ลับลมคมรัก (สนพ.อรุณ)
เมื่อเรื่องลับลมคมใน กลับผลิดอกออกใบขึ้นเป็นความรัก ที่ต่างไม่กล้าเปิดเผยใจ

เขาและเธอจะจัดการกับปัญหาทั้งหมดนี้อย่างไรกัน

Tags: กานต์ญา วิมานใจใต้ม่านดาว วิมานแสงจันทร์ ลับลมคมรัก ชีวิน หมวดมะนาว แอ็คชั่น โรแมนติก คอมเมดี้

ตอน: บทที่ 3 : มะกอกชีวจิต


ประตูโรงจอดรถทางด้านหลังโรงงานเจียระไนเพชรของบริษัทเพชรธนา ถูกเปิดออกด้วยระบบควบคุมความปลอดภัยอัตโนมัติ รถสปอร์ตสีดำที่จอดรออยู่ด้านหน้า จึงค่อยๆเคลื่อนลับหายเข้าไปข้างในอย่างคนคุ้นเคย

ภายนอกตัวอาคารแห่งนี้ แลดูคล้ายกับโรงงานเจียระไนเพชรทั่วๆไป ที่มีระบบรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด ทว่าเบื้องหลังของความเข้มงวดที่แท้จริงนั้น เป็นเพราะสถานที่แห่งนี้คือเซฟเฮ้าส์ของ ’ธนาธร’ พ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่ ที่ใช้บริษัทเพชรธนาบังหน้าเพื่อฟอกเงินที่ได้มาจากการค้ายาเสพติดนั่นเอง

ทันทีที่ได้รับรายงานจาก ‘อคิน’ มือขวาคนสนิทถึงการมาเยือนของแขกผู้ไม่ได้นัดหมาย หนุ่มใหญ่หน้าตาคมคาย มีหนวดเคราขึ้นรำไรอยู่บนใบหน้า ก็ขมวดคิ้วเข้มด้วยความขัดเคืองใจ ก่อนหมุนเก้าอี้ทรงสูงหันกลับไปจับจ้องหญิงสาวเบื้องหน้าด้วยแววตาวาวโรจน์ดุจพญาเสือร้าย แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น

“แกกลับมาทำไม ฉันบอกแล้วใช่มั้ย ถ้าทำงานไม่สำเร็จไม่ต้องกลับมาให้ฉันเห็นหน้าอีก”

“แต่นายคะ แคทพยายามอย่างเต็มที่แล้วนะคะ สามารถทำลายสถิติทุกอย่างที่คนก่อนหน้าเคยทำไว้ด้วยซ้ำ แต่…นังนั่น มันดันทำลายสถิติได้สูงกว่าแคท ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ มันต้องใช้เส้นของพ่อมันแน่ๆเลยค่ะ”

“เลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ” ธนาธรคำรามด้วยความกราดเกรี้ยว “แกไม่รู้หรือไง ว่าคนอย่างไอ้เผด็จ กับไอ้คเชน มันไม่มีทางยอมให้ใครใช้เส้นฝากเข้าทำงานได้หรอก และก็ไม่มีใครกล้าฝากมันด้วย เพราะกลัวจะถูกประจานให้ขายหน้า ไอ้สองคนนี้มันสนใจหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนกัน ไม่งั้นฉันจะให้แกปลอมตัวเข้าไปทำงานกับมันทำไม”

“แคท…แคทขอโทษค่ะ แต่ถึงยังไงแคทก็จะพยายามล้วงความลับของพวกมันออกมาให้ได้มากที่สุด นายไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ”

นายใหญ่ถอนหายใจเฮือกใหญ่เพื่อระบายความรุ่มร้อนภายในใจ แล้วก็เหมือนคลื่นลมรุนแรงทั้งหลาย จะสงบลงอย่างฉับพลัน เมื่อพญาเสือร้ายคิดแผนการบางอย่างได้ ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ

“เอาเถอะ ถึงยังไงฉันก็รับปากพ่อกับแม่ของแกเอาไว้ก่อนตาย ว่าจะอุปการะเลี้ยงดูแกให้ดีที่สุด เวลาล่วงเลยมาจนถึงป่านนี้ แกก็ไม่ต่างอะไรกับลูกของฉันคนหนึ่ง เรื่องแค่นี้จะให้ตัดขาดจากกัน ฉันก็ทำไม่ลง”

“ขอบคุณค่ะนาย ขอบคุณจริงๆที่ให้โอกาสแคท แคทไม่เคยลืม ว่าที่มีวันนี้ได้เป็นเพราะใคร นาย…เปรียบเสมือนพ่อผู้ให้ชีวิตใหม่กับแคท ไม่ว่านายจะให้แคททำอะไรแคทยินดีทั้งนั้นค่ะ”

“ขอบใจ ถ้าอย่างนั้นก็รีบไปทำแฟ้มประวัติของตำรวจใหม่ในหน่วยคิมหันต์มาให้ฉัน”

“ค่ะ แต่นายวางใจได้ สองคนที่เข้ามาใหม่ มันเพี้ยนทั้งคู่ ท่าทางคงจะไม่เท่าไหร่หรอกค่ะ”

“อย่าเพิ่งประมาทไป ฉันก็เห็นมันเพี้ยนกันทั้งหน่วยนั่นละ แต่ดูสิมันป่วนเราไม่เลิก”

“พวกตำรวจมันคงนึกไม่ถึงนะครับนาย” อคินแทรกขึ้นด้วยรอยยิ้มของผู้ที่ถือไพ่เหนือกว่า “ว่าโจรก็ทำโปรไฟล์ตำรวจได้เหมือนกัน ไม่ใช่แค่ตำรวจเท่านั้นที่มีโปรไฟล์ของโจรอย่างเรา”

“หึ” ธนาธรหัวเราะในลำคอด้วยความพึงพอใจ “แล้วพวกที่ไปเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของไอ้คเชน มันส่งข่าวมาหรือยัง”

“ครับนาย ช่วงนี้สารวัตรคเชนลาพักร้อน เพราะมีปัญหาครอบครัว เห็นว่าคราวนี้เมียมันจะหย่าแน่ๆแล้วครับ มันคงไม่มีเวลามาสนใจเรื่องของเราไปพักหนึ่ง”

ธนาธรยิ้มกระหยิ่ม “ดี! ถ้างั้นแกคอนเฟิร์มนัดส่งของให้นินจาได้เลย ใช้สถานที่และแผนการตามนั้น”

“ครับนาย”

“ทำงานให้รอบคอบ อย่าให้พลาดเด็ดขาด”

“ครับ รับรองว่าแผนนี้พวกมันไม่มีทางตามกลิ่นเราได้แน่”

คนร้ายทั้งสามสบสายตากันอย่างหมายมั่น ด้วยคาดไม่ถึงว่าคนอย่างสารวัตรคเชนจะจมูกไวขนาดที่เริ่มตามกลิ่นของนินจา ตั้งแต่เหยียบย่างเข้าประเทศไทยมาได้ระยะหนึ่งแล้ว และผู้ที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบข่าวความเคลื่อนไหวของผู้ร้ายต่างชาติรายนี้ ก็คือสุดยอดตำรวจสาวและจ่ายิ่งยง คู่หูคู่ใหม่ที่ไม่ธรรมดาของหน่วยคิมหันต์นั่นเอง




อาจเป็น…เพราะเรา…คู่กัน มาแต่ชาติไหน
จะรัก รักเธอตลอดไป เป็นลมหายใจของกันและกัน [1] เพลงลมหายใจของกันและกัน ศิลปิน เบน ชลาทิศ

เสียงเพลงรักหวานแว่ว คลอแผ่วเบาอยู่ท่ามกลางบรรยากาศที่โอบล้อมไปด้วยขุนเขาและแมกไม้อันร่มรื่น ของภูไพรดาวรีสอร์ท ควันบาร์บีคิวลอยฟุ้งหอมยั่วยวนใจออกมาจากด้านในของสวนดอกไม้ สายลมพัดเย็นสบายชวนให้รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า

เจ้าสาวร่างบางในชุดราตรีเกาะอกสีขาว ยืนต้อนรับแขกเคียงคู่อยู่กับเจ้าบ่าวร่างสูงใหญ่ ที่สวมชุดทักซิโดสีดำงามสง่า ทั้งคู่มีรอยยิ้มแห่งความสุขปรากฏบนใบหน้าตลอดทั้งงานพิธี บรรยากาศในวันนี้จึงอบอวลไปด้วยความรักและความสุข จนมติมาและชโลบลต้องแอบซับน้ำตาด้วยความตื้นตันใจกับเจ้าบ่าวเจ้าสาวไปแล้วหลายหน

“วันนี้แป้งสวยมากเลยนะมะนาว” ชโลบลเอ่ยขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ “คุณพฤกษ์ก็หล่อ เหมาะสมกันมาก”

“อือ ใช่” มติมาพยักหน้าเห็นคล้อยตาม “ไม่มีใครจะเหมาะสมไปกว่าเจ้าของรีสอร์ท กับอดีตผู้จัดการฝ่ายจัดเลี้ยงโรงแรมห้าดาวเหมือนอย่างคู่นี้อีกแล้ว คราวนี้ก็จะได้อยู่ด้วยกันซะที ไม่ต้องเทียวไปเทียวมาหากันเหมือนเมื่อก่อนอีก”

“แล้ว…ถ้าเกิดว่ามะนาวมีความรัก แต่คนรักของมะนาวอยู่ไกลๆ ไม่ได้อยู่กรุงเทพฯ มะนาวจะพยายามมาหาเขาเหมือนอย่างคู่ของแป้งกับคุณพฤกษ์มั้ย”

“ไม่รู้สิ ฉันไม่เคยมีความรัก ตอบไม่ได้หรอก”

“มะนาวน่ะ” ชโลบลตัดพ้ออย่างอ่อนหวาน นุ่มนวล “ไม่โรแมนติกเอาซะเลย”

“ใครจะไปเหมือนคุณครูอนุบาล ควบตำแหน่งหัวหน้าหมวดวิชานาฏศิลป์เหมือนบัวล่ะ ถึงจะมีอารมณ์สุนทรีย์คิดอะไรแบบนี้ได้ ไม่เอาละ ฉันปวดฉี่จะแย่แล้ว ขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนก็แล้วกัน”

“ให้ฉันไปเป็นเพื่อนมั้ย”

“ไม่เป็นไร ไม่มีใครกล้าทำอะไรฉันหรอก บัวอยู่นี่แหละ เผื่อแป้งจะอยากได้อะไร”

“ตกลงจ้ะ ถ้างั้นก็รีบไปรีบมานะ อย่าเถลไถล”

“ค่า คุณครู”

มติมาส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม แล้วเดินจ้ำไปทางห้องน้ำอย่างเร่งรีบ ทว่าเมื่อเปิดประตูห้องน้ำเข้าไป ผู้หมวดสาวก็ถึงกับผงะถอยหลังออกมา เมื่อแลเห็นสุภาพสตรีในชุดราตรีสีฟ้าสิบกว่าชีวิตกำลังรอแถวเข้าห้องน้ำอยู่ด้วยสีหน้าบูดบึ้ง เพราะคนที่เข้าไปก่อนหน้าทั้งสี่ห้อง ยังไม่มีทีท่าว่าจะยอมออกมาอย่างง่ายๆ

หญิงสาวจึงตัดสินใจเดินกลับไปใช้ห้องน้ำในห้องพักของตนเองจะดีกว่า พลางพร่ำบ่นถึงชุดเสื้อผ้าและรองเท้าส้นสูงที่สวมใส่อย่างไม่สบอารมณ์นัก

“ยายแป้งนะยายแป้ง มาจัดงานแต่งงานอยู่ตั้งกลางป่า แต่ก็ยังอุตส่าห์ออกแบบให้แขกทุกคนใส่ชุดราตรีสีฟ้ามาร่วมงานอีก ไอ้รองเท้าส้นสูงนี่ก็เหมือนกัน เดินยากเดินเย็นอะไรขนาดนี้” ว่าแล้วก็เหลียวซ้ายแลขวา ก่อนฉีกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ เมื่อเห็นว่าเป็นที่ลับตาคน “ถอดออกเดินตอนนี้คงไม่มีใครเห็นหรอกมั้ง อืม…มันต้องอย่างนี้สิ สบายขึ้นตั้งเยอะ”

หลังจากถอดรองเท้าออกมาถือไว้ด้วยรอยยิ้มร่า มติมาก็เดินตรงเข้าไปยังซอกตึกซึ่งเป็นทางเชื่อมระหว่างอาคาร ทันใดนั้นก็ปรากฏแสงไฟสว่างจ้า สาดส่องมาจากหน้ารถจี๊ปคันหนึ่ง ก่อนที่รถคันนั้นจะจอดสนิทลงหน้าอาคารฝั่งตรงข้าม

ชายหนุ่มผู้ซึ่งนั่งอยู่บนฝั่งผู้โดยสาร สะพายกระเป๋าเป้เดินทางใบเล็ก รีบกระโดดลงมาจากรถอย่างคล่องแคล่วว่องไว แล้วชายหนุ่มคนขับรถที่สวมหมวกคาวบอย ก็กระโดดตามหลังลงมาติดๆ คนทั้งสองกำลังยืนล่ำลากันอยู่หน้ารถจี๊ปสีเขียว และทันทีที่แสงไฟส่องกระทบไปยังใบหน้าคมสันของคนที่สวมหมวกคาวบอย มติมาก็อุทานขึ้นด้วยความตกใจ

“นั่นมัน…นายคนนั้นนี่นา เอ๊ะ! แล้วนายนั่นมาทำอะไรที่นี่”

หญิงสาวรีบเบี่ยงตัวหลบเข้าไปในซอกทางเดินระหว่างอาคารเพื่อซุ่มสังเกตการอย่างเร็วรี่ และเพราะมัวแต่เฝ้าจับผิดศัตรูคนสำคัญด้วยใจจดจ่อ จึงไม่ทันได้สังเกตเห็นว่าที่ปลายเท้าของหล่อนตอนนี้ มีกล่องกระดาษเก่าๆ ซึ่งมีลูกสุนัขแรกเกิดสีดำห้าตัว กำลังนอนขดทับกันอยู่อย่างเงียบเชียบ

“ขอบคุณพี่หมอมากนะครับ ที่ช่วยชีวิตปลานิลเอาไว้ ถ้าปลานิลเป็นอะไรไป ผมคงจะอยู่ต่อไปอีกไม่ได้แน่ๆ” ชีวินเอ่ยขึ้น แล้วคนที่ถูกเรียกว่าพี่หมอก็ยกมือขึ้นตบบ่าของเขา ตอบกลับด้วยน้ำเสียงสุขุมนุ่มเย็น

“ก็เพราะพี่รู้ไง ว่านายรักแฟนของนายแค่ไหน พี่ถึงได้รีบมา”

“ความจริง คืนนี้พี่หมอน่าจะนอนค้างที่ไร่สักคืน เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าผมค่อยขับรถออกมาส่งก็ได้”

“โอย ไม่เป็นไรหรอก นายอดหลับอดนอนมาหลายคืนแล้ว คืนนี้จะได้พักผ่อนให้เต็มที่ ไม่งั้นก็ต้องรีบตื่นแต่เช้ามืด ขับรถออกมาจากไร่อีกตั้งไกล พี่นอนที่นี่แหละสะดวกดี เขามีรถบริการไปส่งที่ท่ารถตู้ให้ด้วย เอาละ พี่ไปละนะ ไม่ต้องเป็นห่วง”

แล้วหมอหนุ่มคนนั้นก็โบกมืออำลาไหวๆ ก่อนไขกุญแจเข้าไปในห้องพัก ในขณะที่ชีวินกำลังหมุนตัวเดินกลับไปยังรถจี๊ปที่จอดติดเครื่องอยู่ พลันแม่สุนัขก็วิ่งหน้าเริ่ดกลับมาหาลูกน้อยของมันด้วยความตั้งใจ ครั้นมันเห็นผู้หมวดสาวยืนถือรองเท้าส้นสูงทำท่าลับๆล่อๆอยู่ข้างลังกระดาษ มันก็ตะเบ็งเสียงเห่าขับไล่ ให้หล่อนออกไปจากลูกรักของมันทันที

มติมานั้นเข้าใจถึงสิ่งที่แม่สุนัขพยายามจะสื่อได้เป็นอย่างดี แต่ตอนนี้หล่อนยังออกไปจากที่หลบซ่อนตัวไม่ได้ ประเดี๋ยวใครคนนั้นเห็นเข้า ก็พังกันหมดน่ะสิ หญิงสาวจึงทำเสียงกระซิบกระซาบตอบกลับไปอย่างร้อนรน

“ไป๊! ชู่ว ชู่ว จะไปไหนก็ไป เดี๋ยวค่อยกลับมาไม่ได้หรือไง ชู่ว!”

แล้วเสียงลมหายใจฟืดฟาดของใครบางคนก็ดังแว่วมาจากด้านหลัง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นเสียงของใคร หญิงสาวหลับตานิ่ง ระบายลมหายใจยาวเหยียด ก่อนหันไปพบชีวินกำลังพยายามกลั้นหัวเราะอยู่อย่างยากลำบาก

“ออก...ออกมาสิคุณ” ชีวินเอ่ยด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ “ไปยืนให้หมามัน...ให้หมามันเห่าอยู่ทำไม...”

ก็แล้วใครจะอยากยืนอยู่อย่างนี้เล่า ถ้าไม่ใช่เพราะ... ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นเคือง หญิงสาวรีบเดินกระฟัดกระเฟียดผ่านหน้าชายหนุ่มออกไป ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดสุดชีวิต

“โอ๊ย-ย-ย-ย! มันจะอะไรกันนักกันหนา ทั้งเสียงหมาเห่า ทั้งเสียงคนบ้าหัวเราะ ประสาทจะกิน!” พอลับจากสายตาของแม่สุนัข หญิงสาวก็หันไปเผชิญหน้ากับศัตรูคู่แค้นอย่างหัวเสีย “นี่ ฉันถามจริงๆเหอะ นายเป็นผีหรือเป็นคนกันแน่ ถึงได้ตามมาหลอกหลอนฉันทุกที่อย่างนี้ หา!”

ชีวินที่ยังคงยืนหัวเราะอยู่อย่างท้องคัดท้องแข็ง รีบตอบกลับ “ผมต่างหากที่ต้องถามคำถามนี้กับคุณ นี่มันแถวบ้านผม คุณล่ะ ตามผมมาทำไมมิทราบ”

“ใคร! ใครตามนายมา อยากเจอตายนักแหละ แล้วนี่ยังไง เป็นอะไรมากมั้ย เห็นหน้าฉันทีไรจะต้องยิ้มเยาะ หัวเราะจะเป็นจะตายทุกที แถวบ้านไม่มีตำรวจผู้หญิงให้เห็นหรือไง”

“มี แต่ก็ไม่ขำแบบนี้” ชายหนุ่มสารภาพขึ้นทั้งที่ยังคงกลั้วหัวเราะอยู่อย่างสนุกสนาน อาการเช่นนี้เหมือนกับไปลูบคมแม่เสือสาวเข้าอย่างจัง ชนิดที่ไม่อาจปล่อยให้เขากลับบ้านไปได้อย่างสวัสดิภาพ

ดังนั้นในเวลาเพียงชั่วพริบตา หญิงสาวจึงพุ่งเข้าไปล็อคตัวชายหนุ่ม รวบมือสองข้างของเขาไพล่หลังไว้ แล้วกระทืบลงบนรองเท้าผ้าใบข้างขวาของเขาเต็มแรง จนชีวินถึงกับร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด

“แล้วแบบนี้เป็นไง ขำดีมั้ยจ๊ะ หัวเราะสิ อ้าว! หยุดขำทำไมล่ะ นายชีวจิต” มติมาเดินกลับมายืนหัวเราะชอบใจอยู่ด้านหน้าร่างสูงใหญ่ ที่กำลังงอตัวยกรองเท้าขึ้นมาเกาะกุมไว้อย่างทุลักทุเล

“นี่! ผู้หมวดมะกอก ทำแบบนี้ มันเกินไปแล้วนะ”

“ก็แล้วที่นายมายืนหัวเราะฉันครั้งแล้วครั้งเล่า มันไม่เกินไปหน่อยเหรอ อ้อ จะบอกอะไรให้อย่าง ฉันชื่อมะนาว ไม่ใช่มะกอก”

“ฉันก็ชื่อชีวิน ไม่ใช่ชีวจิต” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างหัวเสีย “อย่างนี้มันเข้าข่ายรังแกประชาชนชัดๆ”

“ก็ไอ้ที่นายทำ…มันก็เข้าข่ายทำร้ายจิตใจเจ้าพนักงานชัดๆ เหมือนกัน”

“ประทานโทษ กฎหมายข้อนี้มีมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ”

“ประทานโทษ ทำไมฉันจะต้องบอกนายด้วย คนอย่างนาย จำเป็นต้องรู้กฏหมายด้วยเหรอ” สิ้นคำหญิงสาวก็ยกมือป้องปากหัวเราะเยาะด้วยความชอบใจ แต่พอจะก้าวขาเดินหนีไป เท้าเปลือยเปล่าไร้ดอกยางคู่นั้น กลับเหยียบลงบนตะไคร้น้ำที่เกาะอยู่บนพื้นซีเมนต์อันเปียกชื้น ซึ่งมีน้ำไหลซึมออกมาจากใต้พื้นดิน จนทำท่าว่าจะหงายหลังล้มลงมาให้ได้

ชีวินเห็นดังนั้นจึงรีบพุ่งเข้าไปรวบตัวหญิงสาวมาสวมกอดไว้จากทางด้านหลัง เพื่อช่วยประคอง และเมื่อคนทั้งคู่พอจะตั้งหลักได้ ชายหนุ่มก็แสร้งสูดดมเส้นผมสลวยตรงบริเวณลำคอระหง ก่อนกระซิบด้วยน้ำเสียงกระเส่า

“หอมจังเลย…ชักหิวขึ้นมาแล้วสิ”

มติมาถึงกับออกอาการชักดิ้นทุรนทุรายอย่างบ้าคลั่ง จนกระทั่งหลุดออกมาจากอ้อมกอดนั้นด้วยสีหน้าแดงระเรื่อ จากนั้นก็ก่นด่าขึ้นทันที

“ไอ้! ไอ้ลามก ไอ้คนฉวยโอกาส ไอ้…”

“แน้ๆๆ หยุดเลย หยุดก่อน พูดไม่เพราะอีกแล้วนะครับ คราวก่อนก็ทีนึงแล้วน้า”

“นาย...นายชีวจิต!” หญิงสาวรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังมีควันพวยพุ่งออกจากหูทั้งสองข้างของตัวเอง อยากจะกระโดดเข้าไปกัดใบหูของผู้ชายตรงหน้าให้รู้แล้วรู้รอด “แล้วนายมา…มาดมฉันทำไม”

“ดมอะไร คนเค้าหอมกลิ่นบาร์บีคิวย่างต่างหาก หลงตัวเอง!”

“ฉันไม่อยากพูดกับนายแล้ว เบื่อ!” หญิงสาวยกมือขึ้นพนมเหนือหัว “สาธู๊ ชาตินี้ ชาติหน้าฉันใด ขออย่าให้ได้พบเจอกันอีกเลย เพี้ยง!”

ชีวินจึงยกมือขึ้นทำท่าอธิษฐานบ้าง “สาธู๊ ผมก็เหมือนกันครับท่าน ขอให้พ้นเวรพ้นกรรมไปจากยายมะกอกนี่สักทีเถอะคร้าบ เพี้ยง!”

มติมาค้อนขวับ สะบัดหน้าเดินหนีไปอย่างหัวเสีย ทิ้งให้ชีวินยืนเท้าสะเอวมองตามหลังไปด้วยความขบขัน ก่อนทำท่าสะบัดขน แล้วกระโดดขึ้นรถขับออกไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อกลับมาถึงห้องพักส่วนตัวได้ไม่ทันไร เสียงโทรศัพท์มือถือของผู้หมวดสาวก็ดังขึ้น หญิงสาวควานค้นเข้าไปในกระเป๋าถือด้วยอาการกระฟัดกระเฟียด แล้วเมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์ของใคร หล่อนก็แยกเขี้ยวเข้าใส่ในทันที

“มีอะไรจ่า! คนยิ่งกำลังหงุดหงิดอยู่ รีบสรุปให้จบภายในสิบวินาทีเลยนะ ก่อนที่ฉันจะวางสาย หนึ่ง สอง….”

สิ้นคำ คนปลายสายก็รีบกล่าวรายงาน โดยไม่เว้นช่องว่างหายใจให้เสียเวลา

“ตอนนี้พวกนินจามันมีความเคลื่อนไหวแล้วครับสายของเรารายงานว่ามันจะนัดรับของกับคนของนายธนาธรที่สวนสนุกในวันพรุ่งนี้ส่วนเรื่องเวลานัดหมายของพวกมันยังไม่ระบุเป็นที่แน่นอนเพราะพวกมันระวังตัวมาก ครับ” แล้วจ่ายิ่งยงก็หยุดหอบหายใจได้ก่อนสิบวินาที

“จ่าว่าอะไรนะ ที่ไหน”

“ก็แล้วเมื่อกี้หมวดไม่ได้ฟังเหรอครับ”

“บอกแล้วใช่มั้ยว่าอารมณ์ไม่ดีอยู่”

“สวนสนุกครับ”

“โอเค หลังจากส่งตัวเจ้าสาวเสร็จแล้ว ฉันจะตีรถกลับกรุงเทพฯคืนนี้เลย จ่าช่วยประสานงานขอกำลังเสริมจากหน่วยให้ฉันด้วย งานนี้เป็นงานแรกของเราสองคน ฉันไม่อยากให้มีความผิดพลาด พรุ่งนี้เจอกันตอนเช้ามืด”

ผู้หมวดสาวกดปุ่มวางสายโทรศัพท์ แล้วหันไปจับจ้องกำแพงด้านข้างด้วยประกายตาหมายมั่น ใช่แล้ว งานนี้นับเป็นงานเปิดตัวครั้งสำคัญของหล่อน ที่จะพลาดไม่ได้เด็ดขาด!



******************************************************

ตอบคอมเม้นท์

คุณหมีสีชมพู : มานั่งหน้าเวทีเลยนะค้า มีใครลืมกดไลค์ไปละเปล่าเอ่ย ฮ่าๆๆ (ช่างกล้าทวง)

คุณดังปัณณ์ : ฮ่าๆๆ หายใจมะออกเลย

คุณดารานิล : งานนี้มีทั้งกวนทั้งเชื่อมเลย ขออย่างเดียวอย่าเข้าโหมดดองก็แล้วกัน ฮ่าๆๆ แรลลี่ๆๆ

คุณ Auuuu : เรื่องเส้นยังฝังใจหมวดแคทไม่หาย สงสัยต้องส่งเกาเหลาไปให้หมวดมะนาวชิมบ้างแล้ว จะได้ไม่มีเส้น555

คุณ Pat : งานนี้คงจะทั้งฟัดทั้งเหวี่ยงกันไปอีกนานเลยค่ะ ฮ่าๆๆ นี่ขนาดว่ายังไม่ได้ไปอยู่ทุ่งระบือรักด้วยกันเลยนะคะ

คุณกาซะลองพลัดถิ่น : เรื่องข้าวผัดปูกะไข่พะโล้ เป็นประเด็นที่น่าคิดมากเลยค่ะ แล้วใครจะเสียสละให้ใครละนี่ ^^

คุณ wane : นายชีวจิตเค้าฝากขออภัยมาค่ะ ที่เส้นตื้นไปหน่อย เค้าจะพยายามควบคุมต่อมขำของตัวเองให้มากกว่านี้นะคะ ^^


ขอขอบคุณมากๆ สำหรับทุกไลค์ คอมเม้นต์ และการติดตามค่ะ เลิฟยู





พันธุ์แตงกวา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 มี.ค. 2556, 08:12:49 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 ม.ค. 2557, 23:59:23 น.

จำนวนการเข้าชม : 1848





<< บทที่ 2 : มะน๊าว มะนาว   บทที่ 4 : สายลับจับนินจา >>
ดารานิล 19 มี.ค. 2556, 10:39:22 น.
แหมๆๆๆ นายชีวิน แอบหอมเค้าแล้วทำกลบเกลื่อน อิอิ


หมีสีชมพู 19 มี.ค. 2556, 11:37:38 น.
ตอนแรกว่าจะแอบทวงหมอพีร์ แต่เรื่องนี้เริ่มสนุกแล้ว ไม่ทวงหมอพีร์ก็ได้ค่ะ


Pat 19 มี.ค. 2556, 19:15:30 น.
เส้นตื้นจริงนายชีวจิต แค่นี้ก็หัวเราะเค้า. หมวดแคทเป็นหนอนบ่อนไส้ ดีที่ไม่ได้อยู่ในหน่วยด้วย


ดังปัณณ์ 19 มี.ค. 2556, 20:14:44 น.
แอร๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยย ดมอะไรอ่ะ อุ้ย นายชีวจิตทะลึ่ง!


Sukhumvit66 20 มี.ค. 2556, 15:40:46 น.
อ่ะ น่าลุ้น มารอตอนต่อไปนะค้า


tik 19 เม.ย. 2556, 13:09:27 น.
5555 สนุก ๆ หมวดแคทเป็นสายลับโจรเหรอนี่ ล้ำลึก ไปอ่านตอน 3 หล่ะ เฟี้ยว


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account