เล่ห์รักเล่ห์เสน่หา
เล่ห์เหลี่ยมมีไว้ใช้กับคนรอบกาย
แต่หัวใจ...ใช้เพียงเล่ห์รักเท่านั้น
แต่หัวใจ...ใช้เพียงเล่ห์รักเท่านั้น
Tags: พฤกษ์ หทัยภัทร บุษบาฮาวาย
ตอน: ตอนที่ 14
ตอนที่ 14
หลังจากปล่อยให้หทัยภัทรนั่งเงียบอยู่อย่างนั้นครู่ใหญ่ พฤกษ์ที่เดินหายออกไปนอกห้องก็กลับเข้ามา นัยน์ตาคมมองสำรวจหญิงสาวอย่างถี่ถ้วน ก่อนจะเอ่ยถามเมื่อรับรู้ว่าเธอยังคงจับเจ่าอยู่ที่เดิมโดยไม่ได้ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวใด ๆ แม้แต่น้อย
“หิวไหม”
ร่างบางส่ายหน้าไปมาช้า ๆ แทนการตอบ ซึ่งอากัปกิริยาของเธอดูจะไม่เป็นที่ชอบใจของพฤกษ์มากนัก คิ้วหนาของเขาขมวดเข้าหากัน ก่อนจะปรามออกมาเสียงขุ่น
“ไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่กี่โมงแล้วล่ะ ออกไปนั่งข้างนอกเถอะ ผมอุ่นอาหารไว้ให้แล้ว”
เกี๊ยวกุ้งร้อน ๆ ในชามซึ่งยังมีควันกรุ่น ถูกตั้งเอาไว้ที่เคาน์เตอร์ครัว เขาไม่รู้ว่าหรอกว่าสมองของหทัยภัทรกำลังคิดหรือวางแผนเรื่องใดอยู่ หากแต่เวลาที่ล่วงเลยมาจนป่านนี้และเธอก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง ทำให้พฤกษ์พุ่งความสนใจไปที่อาหารการกินมากกว่า ส่วนเรื่องอื่นเอาไว้ทีหลัง เพราะเขามั่นใจว่าต่อให้ต้องพูดดีหรือพูดร้ายยังไง หญิงสาวคนนี้ก็ต้องอยู่ในสายตาเขานับแต่นี้เป็นต้นไป
“รีบกินแล้วก็เข้านอนต่อเถอะ ผมไม่เชื่อหรอกนะว่าคุณไม่หิว เพราะตัวก็แค่นี้ พลังงานสะสมคงมีไม่เท่าไหร่หรอก รู้ไหมว่าเซ็กส์แต่ละครั้ง เผาผลาญพลังงานไปกี่กิโลแคลอรี่ แล้วถ้าหลายครั้ง...ก็คิดเอาเองเถอะ”
พฤกษ์โน้มตัวลงกระซิบใกล้ ๆ ในตอนท้าย ก่อนจะแอบอมยิ้มเมื่อเห็นปฏิกิริยาของหญิงสาว ที่ใบหน้าเรียวของเธอถูกสะบัดพรืดจนน่าเป็นห่วงว่าคอเจ้าของจะเคล็ดเอา
“กินเสร็จจะได้มีแรงต่อ”
“หยุดพูดแบบนี้ได้แล้ว ฉันไม่มีอะไรกับคุณ”
เสียงใสขัดขึ้นทันควัน ซึ่งดูท่าว่าคำพูดทั้งหลายของพฤกษ์จะยั่วยวนกวนโทสะของเธอไม่น้อย ดังนั้นมือเรียวที่เจ้าของจับกันเอาไว้บนตักจึงถูกยกขึ้นทุบที่สีข้างของเขาอีกด้วย
“จุ๊...ลงไม้ลงมือเหรอ”
พฤกษ์ครวญออกมาพลางยกมือขึ้นลูบสีข้างที่ถูกกระทำรุนแรงนั้นเบา ๆ มุมปากหยักยกขึ้นยิ้มด้วยความขบขันอีกหนเมื่อเห็นว่าหทัยภัทรยังคงยืนกรานว่าเธอยังไม่ถูกเขารุกราน ก่อนจะบังคับตัวเองให้กลั้นยิ้มแล้วโน้มตัวลงไปเท้าแขนคร่อมสะโพกของเธอเอาไว้
“รู้ไหมว่าคุณเป็นผู้หญิงคนแรกที่ขี้ลืมอย่างร้ายกาจ ลืมอะไรไม่ว่าแต่ดันมาลืมเรื่องสำคัญของเรา ไม่เป็นไร...เดี๋ยวผมทวนความจำให้ แต่ตอนนี้ออกไปกินอะไรข้างนอกก่อน เผื่อเป็นลมช็อคตาตั้งขึ้นมาก็จะเป็นข่าวอายชาวบ้านเขาเปล่า ๆ”
เสียงเข้มกระซิบบอกที่ข้างหูของหทัยภัทร และแม้ว่าเธอจะพยายามเอนหลังเบี่ยงใบหน้าหลบลี้ความใกล้ชิดที่มีมากเกินควรแถมอยู่ในรโหฐานมากเพียงใด แต่กระนั้นก็ยังถูกพฤกษ์ฉวยโอกาสฉกปลายจมูกลงบนแก้มอยู่ดี
“ไม่นะ อย่ามายุ่งกับฉัน”
เธอยกมือเรียวขึ้นผลักอกกว้างที่ยังคงเปล่าเปลือยของพฤกษ์เต็มแรง ก่อนจะเอ่ยบอกแล้วกระถดหนีขึ้นเตียง พฤกษ์เห็นเช่นนั้นจึงคว้าแขนเรียวเอาไว้ กึ่งจูงกึ่งลากพลางออกคำสั่ง
“ลุกขึ้น...”
“ฉันไม่หิว”
“ถึงไม่หิวแต่คุณก็ต้องกิน มา...”
ด้วยความที่เป็นรองในเรื่องพละกำลัง ในที่สุดหทัยภัทรจึงจำเป็นต้องลงจากเตียงตามแรงฉุดรั้งของพฤกษ์ แถมเขายังบังคับให้เธอต้องเดินตามไปจนถึงเคาน์เตอร์ครัวซึ่งมีอาหารวางรออยู่จนได้
เกี๊ยวน้ำชามเล็ก ๆ เหมาะสำหรับรองท้องยามดึกส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลาย หทัยภัทรนึกอยากจะโกรธตัวเองนักที่แม้ปากจะปฏิเสธว่าไม่หิว หากแต่พอได้กลิ่นอาหาร ท้องไส้ของเธอกลับส่งเสียงคร่ำครวญดังโกรกกราก
ตาโตเหลือบขึ้นมองพฤกษ์ด้วยเกรงว่าเสียงของมันจะดังไปถึงหูของเขา แต่พอเห็นร่างสูงปล่อยมือเธอให้เป็นอิสระกดไหล่บางของเธอให้ยอมนั่งลงโดยไม่ได้พูดหรือแสดงกิริยาขบขันใด ๆ ให้เห็น หทัยภัทรจึงไม่คิดจะดึงดันอีกต่อไป
รสชาติของมันค่อนข้างดีทีเดียว และนั่นก็ทำให้เธอสามารถกำจัดจนหมดชามในเวลาไม่นาน
“อิ่มไหม”
น้ำเสียงอาทรที่เอ่ยถาม ทำให้มือซึ่งกำลังวางช้อนลงในชามชะงักไปนิดหนึ่ง ในใจนึกเลยไปถึงคนเป็นแม่ที่ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเข้านอนไปแล้วหรือยังนั่งคอยเธออยู่ที่หน้าทีวีเหมือนเคย
“ค่ะ”
“ถ้างั้นก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียเถอะ ยังมีเวลานอนได้อีกเกือบ 3 ชั่วโมง”
คำพูดของพฤกษ์ดูจะสร้างความงงงันให้กับหญิงสาวอยู่ไม่น้อย เพราะเขาเห็นเธอขมวดคิ้วเรียวเข้าหากันและเหลือบตามองมานิดหนึ่ง ทว่าไม่ได้เอ่ยถาม พฤกษ์เห็นดังนั้นจึงเอ่ยบอกเพียงสั้น ๆ
“พรุ่งนี้ผมมีงานที่ต่างจังหวัด จะออกเดินทางตอนตี 5”
พอได้ยินว่าพฤกษ์จะไม่อยู่ หัวใจของหทัยภัทรก็ลิงโลด เพราะนั่นหมายความว่าเธอกำลังจะได้รับอิสรภาพในเวลาไม่เกิน 3 ชั่วโมงนับจากนี้ หญิงสาวแอบลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก เพราะรู้สึกว่าหนทางมืดมิดของเธอกำลังจะได้รับแสงสว่าง
. ทว่าความโล่งใจนั้นก็อยู่กับหทัยภัทรเพียงไม่นาน เสียงเข้มของพฤกษ์ที่เอ่ยบอกออกมาอีกก็พาให้มันดับวูบไปในพริบตา
“คุณสามารถไปนอนต่อในรถได้ เพราะใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง”
“คะ?”
หทัยภัทรอุทานออกมาพลางเบิกตาโต ซึ่งท่าทีของเธอก็ทำให้พฤกษ์อดสงสัยไม่ได้
“มีอะไรเหรอ ทำไมต้องทำท่าตกใจอย่างนั้นด้วย”
“ใครบอกว่าฉันจะไปกับคุณ”
เสียงใสเอ่ยถาม ขณะในใจก็พลันว้าวุ่นเพราะสิ่งที่หวังว่าจะเกิดขึ้นภายหลังจากพฤกษ์ได้เดินทางออกต่างจังหวัดแล้วนั้นได้ล่มสลายไปต่อหน้าต่อตา
“ก็ผมกำลังบอกคุณอยู่นี่ไง ชู่ว์...ชานนยังไม่รู้ว่าคุณมาที่นี่ ฉะนั้นอย่าพูดเสียงดัง”
พฤกษ์ว่าพลางยกนิ้วชี้ข้างขวาขึ้นแตะริมฝีปาก ส่งสัญญาณเตือนว่าให้เธอลดระดับเสียงลง หทัยภัทรจึงได้แต่ทำหน้างอ
“ฉันมีงานที่ต้องทำ มีบ้านที่ต้องกลับ จะให้ฉันไปกับคุณได้ยังไง”
“คุณต้องไป”
เสียงเข้มบอกพลางวางแก้วน้ำเย็นลงตรงหน้าหทัยภัทร เธอมองตามมือใหญ่ของเขาตาขุ่นและไม่เอ่ยอะไรออกมาอีกนอกจากยกมันขึ้นจิบ
“ชามนั่นยังไม่ต้องล้างเพราะมันดึกแล้ว พรุ่งนี้เช้าชานนจะจัดการเอง คุณไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าซะ”
คำพูดของพฤกษ์ทำให้คนที่ยังปล่อยให้ความบูดบึ้งบดบังความงดงามของใบหน้าต้องเหลือบตามอง เท่าที่จำได้เธอก็มีเพียงเสื้อผ้าชุดเดียวที่สวมใส่ติดกายเท่านั้น หรือว่า...ตอนมาขออาศัยเขาอยู่เธอหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้ามาด้วยแต่จำไม่ได้
คิดดังนั้นแล้วร่างบางก็ลอบถอนหายใจ ก่อนจะเอ่ยถามพฤกษ์ออกมาตรง ๆ เพราะยอมรับว่าจวบจนวินาทีนี้ เธอยังคงสับสนและจับต้นชนปลายไม่ถูก ความรู้สึกของเธอตรงข้ามกับสิ่งที่พฤกษ์ว่ามาแทบทั้งสิ้น ที่สำคัญ...เธอนึกออกเพียงแค่นั่งทานน้ำส้มคั้นเย็น ๆ อยู่ในร้านพร้อมกับนายวิภาตผู้เป็นพี่ชายก็เท่านั้น
“ฉันมีกระเป๋าเสื้อผ้ามาด้วยหรือเปล่าคะ?”
ในทันทีที่เสียงใสของเธอสิ้นสุดลง หทัยภัทรก็ได้ยินเสียงหัวเราะหึ ๆ ดังมาจากร่างสูงของคนที่ยังคงหย่อนสะโพกลงบนขอบเคาน์เตอร์ และมันก็ชวนให้อารมณ์ของเธอพุ่งปรี้ด
“นี่...คุณ”
“ใจเย็น ๆ อย่าเพิ่งโมโห”
หทัยภัทรทันได้พูดแค่นั้น เธอก็เห็นพฤกษ์ยกไม้ยกมือขึ้นห้าม ก่อนจะจำใจลุกจากเก้าอี้เพราะฝ่ามือใหญ่ของเขาคว้าข้อมือของเธอแล้วเดินลิ่ว ๆ เข้าห้อง
“คุณนี่ขี้ลืมชะมัด เห็นทีผมต้องหาเวลาพาไปให้หมอเช็คอัลไซเมอร์เสียแล้ว”
พอปล่อยข้อมือของคนที่พยายามดิ้นรนพ้นจากการเกาะกุมนั้นให้เป็นอิสระ พฤกษ์ก็เอ่ยออกมา หทัยภัทรนึกฉุนกับคำพูดของเขาเพราะเธอมั่นใจว่าทุกวันนี้ไม่ได้เป็นโรคดังกล่าวร้อยเปอร์เซ็นต์ เพียงแต่...เหตุใดเธอจึงมาอยู่ที่นี่และจำเรื่องราวที่พฤกษ์พูดให้ฟังทั้งหลายแหล่นั้นไม่ได้สักที
“ไปอาบน้ำซะ”
เขายังคงออกคำสั่ง ก่อนจะผละไปเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วค้นหาอะไรบางอย่างเสียงดังกุกกัก เพียงครู่ก็ยื่นเสื้อยืดแขนสั้นสีดำสนิทกับกางเกงเลสีฟ้ามาให้
“คุณไม่ได้หิ้วกระเป๋าเสื้อผ้ามา ใส่ของผมไปก่อน พรุ่งนี้ค่อยหาซื้อ”
หทัยภัทรทำปากยื่นลำบากใจที่จะรับเอาเสื้อผ้าของพฤกษ์มาจากเขาด้วยไม่เคยใช้เสื้อผ้าร่วมกับใคร แม้จะได้เห็นเจ้าของยกมันขึ้นจรดจมูกยืนยันความสะอาดแล้วก็ตามที
“มันซักรีดเรียบร้อยแล้ว รับรองว่าสะอาดปราศจากเชื้อโรค”
“ฉันไม่ได้คิดว่ามันสกปรกค่ะ แต่...”
“ตามใจคุณก็แล้วกัน แต่จะว่าไปไม่ใส่อะไรนอนก็ดีเหมือนนะ จะได้ไม่เสียเวลาถอด”
แล้วคนที่ทำท่ารี ๆ รอ ๆ ก็คว้าเสื้อผ้าในมือของพฤกษ์มาด้วยความขุ่นเคือง ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำพลางแอบบริภาษเขาอยู่ในใจ ด้วยถึงอย่างไรเธอก็ยังรับคำพูดที่ส่อไปในทางลามกจกเปรตของเขาไม่ได้อยู่ดี ต่อให้จะยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งเกี่ยวกับการมาลืมตาตื่นอยู่บนเตียงเดียวกับเขาเมื่อชั่วโมงที่แล้วก็ตาม
พฤกษ์ตื่นนอนตามเสียงปลุกจากโทรศัพท์มือถือที่ตั้งเวลาไว้ ก่อนจะต้องได้ทะลึ่งพรวดขึ้นนั่งเมื่อวาดมือไปข้างกายแล้วไม่พบร่างของคนที่ควรจะอยู่ที่นี่กับเขา ในใจนึกก่นด่าตัวเองที่พอปล่อยเธอเข้าห้องน้ำไป เขาก็ล้มตัวลงนอนและหลับเป็นตาย
พอแสงไฟสว่างวาบขึ้นและได้เห็นใครบางคนนอนคุดคู้อยู่ที่เก้าอี้นวมตัวยาวข้างฝา ความเครียดของพฤกษ์ก็มลายหายไปในพริบตา เขายกมุมปากขึ้นยิ้มพลางส่ายหน้า ก่อนจะลงจากเตียงแล้วจรดฝีเท้าไปหยุดยืนอยู่ใกล้ ๆ
ร่างบางซึ่งสวมเสื้อผ้าที่พฤกษ์ยื่นส่งให้แถมนอนตัวงอห่มด้วยเสื้อสูท ทำให้คนมองต้องหันกลับไปคว้าผ้าห่มลงมาจากบนเตียง ก่อนจะคลี่มันออกคลุมให้อย่างเบามือแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป
ทางด้านของหทัยภัทร เสียงจากโทรศัพท์มือถือของพฤกษ์ที่กรีดร้องขึ้นมาท่ามกลางความเงียบสงัด ทำให้เธอพลอยลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยอีกคน ก่อนจะบังคับตัวเองให้แสร้งทำเป็นหลับ ด้วยอยากรู้ว่าพฤกษ์จะมีปฏิกิริยาอย่างไร กระทั่งรับรู้ถึงสัมผัสนุ่มนวลจากผืนผ้าห่มที่ถูกคลี่ลงมาคลุมให้เพียงแผ่วเบา ปราศจากการแตะเนื้อต้องตัวฉวยโอกาส ความรู้สึกไว้วางใจก็เริ่มก่อตัว
หทัยภัทรได้ยินเสียงน้ำไหลดังมาจากในห้องน้ำอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะได้ยินเสียงเปิดประตูและกลิ่นหอมของสบู่ก็โชยมา
“ตื่นหรือยัง”
เสียงทุ้มที่ดังขึ้นใกล้ ๆ พร้อมไอเย็นสดชื่นที่แผ่กระจายมาถึง ทำให้คนที่ทำทีนอนปิดตาอยู่เกือบลืมมันขึ้นมอง ทว่าพอนึกขึ้นได้ เธอจึงเลือกแสดงกิริยางัวเงียแทนการรีบเบิกตาโต
“เช้าแล้ว ลุกขึ้นไปล้างหน้าแปรงฟันเถอะ”
โดยไม่ต้องรอให้เขาเอ่ยคำพูดนั้นซ้ำอีก ร่างบางรีบยันกายขึ้นนั่งแถมขยับออกห่างจากคนที่ถือวิสาสะมานั่งยอง ๆ อยู่จนเกือบชิดนั้นทันที
“เตียงนอนก็ออกจะกว้าง ทำไมถึงมานอนขดตัวอยู่บนนี้”
คำถามที่ฟังดูค่อนไปทางการตำหนิเสียมากกว่า ทำให้หทัยภัทรที่รู้ดีว่าเหตุใดจึงไม่สามารถล้มตัวลงนอนบนเตียงเดียวกับผู้ชายแปลกหน้าได้ถึงกับตวัดสายตาขึ้นมอง
“มองด้วยสายตาแบบนี้อีกแล้ว ผมทำอะไรผิดเหรอ”
“เปล่าค่ะ”
พอเห็นพฤกษ์ตีหน้าซื่อไม่รู้เรื่องรู้ราว หทัยภัทรก็เคืองเขาไม่ลง หญิงสาวดึงผ้าห่มมาไว้ในอ้อมแขนแล้วตวัดขาลงจากเก้าอี้นวมตัวยาวซึ่งให้เธออาศัยทอดกายมานานร่วม 3 ชั่วโมง
“ฉันจะกลับบ้าน”
ร่างบางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว ก่อนจะหอบเอาผ้าห่มผืนเดิมไปวางไว้บนเตียง เธอต้องรู้ให้ได้ว่าเหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่กับพฤกษ์และที่สำคัญเขายังบอกว่าเธอเป็นมากกว่าคนรู้จักเสียด้วย
“อย่าให้ผมต้องใจร้ายกับคุณเลย”
คนที่ยืดกายขึ้นสูงบอกออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจังไม่แพ้กัน ก่อนจะสาวเท้าไปหยุดอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าเพื่อเลือกหยิบเอาสิ่งที่ต้องการแล้วกลับเข้าห้องน้ำไปอีกหน
แม้จะนึกขยาดกับน้ำเสียงและท่าทีขึงขังของพฤกษ์ หากแต่ก็ไม่อาจหยุดความตั้งใจที่มีได้ หทัยภัทรตัดสินใจหยิบโทรศัพท์มือถือของตนเองขึ้นมาจากกระเป๋าอีกครั้งเพื่อกดเบอร์โทร.ของนายวิภาต ซึ่งหลังจากทนฟังเสียงเพลงรอสายอยู่นานหลายหน น้ำเสียงงัวเงียของคนเป็นพี่ชายก็ดังมาตามสาย
“พี่วิน พี่อยู่ที่ไหน”
“อยู่บ้าน อยู่กับแม่”
น้ำเสียงที่ฟังดูไม่มั่นคงนักของนายวิภาต ทำให้หทัยภัทรไม่นึกอยากจะเชื่อ ยามนี้พฤติกรรมของนายวิภาตได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว ฉะนั้นหากเธอต้องเชื่อในคำพูดของเขา หทัยภัทรก็อยากจะเลือกให้เหลือเพียงครึ่งเดียวก็พอ
“แกเป็นไงบ้าง คุณพฤกษ์ดีกับแกหรือเปล่า”
“คะ?”
คำถามของนายวิภาต ทำให้หทัยภัทรรู้สึกแปลกใจ หญิงสาวอุทานออกมาก่อนจะอึ้งไปชั่วครู่
“พี่วินรู้ได้ยังไง”
“อ้าว...ก็ฉันเป็นคนขับรถไปส่งแก”
“อะไรนะ...”
หทัยภัทรอุทานออกมา ก่อนจะปล่อยให้ความโกรธและความโมโหวิ่งพล่านจนหูอื้อตาลาย
“นี่...ไม่ต้องกังวลเลยนะ ถึงแม้สาเหตุที่แกต้องตกร่องปล่องชิ้นกับคุณพฤกษ์มันจะดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่นั่นน่ะเป็นผู้ชายที่ผู้หญิงหลายคนอยากคลุกวงในด้วยทั้งนั้น ที่สำคัญคุณพฤกษ์เองก็ไม่มีทางเอาแกไปพูดให้เสียหายหรอก”
“หลิวจะกลับบ้าน”
“เฮ้ย...แกจะกลับมาตอนนี้ได้ยังไง”
“ทำไมเหรอคะ กลัวเจ้านายพี่เค้าจะทวงเงินคืนหรือไง”
หทัยภัทรเอ่ยออกมาอย่างเหลืออด แม้ไม่รู้ว่าข้อเท็จจริงเรื่องเงินที่พฤกษ์หยิบยกขึ้นมากล่าวอ้างนั้นเป็นไปในทางใด หากแต่หญิงสาวก็ไม่อยากตัดประเด็นนี้ออก แม้จะไม่ช่วยให้ข้อสงสัยในใจหายไปอย่างหมดสิ้นแต่อย่างน้อยการเหวี่ยงแหก็น่าจะให้ผลอะไรบ้าง
“เปล่าหรอก ถ้าแกโผล่มาแม่ก็ตกใจน่ะสิ เพราะฉันบอกว่าแกไปดูงานที่เชียงใหม่กับเจ้านาย”
“คะ? ทำไมพี่บอกกับแม่อย่างนั้นล่ะ”
“ก็เพราะฉันรู้น่ะสิว่าคุณพฤกษ์ไม่มีทางปล่อยให้แกกลับมาเหมือนครั้งก่อน ๆ แน่นอน”
หทัยภัทรตัวชาด้วยความตะลึง ก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงต่ำด้วยความเจ็บใจ
“ตกลงว่าพี่วินรับเงินของคุณพฤกษ์ไปจริง ๆ ใช่ไหม เท่าไหร่?”
“แกไม่ต้องห่วงแม่นะหลิว รับรองว่าพี่จะดูแลอย่างดี ส่วนคุณพฤกษ์น่ะมั่นใจได้ว่าเขาเป็นคนดี ทำตัวดี ๆ ให้เขารักและเอ็นดูเข้าเถอะ แล้วแกจะสบายไปทั้งชาติ”
“หลิวถามว่าเท่าไหร่!”
เมื่อคนเป็นพี่ชายคอยแต่จะพูดออกนอกเรื่อง หทัยภัทรจึงแผดเสียงถาม ซึ่งความสั่นเครือคงสะกิดความรู้สึกคนฟังอยู่บ้าง เพราะเขาดูเหมือนจะเงียบงันไปเช่นกัน
“แม่...แม่...ยายหลิวโทร.มา”
ขณะที่หทัยภัทรกำลังรอฟังคำตอบจากปลายสายอย่างใจจดใจจ่อ แต่แทนที่เธอจะได้รู้ยอดเงินที่นายวิภาตรับไปจากพฤกษ์ เธอกลับได้ยินเสียงเขาตะโกนแว่ว ๆ มาให้ได้ยินและนั่นก็สร้างความโกรธเคืองให้แก่หญิงสาวจนน้ำตาซึม
“หลิวเหรอลูก เป็นยังไงบ้าง เชียงใหม่อากาศดีไหม”
แม้จะโกรธจนตัวสั่น ทว่าพอได้ยินน้ำเสียงห่วงใยของคุณอมราดังมาตามสาย หทัยภัทรก็จำต้องพยายามข่มจิตข่มใจระงับความโกรธ และจากที่เคยคิดว่าต้องกลับบ้านให้ได้ วินาทีนี้เธอกลับไม่ได้นึกถึงมันเลยแม้แต่น้อย
“คะ...ก็...ดีค่ะแม่ อากาศเย็นสบายดี”
“เรานี่มันก็น่าตีจริง ๆ นะ จะไปทำงานไกลถึงเชียงใหม่ตั้งอาทิตย์หนึ่ง ทำไมไม่รู้จักจะบอกแม่ให้รู้”
“ก็...หลิวไม่อยากให้แม่เป็นห่วงนี่ค่ะ เพราะถ้าบอกล่วงหน้า แม่ก็จะเป็นกังวล”
“แล้วไอ้ที่ไปแบบปุบปับอย่างนี้ ไม่คิดว่าแม่จะยิ่งห่วงหรือไง ลูกหนอลูก”
คำรำพึงของคุณอมราที่ดังมาตามสายประกอบกับน้ำเสียงอ่อนโยนนั้น ปลุกให้หทัยภัทรถึงกับนัยน์ตาฝ้าฟาง หากต้องแลกสุขภาพและความเครียดของมารดากับการต้องระหกระเหินไปกับพฤกษ์ เธอก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องลังเล
“แม่ไม่ต้องห่วงนะคะ หลิวมาทำงาน กับเจ้านาย หลิวจะรีบทำงานแล้วจะรีบกลับนะคะ”
“มันจะรีบไปรีบกลับได้ยังไงล่ะลูกเอ๋ย ไปทำงานนะ ไม่ได้ไปเที่ยว”
คนเป็นแม่ยังพยายามบอกออกมาให้รู้ว่านางเข้าใจในภาระรับผิดชอบของลูกสาว การเฝ้าบอกตัวเองว่าแม้จะสุขภาพไม่ดี แต่ก็ไม่ปรารถนาจะเป็นอุปสรรคต่อการทำงานของลูก ๆ ฉะนั้นยามนี้คุณอมราจึงหยุดพร่ำรำพันและติติงลูกสาว ด้วยไม่อยากให้ฝ่ายนั้นเป็นกังวลเช่นเดียวกับนาง
“ไม่ต้องห่วงแม่หรอกลูก พี่เขาอยู่ด้วยเพราะกลับเข้ามาทำงานในกรุงเทพพอดี ตั้งใจทำงานก็แล้วกันนะ”
หทัยภัทรกลืนน้ำลายให้กับคำพูดของแม่ แม้จะนึกโกรธในตัวพี่ชายท่วมท้น แต่ก็ยังดีที่ฝ่ายนั้นมีสำนึกกลับไปอยู่เป็นเพื่อนแม่ให้เธอคลายความกังวลใจลง
“ค่ะ แม่ก็...ดูแลสุขภาพนะคะ แล้วหลิวจะโทร.มาบ่อย ๆ”
“จ๊ะลูก”
“สวัสดีค่ะแม่”
เมื่อรอจนปลายสายเงียบไปแล้ว หทัยภัทรก็เก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋า ความสับสนใจที่มีบวกกับความขุ่นเคืองผิดหวังในตัวพี่ชาย ทำให้ต้องทรุดตัวลงนั่งบนพื้น ปล่อยน้ำตาที่พยายามกักเก็บไหลรินอยู่เงียบ ๆ
“อีกครึ่งชั่วโมงต้องออกเดินทางแล้ว ไปล้างหน้าล้างตาเสียเถอะ”
เพราะปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความสับสนในชีวิต หทัยภัทรจึงไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของพฤกษ์ที่มาหยุดยืนอยู่ใกล้ ๆ จนกระทั่งเขาคุกเข่าลงข้าง ๆ เธอจึงตกใจเงยหน้าขึ้นมอง
แพขนตาที่ฉ่ำพร่างไปด้วยหยาดน้ำใสกระพริบปริบ ๆ หวังขับไล่ให้มันจางหาย ทว่ายิ่งพยายาม มันกลับยิ่งนองเอ่อ
“ร้องไห้ทำไม”
เสียงเอ่ยถามแบบไม่ชอบใจนักของพฤกษ์ ทำให้หทัยภัทรรีบกรีดน้ำตาทิ้ง หากแต่นั่นก็ไม่อาจเปลี่ยนความเข้าใจของเขาได้อีกแล้ว
“ร้องเพราะอะไร เพราะมีพี่ชายเลว รึเพราะต้องอยู่กับผม”
“เปล่า...ไม่เกี่ยวกับคุณ”
หทัยภัทรเถียงพลางพยายามลุกขึ้นหวังจะเลี่ยงไปเสียจากคนที่เธอไม่ปรารถนาให้เขาเห็นน้ำตา ยามนี้เธอเชื่อแล้วว่าพฤกษ์ให้เงินแก่นายวิภาตไปจริง ๆ และฝ่ายนั้นก็ทำตัวได้สมกับคำที่เขาเลือกใช้ จนคนเป็นน้องสาวอย่างเธอพูดอะไรไม่ออกด้วยเจ็บจี้ดไปทั้งใจ
“งั้นก็อย่ามาทำให้ผมเห็น”
“เท่าไหร่คะ พี่วินเอาเงินของคุณไปเท่าไหร่ หรือคุณทำหูทวนลมไม่สนใจคำร้องขอของฉันแล้วควักเงินให้พี่วินไปกี่บาท”
คนที่ยืนหันหลังให้เอ่ยถามเสียงเครือ พฤกษ์ที่กำลังจะเดินกลับไปเก็บเสื้อผ้าลงกระเป๋าชะงักกึก ก่อนจะหันกลับไปหาเธอดังเดิมอีกหน
“คุณจะรู้ไปทำไม”
การถูกคนตัวเล็กตำหนิ ทั้ง ๆ ที่พยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ปลุกความขุ่นใจของพฤกษ์ให้ก่อตัว เขาเอ่ยถามเสียงห้วน มองคนที่พยายามปิดบังหยาดน้ำตาของตนเองด้วยความไม่ชอบใจ
“ฉันก็จะได้รู้ว่าต้องหาเงินมาคืนคุณกี่บาท เป็นเงินต้นกี่บาทและดอกเบี้ยกี่บาทน่ะสิ”
พฤกษ์ขมวดคิ้วหนาเข้าหากัน และแม้จะพยายามเข้าใจหญิงสาวตรงหน้าให้มากที่สุดแล้ว ทว่าความถือดีของเธอก็ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะเหน็บแนมด้วยคำพูดบาดใจคนฟัง
“มีเสี่ยหื่นกามคนไหนยินดีให้ยืมเงินมาใช้คืนผมงั้นเหรอ”
บรรยากาศรอบข้างเงียบงันไปชั่วอึดใจ และกว่าที่พฤกษ์จะรู้ตัวว่าตนได้หลุดคำพูดทิ่มแทงความรู้สึกคนฟังออกไป คนที่พยายามกลั้นน้ำตาตัวเองเอาไว้ก็เอ่ยออกมาเสียงเครือก่อนจะปล่อยให้ทำนบพังอย่างไม่คิดจะปิดบังอีกต่อไป
“เพราะรู้ว่าฉันกับพี่วินไม่มีปัญญาหาเงินมาใช้คืนคุณเหรอคะ คุณถึงทำแบบนี้ทั้ง ๆ ที่ฉันขอร้องคุณแล้ว ฮือ...”
พฤกษ์มองท่าทีของหญิงสาวด้วยความอ่อนใจ ก่อนจะตีหน้าขรึมแล้วเอ่ยบอกในสิ่งที่เขาคิดว่ามองไม่พลาด
“เพราะผมรู้ว่าพี่ชายคุณจะไม่มีวันหยุดน่ะสิ ผมถึงต้องทำแบบนี้”
“ด้วยการทำลายฉันทั้ง ๆ ที่ฉันไม่มีทางสู้งั้นเหรอ ถึงฉันจะไม่รู้ว่ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง แต่มันสมควรที่คุณจะทำกับฉันแบบนั้นไหม หึ...งั้นตอนนี้คุณก็รู้เอาไว้เสียด้วยสิว่าตัวเองก็ไม่ได้ต่างจากพวกเสี่ยที่คุณว่าเหมือนกัน”
หทัยภัทรบริภาษเขาทั้งน้ำตา ท่าทางฟูมฟายของเธอทำให้พฤกษ์ถึงกับถอนหายใจด้วยความอึดอัด เขาสาวเท้าเข้าไปประชิดร่างบางที่ยืนเบียดตัวเองกับฝาผนัง ก่อนจะยกมือขึ้นเท้าผนังกักคนที่ยังปล่อยน้ำตาไหลพรากพลางเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ถ้าคุณทำตัวให้ต่างจากผู้หญิงทั่วไป คุณก็จะได้รู้เองว่าผมต่างจากผู้ชายคนอื่นยังไง ผมจะออกไปกินกาแฟรอ เสร็จแล้วให้ตามไป”
แม้ไม่ได้ยินคำตอบรับหรือปฏิเสธดังมาจากหญิงสาว หากแต่พฤกษ์ก็ถือว่าเขาได้บอกแล้ว คำพูดของเขาจะศักดิ์สิทธิ์พอ ๆ กับคำสั่ง ฉะนั้นเมื่อพูดจบเขาจึงพาร่างสูงหายลับออกไปจากห้องทันที แม้จะทั้งสงสารและปรารถนาดี หากแต่อารมณ์ที่ขุ่นมัวของเขาก็สั่งให้ทิ้งทุกอย่างเอาไว้เพียงเท่านี้
หลังจากปล่อยให้หทัยภัทรนั่งเงียบอยู่อย่างนั้นครู่ใหญ่ พฤกษ์ที่เดินหายออกไปนอกห้องก็กลับเข้ามา นัยน์ตาคมมองสำรวจหญิงสาวอย่างถี่ถ้วน ก่อนจะเอ่ยถามเมื่อรับรู้ว่าเธอยังคงจับเจ่าอยู่ที่เดิมโดยไม่ได้ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวใด ๆ แม้แต่น้อย
“หิวไหม”
ร่างบางส่ายหน้าไปมาช้า ๆ แทนการตอบ ซึ่งอากัปกิริยาของเธอดูจะไม่เป็นที่ชอบใจของพฤกษ์มากนัก คิ้วหนาของเขาขมวดเข้าหากัน ก่อนจะปรามออกมาเสียงขุ่น
“ไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่กี่โมงแล้วล่ะ ออกไปนั่งข้างนอกเถอะ ผมอุ่นอาหารไว้ให้แล้ว”
เกี๊ยวกุ้งร้อน ๆ ในชามซึ่งยังมีควันกรุ่น ถูกตั้งเอาไว้ที่เคาน์เตอร์ครัว เขาไม่รู้ว่าหรอกว่าสมองของหทัยภัทรกำลังคิดหรือวางแผนเรื่องใดอยู่ หากแต่เวลาที่ล่วงเลยมาจนป่านนี้และเธอก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง ทำให้พฤกษ์พุ่งความสนใจไปที่อาหารการกินมากกว่า ส่วนเรื่องอื่นเอาไว้ทีหลัง เพราะเขามั่นใจว่าต่อให้ต้องพูดดีหรือพูดร้ายยังไง หญิงสาวคนนี้ก็ต้องอยู่ในสายตาเขานับแต่นี้เป็นต้นไป
“รีบกินแล้วก็เข้านอนต่อเถอะ ผมไม่เชื่อหรอกนะว่าคุณไม่หิว เพราะตัวก็แค่นี้ พลังงานสะสมคงมีไม่เท่าไหร่หรอก รู้ไหมว่าเซ็กส์แต่ละครั้ง เผาผลาญพลังงานไปกี่กิโลแคลอรี่ แล้วถ้าหลายครั้ง...ก็คิดเอาเองเถอะ”
พฤกษ์โน้มตัวลงกระซิบใกล้ ๆ ในตอนท้าย ก่อนจะแอบอมยิ้มเมื่อเห็นปฏิกิริยาของหญิงสาว ที่ใบหน้าเรียวของเธอถูกสะบัดพรืดจนน่าเป็นห่วงว่าคอเจ้าของจะเคล็ดเอา
“กินเสร็จจะได้มีแรงต่อ”
“หยุดพูดแบบนี้ได้แล้ว ฉันไม่มีอะไรกับคุณ”
เสียงใสขัดขึ้นทันควัน ซึ่งดูท่าว่าคำพูดทั้งหลายของพฤกษ์จะยั่วยวนกวนโทสะของเธอไม่น้อย ดังนั้นมือเรียวที่เจ้าของจับกันเอาไว้บนตักจึงถูกยกขึ้นทุบที่สีข้างของเขาอีกด้วย
“จุ๊...ลงไม้ลงมือเหรอ”
พฤกษ์ครวญออกมาพลางยกมือขึ้นลูบสีข้างที่ถูกกระทำรุนแรงนั้นเบา ๆ มุมปากหยักยกขึ้นยิ้มด้วยความขบขันอีกหนเมื่อเห็นว่าหทัยภัทรยังคงยืนกรานว่าเธอยังไม่ถูกเขารุกราน ก่อนจะบังคับตัวเองให้กลั้นยิ้มแล้วโน้มตัวลงไปเท้าแขนคร่อมสะโพกของเธอเอาไว้
“รู้ไหมว่าคุณเป็นผู้หญิงคนแรกที่ขี้ลืมอย่างร้ายกาจ ลืมอะไรไม่ว่าแต่ดันมาลืมเรื่องสำคัญของเรา ไม่เป็นไร...เดี๋ยวผมทวนความจำให้ แต่ตอนนี้ออกไปกินอะไรข้างนอกก่อน เผื่อเป็นลมช็อคตาตั้งขึ้นมาก็จะเป็นข่าวอายชาวบ้านเขาเปล่า ๆ”
เสียงเข้มกระซิบบอกที่ข้างหูของหทัยภัทร และแม้ว่าเธอจะพยายามเอนหลังเบี่ยงใบหน้าหลบลี้ความใกล้ชิดที่มีมากเกินควรแถมอยู่ในรโหฐานมากเพียงใด แต่กระนั้นก็ยังถูกพฤกษ์ฉวยโอกาสฉกปลายจมูกลงบนแก้มอยู่ดี
“ไม่นะ อย่ามายุ่งกับฉัน”
เธอยกมือเรียวขึ้นผลักอกกว้างที่ยังคงเปล่าเปลือยของพฤกษ์เต็มแรง ก่อนจะเอ่ยบอกแล้วกระถดหนีขึ้นเตียง พฤกษ์เห็นเช่นนั้นจึงคว้าแขนเรียวเอาไว้ กึ่งจูงกึ่งลากพลางออกคำสั่ง
“ลุกขึ้น...”
“ฉันไม่หิว”
“ถึงไม่หิวแต่คุณก็ต้องกิน มา...”
ด้วยความที่เป็นรองในเรื่องพละกำลัง ในที่สุดหทัยภัทรจึงจำเป็นต้องลงจากเตียงตามแรงฉุดรั้งของพฤกษ์ แถมเขายังบังคับให้เธอต้องเดินตามไปจนถึงเคาน์เตอร์ครัวซึ่งมีอาหารวางรออยู่จนได้
เกี๊ยวน้ำชามเล็ก ๆ เหมาะสำหรับรองท้องยามดึกส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลาย หทัยภัทรนึกอยากจะโกรธตัวเองนักที่แม้ปากจะปฏิเสธว่าไม่หิว หากแต่พอได้กลิ่นอาหาร ท้องไส้ของเธอกลับส่งเสียงคร่ำครวญดังโกรกกราก
ตาโตเหลือบขึ้นมองพฤกษ์ด้วยเกรงว่าเสียงของมันจะดังไปถึงหูของเขา แต่พอเห็นร่างสูงปล่อยมือเธอให้เป็นอิสระกดไหล่บางของเธอให้ยอมนั่งลงโดยไม่ได้พูดหรือแสดงกิริยาขบขันใด ๆ ให้เห็น หทัยภัทรจึงไม่คิดจะดึงดันอีกต่อไป
รสชาติของมันค่อนข้างดีทีเดียว และนั่นก็ทำให้เธอสามารถกำจัดจนหมดชามในเวลาไม่นาน
“อิ่มไหม”
น้ำเสียงอาทรที่เอ่ยถาม ทำให้มือซึ่งกำลังวางช้อนลงในชามชะงักไปนิดหนึ่ง ในใจนึกเลยไปถึงคนเป็นแม่ที่ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเข้านอนไปแล้วหรือยังนั่งคอยเธออยู่ที่หน้าทีวีเหมือนเคย
“ค่ะ”
“ถ้างั้นก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียเถอะ ยังมีเวลานอนได้อีกเกือบ 3 ชั่วโมง”
คำพูดของพฤกษ์ดูจะสร้างความงงงันให้กับหญิงสาวอยู่ไม่น้อย เพราะเขาเห็นเธอขมวดคิ้วเรียวเข้าหากันและเหลือบตามองมานิดหนึ่ง ทว่าไม่ได้เอ่ยถาม พฤกษ์เห็นดังนั้นจึงเอ่ยบอกเพียงสั้น ๆ
“พรุ่งนี้ผมมีงานที่ต่างจังหวัด จะออกเดินทางตอนตี 5”
พอได้ยินว่าพฤกษ์จะไม่อยู่ หัวใจของหทัยภัทรก็ลิงโลด เพราะนั่นหมายความว่าเธอกำลังจะได้รับอิสรภาพในเวลาไม่เกิน 3 ชั่วโมงนับจากนี้ หญิงสาวแอบลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก เพราะรู้สึกว่าหนทางมืดมิดของเธอกำลังจะได้รับแสงสว่าง
. ทว่าความโล่งใจนั้นก็อยู่กับหทัยภัทรเพียงไม่นาน เสียงเข้มของพฤกษ์ที่เอ่ยบอกออกมาอีกก็พาให้มันดับวูบไปในพริบตา
“คุณสามารถไปนอนต่อในรถได้ เพราะใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง”
“คะ?”
หทัยภัทรอุทานออกมาพลางเบิกตาโต ซึ่งท่าทีของเธอก็ทำให้พฤกษ์อดสงสัยไม่ได้
“มีอะไรเหรอ ทำไมต้องทำท่าตกใจอย่างนั้นด้วย”
“ใครบอกว่าฉันจะไปกับคุณ”
เสียงใสเอ่ยถาม ขณะในใจก็พลันว้าวุ่นเพราะสิ่งที่หวังว่าจะเกิดขึ้นภายหลังจากพฤกษ์ได้เดินทางออกต่างจังหวัดแล้วนั้นได้ล่มสลายไปต่อหน้าต่อตา
“ก็ผมกำลังบอกคุณอยู่นี่ไง ชู่ว์...ชานนยังไม่รู้ว่าคุณมาที่นี่ ฉะนั้นอย่าพูดเสียงดัง”
พฤกษ์ว่าพลางยกนิ้วชี้ข้างขวาขึ้นแตะริมฝีปาก ส่งสัญญาณเตือนว่าให้เธอลดระดับเสียงลง หทัยภัทรจึงได้แต่ทำหน้างอ
“ฉันมีงานที่ต้องทำ มีบ้านที่ต้องกลับ จะให้ฉันไปกับคุณได้ยังไง”
“คุณต้องไป”
เสียงเข้มบอกพลางวางแก้วน้ำเย็นลงตรงหน้าหทัยภัทร เธอมองตามมือใหญ่ของเขาตาขุ่นและไม่เอ่ยอะไรออกมาอีกนอกจากยกมันขึ้นจิบ
“ชามนั่นยังไม่ต้องล้างเพราะมันดึกแล้ว พรุ่งนี้เช้าชานนจะจัดการเอง คุณไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าซะ”
คำพูดของพฤกษ์ทำให้คนที่ยังปล่อยให้ความบูดบึ้งบดบังความงดงามของใบหน้าต้องเหลือบตามอง เท่าที่จำได้เธอก็มีเพียงเสื้อผ้าชุดเดียวที่สวมใส่ติดกายเท่านั้น หรือว่า...ตอนมาขออาศัยเขาอยู่เธอหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้ามาด้วยแต่จำไม่ได้
คิดดังนั้นแล้วร่างบางก็ลอบถอนหายใจ ก่อนจะเอ่ยถามพฤกษ์ออกมาตรง ๆ เพราะยอมรับว่าจวบจนวินาทีนี้ เธอยังคงสับสนและจับต้นชนปลายไม่ถูก ความรู้สึกของเธอตรงข้ามกับสิ่งที่พฤกษ์ว่ามาแทบทั้งสิ้น ที่สำคัญ...เธอนึกออกเพียงแค่นั่งทานน้ำส้มคั้นเย็น ๆ อยู่ในร้านพร้อมกับนายวิภาตผู้เป็นพี่ชายก็เท่านั้น
“ฉันมีกระเป๋าเสื้อผ้ามาด้วยหรือเปล่าคะ?”
ในทันทีที่เสียงใสของเธอสิ้นสุดลง หทัยภัทรก็ได้ยินเสียงหัวเราะหึ ๆ ดังมาจากร่างสูงของคนที่ยังคงหย่อนสะโพกลงบนขอบเคาน์เตอร์ และมันก็ชวนให้อารมณ์ของเธอพุ่งปรี้ด
“นี่...คุณ”
“ใจเย็น ๆ อย่าเพิ่งโมโห”
หทัยภัทรทันได้พูดแค่นั้น เธอก็เห็นพฤกษ์ยกไม้ยกมือขึ้นห้าม ก่อนจะจำใจลุกจากเก้าอี้เพราะฝ่ามือใหญ่ของเขาคว้าข้อมือของเธอแล้วเดินลิ่ว ๆ เข้าห้อง
“คุณนี่ขี้ลืมชะมัด เห็นทีผมต้องหาเวลาพาไปให้หมอเช็คอัลไซเมอร์เสียแล้ว”
พอปล่อยข้อมือของคนที่พยายามดิ้นรนพ้นจากการเกาะกุมนั้นให้เป็นอิสระ พฤกษ์ก็เอ่ยออกมา หทัยภัทรนึกฉุนกับคำพูดของเขาเพราะเธอมั่นใจว่าทุกวันนี้ไม่ได้เป็นโรคดังกล่าวร้อยเปอร์เซ็นต์ เพียงแต่...เหตุใดเธอจึงมาอยู่ที่นี่และจำเรื่องราวที่พฤกษ์พูดให้ฟังทั้งหลายแหล่นั้นไม่ได้สักที
“ไปอาบน้ำซะ”
เขายังคงออกคำสั่ง ก่อนจะผละไปเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วค้นหาอะไรบางอย่างเสียงดังกุกกัก เพียงครู่ก็ยื่นเสื้อยืดแขนสั้นสีดำสนิทกับกางเกงเลสีฟ้ามาให้
“คุณไม่ได้หิ้วกระเป๋าเสื้อผ้ามา ใส่ของผมไปก่อน พรุ่งนี้ค่อยหาซื้อ”
หทัยภัทรทำปากยื่นลำบากใจที่จะรับเอาเสื้อผ้าของพฤกษ์มาจากเขาด้วยไม่เคยใช้เสื้อผ้าร่วมกับใคร แม้จะได้เห็นเจ้าของยกมันขึ้นจรดจมูกยืนยันความสะอาดแล้วก็ตามที
“มันซักรีดเรียบร้อยแล้ว รับรองว่าสะอาดปราศจากเชื้อโรค”
“ฉันไม่ได้คิดว่ามันสกปรกค่ะ แต่...”
“ตามใจคุณก็แล้วกัน แต่จะว่าไปไม่ใส่อะไรนอนก็ดีเหมือนนะ จะได้ไม่เสียเวลาถอด”
แล้วคนที่ทำท่ารี ๆ รอ ๆ ก็คว้าเสื้อผ้าในมือของพฤกษ์มาด้วยความขุ่นเคือง ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำพลางแอบบริภาษเขาอยู่ในใจ ด้วยถึงอย่างไรเธอก็ยังรับคำพูดที่ส่อไปในทางลามกจกเปรตของเขาไม่ได้อยู่ดี ต่อให้จะยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งเกี่ยวกับการมาลืมตาตื่นอยู่บนเตียงเดียวกับเขาเมื่อชั่วโมงที่แล้วก็ตาม
พฤกษ์ตื่นนอนตามเสียงปลุกจากโทรศัพท์มือถือที่ตั้งเวลาไว้ ก่อนจะต้องได้ทะลึ่งพรวดขึ้นนั่งเมื่อวาดมือไปข้างกายแล้วไม่พบร่างของคนที่ควรจะอยู่ที่นี่กับเขา ในใจนึกก่นด่าตัวเองที่พอปล่อยเธอเข้าห้องน้ำไป เขาก็ล้มตัวลงนอนและหลับเป็นตาย
พอแสงไฟสว่างวาบขึ้นและได้เห็นใครบางคนนอนคุดคู้อยู่ที่เก้าอี้นวมตัวยาวข้างฝา ความเครียดของพฤกษ์ก็มลายหายไปในพริบตา เขายกมุมปากขึ้นยิ้มพลางส่ายหน้า ก่อนจะลงจากเตียงแล้วจรดฝีเท้าไปหยุดยืนอยู่ใกล้ ๆ
ร่างบางซึ่งสวมเสื้อผ้าที่พฤกษ์ยื่นส่งให้แถมนอนตัวงอห่มด้วยเสื้อสูท ทำให้คนมองต้องหันกลับไปคว้าผ้าห่มลงมาจากบนเตียง ก่อนจะคลี่มันออกคลุมให้อย่างเบามือแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป
ทางด้านของหทัยภัทร เสียงจากโทรศัพท์มือถือของพฤกษ์ที่กรีดร้องขึ้นมาท่ามกลางความเงียบสงัด ทำให้เธอพลอยลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยอีกคน ก่อนจะบังคับตัวเองให้แสร้งทำเป็นหลับ ด้วยอยากรู้ว่าพฤกษ์จะมีปฏิกิริยาอย่างไร กระทั่งรับรู้ถึงสัมผัสนุ่มนวลจากผืนผ้าห่มที่ถูกคลี่ลงมาคลุมให้เพียงแผ่วเบา ปราศจากการแตะเนื้อต้องตัวฉวยโอกาส ความรู้สึกไว้วางใจก็เริ่มก่อตัว
หทัยภัทรได้ยินเสียงน้ำไหลดังมาจากในห้องน้ำอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะได้ยินเสียงเปิดประตูและกลิ่นหอมของสบู่ก็โชยมา
“ตื่นหรือยัง”
เสียงทุ้มที่ดังขึ้นใกล้ ๆ พร้อมไอเย็นสดชื่นที่แผ่กระจายมาถึง ทำให้คนที่ทำทีนอนปิดตาอยู่เกือบลืมมันขึ้นมอง ทว่าพอนึกขึ้นได้ เธอจึงเลือกแสดงกิริยางัวเงียแทนการรีบเบิกตาโต
“เช้าแล้ว ลุกขึ้นไปล้างหน้าแปรงฟันเถอะ”
โดยไม่ต้องรอให้เขาเอ่ยคำพูดนั้นซ้ำอีก ร่างบางรีบยันกายขึ้นนั่งแถมขยับออกห่างจากคนที่ถือวิสาสะมานั่งยอง ๆ อยู่จนเกือบชิดนั้นทันที
“เตียงนอนก็ออกจะกว้าง ทำไมถึงมานอนขดตัวอยู่บนนี้”
คำถามที่ฟังดูค่อนไปทางการตำหนิเสียมากกว่า ทำให้หทัยภัทรที่รู้ดีว่าเหตุใดจึงไม่สามารถล้มตัวลงนอนบนเตียงเดียวกับผู้ชายแปลกหน้าได้ถึงกับตวัดสายตาขึ้นมอง
“มองด้วยสายตาแบบนี้อีกแล้ว ผมทำอะไรผิดเหรอ”
“เปล่าค่ะ”
พอเห็นพฤกษ์ตีหน้าซื่อไม่รู้เรื่องรู้ราว หทัยภัทรก็เคืองเขาไม่ลง หญิงสาวดึงผ้าห่มมาไว้ในอ้อมแขนแล้วตวัดขาลงจากเก้าอี้นวมตัวยาวซึ่งให้เธออาศัยทอดกายมานานร่วม 3 ชั่วโมง
“ฉันจะกลับบ้าน”
ร่างบางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว ก่อนจะหอบเอาผ้าห่มผืนเดิมไปวางไว้บนเตียง เธอต้องรู้ให้ได้ว่าเหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่กับพฤกษ์และที่สำคัญเขายังบอกว่าเธอเป็นมากกว่าคนรู้จักเสียด้วย
“อย่าให้ผมต้องใจร้ายกับคุณเลย”
คนที่ยืดกายขึ้นสูงบอกออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจังไม่แพ้กัน ก่อนจะสาวเท้าไปหยุดอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าเพื่อเลือกหยิบเอาสิ่งที่ต้องการแล้วกลับเข้าห้องน้ำไปอีกหน
แม้จะนึกขยาดกับน้ำเสียงและท่าทีขึงขังของพฤกษ์ หากแต่ก็ไม่อาจหยุดความตั้งใจที่มีได้ หทัยภัทรตัดสินใจหยิบโทรศัพท์มือถือของตนเองขึ้นมาจากกระเป๋าอีกครั้งเพื่อกดเบอร์โทร.ของนายวิภาต ซึ่งหลังจากทนฟังเสียงเพลงรอสายอยู่นานหลายหน น้ำเสียงงัวเงียของคนเป็นพี่ชายก็ดังมาตามสาย
“พี่วิน พี่อยู่ที่ไหน”
“อยู่บ้าน อยู่กับแม่”
น้ำเสียงที่ฟังดูไม่มั่นคงนักของนายวิภาต ทำให้หทัยภัทรไม่นึกอยากจะเชื่อ ยามนี้พฤติกรรมของนายวิภาตได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว ฉะนั้นหากเธอต้องเชื่อในคำพูดของเขา หทัยภัทรก็อยากจะเลือกให้เหลือเพียงครึ่งเดียวก็พอ
“แกเป็นไงบ้าง คุณพฤกษ์ดีกับแกหรือเปล่า”
“คะ?”
คำถามของนายวิภาต ทำให้หทัยภัทรรู้สึกแปลกใจ หญิงสาวอุทานออกมาก่อนจะอึ้งไปชั่วครู่
“พี่วินรู้ได้ยังไง”
“อ้าว...ก็ฉันเป็นคนขับรถไปส่งแก”
“อะไรนะ...”
หทัยภัทรอุทานออกมา ก่อนจะปล่อยให้ความโกรธและความโมโหวิ่งพล่านจนหูอื้อตาลาย
“นี่...ไม่ต้องกังวลเลยนะ ถึงแม้สาเหตุที่แกต้องตกร่องปล่องชิ้นกับคุณพฤกษ์มันจะดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่นั่นน่ะเป็นผู้ชายที่ผู้หญิงหลายคนอยากคลุกวงในด้วยทั้งนั้น ที่สำคัญคุณพฤกษ์เองก็ไม่มีทางเอาแกไปพูดให้เสียหายหรอก”
“หลิวจะกลับบ้าน”
“เฮ้ย...แกจะกลับมาตอนนี้ได้ยังไง”
“ทำไมเหรอคะ กลัวเจ้านายพี่เค้าจะทวงเงินคืนหรือไง”
หทัยภัทรเอ่ยออกมาอย่างเหลืออด แม้ไม่รู้ว่าข้อเท็จจริงเรื่องเงินที่พฤกษ์หยิบยกขึ้นมากล่าวอ้างนั้นเป็นไปในทางใด หากแต่หญิงสาวก็ไม่อยากตัดประเด็นนี้ออก แม้จะไม่ช่วยให้ข้อสงสัยในใจหายไปอย่างหมดสิ้นแต่อย่างน้อยการเหวี่ยงแหก็น่าจะให้ผลอะไรบ้าง
“เปล่าหรอก ถ้าแกโผล่มาแม่ก็ตกใจน่ะสิ เพราะฉันบอกว่าแกไปดูงานที่เชียงใหม่กับเจ้านาย”
“คะ? ทำไมพี่บอกกับแม่อย่างนั้นล่ะ”
“ก็เพราะฉันรู้น่ะสิว่าคุณพฤกษ์ไม่มีทางปล่อยให้แกกลับมาเหมือนครั้งก่อน ๆ แน่นอน”
หทัยภัทรตัวชาด้วยความตะลึง ก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงต่ำด้วยความเจ็บใจ
“ตกลงว่าพี่วินรับเงินของคุณพฤกษ์ไปจริง ๆ ใช่ไหม เท่าไหร่?”
“แกไม่ต้องห่วงแม่นะหลิว รับรองว่าพี่จะดูแลอย่างดี ส่วนคุณพฤกษ์น่ะมั่นใจได้ว่าเขาเป็นคนดี ทำตัวดี ๆ ให้เขารักและเอ็นดูเข้าเถอะ แล้วแกจะสบายไปทั้งชาติ”
“หลิวถามว่าเท่าไหร่!”
เมื่อคนเป็นพี่ชายคอยแต่จะพูดออกนอกเรื่อง หทัยภัทรจึงแผดเสียงถาม ซึ่งความสั่นเครือคงสะกิดความรู้สึกคนฟังอยู่บ้าง เพราะเขาดูเหมือนจะเงียบงันไปเช่นกัน
“แม่...แม่...ยายหลิวโทร.มา”
ขณะที่หทัยภัทรกำลังรอฟังคำตอบจากปลายสายอย่างใจจดใจจ่อ แต่แทนที่เธอจะได้รู้ยอดเงินที่นายวิภาตรับไปจากพฤกษ์ เธอกลับได้ยินเสียงเขาตะโกนแว่ว ๆ มาให้ได้ยินและนั่นก็สร้างความโกรธเคืองให้แก่หญิงสาวจนน้ำตาซึม
“หลิวเหรอลูก เป็นยังไงบ้าง เชียงใหม่อากาศดีไหม”
แม้จะโกรธจนตัวสั่น ทว่าพอได้ยินน้ำเสียงห่วงใยของคุณอมราดังมาตามสาย หทัยภัทรก็จำต้องพยายามข่มจิตข่มใจระงับความโกรธ และจากที่เคยคิดว่าต้องกลับบ้านให้ได้ วินาทีนี้เธอกลับไม่ได้นึกถึงมันเลยแม้แต่น้อย
“คะ...ก็...ดีค่ะแม่ อากาศเย็นสบายดี”
“เรานี่มันก็น่าตีจริง ๆ นะ จะไปทำงานไกลถึงเชียงใหม่ตั้งอาทิตย์หนึ่ง ทำไมไม่รู้จักจะบอกแม่ให้รู้”
“ก็...หลิวไม่อยากให้แม่เป็นห่วงนี่ค่ะ เพราะถ้าบอกล่วงหน้า แม่ก็จะเป็นกังวล”
“แล้วไอ้ที่ไปแบบปุบปับอย่างนี้ ไม่คิดว่าแม่จะยิ่งห่วงหรือไง ลูกหนอลูก”
คำรำพึงของคุณอมราที่ดังมาตามสายประกอบกับน้ำเสียงอ่อนโยนนั้น ปลุกให้หทัยภัทรถึงกับนัยน์ตาฝ้าฟาง หากต้องแลกสุขภาพและความเครียดของมารดากับการต้องระหกระเหินไปกับพฤกษ์ เธอก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องลังเล
“แม่ไม่ต้องห่วงนะคะ หลิวมาทำงาน กับเจ้านาย หลิวจะรีบทำงานแล้วจะรีบกลับนะคะ”
“มันจะรีบไปรีบกลับได้ยังไงล่ะลูกเอ๋ย ไปทำงานนะ ไม่ได้ไปเที่ยว”
คนเป็นแม่ยังพยายามบอกออกมาให้รู้ว่านางเข้าใจในภาระรับผิดชอบของลูกสาว การเฝ้าบอกตัวเองว่าแม้จะสุขภาพไม่ดี แต่ก็ไม่ปรารถนาจะเป็นอุปสรรคต่อการทำงานของลูก ๆ ฉะนั้นยามนี้คุณอมราจึงหยุดพร่ำรำพันและติติงลูกสาว ด้วยไม่อยากให้ฝ่ายนั้นเป็นกังวลเช่นเดียวกับนาง
“ไม่ต้องห่วงแม่หรอกลูก พี่เขาอยู่ด้วยเพราะกลับเข้ามาทำงานในกรุงเทพพอดี ตั้งใจทำงานก็แล้วกันนะ”
หทัยภัทรกลืนน้ำลายให้กับคำพูดของแม่ แม้จะนึกโกรธในตัวพี่ชายท่วมท้น แต่ก็ยังดีที่ฝ่ายนั้นมีสำนึกกลับไปอยู่เป็นเพื่อนแม่ให้เธอคลายความกังวลใจลง
“ค่ะ แม่ก็...ดูแลสุขภาพนะคะ แล้วหลิวจะโทร.มาบ่อย ๆ”
“จ๊ะลูก”
“สวัสดีค่ะแม่”
เมื่อรอจนปลายสายเงียบไปแล้ว หทัยภัทรก็เก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋า ความสับสนใจที่มีบวกกับความขุ่นเคืองผิดหวังในตัวพี่ชาย ทำให้ต้องทรุดตัวลงนั่งบนพื้น ปล่อยน้ำตาที่พยายามกักเก็บไหลรินอยู่เงียบ ๆ
“อีกครึ่งชั่วโมงต้องออกเดินทางแล้ว ไปล้างหน้าล้างตาเสียเถอะ”
เพราะปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความสับสนในชีวิต หทัยภัทรจึงไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของพฤกษ์ที่มาหยุดยืนอยู่ใกล้ ๆ จนกระทั่งเขาคุกเข่าลงข้าง ๆ เธอจึงตกใจเงยหน้าขึ้นมอง
แพขนตาที่ฉ่ำพร่างไปด้วยหยาดน้ำใสกระพริบปริบ ๆ หวังขับไล่ให้มันจางหาย ทว่ายิ่งพยายาม มันกลับยิ่งนองเอ่อ
“ร้องไห้ทำไม”
เสียงเอ่ยถามแบบไม่ชอบใจนักของพฤกษ์ ทำให้หทัยภัทรรีบกรีดน้ำตาทิ้ง หากแต่นั่นก็ไม่อาจเปลี่ยนความเข้าใจของเขาได้อีกแล้ว
“ร้องเพราะอะไร เพราะมีพี่ชายเลว รึเพราะต้องอยู่กับผม”
“เปล่า...ไม่เกี่ยวกับคุณ”
หทัยภัทรเถียงพลางพยายามลุกขึ้นหวังจะเลี่ยงไปเสียจากคนที่เธอไม่ปรารถนาให้เขาเห็นน้ำตา ยามนี้เธอเชื่อแล้วว่าพฤกษ์ให้เงินแก่นายวิภาตไปจริง ๆ และฝ่ายนั้นก็ทำตัวได้สมกับคำที่เขาเลือกใช้ จนคนเป็นน้องสาวอย่างเธอพูดอะไรไม่ออกด้วยเจ็บจี้ดไปทั้งใจ
“งั้นก็อย่ามาทำให้ผมเห็น”
“เท่าไหร่คะ พี่วินเอาเงินของคุณไปเท่าไหร่ หรือคุณทำหูทวนลมไม่สนใจคำร้องขอของฉันแล้วควักเงินให้พี่วินไปกี่บาท”
คนที่ยืนหันหลังให้เอ่ยถามเสียงเครือ พฤกษ์ที่กำลังจะเดินกลับไปเก็บเสื้อผ้าลงกระเป๋าชะงักกึก ก่อนจะหันกลับไปหาเธอดังเดิมอีกหน
“คุณจะรู้ไปทำไม”
การถูกคนตัวเล็กตำหนิ ทั้ง ๆ ที่พยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ปลุกความขุ่นใจของพฤกษ์ให้ก่อตัว เขาเอ่ยถามเสียงห้วน มองคนที่พยายามปิดบังหยาดน้ำตาของตนเองด้วยความไม่ชอบใจ
“ฉันก็จะได้รู้ว่าต้องหาเงินมาคืนคุณกี่บาท เป็นเงินต้นกี่บาทและดอกเบี้ยกี่บาทน่ะสิ”
พฤกษ์ขมวดคิ้วหนาเข้าหากัน และแม้จะพยายามเข้าใจหญิงสาวตรงหน้าให้มากที่สุดแล้ว ทว่าความถือดีของเธอก็ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะเหน็บแนมด้วยคำพูดบาดใจคนฟัง
“มีเสี่ยหื่นกามคนไหนยินดีให้ยืมเงินมาใช้คืนผมงั้นเหรอ”
บรรยากาศรอบข้างเงียบงันไปชั่วอึดใจ และกว่าที่พฤกษ์จะรู้ตัวว่าตนได้หลุดคำพูดทิ่มแทงความรู้สึกคนฟังออกไป คนที่พยายามกลั้นน้ำตาตัวเองเอาไว้ก็เอ่ยออกมาเสียงเครือก่อนจะปล่อยให้ทำนบพังอย่างไม่คิดจะปิดบังอีกต่อไป
“เพราะรู้ว่าฉันกับพี่วินไม่มีปัญญาหาเงินมาใช้คืนคุณเหรอคะ คุณถึงทำแบบนี้ทั้ง ๆ ที่ฉันขอร้องคุณแล้ว ฮือ...”
พฤกษ์มองท่าทีของหญิงสาวด้วยความอ่อนใจ ก่อนจะตีหน้าขรึมแล้วเอ่ยบอกในสิ่งที่เขาคิดว่ามองไม่พลาด
“เพราะผมรู้ว่าพี่ชายคุณจะไม่มีวันหยุดน่ะสิ ผมถึงต้องทำแบบนี้”
“ด้วยการทำลายฉันทั้ง ๆ ที่ฉันไม่มีทางสู้งั้นเหรอ ถึงฉันจะไม่รู้ว่ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง แต่มันสมควรที่คุณจะทำกับฉันแบบนั้นไหม หึ...งั้นตอนนี้คุณก็รู้เอาไว้เสียด้วยสิว่าตัวเองก็ไม่ได้ต่างจากพวกเสี่ยที่คุณว่าเหมือนกัน”
หทัยภัทรบริภาษเขาทั้งน้ำตา ท่าทางฟูมฟายของเธอทำให้พฤกษ์ถึงกับถอนหายใจด้วยความอึดอัด เขาสาวเท้าเข้าไปประชิดร่างบางที่ยืนเบียดตัวเองกับฝาผนัง ก่อนจะยกมือขึ้นเท้าผนังกักคนที่ยังปล่อยน้ำตาไหลพรากพลางเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ถ้าคุณทำตัวให้ต่างจากผู้หญิงทั่วไป คุณก็จะได้รู้เองว่าผมต่างจากผู้ชายคนอื่นยังไง ผมจะออกไปกินกาแฟรอ เสร็จแล้วให้ตามไป”
แม้ไม่ได้ยินคำตอบรับหรือปฏิเสธดังมาจากหญิงสาว หากแต่พฤกษ์ก็ถือว่าเขาได้บอกแล้ว คำพูดของเขาจะศักดิ์สิทธิ์พอ ๆ กับคำสั่ง ฉะนั้นเมื่อพูดจบเขาจึงพาร่างสูงหายลับออกไปจากห้องทันที แม้จะทั้งสงสารและปรารถนาดี หากแต่อารมณ์ที่ขุ่นมัวของเขาก็สั่งให้ทิ้งทุกอย่างเอาไว้เพียงเท่านี้
บุษบาฮาวาย
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 มี.ค. 2556, 18:32:37 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 มี.ค. 2556, 18:32:37 น.
จำนวนการเข้าชม : 2104
<< ตอนที่ 13 | ตอนที่ 15 >> |
mhengjhy 19 มี.ค. 2556, 19:30:17 น.
ใจเย็นค่ะ คุณพฤกษ์
ใจเย็นค่ะ คุณพฤกษ์
Pat 19 มี.ค. 2556, 21:11:36 น.
คุณพฤกษ์อย่าเคืองหลิวเลย แค่นี้ก็สับสน เสียใจกะพี่ชายมากพออยู่แล้ว
คุณพฤกษ์อย่าเคืองหลิวเลย แค่นี้ก็สับสน เสียใจกะพี่ชายมากพออยู่แล้ว
ผักหวาน 20 มี.ค. 2556, 12:43:35 น.
ตอนนี้หลิวยังไม่รู้ว่าใครเป็นยังไง โดยเฉพาะคุณพฤกษ์ ให้เวลาหน่อยนะคะ
ตอนนี้หลิวยังไม่รู้ว่าใครเป็นยังไง โดยเฉพาะคุณพฤกษ์ ให้เวลาหน่อยนะคะ
supayalak 20 มี.ค. 2556, 14:52:40 น.
ถ้าคุณทำตัวให้ต่างจากผู้หญิงทั่วไป คุณก็จะได้รู้เองว่าผมต่างจากผู้ชายอื่นยังไง อัยยยยะ วลีโดนใจวันนี้ โดนค่ะโดน
ถ้าคุณทำตัวให้ต่างจากผู้หญิงทั่วไป คุณก็จะได้รู้เองว่าผมต่างจากผู้ชายอื่นยังไง อัยยยยะ วลีโดนใจวันนี้ โดนค่ะโดน
bloomberg 20 มี.ค. 2556, 15:56:35 น.
ต่างคนต่างก็มีเหตุผลของตัว แต่แรงพอพอกัน สมน้ำสมเนื้อดี
ต่างคนต่างก็มีเหตุผลของตัว แต่แรงพอพอกัน สมน้ำสมเนื้อดี