เล่ห์รักเล่ห์เสน่หา
เล่ห์เหลี่ยมมีไว้ใช้กับคนรอบกาย
แต่หัวใจ...ใช้เพียงเล่ห์รักเท่านั้น
Tags: พฤกษ์ หทัยภัทร บุษบาฮาวาย

ตอน: ตอนที่ 15

สวัสดีปีใหม่ไทยค่ะ (ถึงจะช้าไป 2 วันแต่ก็ยังไม่ตกเทรนด์นะคะ ^^) เราเอาใจคนที่ไม่ได้ออกไปเที่ยวเล่นสาดน้ำ ด้วยการอัพนิยายดีกว่า ขอให้มีความสุข สนุกสนานกันกับเทศกาลแห่งความชุ่มฉ่ำและมีความสุขกับนิยายนะคะ


ตอนที่ 15

หทัยภัทรจำเป็นต้องเดินทางไปกับพฤกษ์ด้วยไม่รู้ว่าจะใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพได้อย่างไร จริงอยู่ที่สามารถหมกตัวทำงานอยู่แต่ในโรงแรมจนกว่าจะถึงเวลากลับเข้าบ้านตามที่คนเป็นพี่ชายกล่าวอ้าง แต่คนที่กำลังขับรถอย่างตั้งใจอยู่ในขณะนี้น่ะสิที่ไม่คิดแม้แต่จะสนใจรับฟัง ด้วยเอาแต่ออกคำสั่งเพียงอย่างเดียว

หญิงสาวยังคงอยู่ในเสื้อผ้าชุดเดิมที่ใส่นอนคุดคู้บนเก้าอี้นวมมาร่วม 3 ชั่วโมงนั้น กางเกงเลขายาวที่ต้องพับขึ้นหลายตลบกับเสื้อยืดสีดำตัวโคร่ง ถูกปิดบังเอาไว้ด้วยเสื้อแจ็คเก็ตที่ยิ่งโคร่งกว่า แต่เพราะอากาศยามเช้าที่ยังเย็นสบาย บวกกับผลพวงจากเครื่องปรับอากาศในรถยนต์ ทำให้สามารถนั่งมาแบบไม่ลำบากลำบนนัก

หทัยภัทรไม่ถามว่าเขาจะไปทำอะไรที่ไหน แต่เพราะเขาอ้างเรื่องงาน เธอก็ขอเดาเอาไว้ว่าน่าจะไม่พ้นเรื่องก่อสร้าง เพราะการมีพี่ชายทำงานที่นี่มานาน เธอจึงพอจะรู้อยู่บ้างว่าบริษัทของพฤกษ์ประกอบกิจการอะไร

ทางด้านของพฤกษ์ หลังจากได้เห็นหญิงสาวร้องไห้น้ำตาร่วงมาตั้งแต่ตื่นนอนและเขาเองก็รู้ตัวว่าหลุดคำพูดรุนแรงออกไป ทำให้ยามนี้แม้จะนั่งมาในรถด้วยกันร่วมสองชั่วโมง เขาจึงได้แต่ทุ่มความสนใจให้ท้องถนนเบื้องหน้าโดยไม่คิดจะเอ่ยคำพูดอะไรออกมา เกรงจะไปกระทบจิตใจคนฟังอีก กระทั่งรถเลี้ยวเข้าไปจอดในปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง

“มาได้ครึ่งทางแล้ว ลงไปเข้าห้องน้ำก่อน”

ประตูรถฝั่งที่หทัยภัทรนั่งอยู่ถูกเปิดออกพร้อมคำพูดที่ดังมาจากคนตัวโต หญิงสาวอยากปฏิเสธ แต่พอได้รู้ว่าต้องใช้เวลาเดินทางต่อไปอีกเท่าตัว ทำให้จำเป็นต้องขยับกายลงจากรถ

แดดอ่อน ๆ ยามเท้าที่ทอแสงมาเผยให้เห็นเสื้อผ้าหลวมโพรกบนเรือนร่างบอบบาง หทัยภัทรรู้สึกอึดอัดใจกับสภาพของตัวเอง เพราะแม้เธอจะพยายามทำให้มันเข้ากับรูปร่างมากที่สุด แต่มองปราดเดียวก็รู้ว่ายังไงก็ไม่เข้ากัน พฤกษ์เองก็คงเห็นถึงความรู้สึกนั้นของเธอ เขาจึงบอกออกมาเบา ๆ

“ไม่ต้องกังวลไปหรอกเพราะเช้า ๆ อย่างนี้คนที่รู้จักคุณคงไม่มาเดินอยู่แถวนี้”

ตาโตตวัดมองคนพูดอย่างนึกเคือง ความหมายแห่งคำพูดนั้นน่ะไม่เท่าไหร่ แต่เป็นรอยยิ้มอันส่อไปในทางขบขันที่ฉาบอยู่บนใบหน้าของเขาตอนนี้ต่างหากที่ทำให้นึกไม่ชอบใจ

“คุณคิดผิดแล้วค่ะ”

คำปฏิเสธของหญิงสาว ทำให้คิ้วหนาของพฤกษ์เลิกขึ้นด้วยความแปลกใจ ก็เขาเห็นเธอทำท่าประดักประเดิดกับเสื้อผ้าอันรุ่มร่ามเหล่านั้นอยู่แท้ ๆ นี่นา

“ผิดเหรอ ผิดตรงไหน”

“ก็ผิดตรงที่คุณกลัวว่าฉันจะอับอายถ้าได้เจอคนรู้จักน่ะสิ”

“แล้วท่าทางแบบนี้ของคุณไม่ได้แปลว่าอึดอัดใจหรือไง”

คนที่เดินอยู่ข้าง ๆ เอ่ยถาม ก่อนจะชะงักเท้าพร้อมกับรอยยิ้มที่ระบายอยู่ทั่วหน้าเมื่อครู่ก็หุบฉับลง เมื่อได้ยินคำพูดของคนตัวเล็ก

“ฉันกำลังภาวนาให้เจอคนรู้จักค่ะ เพราะเวลาหายสาบสูญก็ยังพอจะมีคนเห็น ไม่ได้หายไปแบบไร้ร่องรอย”

“แล้วคิดเหรอว่าเห็นแล้วจะช่วยอะไรได้”

น้ำเสียงของพฤกษ์ฟังดูเข้มขึ้น แม้จะเฝ้าบอกตัวเองอยู่หลายตลบว่าต้องใช้เวลานานกว่าหทัยภัทรจะเข้าใจในสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ ทว่าพอได้เห็นท่าทีถือดีของเธอ เขาก็เผลอตัวหลุดความไม่ชอบใจออกมาทุกที

“อย่าคิดว่าผมจะยอมให้ใครมาแตะต้องคุณ คุณเป็นเมียผมแล้วนะ อย่าให้ต้องย้ำบ่อย ๆ สิ”

ตาโตเบิกกว้างด้วยความตะลึงในคำพูดของพฤกษ์ ก่อนจะปรามเขาเสียงขุ่นด้วยไม่อยากยอมรับในสิ่งที่เธอไม่รู้เรื่องรู้ราวนั้น

“กรุณาอย่าพูดแบบนี้นะ ฉันไม่ได้มีอะไรกับคุณ”

“ชู่ว์...อย่าหลับหูหลับตาเถียงเลย มันไม่เกิดประโยชน์หรอก”

พฤกษ์ตัดบทเพราะท่าทีมุ่งมั่นและมั่นใจของหทัยภัทร ทำให้เขาไม่อยากต่อกรด้วย ดีไม่ดีจะเพลี่ยงพล้ำเผยไต๋ออกมาด้วยความโมโห เรื่องมันจะเข้าตาจนเอา

“ก็มันเรื่องจริง”

“จะหลอกตัวเองไปถึงไหนกันเล่า ผมเป็นคนเดียวที่อยู่กับคุณทั้งคืน ถ้าคุณไม่เชื่อผมแล้วจะเชื่อใคร หรือจะลองถามชานนดู อืม...ก็ไม่แน่นะบางทีเขาอาจจะได้ยินเสียงคุณร้องครวญคราง”

“บ้า”

หทัยภัทรบริภาษออกมาใบหน้าเรียวร้อนฉ่า แม้ไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาพูดจะใช่ความจริงทั้งหมดหรือไม่ ทว่าสิ่งที่ได้ยินช่างชวนให้ความรู้สึกอับอายวิ่งพล่านเสียเหลือเกิน

“เอาล่ะหยุดพูดเรื่องนี้ก่อน เพราะผมยังมีเวลาทวนความจำให้คุณอีกเยอะแยะ ส่วนเรื่องเสื้อผ้าถ้าไปถึงแล้วจะพาไปหาซื้อ ทนใส่ชุดนี้ไปอีกสักพัก”

แล้วหทัยภัทรก็พูดอะไรไม่ออก เพราะต่อให้เธอจะพยายามแสดงท่าทีขัดอกขัดใจออกมาให้เขารู้ แต่พฤกษ์ก็ยังคงทำเป็นไม่ยี่หระแถมหยิบยื่นน้ำใจให้อย่างผู้มีชัยอีกด้วย



เวลา 9 นาฬิกาเศษ รถเก๋งคันใหญ่ของพฤกษ์ก็แล่นเข้าสู่ตัวเมืองที่ร้านรวงเริ่มเปิดกิจการ เขาพาหทัยภัทรแวะซื้อเสื้อผ้ารวมถึงรับประทานอาหารเช้า ก่อนจะมุ่งหน้าตรงดิ่งไปยังสถานที่ก่อสร้างอาคารคลังสินค้า แม้จะนึกกังวลว่าเธอจะสามารถอยู่ที่นั่นได้หรือไม่ แต่เมื่อคิดว่าเขาอยู่ที่ไหนเธอก็ต้องอยู่ที่นั่นด้วยกัน ความวิตกของพฤกษ์จึงค่อยคลายลง

ภาพของลานกว้างที่เริ่มก่อสร้างไปแล้วเกือบ 40 เปอร์เซ็นต์ มีวัสดุวางกองกระจัดกระจายและคนงานกำลังทำงานกันอย่างขมีขมัน ทำให้หทัยภัทรมองอย่างตื่นตา ยามหน้าประตูหันมาโค้งคำนับแล้วยกที่กั้นขึ้นเปิดทางให้พฤกษ์พารถแล่นผ่านเข้าไปอย่างช้า ๆ

“เฮ้ย ทำไมมาไวจัง”

เสียงทักจากใครบางคนที่โผล่หน้าออกมาจากประตูของกล่องสี่เหลี่ยมซึ่งดัดแปลงมาจากตู้คอนเทนเนอร์ ภายหลังจากที่รถของพฤกษ์จอดสนิทลงตรงหน้า ทำให้หทัยภัทรซึ่งกำลังเตรียมตัวลงจากรถ ถึงกับชะงักไป

“คุณคอยอยู่ในนี้ก่อนนะ อย่าเพิ่งลงไป”

พฤกษ์เอ่ยบอกสั้น ๆ ก่อนจะเปิดประตูรถแล้วก้าวยาว ๆ ตามร่างของชายคนนั้นเข้าไปภายใน

“เรื่องเล็กแค่นี้ ทำเอานอนไม่หลับจนต้องออกจากกรุงเทพแต่ไก่โห่เลยเหรอ”

ดิษย์เอ่ยถามเมื่อเห็นเพื่อนรีบเดินตามเข้ามาในทันทีที่ลงจากรถได้ และเพราะรถของเขาติดฟิล์มกรองแสงเสียมืดสนิท ทำให้เห็นคนนั่งเพียงราง ๆ และนั่นก็ทำให้เข้าใจว่าเป็นชานนมากกว่าจะคิดว่าเป็นคนอื่น

“หมอนั่นเป็นอะไร นอกจากจะปล่อยให้เจ้านายขับรถเองแล้ว ป่านนี้ทำไมยังไม่ยอมลงมาสักที”

“นายหมายถึงชานนหรือเปล่า”

“จะให้หมายความถึงใครอีกล่ะ ก็เห็นไปไหนกันสองคนตลอดนี่”

“เปล่า วันนี้ชานนไม่ได้มา”

“หืม...”

“ฉันให้อยู่ที่บริษัทรอนาย”

ดิษย์หันขวับมาเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ ก่อนจะเยี่ยมหน้าไปเขม้นมองผ่านฟิล์มกรองแสงอีกหนแล้วหันกลับมาถาม

“แล้วนายพาใครมาด้วย”

“น้องสาวนายวิภาต”

“หา...พามาด้วยกันเนี่ยนะ”

เสียงอุทานบวกกับคำถามของดิษย์ที่ดังมาประหนึ่งไม่อยากจะเชื่อ ปลุกให้ความรู้สึกอึดอัดใจของพฤกษ์เริ่มก่อตัว ยิ่งได้เห็นสายตาของเพื่อนมองมาอย่างค้นคว้า เขาจึงไม่รอช้าที่จะอธิบาย

“ดิษย์ นายฟังฉันนะ มันมีเหตุจำเป็นต้องทำแบบนี้ เอาไว้มีเวลาพอฉันจะเล่าให้นายฟัง”

นั่นเป็นแค่การเกริ่นให้รู้เพียงคร่าว ๆ ป้องกันการตกใจของเพื่อนที่จู่ ๆ ก็เห็นเขาพาหญิงสาวคนหนึ่งติดสอยห้อยตามมาด้วยเท่านั้น เพราะพอพูดจบ พฤกษ์ก็เดินกลับออกไปเพื่อดับเครื่องยนต์พร้อมกับเปิดประตูให้เพื่อนร่วมทางของเขาตามลงมา

“ดิษย์นี่คุณหทัยภัทร”

“สวัสดีครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

เพียงครู่ พฤกษ์ก็เอ่ยปากแนะนำหญิงสาวเรือนร่างบอบบางคนหนึ่งให้เขาได้รู้จัก ใบหน้าอันหมดจดสดใสของเธอที่เงยขึ้นมาภายหลังค้อมศีรษะลงไหว้ทักทาย ทำให้คนเป็นเพื่อนอดไม่ได้ที่จะลอบมองดูอย่างพิจารณา

“อะแฮ่ม ส่วนนี่นายดิษย์ เพื่อนผม เราเป็นหุ้นส่วนกัน”

“สวัสดีค่ะ”

แม้จะเห็นเธอแต่งกายด้วยเสื้อผ้าคุ้นตาตัวโคร่ง ทว่าปากอิ่มสีระเรื่อที่แย้มออกภายหลังเอ่ยคำทักทายชวนมอง ก็ทำให้ดิษย์ยอมเก็บความสงสัยของเขาเอาไว้ กระทั่งเห็นเพื่อนแบมือมาตรงหน้าแล้วเอ่ยบอกสั้น ๆ

“ขอกุญแจ”

“อ๋อ...เอ่อ ขอโทษที มีของมาเยอะไหม จะได้เรียกคนงานมาช่วยขน”

“ไม่เยอะ เดี๋ยวจัดการเอง”

“เพิ่งให้คนไปทำความสะอาดไว้ให้เมื่อคืน”

กุญแจดอกเล็กของประตูห้องพักถูกส่งมาให้พร้อมคำบอกเล่าของดิษย์ ที่พอรู้ว่าพฤกษ์จะมาดูงานในวันนี้ เขาก็สั่งคนงานหญิงให้เข้าไปปัดกวาดทำความสะอาดทันที

“ขอเก็บของแป๊บเดียว เดี๋ยวจะมาคุยเรื่องงาน”

“ตามสบายเลย ไม่ต้องรีบ”

น้ำเสียงที่ฟังดูคล้ายจะล้อเลียนอยู่ในที ทำให้คนที่กำลังจะเดินออกจากประตูตามเจ้าของร่างเล็กนั้นไป ต้องชะงักเท้าแล้วหันขวับมามอง

“ทำเสียงแบบนี้หมายความว่าไง?”

“ปล๊าว...ก็เห็นว่าเพิ่งมาถึงคงเหนื่อยอยากให้พักก่อน อย่าร้อนตัวน่า”

คราวนี้เสียงเย้าแหย่ในตอนท้ายพร้อมกิริยาหัวเราะหึ ๆ ของดิษย์ ก็ทำให้พฤกษ์มั่นใจว่าฝ่ายนั้นกำลังคิดอะไรไปไกล ร่างสูงสาวเท้าเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเพื่อนอีกหน พลางย้ำออกมาชัด ๆ

“ฉันไม่ได้ร้อนตัว และที่มาที่นี่ก็เพราะตั้งใจจะมาทำงานจริง ๆ”

“น้องสาวนายวิภาตนี่สวยเด็ดขาดไปเลยว่ะ ทำงานกับพี่ชายมาเป็น 10 ปี ทำไมไม่เคยเห็นหน้าน้องสาวของเขาสักครั้งนะ”

ดิษย์ทำหูทวนลมไม่สนใจต่อปากต่อคำกับคนเป็นเพื่อน ทว่ายังคงนึกนิยมในหญิงสาวที่เพิ่งได้เห็นหน้าเป็นครั้งแรกคนนั้น

“นายพาเธอมาด้วยแบบนี้ ลำบากลำบนตาย”

ดิษย์ยังคงเอ่ยออกมา ใคร ๆ ก็รู้ว่าบริเวณสถานที่ก่อสร้างนั้นหาความสะดวกสบายแทบไม่ได้ ยิ่งที่นี่เป็นกลางทุ่งนาบ้านนอกห่างตัวเมืองร่วม 20 กิโลเมตร ความรื่นรมย์ใด ๆ ก็ยิ่งไม่มี

“ไม่ลำบากหรอก ฉันอยู่ได้ เขาก็ต้องอยู่ให้ได้เหมือนกัน คนงานผู้หญิงของเราก็ยังอยู่กันได้”

“แต่นายก็ไม่ได้คิดจะพามาในฐานะคนงานหญิงไม่ใช่เหรอ”

แล้วพฤกษ์ก็พูดไม่ออก หทัยภัทรถูกพูดกรอกหูอยู่หลายครั้งว่าเธออยู่ในฐานะอะไรของเขา แม้จะไม่ยอมรับแต่เขาก็มั่นใจว่าเธอจะไม่ลืม หากแต่กับคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าในขณะนี้ คนที่แค่เขาอ้าปากฝ่ายนั้นก็เห็นถึงลิ้นไก่ เขาจะพูดออกไปเหมือนที่เคยบอกหญิงสาวได้อย่างไร

“ก็ไม่แน่ ถ้าจำเป็นเราก็อาจจะได้คนงานหญิงเพิ่มมาอีกสักคนมั้ง”

“เฮ้ย...”

เมื่อไม่รู้ว่าจะสรรหาคำพูดใด ๆ มาจาระไนให้เพื่อนฟัง พฤกษ์จึงได้แต่กล่าวทิ้งท้ายไว้เพียงแค่นั้น ก่อนจะส่ายหน้าให้กับเสียงอุทานของเพื่อนที่ดังมาตามหลังแล้วตรงดิ่งไปเปิดกระโปรงหลังรถหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าของตนเองรวมไปถึงถุงใส่เสื้อผ้าของหทัยภัทรที่เพิ่งซื้อมา ก่อนจะเดินนำเธอไปยังกล่องสี่เหลี่ยมอีกใบซึ่งอยู่ถัดไปใต้เงาไม้ใหญ่



หทัยภัทรยืนหันรีหันขวางอยู่กลางห้อง ขณะพฤกษ์กำลังวางกระเป๋าเสื้อผ้าและถุงหิ้วในมือลง แสงไฟที่สว่างวาบเผยให้เห็นโต๊ะทำงานและเก้าอี้ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับหน้าต่างกระจกบานเล็ก

“ถ้าไม่อยากเปิดแอร์ก็เปิดหน้าต่างได้”

เสียงของพฤกษ์เอ่ยบอก หทัยภัทรไม่ปฏิเสธว่าทุกอย่างในห้องยังเป็นระเบียบและสะอาดใช้ได้ หากแต่ความอับทึบของมันก็ชวนให้รู้สึกอึดอัด ฉะนั้นเธอจึงเลือกที่จะเอื้อมมือไปเปิดหน้าต่างแทนการเปิดเครื่องปรับอากาศเหมือนที่พฤกษ์บอก ทว่าแค่ผลักมันเพียงเบา ๆ บางอย่างสีเขียวสดก็หล่นปุลงบนกรอบหน้าต่าง

“วี้ด...”

เสียงกรีดร้องของหทัยภัทร ทำให้พฤกษ์กระโดดพรวดเดียวถึง สภาพหญิงสาวที่ขยับตัวเข้ามาหาอย่างหน้าตาตื่น ทำให้พฤกษ์ต้องเอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย

“มีอะไรเหรอ”

“งูค่ะ มันหล่นลงมา”

นิ้วเรียวชี้ไปยังหน้าต่างซึ่งเธอเพิ่งถอยออกห่างอย่างหวาด ๆ พฤกษ์ขยับไปเมียงมองก่อนจะเอ่ยถามเพราะว่าหากเป็นงูจริง ๆ มันก็คงไม่อยู่รอ

“แล้วเห็นไหม มันไปทางไหน”

“เลื้อยลงหน้าต่างไปแล้วค่ะ”

“ตัวใหญ่หรือเปล่า”

ร่างบางส่ายหน้า ก่อนจะต้องได้ค้อนควักเมื่อมีเสียงหัวเราะหึ ๆ ของพฤกษ์ดังแทรกขึ้นมา เขายังมีอารมณ์มาหัวเราะในขณะที่เธออกสั่นขวัญแขวนไม่หาย

“มันคงตกใจเสียงคุณจนเตลิดไปถึงไหนต่อไหนแล้ว”

“ถ้ามันมีอีกล่ะ”

น้ำเสียงที่ยังไม่คลายจากความวิตกกังวลดังขึ้น ขณะเจ้าตัวคว้าชายเสื้อของพฤกษ์เอาไว้แล้วค่อย ๆ เยี่ยมหน้าไปเมียงมองบ้าง ก่อนจะตกใจจนหวีดร้องออกมาอีกหน เมื่อได้ยินเสียงของคนข้างตัว

“งู!”

“วี้ด...”

“ฮ่า ๆ”

...พลั่ก...

“โอ๊ย...”

เสียงหัวเราะของพฤกษ์ที่ดังขึ้นเพราะสามารถหลอกหทัยภัทรให้ตกใจจนร้องกรี้ดได้สำเร็จ ถูกเปลี่ยนเป็นเสียงโอดโอยทันทีที่ถูกกำปั้นน้อย ๆ นั้นทุบลงบนสีข้างอย่างไม่ออมแรงนัก และพอเขาทำท่าจะเอาคืน เธอก็ถอยกรูดไปตั้งหลักเสียไกล

“ผมล้อเล่นแค่นี้ ทำไมต้องทุบแรงขนาดนั้นด้วย”

“ดีเท่าไหร่แล้วที่ฉันไม่ถือมีดไว้ในมือ”

“หืม...ถ้าถือมีดแล้วทำไม คุณจะเอามันจิ้มผมเหรอ”

“ใช่ แทงแบบไม่ยั้งด้วย ฉะนั้นถ้าไม่อยากเจ็บตัว คราวหน้าก็อย่าล้อเล่นแบบนี้อีก”

เสียงเธอขู่ฟ่อ ทำให้พฤกษ์ถึงกับก้มหน้าลงกระซิบถาม

“จะทำลงจริงเหรอ ไม่กลัวเป็นหม้ายสักนิดงั้นสิ”

คำถามพร้อมรอยยิ้มยั่วที่มุมปาก ทำให้หทัยภัทรทนมองไม่ได้ เธอจึงเบือนหน้าหนีอย่างเคือง ๆ

“งั้นก็ไม่ต้องเปิดหน้าต่างแล้ว”

ขาดคำเสียงเครื่องปรับอากาศก็ครางกระหึ่มขึ้น และพอเห็นพฤกษ์ดึงหน้าต่างบานนั้นให้ปิดลง หทัยภัทรก็ถึงกับลอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ

“เอาเสื้อผ้าของคุณออกมาจากถุงซะ เดี๋ยวผมจะให้คนงานผู้หญิงมาเอาไปซักให้”

“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันทำเองได้”

“จะทำเองแล้วรู้เหรอว่าอะไรอยู่ตรงไหน บอกก่อนว่าผมไม่มีให้หรอกนะไอ้กาละมังกับผงซักฟอกน่ะ”

ดูเหมือนคำพูดของหทัยภัทรจะเป็นที่ขัดใจของคนฟังไม่น้อย ดังนั้นคำพูดที่เขาตอบกลับมา จึงไม่สบอารมณ์คนฟังที่ปรารถนาจะช่วยเหลือตัวเองโดยไม่รบกวนใครอย่างหทัยภัทร ทว่าพอเธอปิดปากเงียบไม่ตอบ พฤกษ์ก็เป็นฝ่ายใจอ่อนเสียเอง

“ถึงจะมีถังน้ำให้คนงานใช้สำหรับอาบและซักล้างอยู่หลายจุด แต่พวกเขาก็ใช้ร่วมกันทั้งผู้หญิงผู้ชาย คุณเป็นคนแปลกหน้าสำหรับที่นี่และยังไม่มีใครรู้จักนอกจากผมกับนายดิษย์ ผมไม่อยากให้เกิดปัญหา”

“แต่มันก็เป็นเวลาทำงานแล้ว คงไม่มีใครอู้งานและหลงมาเดินอยู่แถวนี้”

เธอให้ความเห็น ก่อนจะยอมตามที่พฤกษ์ว่าอย่างเสียไม่ได้ เพราะนอกจากเขาจะไม่สนใจในคำพูดของเธอแล้ว สายตาคู่คมยังมองมาแบบตำหนิในความดื้อดึงของเธออีกด้วย

“เชื่อผม อีกเดี๋ยวผมจะไปคุยงานกับนายดิษย์แล้วก็ลงไปที่หน้างาน ไม่มีเวลาอยู่ดูแลคุณ เพราะฉะนั้นอย่าดื้อ”

ฝ่ามือใหญ่วางลงบนศีรษะของหทัยภัทรแล้วโยกไปมาเบา ๆ ราวกับเห็นเธอเป็นเพียงเด็กเล็ก ๆ ที่พูดไม่รู้เรื่องสักคนหนึ่ง ก่อนจะหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าของเขาหายลับไปหลังฉากไม้ซึ่งก็ไม่ได้แน่นหนามิดชิดนัก เพราะแม้จะตั้งใจกั้นเตียงนอนให้เป็นสัดเป็นส่วน แต่ส่วนปลายของมันก็ยังโผล่ออกมาให้เห็นอยู่ดี

“มีอะไรก็กดโทรศัพท์หาผมนะ ยังจำเบอร์ได้อยู่อีกไหม”

ครู่หนึ่งพฤกษ์ก็สาวเท้ามาหยุดยืนอยู่ข้าง ๆ ร่างบางซึ่งกำลังทยอยหยิบเสื้อผ้าออกจากถุงใบโต พอได้เห็นมือเรียวชะงักไปนิดหนึ่งก่อนจะส่ายหน้า เขาจึงเดินเลยไปเขียนอะไรขยุกขยิกลงบนโต๊ะทำงาน

“ผมจดไว้บนนี้นะ อ้อ...ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าออกไปข้างนอก อยู่แต่ในนี้ก็พอ”

“ค่ะ”

“เดี๋ยวผมจะไปตามคนมาเอาผ้าของคุณไปซักให้”

พฤกษ์บอกพลางหยิบเสื้อแจ็คเก็ตตัวเดียวกันกับที่เธอสวมมาตั้งแต่ออกจากคอนโดและตอนนี้มันถูกถอดแล้วพาดอยู่กับพนักเก้าอี้ขึ้นสวม ก่อนจะเปิดประตูออกไปจากห้องสี่เหลี่ยมแห่งนั้น

ทางด้านของหทัยภัทร แม้พฤกษ์จะสั่งนักสั่งหนาว่าให้อยู่แต่ในห้อง ทว่าพอมีคนงานหญิงคนหนึ่งมาเคาะประตูเพื่อรับเสื้อผ้าไปทำความสะอาดให้ เธอก็หันซ้ายหันขวาและถือวิสาสะเดินตามไปหน้าตาเฉย























บุษบาฮาวาย
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 เม.ย. 2556, 14:38:37 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 เม.ย. 2556, 14:38:37 น.

จำนวนการเข้าชม : 1961





<< ตอนที่ 14   ตอนที่ 16 >>
mhengjhy 15 เม.ย. 2556, 17:23:01 น.
อ้าว ซนเลย เดี๋ยวก็เกิดเรื่องหรอก


วนัน 16 เม.ย. 2556, 13:29:37 น.
มาต่อคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account