ้นรถไม่เท่าไหร่ณิชกานต์ก็หัวเราะเสียงดัง
“นิดว่าถ้าแค่นี้ เดินมาก็ได้นะ เราก็นึกว่าไกล”
“ก็คิดว่าได้นั่งสามล้อไง”
ปวุฒิเป็นคนจ่ายค่าโดยสาร พอเห็นไปณิชกานต์ก็กดชัตเตอร์ให้เขายิ้มให้กล้องดวงตาเป็นประกายทีเดียว
“ดูพี่ปุ้มมีความสุขขึ้นจริง ๆ ด้วย”
“ตรงนี้เรียกว่าอะไร”
“ป้อมประตูซานดิเอโก้ ตรงโน้นเป็นวังสุลต่าน และตรงนี้ก็คือตึกอนุสรณ์การประกาศเอกราชค่ะ”
ป้อมซานดิเอโก้ ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาเซนต์ปอล สร้างขึ้นโดยชาวโปตุเกสในปี พ.ศ. 2054 เป็นส่วนที่ยังหลงเหลืออยู่ของป้อมเอฟาโมซาซึ่งถูกทำลายย่อยยับในสงครามแย่งชิงมะละการะหว่างโปตุเกสกับฮอลันดา จนเมื่อชาวดัตซ์แห่งฮอลันดาเข้ามาปกครองมะละกา ป้อมเอฟาโมซาได้รับการบูรณะอีกครั้ง แต่สุดท้ายก็ถูกกองเรืออังกฤษทำลายจนยับเยินอีกหน คงเหลือเพียงป้อมประตูซานติเอโกไว้เป็นมรดกแห่งประวัติศาสตร์การแย่งชิง
อนุสรณ์การประกาศเอกราช ตั้งอยู่ตรงข้ามป้อมประตูซานติเอโก สร้างขึ้นในยุคที่อังกฤษปกครอง ซึ่งแม้จะสร้างตามสถาปัตยกรรมแบบวิตอเรีย แต่ยังคงเอกลักษณ์ของอิสลามด้วยยอดโดมคู่สีทอง แต่เดิมเคยใช้เป็นสโมสรมะละกา ปัจจุบันปรับปรุงเป็นสถานที่จัดแสดงเรื่องราวประวัติศาสตร์ช่วงที่ถูกปกครองโดยชาติตะวันตก และเหตุการณ์วันประกาศอิสรภาพซึ่งเกิดขึ้นในวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2500 โดยรัฐบาลมาเลเซียเลือกเมืองมะละกาแห่งนี้เป็นสถานที่ประกาศอิสรภาพ
วังสุลต่านแห่งมะละกา ตั้งอยู่ด้านหลังตึกอนุสรณ์การประกาศเอกราช อาคารสร้างใหม่แทนของเดิมที่ถูกไฟไหม้ โดยรูปแบบของการสร้างจำลองจากวังสุลต่านในสมัยก่อนถูกโปรตุเกสเข้ายึดครอง เป็นอาคารทรงยาว สร้างจากไม้ทั้งหลัง ภายในจัดแสดงเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของมะละกาด้านการเดินเรือช่วงสมัยที่ถูกปกครองโดยชาติตะวันตก พร้อมด้วยวิถีชีวิต เครื่องแต่งกาย และการละเล่น มีจุดเด่นที่การจำลองเหตุการณ์ต่าง ๆ ทางประวัติศาสตร์ได้อย่างสมจริง โดยเฉพาะห้องท้องพระโรงขององค์สุลต่าน
แต่เมื่อณิชกานต์กับปวุฒิเดินไปหยุดตรงทางเข้าก็เห็นป้ายที่เขียนว่า ‘ปิดปรับปรุง’ ทั้งสองคนจึงเดินกลับมาที่ป้อมซานดิเอโก้ทีมีปืนใหญ่สมัยโบราณตั้งอยู่ด้านหน้า ซึ่งมีนักท่องเที่ยวถ่ายรูปกันเต็มไปหมด
“บันไดทางขึ้นไปไหน” มองผ่านซุ้มโคงของป้อมไปจะเห็นบันไดปูนสูงชัน
“ไปโบถส์เซนต์ปอลค่ะ แต่ว่า เราอย่าเพิ่งขึ้นเลย ได้เวลาแล้ว เดี๋ยวทางนั้นจะรอนาน...”
“พี่อยากขึ้นไปชมพระอาทิตย์ตกจังเลย...คงจะสวยมาก”
“แต่พวกนั้นจะรอเรานะคะ”
“ถ้าเราจะแยกจากพวกเขาเที่ยวกันเองล่ะ”
“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ”
“ว่าไปมะละกาก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรนะ” เพราะจากจุดที่ยืนอยู่ก็มองเห็นห้างสรรพสินค้าใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลนักและตอนที่นั่งรถมาเขาก็เห็นแล้วว่าในเมืองเก่ามีจุดไหนบ้างที่น่าสนใจ และที่สำคัญหลินฮันหมิงเลือกโรงแรมได้ดีทีเดียว
“ก็เล็กนิดเดียวแหละค่ะ แต่ว่าพรุ่งนี้เรายังมีเวลาตะลุยที่นี่อีกวันนะ พรุ่งนี้เย็นค่อยขึ้นไปดูก็ได้ ไปกินข้าวก่อนดีกว่า ไปค่ะ แต่ไม่ต้องนั่งสามล้อกลับไปหรอก ใกล้แค่นี้เอง เปลืองตังค์”
“อยากนั่งอีก ขี้เกียจเดิน แล้วอีกอย่างสนุกดี”
อันที่จริงปวุฒิไม่ได้สนุกกับการนั่งรถ แต่เขาคิดว่า เมื่อถึงหน้าโรงแรมแล้ว ทั้งหลินฮันหมิง วรรณรดา ขวัญชีวีจะต้องยืนเมียงมองหาพวกเขาอยู่แน่ ๆ และถ้าเขานั่งรถสามล้อถีบที่มีที่นั่งผู้โดยสารอยู่ด้านข้างนี้ไปกับ ณิชกานต์สีหน้าเปี่ยมล้นไปด้วยความสุขแล้ว วรรณรดาก็คงจะรู้ดีว่า ตอนนี้เขา ชัดเจนแล้วว่า เขาเลือก ณิชกานต์
“มีแผนอะไรหรือเปล่าคะ” ณิชกานต์เอ่ยถามเมื่อเขาถ่ายรูปคู่กับเธออีกและเธอก็ยินดีที่จะเอียงคอดูแนบชิดสนิทสนมกับเขา
“นิดรังเกียจคนที่เพิ่งอกหักมาไหมละ”
“พี่ปุ้ม”
“พี่พูดเรื่องจริงนะ ต่อไปพี่จะมีแต่นิดเท่านั้น นิดยินดีคบหากับพี่ไหม”
“คุณดาล่ะ คุณดาเค้า”
“นิดตามพี่มามาเลเซียทำไม แล้วจะไปสนใจความรู้สึกของคุณดาทำไม”
“แต่คุณดาเป็นคนดีมาก ดีจนนิดละอาย”
“ถึงว่า ช่วงหลัง ๆ ทำเหินห่างพี่นะ จนพี่น้อยใจ คิดว่า นิดคงไม่สนใจดาราจน ๆ คนนี้เสียแล้ว” ถ้าเทียบกับวิศรุตหรือหลินฮันหมิงปวุฒิถือว่าจน
“พี่ปุ้มแน่ใจนะคะว่า น้อยใจนิด”
“พี่ตัดขวัญเขาได้แล้ว กลับไป มีข่าวว่า ไปคนละทางแน่นอน”
“แล้วพี่ก็จะมีนิดในทันทีเลยทีเดียว”
“ไม่ดีหรือไง”
ใบหน้าของณิชกานต์แดงระเรื่อเป็นคำตอบ และเมื่อสามล้อถีบพาไปถึงหน้าโรงแรมปวุฒิก็คาดเดาไว้ไม่ผิดจริง ๆ ขวัญชีวีปั้นหน้าบึ้งเมื่อเห็นว่าเขานั่งรถสามล้อคู่มากับณิชกานต์ แต่วรรณรดานั้นกลับถ่ายรูปให้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ไม่แสดงอาการผิดหวังเสียใจแต่อย่างใด ส่วนหลินฮันหมิงนั้นมีสีหน้าเรียบเฉย
“ขอโทษทีค่ะ พอดีพี่ปุ้มอยากนั่งสามล้อ”
“ไปไหนกันมาคะ” วรรณรดาถามด้วยสีหน้าปกติ
“ตรงนี้เองคุณดา” ลงจากรถโดยมีปวุฒิประคองแล้วณิชกานต์ก็เดินมาหาวรรณรดา
“หิวข้าวจะแย่แล้ว” ขวัญชีวีพ่นลมหายใจแรง ๆ ระบายความอึดอัดใจ
“แล้วร้านอาหารไปทางไหนไกลไหมครับคุณมาร์ค” เมื่อไม่ได้เป็นคู่แข่งปวุฒิจึงดูสดชื่นขึ้นเมื่อคุยกับหลินฮันหมิง
“ร้านอาหารอยู่ตรงแม่น้ำมะละกานี้เองครับ เดินไปก็ได้ครับ...ไปกันครับ คุณขวัญหิวแย่แล้ว”
“อันที่จริงมีโรงแรมที่ดีกว่าที่นี่นะครับ แต่ว่ามันไกลจากจุดท่องเที่ยวไปหน่อย” เมื่อก้าวขานำลูกทัวร์กิตติมศักดิ์จากเมืองไทยทั้งสี่คนหลินฮันหมิงก็เริ่มอธิบายทันที
“ดาว่าตรงนี้โอเคมากเลยค่ะ แบบนี้แหละที่ดาต้องการ”
“ที่นี่พิพิธภัณฑ์เยอะครับ ถ้าชอบดูชอบศึกษาละได้เลย หน้าที่พักเราพิพิธภัณฑ์ทั้งนั้นเลยครับ”
ด้านหน้าโรงแรมอัลดี้-สตัคไฮส์ซึ่งเป็นตึกสามชั้นทาสีแดงอิฐเช่นเดียวกับโบสถ์คริสต์มะละกาและสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ๆ ในย่านนั้น มีพิพิธภัณฑ์ถึงสามแห่ง อันได้แก่ พิพิธภัณฑ์โบราณคดี พิพิธภัณฑ์อิสลาม พิพิธภัณฑ์ประชาชนตั้งเรียงรายไปจนถึงป้อมซานดิเอโก้ที่ปวุฒิและณิชกานต์นั่งรถสามล้อถีบไปกันมาแล้วแต่ด้วยหมดเวลาราชการสถานที่เหล่านั้นจึงปิดทั้งหมด
“พรุ่งนี้ แค่ตรงนี้ก็ครึ่งวันแล้วมั้งคะ” วรรณรดาที่เดินขนาบข้างหลินฮันหมิงเอ่ยปากถาม
“คุณดาชอบพิพิธภัณฑ์เหรอครับ”
“ดาชอบค่ะ ชอบเดินดู เดินอ่าน ชอบศึกษาหาความรู้แบบนอกระบบ”
“คุณขวัญล่ะ”
“ขวัญอะไรก็ได้”
ตอนนี้ณิชกานต์กับปวุฒิเดินรั้งท้ายและหลังมือของทั้งคู่ก็เสียดสีกันไปในขณะที่เท้าก้าวตามไกด์ร่างสูง โดยปวุฒิเองก็พยายามจะฉวยโอกาสจับจูงมือณิชกานต์ขณะก้าวเดินแต่ณิชกานต์ย่นจมูกให้...เพราะไม่อยากทำร้ายจิตใจของวรรณรดาจนกว่าเธอจะได้คุยกับวรรณรดาให้เข้าใจ
“คุยอะไรกันคะ อยากฟังด้วย” ณิชกานต์รีบก้าวมาเดินขนาบข้างวรรณรดา
“คุณนิดชอบพิพิธภัณฑ์ไหม”
“นิดอยากไปช็อปปิ้งค่ะ เมื่อกี้เห็นห้างสรรพสินค้าแล้ว มีตั้งหลายห้างนะใหญ่โตทีเดียว”
“ผมว่าพรุ่งนี้ ครึ่งวันผมปล่อยฟรีสไตล์ดีกว่าไหม มีแผนที่ท่องเที่ยวกันแล้ว ทุกคนก็ตามสะดวกเลย ขึ้นแท็กซี่บ้าง เดินบ้าง นั่งสามล้อบ้างจะดีมาก แล้วฝั่งตึกชิโนโปตุกีสก็มีพิพิธภัณฑ์เยอะเหมือนกันนะครับ” ที่ล็อบบี้ของโรงแรมมีแผนที่แจกฟรีตอนเช็คอินทั้งหมดคว้ากันไปคนละใบ
“นิดอยากไปดูพิพิธภัณฑ์บ้าบ๋าย่าหยาค่ะ ที่อยากมามะละกานี่ก็เพราะนิดดูซีรีย์เรื่องนี้นะคะ ตอนที่เมืองไทยเอาฉาย นิดไม่เป็นอันทำอะไรเลย ว่าละครไทยน้ำเน่าแล้ว เรื่องนี้สุด ๆ แล้วทางไทยก็แปลชื่อเป็นภาษาไทยได้ สุด ๆ เหมือนกัน”
“ชื่ออะไรครับ”
“ชื่ออังกฤษ The Little Nyonya ค่ะ...ถ้าคุณมาร์คแปลคุณเป็นภาษาไทยจะให้ชื่อว่าอะไร” ณิชกานต์ชวนเขาเล่นเกม
“เรื่องราวเล็ก ๆ ของชาวนอนยา”
“ช่อง tpbs ตั้งชื่อว่า รักยิ่งใหญ่จากใจดวงน้อยค่ะ บ้าบ๋าย่าหยา รักยิ่งใหญ่จากใจดวงน้อย” ดวงตาของณิชกานต์เป็นประกายทีเดียว
“ทำไมเป็นใจดวงน้อยได้คะ” วรรณรดาซัก
“อยากรู้ต้องไปหามาดูค่ะ อันที่จริง ถ้ามีหนังสือแล้วแปลเป็นภาษาไทยคงจะดีมาก”
“เรื่องราวเกี่ยวกับอะไรครับ” ระหว่างที่ซักถามเขาก็พาเดินผ่านนักท่องเที่ยว รถยนต์ซึ่งซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นรถที่ผลิตในประเทศมาเลเซีย รถสามล้อถีบที่รับนักท่องเที่ยวจากหน้าโบสถ์คริตส์มะละกาไปยังหน้าป้อมฯ
“เรื่องเกี่ยวกับคนจีนในมะละกาค่ะเกิดขึ้นสมัยโลกครั้งที่ 2 แต่เรื่องนี้ประเทศสิงคโปร์สร้างนะคะ ทำไมไม่ใช่มาเลเซียก็ไม่รู้”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ”
“งั้นคุณมาร์คต้องหาซีรีย์เรื่องนี้ไปดูค่ะ ดูซิว่า ใกล้เคียงกับชีวิตบรรพบุรุษของคุณมาร์คหรือเปล่า รันทดมาก ๆ”
“ลามปาม” ขวัญชีวีที่ฟังอยู่สบถเบา ๆ แต่ว่าณิชกานต์ที่เดินอยู่ห่าง ๆ ไม่ได้ยิน
“รันทดก็คืออะไรครับ” หลินฮันหมิงซักบ้าง
“ก็เศร้าโศกค่ะ”
“แล้วลามปรามละครับ” เขาเอาคำพูดเบา ๆ ของขวัญชีวีถามขึ้นมา ณิชกานต์จึงมองหน้าวรรณรดาพร้อมกับทำหน้าฉงนเพราะว่าตัวเองยังไม่ได้พูดคำว่า ลามปามออกไปแล้วหลินฮันหมิงไปเอาคำนี้มาจากไหน
“ลามปราม แปลว่า ล่วงเกินค่ะ นิดขอโทษด้วยนะคะ” ณิชกานต์ตอบทันทีทันใด
“ผมยังไม่ได้รู้สึกว่าคุณนิดล่วงเกินอะไรผมเลยนะครับ”
“แล้วคุณมาร์คนี่เป็นชาวบ้าบ๋าย่าหยาหรือเปล่าครับ” ณิชกานต์ดึงหัวข้อสนทนากลับไปหาเรื่องที่ตนเองสนใน
“ชาวเปอรานากันเป็นลูกผสมระหว่างชาวจีนโพ้นทะเลขึ้นสำเภามาอยู่ที่นี่ แล้วแต่งงานกับชาวมลายู ทางสายคุณตาของผมเป็นจีนแท้ ๆ แต่สายคุณตาผม ตาทวดผมเป็นชาวอังกฤษแต่งกับคนจีน หน้าตาผมก็อย่างที่เห็น ผมไม่ใช่เปอรานากันครับ”
เปอรานากัน (Peranakan) หรือ บ้าบ๋า-ย่าหยา (Baba-Nyonya) คือกลุ่มลูกครึ่งมลายู-จีนที่มีวัฒนธรรมผสมผสาน และสร้างวัฒนธรรมแบบใหม่ขึ้นมาโดยเป็นการนำเอาส่วนดีระหว่างจีน และมลายูมารวมกัน โดยชื่อ ‘เปอรานากัน’ มีความหมายว่า ‘เกิดที่นี่’
ประวัติความเป็นมานั้น ราว ๆ ต้นทศวรรษที่ 14 กลุ่มพ่อค้าชาวจีนโดยเฉพาะกลุ่มฮกเกี้ยนเดินทางเข้ามาค้าค้าในบริเวณดินแดนคาบสมุทรมลายูและตัดสินใจตั้งถิ่นฐานในเมืองมะละกาประเทศมาเลเซียได้แต่งงานกับชาวมลายูท้องถิ่น โดยภรรยาชาวมลายูจะเป็นผู้ดูแลกิจการการค้าที่นี่ สำหรับสายเลือดใหม่ของชายชาวจีนกับหญิงมลายูหากเป็นชายจะได้รับการเรียกขานว่า บ้าบ๋า หรือบ้าบ๋า (Baba) ส่วนผู้หญิงจะเรียกว่า ย่าหยา (Nyonya) และเมื่อคนกลุ่มนี้มีจำนวนมากขึ้น ก็ได้สร้างวัฒนธรรมรูปแบบใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิมของบรรพบุรุษโดยมาผสมผสานกันเป็นวัฒนธรรมใหม่ เมื่อพวกเขาอพยพไปตั้งถิ่นฐานในบริเวณอื่น ๆ ก็ได้นำวัฒนธรรมของตนกระจายไปด้วย วัฒนธรรมใหม่นี้จึงถูกเรียกรวมๆว่า จีนช่องแคบ (Straits Chinese)
ต่อมาต้นทศวรรษที่ 18 เมื่อสมัยอาณานิคมดัตช์ ได้มีชาวจีนอพยพเข้ามามากขึ้น จนทำให้เลือดมลายูของชาวเปอรานากันจางลง จนรุ่นหลังแทบจะเป็นจีนเต็มตัวไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้ทำให้วัฒนธรรมผสมผสานของชาวเปอรานากันจืดจางลงไปเลย การผสมผสานนี้ยังมีให้เห็นในการแต่งกายแบบมลายู เช่น ซารุง กบายา และชุดย่าหยา ซึ่งถือเป็นการแต่งกายอันสวยงามที่ผสมผสานรูปแบบของชาวจีนและมลายูเข้าด้วยกันอย่างงดงาม ฝ่ายหญิงใส่เสื้อฉลุลายดอกไม้ รอบคอ เอว และปลายแขนอย่างงดงาม นิยมนุ่งผ้าซิ่นปาเต๊ะ ฝ่ายชายยังคงแต่งกาย คล้ายรูปแบบจีนดั้งเดิม อาหารแบบเฉพาะตัว และภาษาที่ผสมผสานคำทั้งมลายู จีน และอังกฤษไว้ด้วยกัน
สำหรับประเทศไทย จากพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 ให้นิยามคำว่า ‘บ้าบ๋า’ และ ‘ย่าหยา’ ว่า ‘เรียกชายที่เป็นลูกครึ่งจีนกับมลายูที่เกิดในมลายูและอินโดนีเซีย ว่า บ้าบ๋า, คู่กับ ย่าหยา ซึ่งหมายถึงหญิงลูกครึ่งจีนกับมลายูที่เกิดใน มลายูและอินโดนีเซีย’
ส่วน ในจังหวัดภูเก็ต ชาวเปอรานากัน ทั้งเพศชายและหญิง จะถูกเรียกรวม ๆ กันว่า ‘ชาวบ้าบ๋า’ ส่วนคำว่า ‘ย่าหยา’ เป็นเพียงชื่อของชุดสตรีเท่านั้น
“ค่ะ”
“แล้วรักยิ่งใหญ่จากใจดวงน้อยนี่เป็นอย่างไรครับ ชื่อแปลกดีนะ”
“ก็ ตัวละครนางเอกนี่เป็นหลานของเจ้าของเจ้าสัวมีแม่เป็นใบ้ มีพ่อเป็นช่องถ่ายรูปมาจากญี่ปุ่น เรื่องสมัยสงครามโลกนะคะ เรื่องมันยาวมาก แล้วพอพ่อแม่ตายเพราะไฟสงคราม นางเอกก็กลับมาอยู่กับครอบครัวคุณตาเจ้าสัว ซึ่งมีคุณยาย แม่เลี้ยงของแม่ และลูก ๆ ที่ร้ายกาจมาก นางเอกก็อดทนเพื่อคุณยายของตัวเอง ถูกกลั่นแกล้งสารพัด ตัวละครที่ร้ายก็ร้ายมาก น้ำเน่ามาก แล้วซีรีย์เรื่องนี้ดำเนินเรื่องโดยการเล่าเรื่องของตัวนางเอกตอนแก่นะคะ เธอเล่าให้ลูกหลานตัวเองในยุคปัจจุบันฟัง สรุปแล้ว สุดท้ายคือนางเอกไม่มีลูกค่ะเธอแต่งกับฝรั่ง แล้วเอาลูกของศัตรูมาเลี้ยงเป็นลูกตัวเอง คนที่นั่งฟังเรื่องนางเอกเล่าอยู่น่ะ คือลูกหลานของศัตรู ตอนจบเฉลยอย่างนั้น มันจึงกลายเป็นชื่อเรื่อง รักยิ่งใหญ่จากใจดวงน้อย ไงคะ เหมือนกับว่าความดีเอาชนะทุกสิ่ง และการอภัยกันเป็นเรื่องที่ควรยินดี เป็นซีรีย์ที่ทำได้ซึ้งใจมากค่ะ”
“ผมคงต้องหามาดูซะแล้ว ดีไม่ดีพี่สาวผมสองคนอาจจะมีก็ได้ครับ”
“ร้านอีกไกลไหมคะ” น้ำเสียงของขวัญชีวีดีขึ้น เพราะคำว่า ให้ ‘อภัยกันเป็นเรื่องที่ควรยินดี’ ที่ ณิชกานต์เอ่ยปากออกมา และพอขวัญชีวีครุ่นคิดกลับไปแล้ว เมื่อณิชกานต์รักปวุฒิ ณิชกานต์ก็มีสิทธิ์ที่จะทำตามความต้องการของหัวใจเช่นเดียวกับวรรณรดา
ครั้นเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ปวุฒิเหมาะสมกับณิชกานต์มากกว่า เพราะเป็นดาราด้วยกันจึงเสริมส่งหน้าที่การงานกันอย่างแน่นอน กับวรรณรดานั้น แม้จะผิดหวังก็ใช่ว่าวรรณรดาจะหาคู่ครองไม่ได้...และวรรณรดาก็คงจะคงเห็นว่าปวุฒิกับณิชกานต์เหมาะสมกัน วรรณรดาจึงไม่ได้หม่นเศร้าอย่างที่มันควรจะเป็น เธอเองเป็นคนอื่นจะไปทุกข์ร้อนทำไม
“คุณขวัญหิวแล้วเหรอครับ”
“ไส้กิ่วแล้วค่ะ”
เลือกโต๊ะได้แล้วปวุฒิก็เลื่อนก็เก้าอี้ให้ณิชกานต์และวรรณรดาก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้างณิชกานต์ ส่วนหลินฮันหมิงเลื่อนเก้าอี้ให้ขวัญชีวี พนักงานเสิร์ฟนำเมนูมายื่นให้ ณิชกานต์กับวรรณรดานั่งดูเมนูด้วยกัน ส่วนขวัญชีวีดูคนเดียว ปวุฒิมองการแต่งร้านสไตล์จีน ๆ มีรูปจากซีรีย์เรื่องดังติดอยู่เพื่อดูไอเดียการแต่งร้าน ดูเมนูอาหารเพื่อเก็บกลับไปประยุกต์ใช้กับร้านของตน
“คุณมาร์คสั่งได้เลยค่ะ ดากับนิด อะไรก็ได้เนอะ”
“เช่นกันค่ะ” ขวัญชีวีบอกเขา หลินฮันหมิงจึงรีบสั่งอาหารรวมถึงน้ำดื่ม และช่วงที่รออาหาร เขาก็อธิบายเพิ่มเติมว่า
“ชาวเปอรากันไม่ได้นับถือศาสนาอิสลาม อาหารจึงมีพวกหมูด้วย อาหารจีนที่เรารู้ ๆ กันก็จะจืด ๆ มีเต้าหู้ยี้ มีซีอิ้ว แต่อาหารของชาวมลายูเครื่องเทศกลิ่นจะแรงหน่อย มีกะทิมัน ๆ ใช้น้ำมะขามเปียก อาหารเปอรานากันก็จะเอาของสองอย่างมาผสมผสานกัน ที่ผมสั่งไปเมื่อกี้มี อาบีอาซัม อีตะก์ ซีโร เอินจิก์ กาบิน”
หลินฮันหมิงยังคงสาธยายเมนูอาหารที่สั่งมาอย่างยืดยาวกระทั่งพนักงานเสิร์ฟนำเมนูมาวาง ลูกทัวร์กิตติมศักดิ์จากเมืองไทย จึงได้เห็นว่า อาบีอาซัม ก็คือ แกงหมูน้ำมะขาม อีตะก์ ซีโร คือ เป็ดตุ๋น ส่วน เอินจิก์กาบิน คือ ไก่ทอดเคียงด้วยด้วยน้ำจิ้ม ซึ่งพอได้ชิมอาหารบนโต๊ะหลากหลายชนิดแล้ว ณิชกานต์ก็หันไปบอก ปวุฒิเจ้าของครัวปวุฒิที่เมืองไทยว่า “น่าจะหาเมนูนำไปดัดแปลงใช้ที่ร้านนะคะ”
“สูตรมีแต่ว่ารสชาตินี่ซิมันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่ถ้านารทเขาได้ชิมนะ เขาจะรู้เลยแหละว่าต้องทำอย่างไรบ้าง”
“พูดแบบนี้วันหลังจะชวนพี่นารทมาใช่ไหม”
“ได้มาเปิดหูเปิดตาบ้างก็ดี อยู่แต่ร้านอยู่แต่กองถ่ายก็นะ บางทีเหมือนกบในกะลา”
ทั้งหมดใช้เวลาจัดการกับอาหารประมาณหนึ่งชั่วโมง พอออกจากร้านมาแล้วบนถนนยองเก้อ (Jonker Street) ซึ่งเป็นถนนคนเดินในยามค่ำคืนก็คลาคล่ำไปด้วยผู้คน และด้วยอยากใช้เวลาเป็นส่วนตัวกับตัวเอง หลังจากขอบคุณเจ้าภาพแล้วปวุฒิก็บอกว่า
“ผมว่า ตอนนี้เรารู้แล้วว่า โรงแรมเราอยู่ตรงไหน เอาเป็นว่า เราแยกย้ายกันเดินแล้วกันนะครับ ดีไหม”
“ก็ดีค่ะ” วรรณรดาเห็นด้วย
“แล้วพรุ่งนี้เจอกันที่ห้องอาหารตอนกี่โมง” ณิชกานต์ถามความเห็น
“สักแปดนาฬิกาแล้วกันนะครับ หลังจากนั้นก็มาคุยกันอีกทีว่าจะไปไปกันบ้าง แต่อันที่จริงนะ ถ้าได้เที่ยวในย่านนี้แต่เช้าจะดีมาก มันจะไม่ร้อนครับ” ย่านนี้คือจากจัตุรัสดัตซ์เดินข้ามสะพานมาอีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำมะละกาซึ่งเป็นชุมชนประกอบไปด้วยตึกแถวรูปทรงชิโนโปตุกีสที่ยังคงรักษาไว้ได้เป็นอย่างดีจนกระทั่งองค์การยูเนสโก้ประกาศให้มะละกาเป็นเมืองมรดกโลก
และเมื่อนัดหมายกันเรียบร้อย ขวัญชีวีที่เข้าใจนัยที่ซ่อนเร้นอยู่ในน้ำเสียงของปวุฒิก็พยักหน้าให้วรรณรดาให้เดินไปด้วยกัน และเวลานี้วรรณรดารู้สึกแล้วว่า ตัวเองกลายเป็นส่วนเกิน
“คุณดาไปกับผมกับคุณนิดก็ได้ครับ” ปวุฒิเอ่ยปากชวน ขวัญชีวีนั้นแสร้งไม่ได้ยิน ทำเป็นมองดูผู้คนที่เดินกันให้ขวักไขว่ร้านรวงและสินค้าปะดามี วรรณรดาเองแม้จะอยากเดินคนเดียวแต่ว่าขวัญชีวีคงไม่ยอมแน่ ๆ ครั้นจะไปเดินกับขวัญชีวี วรรณรดาก็รู้ว่าบางทีหลินฮันหมิงก็ต้องการอยู่กับขวัญชีวีตามลำพังก็ได้
“ดาไปกับคุณนิดก็ได้ ขวัญไปกับคุณมาร์คเถอะ” ว่าแล้ววรรณรดาก็ฉุดแขนของณิชกานต์ให้เดินตามปวุฒิไปทิ้งขวัญชีวีให้ยืนอยู่กับหลินฮันหมิง ซึ่งขวัญชีวีก็ไม่ได้ร้องเรียกเพื่อนไว้ เพราะตัวเองก็มั่นใจว่าหลินฮันหมิงเองก็คงพอใจที่จะให้เรื่องเป็นแบบนี้
“คนเยอะจังเลยนะคะ” หลินฮันหมิงเดินมาประชิดขวัญชีวีทันที
“หรือคุณขวัญอยากจะกลับที่พัก”
“ยังหัวค่ำอยู่เลยค่ะ เดินดูอะไรสักหน่อยก็ได้”
“หรือเราจะหาร้านนั่งกันดีครับ ทางนั้นมีร้านขนมนะครับ”
“ขวัญยังอิ่มอยู่เลยค่ะ เดินก่อนดีกว่า ไปคะ”
ขวัญชีวีเดินนำหน้าเขาและหญิงสาวก็ต้องหันกลับมาเมื่อมือข้างซ้ายถูกเขาดึงไว้ ซึ่งเขาไม่ใช่แค่ดึงแต่ถือวิสาสะจับไว้อีกด้วย
“มีอะไรหรือคะ”
“ผมขอเดินจับมือคุณขวัญไว้ได้ไหมครับ”
“กลัวขวัญหลงเหรอคะ” ขวัญชีวีอมยิ้มนิด ๆ แล้วเดินต่อโดยมีเขาเดินเคียงข้าง
“ผมอยากให้คุณขวัญจดจำได้ว่าครั้งหนึ่งเราเคยเดินด้วยกันที่มะละกา ไม่ซิ เป็นครั้งแรกที่ผมเดินจับมือคุณขวัญ”
“เยอะจังเลยค่ะ”
“อะไรคือเยอะ”
ขวัญชีวีปั้นหน้าเหน็ดเหนื่อยใจกับภาษาไทยของเขาแต่ก็ไม่ได้ดึงมือออกเพราะว่านักท่องเที่ยวที่เดินอยู่บนท้องถนนเยอะเหลือเกินและที่สำคัญปวุฒิ วรรณดา และณิชกานต์ก็หายไปจากสายตาเสียแล้ว
“คุณขวัญครับ แวะร้านรองเท้าไหม”
“ทำไมคะ”
“รองเท้าร้านนี้ พื้นรองเท้าทำจากไม้สน ตัวหูรองเท้าทำจากลูกปัดครับสืบทอดวิธีการทำรองเท้ากันมาอย่างยาวนาน ซื้อไปเป็นที่ระลึกสักคู่นะครับ”
ว่าแล้วเขาก็พาเดินเข้าไปในร้าน ถึงตรงนี้แล้วเขาปล่อยมือให้ขวัญชีวีเดินเลือกดูรองเท้า แล้วเขาก็กระซิบเบา ๆ ว่า “อยากได้คู่ไหนเลือกเลยครับ ผมซื้อให้ หรือจะซื้อไปฝากคุณยายกับคุณแม่ด้วยก็ได้นะครับ ผมซื้อให้”
“ขอบคุณค่ะ แต่ขวัญว่าราคาค่อนข้างแพง”
“ไม่เป็นไรครับ นะครับ เลือกไปสามคู่ เอาไปฝากคุณยายกับคุณแม่คุณขวัญด้วย ได้แต่คุยกัน ยังไม่ได้เจอตัวก็อยากส่งของฝากไปก่อน ช่วยเลือกให้หน่อยนะครับ”
เมื่อจนต่อเหตุผลของเขาแล้วขวัญชีวีจำต้องเลือกรองเท้าสำหรับคุณยายและแม่รวมถึงของตัวเองอย่างที่เขาต้องการ และเมื่อชำระเงินเรียบร้อยแล้วเขาก็เป็นฝ่ายถือถุงให้...
ส่วนณิชกานต์ ปวุฒิ และวรรณรดานั้นเมื่อพากันเดินเบียดเสียดผู้คนดูสินค้าเลือกซื้อของฝากพลางถ่ายรูปเป็นที่ระลึกแล้วทั้งหมดก็พากันเดินกลับไปยังโรงแรมและเมื่อจะถึงหน้าโรงแรมปวุฒิก็เอ่ยปากว่า..
“คุณนิด คุณดา” หญิงสาวที่เดินนำหน้าเขาอยู่หันมามอง
“นิด ผมขอคุยกับคุณดาเป็นการส่วนตัวหน่อยได้ไหมครับ”
ณิชกานต์พยักหน้าให้วรรณรดาก่อนจะผลักประตูล็อบบี้เข้าไปเอากุญแจที่ได้ฝากไว้ แต่ว่าพนักงานบอกว่าขวัญชีวีนั้นกลับมาก่อนแล้ว ณิชกานต์เดินขึ้นบันไดไปยังห้องพักโดยในใจก็อดครุ่นคิดไม่ได้ว่าปวุฒิจะคุยอะไรกับวรรณรดา
เมื่อมาถึงหน้าห้องณิชกานต์ก็เคาะประตู ขวัญชีวีมาเปิดประตูให้พอไม่เห็นวรรณรดาขวัญชีวีก็เอ่ยปากถาม
“ดาล่ะ”
“พี่ปุ้ม ขอคุยเป็นการส่วนตัวน่ะ อยู่หน้าโรงแรม” แทรกตัวเข้ามาในห้องแล้วณิชกานต์ก็วางถุงของฝากไว้บนเคาน์เตอร์ก่อนจะทรุดตัวนั่งบนโซฟา ขวัญชีวีนั้นปิดประตูแล้วก็เดินมาทรุดตัวนั่งลงบนเตียง
“คุยอะไรกันพอรู้ไหม”
“ไม่รู้”
“พี่ปุ้มไม่ได้แย้มอะไรให้รู้ก่อนหน้าเลยเหรอ”
“เปล่า”
“แล้วกับเธอ พี่ปุ้มเขาพูดว่าอย่างไรบ้าง”
ณิชกานต์หยักไหล่ส่ายหน้าปฏิเสธ ปวุฒิยังไม่ได้พูดอะไรชัดเจนกับเธอ แต่ณิชกานต์ก็ดูออกว่า ในเวลานี้ เขาดูใส่ใจความรู้สึกของเธอเป็นอย่างมาก
ขวัญชีวีถอนหายใจแล้วลุกขึ้นเปิดประตูระเบียงออกไป และเธอก็ได้เห็นว่า ปวุฒินั้นยืนอยู่กับวรรณรดาสีหน้าของเขานั้นจริงจัง ส่วนวรรณรดานั้นก็ยิ้มแหย ๆ ขวัญชีวีอยากรู้เหลือเกินว่าปวุฒิคุยอะไรกับวรรณรดา
เมื่อณิชกานต์เดินขึ้นห้องพักไปแล้ว ปวุฒิก็เดินนำวรรณรดาข้ามถนนมายังฟุตบาทที่อยู่ตรงกันข้ามกับโรงแรม สายลมเย็น ๆ กับแสงไฟสลัวทำให้วรรณรดาที่เดินตามเขามารู้สึกเย็นยะเยือก และเมื่อเขาหันกลับมาหาด้วยดวงตาเต้นระริก วรรณรดาก้ต้องจ้องตาของเขา และเธอก็เห็นเพียงความว่างเปล่าในดวงตาคู่นั้น
“ก่อนอื่นผมต้องบอกก่อนว่า ไม่รู้ว่าผมเข้าใจผิดไปเองหรือเปล่านะ คือผมคิดว่าที่คุณดาตามมาเที่ยวในครั้งนี้ด้วยก็เป็นเพราะเอ่อ คุณดา มีความรู้สึกดี ๆ กับผม อยากได้ความรู้สึกดี ๆ จากผม” ปวุฒิเลือกที่จะไม่เท้าความถึงความสงสัยว่าการมาที่นี่ของวรรณรดานั้นมีขวัญชีวีชักใยอยู่เบื้องหลัง และเมื่อเขาเอ่ยมาตรง ๆ วรรณรดาที่จ้องหน้าเขาอยู่ก็เมินหน้าไปหากำแพงตั้งใจฟังเขาพูด โดยที่วันนี้เขาไม่ได้ดื่มสติสัมปัชชัญญะของเขาจึงอยู่คบ
“ผมยอมรับว่า แรก ๆ ผมก็หวั่นไหวบ้าง ผมเหมือนคนที่กำลังจมน้ำ อะไรที่พอให้เกาะได้ผมก็ต้องเกาะ แต่เอาเข้าใจจริง ๆ พอคุณนิดตามมา ผมถึงได้รู้ว่า ผมชอบคุณนิดมากกว่าคุณดาครับ” พูดจบแล้วเขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก และเขาก็ยิ้มเมื่อเห็นว่าวรรณรดาไม่ได้ร้องไห้หรือมีสีหน้าผิดหวังเสียใจให้เห็น หญิงสาวมีสีหน้าปกติและน้ำเสียงที่เยือกเย็นอย่างคนที่โตพอจะเข้าใจว่าโลกใบนี้ มันเราจะไม่ได้อะไรอย่างใจเราทั้งหมด
“ค่ะ ยินดีกับคุณนิดด้วย”
“คุณดาไม่โกรธผมนะครับ”
“จะโกรธทำไมละคะ ดายินดีกับความสุขของพี่ปุ้มด้วย จะว่าไปแล้ว พอเห็น พี่ปุ้มกับคุณนิดอยู่ด้วยกัน ดาก็เห็นถึงความเหมาะสม ความเหมาะเจาะลงตัว หลังจากที่คุณนิดมาดาก็ได้เรียนรู้เช่นกันค่ะ”
“เรายังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้นะครับ”
“ค่ะ ขอบคุณนะคะสำหรับมิตรภาพ”
“ผมยังไม่ได้บอกกับนิดเรื่องนี้หรอก ผมอยากคุยกับคุณดาให้จบก่อน”
“แล้วขวัญเขาว่าอย่างไรบ้าง”
“ตอนนี้ชีวิตผมเป็นของผมแล้วครับ ชีวิตขวัญก็เป็นของขวัญ ถ้าคิดอย่างง่าย ๆ คือเราไม่ใช่เนื้อคู่กัน มันก็เลย ไม่สามารถที่จะลงเอยกันได้”
“ดีใจกับพี่ปุ้มกับคุณนิดจริง ๆ ค่ะ” วรรณรดายิ้มให้เขาแม้จะเป็นยิ้มที่ไม่เต็มหน้านักแต่ปวุฒิก็ดีใจว่าเขานั้นทำดีทีสุดแล้ว

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 มี.ค. 2556, 08:48:28 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 มี.ค. 2556, 08:48:28 น.
จำนวนการเข้าชม : 2066
<< 22. | 24. >> |

mhengjhy 23 มี.ค. 2556, 10:06:22 น.
เย้เย้
เย้เย้

จุฬามณีเฟื่องนคร 23 มี.ค. 2556, 10:15:27 น.
หนังสือเป็นเล่มแล้วนะครับ ที่สวนจตุจักรมีวางขายแล้วนะครับ ส่วนร้านนายอินทร์ซีเอ็ด คงเป็นสัปดาห์นี้แน่ ๆ ครับ ขอบคุณจากทุก ๆ แรงใจ(หากว่าจะสอยเรื่องนี้ไปไว้บนชั้น) ราคา 240 บาท ครับ...
หนังสือเป็นเล่มแล้วนะครับ ที่สวนจตุจักรมีวางขายแล้วนะครับ ส่วนร้านนายอินทร์ซีเอ็ด คงเป็นสัปดาห์นี้แน่ ๆ ครับ ขอบคุณจากทุก ๆ แรงใจ(หากว่าจะสอยเรื่องนี้ไปไว้บนชั้น) ราคา 240 บาท ครับ...


nateetip 23 มี.ค. 2556, 11:03:08 น.
อ้าววว..นึกว่าจะสามคู่ สี่คู่นะคะเนี่ย แต่แบบนี้ก็ดีค่ะ ดูเข้ากันได้มากกว่าค่ะ น่ารักดีค่ะ..
อ้าววว..นึกว่าจะสามคู่ สี่คู่นะคะเนี่ย แต่แบบนี้ก็ดีค่ะ ดูเข้ากันได้มากกว่าค่ะ น่ารักดีค่ะ..

คิมหันตุ์ 23 มี.ค. 2556, 11:40:00 น.
เราอุส่าห์ลุ้น คุณดากับคุณปุ้ม...พลาดซะแล้ว T__T
เราอุส่าห์ลุ้น คุณดากับคุณปุ้ม...พลาดซะแล้ว T__T

pumkin 23 มี.ค. 2556, 16:47:12 น.
แบบนี้ก็ดีนะค่ะ แต่อยากดาเจอคนดีๆด้วย จัดให้อีกสักคู่ได้ไหมค่ะ^^
แบบนี้ก็ดีนะค่ะ แต่อยากดาเจอคนดีๆด้วย จัดให้อีกสักคู่ได้ไหมค่ะ^^

ฤดูฝน 23 มี.ค. 2556, 20:30:59 น.
มาร์คกะขว้ญ จะมีฉากหวานๆ บ้างมั้ย
มาร์คกะขว้ญ จะมีฉากหวานๆ บ้างมั้ย

Zephyr 8 เม.ย. 2556, 00:54:33 น.
ว้า เสียดาย แต่ก็นะ อ่านหลังๆแล้วสงสารดา เพราะปุ้มลังเลจริงๆ
ว้า เสียดาย แต่ก็นะ อ่านหลังๆแล้วสงสารดา เพราะปุ้มลังเลจริงๆ