บ่วงรักแรงอธิษฐาน
รักในปัจจุบันผูกพันกับรักที่ปวดร้าวในอดีตชาติ
คำอธิษฐานและบุพเพสันนิวาสนำเขาและเธอกลับมาพบกันอีกครั้ง
แต่จะทำเช่นไรเมื่อหนึ่งคือเพื่อนรักที่ยอมสละชีพเพื่อเราและหนึ่งคือยอดดวงใจที่เฝ้ารักเฝ้ารอมาหลายภพชาติ
Tags: ย้อนอดีต ระลึกชาติ บุพเพสันนิวาส

ตอน: ตอนที่ 16 เสียงเรียกร้องของหัวใจ


“คุณแม่...”
หญิงสาวซบหน้ากับอกผู้เป็นแม่ร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างสุดกลั้น ห้องนอนที่เคยเป็นที่ที่สบายใจที่สุด แต่บัดนี้กลับร้อนรุ่มเหมือนอยู่ในหุบเหวนรก เปลวเพลิงที่ร้อนระอุสุมหัวใจดวงน้อยให้เจ็บร้อนจนเกินทน เจ้าคุณพ่อที่ใจดีกับทุกคนและรักเนื้ออ่อนที่สุดตอนนี้กลายเป็นคนไม่มีเหตุผล เอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ ไม่ฟังใคร และยังลงโทษคนที่ไม่มีความผิดอะไรอย่างเกินกว่าเหตุ โบยด้วยแส้หวายขนาดหัวแม่มือตั้งยี่สิบไม้ ต่อให้แข็งแรงและหนังหนาเป็นควายก็คง....

“พี่กล้า.....เนื้ออ่อนขอโทษ” นึกถึงสิ่งที่พี่กล้าต้องเผชิญแล้วมันเจ็บปวดไปทั้งหัวใจ สะอื้นฮักๆ เนื้อตัวสั่นเทิ้มพูดพร่ำรำพันไม่เป็นภาษา คุณหญิงรำไพกอดลูกสาวเอาไว้แน่นสงสารจับใจ รู้ว่าเด็กๆ ไม่ได้มีเจตนาจะทำให้ไม่สบายใจ รู้ว่าทุกอย่างเป็นอุบัติเหตุและความแปรปรวนของดินฟ้าอากาศก็ไม่ใช่สิ่งที่จะไปห้ามไม่ให้เกิดขึ้นได้ แต่ก็รู้อีกเช่นกันว่าคนเป็นพ่อกำลังรู้สึกเช่นไร จากนิสัยใจคอที่เรียนรู้กันมากว่ายี่สิบปีทำให้รู้ว่า เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่ใครจะไปออกรับแทนใครได้ทั้งนั้น คงต้องรอให้เวลาผ่านพ้นไปก่อนสักพัก แล้วค่อยหาทางเยียวยาบาดแผลให้กับทุกคน ถึงอย่างไรคุณหญิงรำไพก็เชื่อว่าลูกผู้ชายอย่างกล้าเข้มแข็งและอดทนพอ และด้วยความรักเคารพในท่านเจ้าคุณ กล้าคงจะไม่ถือโทษโกรธเคือง

ผ้าม่านสีชมพูพลิ้วไหวเพราะลมเย็นที่พัดวูบเข้ามาทางหน้าต่าง หญิงสาวสะดุ้งตื่นจากการหลับใหล คราบน้ำตาที่เพิ่งแห้งไปเมื่อไม่นานยังปรากฏที่สองแก้ม หมอนใบโตที่เคยหนุนนอนอบอุ่นนุ่มสบายกลับหยาบกระด้างไม่น่าสัมผัสดังเช่นที่ผ่านมา ห้องสี่เหลี่ยมที่เคยรู้สึกกว้างขวางโล่งสบายกลับคับแคบและอึดอัดเกินจะทนอยู่ คุณแม่คงออกไปเมื่อเห็นว่าเนื้ออ่อนผล็อยหลับไปแล้ว

“พี่กล้า!” สิ่งแรกที่ผุดวาบเข้ามาในสมองของเนื้ออ่อนคืออยากรู้ว่าพี่กล้าเป็นอย่างไรบ้าง ร่างบางผลุนผลันลุกจากที่นอนแต่ความกลัวก็ทำให้ต้องชะงักเท้าชั่วครู่ มือเรียวค้างอยู่ที่ดานประตู สิ่งที่เกิดขึ้นกับพี่กล้านั้นเป็นความผิดจากความไม่รู้กาลเทศของเนื้ออ่อน เนื้ออ่อนจะกล้ามองหน้าพี่กล้าได้ยังไง น้ำใสๆ เอ่อล้นที่ดวงตาอีกครั้ง แต่ไม่รู้ละ...ถึงยังไงเนื้ออ่อนก็ต้องไปพบพี่กล้า ไปให้เห็นกับตาตัวเองว่าพี่กล้ายังอยู่ดี เนื้ออ่อนอยากจะขอโทษอยากให้รู้ว่าเนื้ออ่อนเสียใจแค่ไหนกับสิ่งที่เกิดขึ้น และอยากได้ยินจากปากของพี่กล้าว่าไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองเนื้ออ่อนเหมือนเช่นที่ผ่านมา ตัดสินใจรวบรวมความกล้าและออกแรงผลักประตู แต่...
ประตูถูกล็อคจากด้านนอก

“คุณแม่!”
“ป้านวล เปิดประตูให้เนื้ออ่อนด้วย”
ไม่มีใครสักคนมาเปิดประตูหรือแม้แต่จะขานรับ หัวใจดวงน้อยวูบไหวอีกครั้ง ทำไมจะต้องล็อคประตูจากด้านนอก นี่เจ้าคุณพ่อตั้งใจจะขังเนื้ออ่อนไว้ในนี้อย่างนั้นหรือ หัวใจของเจ้าคุณพ่อทำด้วยอะไรทำไมถึงโหดร้ายนัก เนื้ออ่อนอยากจะไปหาพี่กล้า ‘เจ้าคุณพ่อใจร้าย’
ปังๆๆๆๆ....
“เปิดประตูให้เนื้ออ่อนเดี๋ยวนี้นะ เจ้าคุณพ่อใจร้าย! ฮือๆๆ ” หญิงสาวที่น่าสงสารทรุดกายลงนั่งร้องไห้อยู่ตรงนั้น ทำไมเรื่องเพียงเท่านั้นถึงทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเลวร้ายได้ถึงเพียงนี้ เนื้ออ่อนไม่ได้ไปทำอะไรเสียหาย พี่กล้าก็ไม่ได้ทำอะไรผิด สิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นอุบัติเหตุแล้วทำไม...?




“อยากพบหน้าอีกสักครั้ง พี่จะรอเนื้ออ่อนที่ศาลาริมน้ำท่าตลาด หวังว่าคงไม่ทำให้รอเก้อ
จาก...พี่ต้อง”

ท่านเจ้าคุณเฟื่องกำกระดาษแผ่นน้อยที่เขียนด้วยลายมือเอาไว้แน่น ดวงตาทั้งคู่บอกว่าบัดนี้ในหัวใจของผู้เป็นพ่อกำลังปวดร้าวและหวั่นไหว สิ่งที่เฝ้ากังวลอยู่เรื่อยมาว่าจะเกิดขึ้นในสักวันกำลังจะเกิดขึ้นจริงแล้วกับลูกสาวผู้เป็นที่รักดังแก้วตาดวงใจอย่างนั้นหรือ หากแต่ว่าไม่ได้เกิดขึ้นเพราะคนในบ้านที่เคยระแวงแคลงใจ แต่..เป็นใครที่ไหนก็ไม่รู้ ใครสักคนที่มีพฤติกรรมส่อเจตนาว่าจะไม่เข้าตามตรอกออกตามประตู คนเราถ้าบริสุทธิ์ใจก็ไม่เห็นจะต้องนัดแนะให้ออกไปพบนอกบ้านห่างไกลสายตาผู้เป็นพ่อแม่ แต่ไม่ว่ามันจะเป็นใคร ก็อย่าได้หวังว่าจะมาทำอย่างนั้นกับลูกสาวคนอย่างท่านเจ้าคุณเฟื่องได้

“ใจเย็นๆ นะเจ้าคะคุณพี่ อาจไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เราคิดก็ได้” คุณหญิงรำไพเอ่ยปากแผ่วเบา เอื้อมมือบีบต้นแขนกำยำนั้นอย่างปลอบประโลม เข้าใจอย่างสุดซึ้งกับความรู้สึกของผู้เป็นสามี ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาท่านเจ้าคุณรักและทะนุถนอมลูกสาวคนเดียวดังไข่ในหิน ริ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม เมื่อรู้สึกว่าบางสิ่งที่ไม่ดีกำลังจะเกิดขึ้น ก็ย่อมต้องเป็นห่วงเป็นธรรมดา ไม่ได้มีเจตนาจะทำให้ไม่สบายใจซ้ำอีก แต่...หากไม่นำจดหมายที่พบโดยบังเอิญในห้องของเนื้ออ่อนให้ท่านเจ้าคุณได้เห็น ก็เกรงว่าหากเกิดอะไรขึ้นจะหาทางแก้ไขไม่ทัน

“น้องว่า ดูจากเนื้อความในจดหมาย เขาก็ยังไม่ได้ไปถึงไหนนะเจ้าคะ”
“ไม่ต้องบอกให้ลูกรู้ว่าพี่รู้แล้ว เอาไว้พี่จะจัดการเอง”
“แล้วเนื้ออ่อน...”
“กักบริเวณให้อยู่ในห้องเจ็ดวัน ให้คนส่งข้าวส่งน้ำ ถ้าจะทำธุระส่วนตัวก็ให้คนเฝ้าอย่าให้คลาดสายตา”
“จะไม่หนักไปหน่อยเหรอเจ้าคะ น้องว่า..”
“นึกถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับลูกสิแม่รำไพ มันไม่คุ้มกันเลยนะ”
ความเป็นห่วงและกังวลที่ออกมาทางแววตาของผู้เป็นพ่อ ทำให้คุณหญิงรำไพต้องพยักหน้ารับคำ ถ้าสิ่งที่ได้รับ ทำให้เนื้ออ่อนรู้สึกว่าหนักหนาสาหัสเหลือเกิน คุณหญิงรำไพก็รู้ดีว่ามันเทียบไม่ได้กับความรู้สึกในใจของท่านเจ้าคุณในขณะนี้



ที่เรือนหลังเล็กอันเป็นที่พำนักพักพิงและที่เยียวยาบาดแผลของผู้เพิ่งผ่านการลงทัณฑ์มาหมาดๆ กล้าได้คืนสติแล้วจากการปฐมพยาบาลของน้าสน และบ่าวในบ้าน สภาพบาดแผลขนาดนี้เห็นทีจะต้องพักรักษาตัวกันหลายวันเลยทีเดียว ต้นนั่งอยู่ข้างๆ เพื่อปลอบใจเพื่อนรักทั้งๆ ที่รอยแผลบนหลังก็หนักหนาไม่ใช่น้อย ยังดีที่โบยครบจำนวนเสียก่อนไม่เช่นนั้นก็คงมีสภาพไม่ต่างกันสักเท่าไหร่

“ทำไมต้น...” ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นถามเพื่อนขณะยังนอนคว่ำให้น้าสนทำแผล ต้นไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะถูกโบยไปด้วยเลยสักนิด แล้วมันเกิดอะไรขึ้น
“เวลาเพื่อนลำบาก จะให้ต้นเอาตัวรอดไปคนเดียวได้ยังไงล่ะ” เอื้อมมือหนากุมมือเพื่อนรักเอาไว้บีบเบาๆ นี่คือเหตุผลที่ทำให้ต้นตัดสินใจกลับมา เพื่อที่ต้นจะได้มองหน้าเพื่อนคนนี้อย่างสนิทใจเหมือนที่กำลังเป็นอยู่ขณะนี้ มิตรภาพระหว่างเพื่อนนั้นสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด กล้ามองหน้าเพื่อนผู้สูงศักดิ์อย่างซาบซึ้งในน้ำใจ เพื่อนที่ประเสริฐเช่นนี้คงหาไม่ได้ง่ายๆ สำหรับคนเช่นเขา

“เป็นไงบ้างล่ะพ่อกล้า”
“คุณหญิง” คุณหญิงรำไพเดินมาพร้อมยาห่อใหญ่ น้าสนลุกเขยิบเพื่อให้คุณหญิงได้นั่งลงใกล้ๆ คนเจ็บ

“นี่แหละนะอยู่ดีไม่ว่าดีชอบทำให้คุณท่านโกรธ เวลาท่านโกรธน้าก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอกนะ แล้วดูซิพ่อต้นก็ด้วยมันคงน่าภูมิใจนักใช่ไหมถึงได้เอาหลังกลับมารับหวายไปด้วยอีกคนน่ะ ” คุณรำไพถอนหายใจยาว
“แฮ่ะๆ รสชาติของชีวิตขอรับอาผู้หญิง” ความขี้เล่นมันฝังอยู่ลึกในสายเลือดแม้แต่เวลาเจ็บก็ยังแสดงออกมาได้

คุณหญิงยิ้มน้อยๆ ก่อนจะส่ายหน้าอย่างระอา แต่นึกแล้วก็ปลื้มใจนักกับมิตรภาพที่แน่นแฟ้นเช่นนี้ ไม่เสียแรงที่คบกันมายาวนาน และคงจะเป็นที่พึ่งพาอาศัยกันได้ต่อไปในวันหน้า
“เอ้านี่น้าสนยาสมานแผล หมั่นทาให้บ่อยๆ แผลจะได้แห้งไวๆ ดูซิลงมือเสียหนักเชียวนะ”
“โธ่ คุณหญิงขอรับก็ทำตามคำสั่งคุณท่านน่ะขอรับ มันฝืนไม่ได้จริงๆ...มาๆ ไอ้กล้าข้าจะทายาให้ ขอโทษเอ็งด้วยนะที่โบยซะเจ็บขนาดนี้ อ้อ..น้าต้องขอโทษคุณต้นด้วยนะขอรับ เดี๋ยวจะจัดการทายาให้ทั้งสองคนเลย”
“แค่นี้เอง ต้นทนได้ น้าสนอย่าคิดมาก” พูดพลางนอนคว่ำลงข้างๆ กัน น้าสนอดจะรู้สึกขำไม่ได้ รอยโบยบนหลังที่พอมานอนเรียงกันมันช่างเหมือนรอยหั่นของปลาดุกย่างเสียจริงๆ
“ไม่เป็นไรหรอกน้าสน ฉันรู้ว่าน้าสนไม่ได้อยากตีหรอก”
“เออ...รู้ก็ดีแล้ว คราวหน้าคราวหลังก็อย่าทำอีกก็แล้วกัน”

“นี่ยังจะมีคราวหน้าคราวหลังอีกรึ จะไปไหนมาไหนก็ต้องระวัง ท่านเจ้าคุณน่ะเหมือนคนอื่นซะที่ไหนกัน เวลาโกรธขึ้นมาน่ะ เดี๋ยวฉันจะไปทายาให้แม่มะปรางเสียหน่อย เป็นผู้ชายก็ดูแลกันไปก็แล้วกัน” คุณหญิงต้องเอ็ดซ้ำอีกสักนิดก่อนจะแบ่งยาส่วนหนึ่งเตรียมเดินจากไป
“มะปราง... มะปรางเป็นอะไรขอรับคุณหญิง” ชายหนุ่มรู้สึกใจหายวูบเมื่อเอ่ยชื่อน้องสาวอีกคนที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ หรือว่า...
“อ้าวนี่ไม่รู้ตัวหรอกรึ เฮ้อ....”
“น้าสน?”
“เออ...ก็นังมะปรางน่ะ มันเอาตัวมาปกป้องเอ็ง คุณท่านก็เลยให้ข้าโบยมันด้วยน่ะสิวะ หลังมันก็เหมือนหลังเอ็งตอนนี้แหละ โธ่เอ๊ย..ยังสาวยังแส้แท้ๆ เลย”

“โธ่....มะปราง แล้ว... คุณหนูล่ะน้าสน”




‘เจ้าคุณพ่อใจร้าย’
สองวันแล้วที่เนื้ออ่อนถูกกักบริเวณอยู่ในห้อง แม้จะเป็นห้องนอนของตัวเองแต่อยู่ติดต่อกันนานๆ โดยไม่ได้ออกไปไหนเลยแบบนี้มันช่างอึดอัดเหลือเกิน คุณแม่บอกว่าพี่ต้นและพี่มะปรางต้องพลอยรับเคราะห์ไปด้วยทั้งสองคน รอให้เนื้ออ่อนออกไปก่อนแล้วจะขอโทษและหาทางชดเชยสมกับที่เป็นตัวต้นเหตุให้ทุกคนต้องเจ็บตัว ส่วนพี่กล้า สิ่งที่พี่กล้าได้รับมันช่างหนักหนาจนเนื้ออ่อนไม่รู้ว่าจะหาสิ่งใดมาทดแทนให้ได้ สองวันมานี้เนื้ออ่อนเฝ้านึกถึงแต่เรื่องของพี่กล้า พี่กล้าเป็นพี่ชายที่ทำเพื่อเนื้ออ่อนตลอดมา ในขณะที่เนื้ออ่อนเองก็มักจะทำให้พี่กล้าถูกเจ้าคุณพ่อตำหนิอยู่เรื่อยเช่นกัน
“ทานอะไรหน่อยนะเจ้าคะคุณหนู”
“เนื้ออ่อนไม่หิว ป้านวลเอากลับไปเถอะจ้ะ”
“แต่..นี่มันสองวันแล้วนะเจ้าคะ เดี๋ยวจะไม่สบาย ฝืนทานหน่อยนะคุณหนูของป้านะ”
“ป้านวล..” น้ำเสียงที่สั่นเครือและสีหน้าเศร้าหมอง ทำให้ป้านวลอดสงสารไม่ได้ ‘โถ..คุณหนูของป้า’

“เจ้าคุณพ่อกำลังโกรธ คุณหนูต้องอดทนนะเจ้าคะ” ร่างท้วมรั้งคนที่ยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ ในสายตาของป้านวลเสมอเข้าสู่อ้อมอก ลูบศีรษะปลอบประโลมเบาๆ แต่คนเป็นบ่าวก็ไม่อาจจะแสดงความเห็นอะไรได้ โดยเฉพาะเวลาที่เจ้านายกำลังโกรธเกรี้ยวเช่นนี้ สิ่งที่ทำได้ก็เพียงภาวนาให้ท่านเจ้าคุณหายโกรธไวๆ เท่านั้น

“อีกนานไหมคะป้านวล” ปลายเสียงเศร้านั้นเปลี่ยนเป็นสะอื้นเล็กๆ แม้จะผ่านมาหลายปีแต่อกอุ่นนี้ก็ยังเป็นที่ที่เนื้ออ่อนจะซุกหน้าร้องไห้ได้เสมอ สำหรับเนื้ออ่อนแล้วป้านวลไม่ใช่บ่าวแต่เป็นแม่คนที่สอง เป็นแม่นมที่เลี้ยงเนื้ออ่อนมาตั้งแต่ยังแบเบาะ

“คุณหนูต้องอดทนนะเจ้าคะ มาค่ะเดี๋ยวป้าป้อนให้ทานนะ”
แม้จะไม่รู้สึกหิว แต่ด้วยน้ำใจของป้านวลก็ทำให้หญิงสาวไม่อาจปฏิเสธได้ ใบหน้าสวยซึ้งมองตามป้านวลที่หันไปทางสำรับ ข้าวสวยหอมกรุ่นถูกเปิดออก พร้อมผัด แกง ทอด ของโปรดของเนื้ออ่อนทั้งนั้น ถ้าหากสภาพจิตใจปกติแล้วละก็ ถือว่าไม่มีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง หรือแทบจะไม่เรียกว่านี่คือการลงโทษเสียด้วยซ้ำ

“อ๊ะ อ้ำนะเจ้าคะคนเก่ง”
อ้าปากรับข้าวคำเล็กๆ จากช้อนในมือป้าสีนวล รู้สึกตื้นตันจนพูดไม่ออก มีเพียงหยดน้ำใสๆ ที่ปริ่มๆ แทนคำขอบคุณอย่างซาบซึ้งใจ ป้านวลรักและใจดีกับเนื้ออ่อนเสมอ
“ไม่ต้องร้องนะเจ้าคะ เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ชีวิตคนเราก็แบบนี้แหละมีสุขมีทุกข์คละเคล้ากันไป”




ล่วงเลยมาถึงวันที่สามก็ยังไม่มีวี่แววว่าเจ้าคุณพ่อจะใจอ่อน สิบกว่าปีที่ผ่านมาเนื้ออ่อนยังไม่เคยเห็นเจ้าคุณพ่อโกรธนานขนาดนี้มาก่อน แม้จะรู้ว่าทั้งหมดทั้งปวงที่ทำแบบนี้ก็เพราะความรักและห่วงใย แต่นี่มันไม่เกินไปหน่อยหรือสำหรับเรื่องเพียงเท่านี้ แค่ออกไปนั่งเรือเล่นแล้วเจอพายุจนเรือล่มเท่านั้นเอง ไม่ว่าจะยังไงเนื้ออ่อนก็อยู่รอดปลอดภัยกลับมาแล้วไม่เห็นจะต้องทำกันขนาดนี้เลย แต่เอาเถอะ ถ้าทำแบบนี้แล้วเจ้าคุณพ่อจะสบายใจเนื้ออ่อนก็จะทนอีกสักหน่อยก็แล้วกัน

“ไม่ต้องคิดมากนะเจ้าคะคุณหนู เจ้าคุณพ่อท่านทำไปก็เพราะรักคุณหนูนะเจ้าคะ” ป้าสีนวลบอกด้วยน้ำเสียงและแววตาเอ็นดูระคนสงสารเมื่อเห็นสีหน้าที่ยังไม่คลายเศร้าหมอง เวลาอาบน้ำคือเวลาที่หญิงสาวจะได้ออกมาสูดอากาศข้างนอกบ้าง ตะวันโพล้เพล้ วันนี้กลุ่มเมฆตรงขอบฟ้าเป็นสีส้มอมแดง และแผ่นฟ้าบริเวณไกลออกไปดูเป็นสีเทาหม่นๆ มันทำให้คนที่อยู่ในฐานะเหมือนนักโทษรู้สึกเหงาและเคว้งคว้างมากขึ้นเป็นเท่าทวี


“แม่สีนวล เสร็จธุระแล้วตามน้าสนให้ฉันด้วย”

“เจ้าคุณ...พ่อ...” เสียงสุดท้ายทำได้แค่เพียงเปล่งออกมาเบาๆ ในลำคอ ความรู้สึกดีใจที่ได้ยินเสียงเจ้าคุณพ่อจางหายไปพร้อมกับรอยยิ้มที่ฉายออกมาแวบหนึ่งก่อนจะจมหายไปกับความเศร้า สีหน้าและแววตาของเจ้าคุณพ่อที่เคยมองเนื้ออ่อนอย่างแสนรักบัดนี้ดูเฉยนิ่งเยือกเย็นจนน่าใจหาย นี่เจ้าคุณพ่อไม่รู้ดอกหรือว่า ที่เนื้ออ่อนยอมถูกกักบริเวณ เพราะเนื้ออ่อนอยากให้รู้ว่า เนื้ออ่อนรักเคารพและเชื่อฟังเจ้าคุณพ่อเสมอ คนเป็นลูกสาวมองตามบิดาที่เดินจากไปอย่างไม่ใยดีเลยสักนิดด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ สะท้อนในอกจนลมหายใจขาดเป็นห้วงๆ ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่นสั่นระริก น้ำใสๆ รื้นขึ้นที่ดวงตาอีกครั้ง

“ไม่ต้องร้องนะคนดีของป้า อีกหน่อยเจ้าคุณพ่อก็หายโกรธเอง เชื่อป้านะ”
“เจ้าคุณพ่อไม่รักเนื้ออ่อนแล้ว...”



ท้องฟ้ายามค่ำคืนดูเงียบเหงา พระจันทร์ที่เหลือเพียงเสี้ยวเล็กๆ และหมู่ดาวที่มองเห็นอยู่ประปราย ไม่อาจส่องใจที่กำลังมืดมิดและสิ้นหวังให้มองเห็นสิ่งใดได้นอกจากความทุกข์ แต่เปล่าเลยการถูกลงทัณฑ์จนสลบคาหวายหาใช่ต้นเหตุของความทุกข์ที่เกิดขึ้นในใจของชายหนุ่มไม่ นั่นมันแค่ทุกข์กายถือว่าเรื่องเล็กน้อยมาก แต่สามวันที่ไม่มีโอกาสพบหน้าน้องสาวที่รัก ไม่ได้สอบถามสารทุกข์สุกดิบ ไม่ได้รู้ว่าป่านนี้สภาพจิตใจจะเป็นอย่างไรบ้างต่างหากที่ทำให้รู้สึกร้อนรุ่มเหมือนสุมไฟอยู่ในขณะนี้
‘เนื้ออ่อน..’
“เอ้า! เรียบร้อยแล้ว แผลกำลังตกสะเก็ด มันจะคันหน่อยนะอย่าไปแกะอย่าไปเกามันล่ะ” น้าสนช่วยทายาที่หลังให้ทุกวันเพื่อชดเชยกับที่ลงมือหนักไปสักนิด อันที่จริงเปล่าหรอกแม้ไม่ได้เป็นแผลที่เกิดจากฝีมือตัวเองน้าสนก็ต้องช่วยดูแลอยู่แล้ว สำหรับน้าสนเจ้ากล้าก็ถือเป็นลูกเป็นหลานคนหนึ่งเหมือนกัน
“ขอบคุณมาก น้าสน...” ลุกขึ้นนั่ง กล่าวขอบคุณน้าสน และจังหวะนั้นแม่ศรีนวลก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา

“กล้า คุณท่านกับคุณหญิงให้ไปพบแน่ะ”



แสงตะเกียงจากห้องนอนของเนื้ออ่อนบนเรือนใหญ่บอกให้รู้ว่า เจ้าของห้องยังไม่นอน หรืออีกนัยหนึ่งคือคงไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้อย่างง่ายๆ เพราะรู้จักกันดีจึงรู้ว่าคนบนนั้นกำลังร้อนรุ่มในหัวใจเพียงใด แต่...

‘พี่ต้อง...ใครกันนะ..’ กระดาษแผ่นน้อยที่ท่านเจ้าคุณให้ดูเมื่อตอนค่ำสร้างความสงสัยให้เกิดขึ้นในหัวใจของกล้าอย่างมากมาย และคงจะจางหายไปอย่างง่ายๆ ไม่ได้ตราบที่ยังไม่อาจรู้ว่ามันมาจากใครกันแน่

ชายหนุ่มต้องสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงไก่ขันบอกเวลาใกล้รุ่งสาง ขอบฟ้าเริ่มสว่างรำไรทางทิศตะวันออกอีกไม่นานพระอาทิตย์ก็จะขึ้นแล้ว กล้าพายเรือออกมาตั้งแต่เมื่อคืนเพื่อมารอดูว่ามีอะไรผิดปกติที่นี่หรือไม่ ศาลาที่ท่าน้ำริมตลาดยังว่างเปล่าไร้เงาผู้คน พ่อค้าแม่ขายเริ่มทยอยจัดวางสินค้าตามแผงของตนเพื่อรอต้อนรับลูกค้าสำหรับเช้าวันใหม่ที่กำลังจะมาถึง

‘ไม่มีอะไรผิดปกติ’

คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก อันที่จริงนี่เป็นการงมเข็มในมหาสมุทรมากๆ ที่จะมาตามหาร่องรอยของสิ่งที่ไม่มีร่องรอย หรือยังไม่แน่ใจนักเสียด้วยซ้ำว่าสิ่งที่กังวลสงสัยนั้น...ไม่ได้คิดไปเอง และก่อนที่จะตัดสินใจกลับเรือเพื่อมุ่งหน้ากลับบ้าน สายตาก็เหลือบไปเห็นร้านขนมจีนที่เคยมานั่งกินกับเนื้ออ่อน ป่านนี้เด็กสองคนนั้นคงโตขึ้นมากแล้ว

‘เอ๊ะ! เดี๋ยวก่อน...เมื่อครั้งที่มาตลาดตอนโน้น เนื้ออ่อนเดินชนใครสักคน..ดูท่าทางจะสนใจในตัวเนื้ออ่อนอยู่มาก...หรือว่า..?’



เวลาแต่ละวัน แต่ละนาทีเดินไปอย่างเชื่องช้าเหลือเกิน เนื้ออ่อนอยู่ในห้องติดต่อกันมาสี่วันเต็มๆ เดินวนไปเวียนมาด้วยหัวใจที่ร้อนรุ่ม แต่ก็จนปัญญาจะทำอย่างไรได้ เจ้าคุณพ่อช่างใจแข็งนัก จะต้องให้เนื้ออ่อนตายอยู่ในนี้หรือไรถึงจะพอใจ มองออกไปนอกหน้าต่าง คืนนี้ท้องฟ้าก็มืดมิดมีเพียงดาวดวงเล็กๆ สองสามดวงที่พอจะทอแสงผ่านกลุ่มเมฆหนามาได้ ชีวิตไร้ความสุนทรีย์ใดๆ ทุกสิ่งรอบๆ ตัววูบไหวตามจังหวะของเปลวไฟจากตะเกียง ซึ่งเนื้ออ่อนเห็นติดต่อกันมาหลายวันแล้ว หญิงสาวลุกจากที่นอนเพื่อไปดับตะเกียง ความมืดจะทำให้ไม่ต้องทนมองเห็นสิ่งใด

“...เนื้ออ่อน...”
หญิงสาวหันมองตามเสียงเรียกเบาๆ ที่ริมหน้าต่าง
“พี่..กล้า..” พี่กล้านั่นเอง ทันทีที่สบตาหัวใจดวงน้อยต้องสั่นไหวจนกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ ตรงรี่เข้าไปจับมือหนาเอาไว้ มองสำรวจใบหน้านั้นผ่านความพร่ามัวของม่านน้ำตา
“เนื้ออ่อนเป็นยังไงบ้าง”
“พี่กล้าเป็นยังไงบ้าง เนื้ออ่อนขอโทษ พี่กล้าเจ็บมากไหม?”
“พี่ไม่เป็นไรหรอกเนื้ออ่อน แค่นี้เองสบายมาก ไม่กี่วันแผลก็หายดีแล้วละ เนื้ออ่อนล่ะอยู่ได้ใช่ไหม?”
“...”

“ไม่ต้องร้องนะ รอให้ท่านเจ้าคุณใจเย็นลงแล้วคุณหญิงคงช่วยพูดได้”
“พี่กล้า...เนื้ออ่อนจะบ้าตายอยู่แล้ว พี่กล้าช่วยเนื้ออ่อนด้วยเถอะนะ”
“ช่วยได้ยังไงล่ะเนื้ออ่อนท่านเจ้าคุณสั่งห้ามเด็ดขาด ไม่ยังงั้นท่านเอาพี่ตายแน่เลย”
“แต่เนื้ออ่อน ทนไม่ไหวแล้วนะ”
“เนื้ออ่อน..อยู่ในนี้ไปก่อนเถอะนะ อดทนอีกนิด คุณแม่กำลังหาทางช่วยอยู่ ใจเย็นๆ นะคนเก่ง”
“แต่เนื้ออ่อนไม่ไหวแล้ว เนื้ออ่อนอยากไปจากที่นี่”
“ใจเย็นๆ ก่อนเถอะนะเนื้ออ่อน พี่มาบอกว่าคุณแม่กำลังหาทางช่วยอยู่ ทุกคนรักและเป็นห่วงเนื้ออ่อนกันทั้งนั้น ใจเย็นๆ นะ พี่ต้องไปก่อนเดี๋ยวคุณท่านมาเห็นมันจะไม่ดี เนื้ออ่อนอย่าคิดมากนะ” บอกพลางไต่ลงบันไดอย่างเงียบที่สุด

“พี่กล้าเดี๋ยวสิอย่าเพิ่งไป อยู่คุยกับเนื้ออ่อนก่อน”



“ไอ้กล้า!”
“แย่แล้วเนื้ออ่อนเจ้าคุณพ่อมา!”
คนที่กำลังจะปีนลงบันไดไม้ไผ่ซึ่งพาดบนขอบหน้าต่างห้องนอนของลูกสาวเจ้าของบ้านต้องหัวใจหล่นวูบ รู้ดีว่าการกระทำแบบนี้เป็นสิ่งไม่บังควรยิ่งไม่ว่าจะในฐานะอะไร ในเวลาปกติไม่มีทางที่กล้าทำแบบนี้เด็ดขาด นี่ถ้าไม่เป็นห่วงเนื้ออ่อนเสียมากมายก็คงไม่เสี่ยงทำแบบนี้ เพราะถ้าท่านเจ้าคุณเฟื่องมาเห็นเข้าละก็คงไม่ต้องบอกว่าเหตุการณ์จะยิ่งเลวร้ายมากขึ้นเพียงใด และสิ่งที่หวั่นๆ กำลังจะเกิดขึ้นแล้ว

“กล้าอธิบายได้นะครับคุณท่าน”
ช้าเกินจะทันได้ชี้แจงเหตุผลใด ร่างของชายหนุ่มก็ต้องเสียหลักล้มลงกองกับพื้นด้วยแรงถีบจากฝ่าเท้าของท่านเจ้าคุณเฟื่อง พายุร้ายที่ยังกรุ่นๆ ในหัวใจของผู้เป็นพ่อได้กระพือโหมขึ้นอีกครั้ง อุตส่าห์ลดความระแวงแคลงใจลงไปได้บ้างเพราะคิดว่าภัยร้ายที่แท้จริงของลูกสาวคือคนภายนอกต่างหาก แต่สิ่งที่เห็นเมื่อสักครู่นี่มันอะไรกัน

“มึงเลวมากไอ้กล้า!”
“พี่กล้า! เจ้าคุณพ่ออย่าทำอะไรพี่กล้านะ คุณแม่..ช่วยพี่กล้าด้วย ฮือๆ”
“เกิดอะไรขึ้นขอรับคุณท่าน” เสียงเอะอะเอ็ดตะโรเรียกบ่าวในบ้านให้กรูกันเข้ามา

“ลากคอมันออกมาหน้าบ้าน กูจะเอาเลือดหัวมันออกมาล้างตีน!”



ชายหนุ่มเจ้าของรอยหวายที่บาดแผลเพิ่งจะตกสะเก็ดนั่งคุกเข่าอยู่หน้ากองเพลิงโทสะกองใหญ่ของท่านเจ้าคุณท่ามกลางความงุนงงสงสัยของคนในบ้าน คุณหญิงรำไพเองก็รีบลงเรือนมาสมทบ แล้วคุณหญิงผู้อารีก็ต้องคิ้วขมวดด้วยความหนักใจอีกครั้ง แผลเก่ายังไม่ทันหายนี่มันเกิดอะไรขึ้นอีกกันหรือนี่
“คุณพี่คะ?”
“อ้อ...แม่รำไพมาพอดี สะใจไหมล่ะคนดีของแม่รำไพ” น้ำเสียงเย็นชาระคนเยาะหยันกันมาพร้อมแววตาที่ลุกโชน นี่คือผลของการเตือนแล้วไม่เคยฟัง ผู้ชายอย่างไรก็คือผู้ชายย่อมไม่ปลอดภัยสำหรับสตรีผู้อ่อนเยาว์และลูกสาวผู้อ่อนต่อโลกอย่างเนื้ออ่อน นี่ถ้าไม่บังเอิญมาเห็นเข้าละก็ ไม่รู้จะต้องถูกมันหลอกให้โง่เง่าดักดานไปอย่างนี้อีกนานแค่ไหน
“ใจเย็นๆ ก่อนสิคะ มีอะไรก็ค่อยๆ พูดกัน”
“ใจเย็นงั้นเหรอ!” เสียงตะคอกคล้ายดังจะคำรามนั้นทำให้คนเป็นภรรยาถึงกับนิ่งอึ้ง

“มัน..เหยียบย่ำหัวใจของพี่..ขนาดนี้ แม่รำไพ..ยังจะมาบอกให้พี่ใจเย็นกับมันงั้นเหรอ...” ดวงตาลุกโชนหรี่แสงลง น้ำตาที่สะท้อนมาจากหัวอกอันแสนเจ็บช้ำของคนเป็นพ่อปริ่มๆ ที่ดวงตาคู่นั้น แค่นเสียงหยามหยัน เอ่ยถามภรรยา

“คุณท่านกำลังเข้าใจกล้าผิดนะขอรับ กล้าแค่...”

“มึงไม่ต้องแก้ตัวไอ้กล้า!” ร่างหนาทว่าสั่นเทิ้มของคนเป็นนายพุ่งตรงเข้าประชิด ทั้งตบทั้งต่อยจนสุดกำลัง ไม่เปิดโอกาสให้จำเลยได้แก้ต่างให้ตัวเองแม้สักคำเดียว
“กูชุบเลี้ยงมึงมา ให้ข้าว ให้น้ำ ให้ที่มึงซุกหัวนอน คุณหญิงเอ็นดูมึงดังลูกหลานคนหนึ่ง แต่ดูสิ่งที่มึงตอบแทนกูซิ มึงทำแบบนี้กับกูได้ยังไง..ไอ้กล้า...”

“คุณท่านขอรับ พอก่อนเถอะขอรับ” น้าสนพร้อมบ่าวอีกคนต้องรีบเข้ามาพยุงร่างสั่นเทิ้มจวนจะหมดแรงที่กำลังฟูมฟายนั้น มะปรางปราดเข้าไปประคองอีกคนที่นอนหงายอยู่กับพื้น เขาพยุงกายขึ้นคุกเข่าด้วยร่างกายที่บอบช้ำ และเลือดสีแดงที่ไหลกลบปาก พนมมือไหว้ที่หว่างอก
“กล้าไม่เคยคิดจะเนรคุณ กล้าแค่เป็นห่วงเนื้ออ่อน ชีวิตของกล้า คุณท่านกับคุณหญิงให้มา ถ้าวันนี้คุณท่านไม่ไว้ใจไม่เมตตากล้าแล้ว จะเอาชีวิตกล้าก็ยินดีขอรับ”

“ไอ้กล้า มึง!”

“แย่แล้วเจ้าค่ะคุณท่าน คุณหนูหนีไปแล้วเจ้าค่ะ”
“อะไรนะ!”



ไอรายา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 พ.ค. 2554, 08:19:54 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 พ.ค. 2554, 08:19:54 น.

จำนวนการเข้าชม : 2289





<< ตอนที่ 15 หัวใจกระซิบรัก   ตอนที่ 17 พันธสัญญา >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account