สนิมดอกรัก (ตีพิมพ์แล้ว - สนพ.อรุณ)
แพรวเพชร สิริณธรณ์ ไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
เมื่อเผ่าภาคินที่เธอเข้าใจว่าเสียชีวิตไปแล้วเกือบสี่ปี
จู่ๆจะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
แถมยังมาในมาดมหาเศรษฐีหนุ่มรูปหล่อ ร่ำรวย
และโหดเหี้ยมเหมือนในนิยายเป๊ะ!
.
.
.
.
“เชิญกรอกข้อมูลส่วนตัวก่อนนะคะ เดี๋ยวดิฉันจะแนะนำรายละเอียดและขอบเขตการให้บริการให้ฟัง อ้อ...ต้องให้ดิฉันแจ้งค่าใช้จ่ายให้ทราบคร่าวๆก่อนไหมคะ เพราะค่าบริการของเราไม่แพงก็จริง แต่สำหรับคนกำลังเก็บเงินแต่งงาน มันก็...เป็นจำนวนเงินไม่น้อยเลย”

“ดูเหมือนว่าเงินจะเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตคุณเสมอเลยนะ คุณแพรวเพชร” เผ่าภาคินหยัน

“พูดอย่างกับว่ามันไม่สำคัญสำหรับคุณงั้นแหละ” หญิงสาวบิดริมฝีปากนิดๆอย่างดูถูก จากนั้นเดินไปยังโต๊ะที่วางชิดผนัง ดึงเอกสารแผ่นหนึ่งจากแท่นใสทรงกระบอกถือมากางตรงหน้าชายหนุ่ม พลางอธิบายด้วยท่าทีเหมือนทองไม่รู้ร้อน ไม่สนใจแม้จะเห็นว่าสายตาที่จ้องเธอแทบจะแผดเผาลุกเป็นไฟ

“นี่ค่ะ อัตราค่าสมัครแรกเข้าสำหรับลงทะเบียนเป็นสมาชิกของคิวปิดฯ ส่วนคอร์สที่คุณจะเข้าใช้บริการแยกคิดเป็นรายครั้ง เรามีรายการให้คุณเลือกเยอะค่ะ ทั้งดำน้ำ วาดรูป อบรมบุคลิกภาพ เที่ยวพิพิธภัณฑ์ ทำบุญไหว้พระ ทำขนม อ้อ...แต่สุดท้ายนี่ฉันไม่แนะนำนะคะ เพราะคุณคงไม่อยากให้ครูคนนั้นรู้ว่ามาสมัครเป็นลูกค้าที่นี่”

“แล้วมีคอร์สสับรางไม่ให้รถไฟชนกันบ้างไหม หรือไม่ก็พวก...วิธีซ่อนชู้ ซ่อนกิ๊กอะไรแบบนี้น่ะ ผมสนใจเป็นพิเศษ และถ้าให้แนะนำ ผมว่าคุณน่ะเหมาะจะเป็นวิทยากรมาก ใช้ประสบการณ์ตรงมาสอนก็ได้ คงมีคนอยากเรียนกันเยอะแยะ”

แพรวเพชรหัวเราะขัน “แปลกนะคะ คุณพูดเองแท้ๆว่าฉันไม่ได้มีเกียรติ มีเสน่ห์ หรือว่ามีค่าพอให้คุณเสียดมเสียดายอะไรแล้ว แต่ไอ้ที่คุณพูดๆมาเนี่ย เหมือนว่า...คุณจะจำเรื่องราวเกี่ยวกับตัวฉันได้แม่นยำจังเลย”

หญิงสาวดักคอและลอยหน้าเอ่ยประโยคต่อไปว่า “เอ...หรือว่าอันที่จริงแล้วคุณไม่ได้คิดอย่างที่พูด แต่กำลังเรียกร้องความสนใจจากฉัน หรือบางทีไอ้ที่บอกว่าจะแต่งงานกับคุณนวลนรีนั่นก็เป็นแค่การโกหก แกล้งทำเป็นโชว์ออฟ เพียงเพราะอยากให้ฉันรู้สึกรู้สาไปด้วยเท่านั้นเอง ประชด...อะไรทำนองนั้นน่ะเหรอคะ”

ปฏิกิริยาที่ไม่ได้คาดไว้ล่วงหน้าทำให้เผ่าภาคินค้นหาคำตอบโต้ไม่พบแม้แต่คำเดียว

แพรวเพชรแต้มยิ้มทำสีหน้าสมเพช จากนั้นก้าวเข้ามาใกล้ เอื้อมมือแตะแก้มอีกฝ่ายแผ่วเบาหยอกเย้า “โถ...น่ารักจริง แต่ขอโทษด้วยที่ต้องทำให้ผิดหวัง ฉันแต่งงานแล้ว และก็ไม่เคยคิดนอกใจสามี เพราะเขาเป็นคนดีมาก ยิ่งเขาดีเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งนึกเสียดายที่เคยไปเกลือกกลั้วกับของสกปรกมาก่อน โชคดีที่เขาไม่ถือสาอดีตของฉัน ไม่เช่นนั้นฉันคงไม่ได้เป็นผู้หญิงโชคดีอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้”

ประโยคสุดท้ายทิ่มแทงหัวใจคนฟังจนแทบทนไม่ไหว และเพียงเสี้ยววินาทีที่เผ่าภาคินปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือความควบคุม อุ้งมือแข็งแรงก็ตวัดคว้าต้นแขนหญิงสาวพร้อมทั้งบีบรุนแรง กระแสบางอย่างที่แล่นปราดผ่านปลายนิ้วทำให้ชายหนุ่มเกือบจะปล่อยมือ แต่เขาก็ฝืนกำมือแน่น เค้นเสียงลอดไรฟันเอ่ยคำถัดมา

“ใช่ ฉันมันเลว ชั่ว แต่ก็สมกันดีแล้วไม่ใช่เหรอ ผู้ชายสกปรกกับผู้หญิงที่น่าขยะแขยงน่ะ แพรวเพชรคนอ่อนโยนไร้เดียงสาที่ฉันเคยรู้จัก มาวันนี้กลับกลายเป็นผู้หญิงกร้านโลก หลายใจ น่ารังเกียจไปแล้ว ทุเรศที่สุด”

“ในเมื่อพี่เผ่าคนที่ฉันเคยรู้จักตายไปแล้ว แพรวเพชรคนที่คุณเคยรู้จักก็สมควรจะตายไปได้แล้วเหมือนกัน ถือว่าเราเสมอกันไงคะ” หญิงสาวยิ้มกว้างอย่างสะใจ

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

เนื้อหาทั้งหมดที่ปรากฎบนหน้าเพจนี้สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พุทธศักราช ๒๕๓๗ ห้ามมิให้ทำการคัดลอก ดัดแปลง หรือแก้ไข บทความเพื่อนำไปใช้ก่อนได้รับการอนุญาต

หากฝ่าฝืน สิริณ จะดำเนินการทางกฎหมายทั้งจำและปรับ โดยไม่มีการประนีประนอมใดๆทั้งสิ้น

ผู้ใดชี้เบาะแสการคัดลอก สิริณ มีรางวัลนำจับให้ด้วยนะคะ ^^
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ ๑๓

“การเจรจากับไอซีอินทิเกรทเต็ดและชิปเมคเกอร์เป็นไปด้วยดีครับ เราจะแบ่งทีมไปเซ็นสัญญามะรืนนี้ ตอนนี้ทางฝ่ายกฎหมายกำลังร่างสัญญาการร่วมทุนอยู่” สมาชิกหนึ่งในทีมผู้บริหารรายงานด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แล้วจึงกดสไลด์เลื่อนไปยังเอกสารหน้าถัดไป “ส่วนอีกโรงงานที่เรา ‘ได้’ มาตั้งแต่ต้นปี ตอนนี้เครื่องจักรใหม่ติดตั้งเรียบร้อยแล้ว และจะเริ่มเดินเครื่องอาทิตย์หน้าครับ”

เผ่าภาคินพยักหน้าพึงใจ ไม่วายสำทับ “ส่งทีมตรวจสอบคุณภาพเข้าไปเช็กสินค้าล็อตแรกด้วยนะ คราวก่อนผมเห็นรอยเชื่อมบนแผงไอซีไม่แนบเนียนนัก ย้ำตรงจุดนี้ให้อีกทีด้วย ผมอยากให้มั่นใจว่าของที่ผลิตได้จะไม่ก่อปัญหาตอนส่งไปถึงโรงงานประกอบที่บางปะอิน”

พงษ์ชัยคอยจนประเด็นเดิมจบไปแล้วจึงเลื่อนแฟ้มหนึ่งส่งมาให้ชายหนุ่มพิจารณา เขาอธิบายขณะเจ้านายเปิดแฟ้มอ่านข้อมูล “ไทยแสงฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ทำหนังสือเสนอบริษัทตัวเองเข้ามาให้เราเลือกครับ เท่าที่ผมคุยกับคุณแสงฟ้าที่เป็นเจ้าของ ตอนนี้มีบริษัทที่มาเลเซียทำท่าสนใจจะเข้าซื้อกิจการของเขาด้วย แต่ท่าทางเขาอยากขายให้เจ้าของใหม่ที่เป็นคนไทยมากกว่า งานนี้เราน่าจะมีภาษีกว่านะครับ”

“ทำไมเจ้าของถึงอยากขาย น่าแปลกนะ” เผ่าภาคินตั้งข้อสังเกต

“คุณแสงฟ้าอธิบายว่า ลูกสาวเรียนอยู่ที่อเมริกา อยากจะขายกิจการแล้วย้ายไปอยู่ด้วยกันที่โน่นครับ”

เผ่าภาคินพยักหน้า “ฟังดูน่าสนใจ ฝากคุณพงษ์ชัยเช็กประวัติการเงินของไทยแสงฟ้าด้วย แล้วผมจะตัดสินใจอีกทีว่าจะเอายังไงต่อ”

ชายหนุ่มสั่งการอีกหลายคำ แล้วจึงบอกเลิกประชุม แต่แทนที่จะไปยังห้องทำงานส่วนตัว เผ่าภาคินกลับเดินไปจนสุดปลายทางซึ่งเป็นส่วนของห้องรับรอง ผลักประตูเข้าไปนั่งบนโซฟาตามลำพัง ทอดสายตามองเหม่อไปยังทุ่งดอกลาเวนเดอร์ตรงหน้า ปล่อยใจให้ตกลงไปในห้วงความทรงจำอีกครั้ง

เหตุการณ์การพบกันเมื่อวานยังสดกรุ่นอยู่ในใจ เขาจำแทบจะทุกคำที่สนทนาและตอบโต้กันได้ราวกับบันทึกไว้ด้วยเครื่องวิดีโอชั้นดี

ยอมรับว่าความเจ็บปวดจากการถูกทอดทิ้งเริ่มทุเลาลงบ้าง เมื่อได้รู้ว่าลึกๆแล้วแพรวเพชรเองก็ทุกข์ใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่น้อยไปกว่ากัน คำถามเดียวที่เขายังคงไม่ได้รับคำตอบก็คือ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมแพรวเพชรจึงตั้งป้อมคล้ายว่ารังเกียจเขาจนแทบไม่อยากเห็นหน้ากันอีก

หรือว่ามีอะไรอยู่เบื้องหลังการทุ่มเถียงทะเลาะเบาะแว้งกันจนถึงขั้นแตกหักเมื่อสี่ปีก่อน เพราะชื่อจอมขวัญถูกยกขึ้นมาเอ่ยถึงซ้ำอีกครั้งเหมือนคราวนั้นไม่มีผิด...วันที่เขาคงไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิต

เย็นวันนั้นฝนหลงฤดูของซิดนีย์ตกลงมาอย่างหนัก จะว่าไปมันก็คงไม่ต่างอะไรกับฝนที่ตกลงมากลางใจเขาโดยไม่มีสัญญาณบอกล่วงหน้า

เขาตัดสินใจไม่ทำงานล่วงเวลา เพราะนอกจากจะเป็นวันหยุดของแพรวเพชรแล้ว เขายังมีกำหนดการต้องต้อนรับผู้หญิงอีกคนหนึ่งด้วย เผ่าภาคินแวะซื้อของสดติดมือเข้าบ้าน ตั้งใจทำอาหารรับประทานเอง เรียกว่าฉลองสำหรับการที่แพรวเพชรย้ายเข้ามาอยู่ที่อพาร์ตเมนต์ของเขาครบหกเดือนพอดี ไม่เพียงเท่านั้น เขายังมีเซอร์ไพรส์จะมอบให้หญิงสาว แน่นอนว่านั่นจะต้องทำให้เธอมีความสุขที่สุดอย่างแน่นอน

ทว่าเพียงเปิดประตูเข้าไปในห้อง เขาก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นแพรวเพชรร้องไห้อยู่ในอ้อมแขนของนราธิป! แม้จะดูออกว่าเป็นการปลอบโยนอย่างสุภาพ แต่ความหึงหวงก็พุ่งจี๊ดขึ้นมาในเนื้อตัวจนเขาทนแทบไม่ไหว

‘มีอะไรกัน’ เขาถามเสียงเรียบ วางของลงบนโต๊ะด้วยท่าทีเยือกเย็น ตรงข้ามกับใจที่ร้อนลุกราวไฟโหม

‘พี่เผ่ามีผู้หญิงคนอื่น พี่นอกใจเพชร’ ใครจะเชื่อว่าผู้หญิงเรียบร้อยอ่อนหวานจะแผดเสียงกรีดร้องได้แสบแก้วหูเพียงนั้น

‘เอาที่ไหนมาพูด ไร้สาระ’ เขาตวัดตามองบุคคลที่สามด้วยความไม่พอใจ ‘คุณกลับไปได้แล้วมั้ง ผมจะดูแลเพชรต่อเอง’

‘ไม่ต้องกลับค่ะพี่นรา’ แพรวเพชรยึดข้อมืออีกฝ่ายไว้ ประกาศกร้าวด้วยน้ำเสียงเอาแต่ใจ

‘มีอะไรไว้คุยกันเองดีกว่านะเพชร อย่าลาก ‘คนอื่น’ มาเกี่ยวด้วยเลย’ เผ่าภาคินพยายามโน้มน้าวเสียงอ่อน ทว่าสายตาที่มองคู่หมั้นของแพรวเพชรแทบจะลุกเป็นไฟ

‘ถ้าพี่นราไม่อยู่ เพชรก็จะไม่คุยอะไรทั้งนั้น’

ออดหลายหนแล้ว เธอก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะเข้าใจอะไรง่ายๆ เขาจึงเริ่มโมโห ‘เกิดเป็นบ้าอะไรขึ้นมา ปกติเพชรเป็นคนมีเหตุผลกว่านี้นะ’

‘เพชรไม่ได้บ้า แต่โง่ หูหนวกตาบอดมานานต่างหาก’

‘ซี้ซั้วพูด ไหนบอกมาซิว่าบ่างช่างยุมันคาบข่าวอะไรมาเพ็ดทูลกับเพชร มันว่าพี่ไปมีใคร ที่ไหน ยังไง’

‘อย่ามาประชดประชันเหน็บแนมพี่นราแบบนี้นะ ไม่มีใครคาบข่าวอะไรมาบอกเพชรทั้งนั้นแหละ แต่เพชรเห็นกับตาตัวเองเลยว่าพี่เผ่ามีผู้หญิงคนอื่น’

‘มีที่ไหนกันเล่า โธ่เว้ย!’ ตอนท้ายเขาเตะตะกร้าผ้าที่อยู่ใกล้ตัวระบายความหงุดหงิด และเพิ่งรู้ว่านั่นเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดที่สุด เพราะแพรวเพชรถลันลุกขึ้นยืนทันที

‘จอมขวัญไง จะเถียงเหรอว่าพี่ไม่ได้มีอะไรกับจอมขวัญน่ะ’

‘บ้าไปกันใหญ่แล้ว ขวัญเป็นน้องสาวเพื่อน พี่จะไปทำเรื่องบ้าๆแบบนั้นได้ยังไง’

‘แต่สิ่งที่เพชรเห็นมันไม่ใช่อย่างนั้นนี่คะ เขามาหาพี่ตั้งกี่ครั้ง ขนาดเพชรอยู่ด้วยก็ยังกอดกันกลมขนาดนั้น แล้วถ้าเพชรไม่อยู่ มิไปถึงสวรรค์ชั้นไหนๆกันเลยเหรอ’

‘อย่าลามปามจอมขวัญแบบนั้นนะเพชร พี่ไม่ชอบ’

‘ในเมื่อมันเป็นความจริง ทำไมเพชรจะพูดไม่ได้’

‘เพราะมันไม่เป็นความจริงต่างหาก พี่ถึงไม่อยากได้ยิน เมื่อกี้เพชรก็กอดกับไอ้ดอกเตอร์นี่เหมือนกัน’

‘ไม่เหมือนกัน!’ แพรวเพชรโวย

‘เหมือนกัน’ เผ่าภาคินโต้เสียงเรียบ แล้วเดินไปที่ประตู ดึงมันเปิดออกกว้าง ‘กลับไปได้แล้วคุณนราธิป ที่นี่ไม่ต้อนรับคุณ’

‘เพชร ค่อยๆคุยกันนะ ใจเย็นๆ วันนี้พี่กลับก่อนดีกว่า’ ดูเถิด ใจคอไอ้หมอนั่นจะเล่นบทผู้ชายแสนดีเพื่อให้เขาเป็นไอ้มนุษย์ชั่วตัวร้าย เอาแต่อารมณ์เป็นที่ตั้งให้ได้เลย

‘ไม่ค่ะ เพชรไม่ให้พี่นรากลับ’ บทจะดื้อดึง แพรวเพชรก็เอาแต่ใจอย่างเหลือเชื่อ

‘ตามใจเพชรแล้วกัน จะเอาไงก็ว่ามา ต้องให้พี่ทำยังไงเพชรถึงจะเชื่อว่าพี่ไม่มีอะไรกับจอมขวัญจริงๆ’ เผ่าภาคินหน้าบึ้ง

‘นี่ใจคอพี่จะไม่รับผิดชอบสิ่งที่ทำลงไปเลยเหรอคะ’ แพรวเพชรทำเสียงสูง

‘เพชรหมายถึงอะไร ถ้าหมายถึงเรื่องของเรา เพชรเคยเข้าใจมาโดยตลอดนะ ทำไมจู่ๆถึงมาเร่งรัดกับพี่ตอนนี้ หรือว่ามีใครพูดอะไรให้เพชรคิดมาก’ เขาตวัดตามองไปทาง ‘ใคร’ คนที่ว่าด้วยความตั้งใจ

แพรวเพชรปล่อยน้ำตาไหลรินลงมาช้าๆ เครือเสียงสะอื้นแสดงชัดถึงความเสียใจเจ็บปวดราวกับถูกทำร้ายแสนสาหัส สายตาผิดหวังคู่นั้นยังตราประทับอยู่ในทุกตารางนิ้วของความทรงจำ หลับตาลงครั้งใดก็ยังเห็นภาพนั้นชัดเจนราวกับเพิ่งเกิดขึ้น

ชายหนุ่มไม่อยากจำเหตุการณ์หลังจากนั้น เพราะมันคือความเจ็บปวดที่เขาไม่เคยทำใจให้คุ้นชินได้อีกเลย แพรวเพชรลุกขึ้นก้าวเข้ามาหาเขา และก่อนที่ใครจะทันคาดคิด ฝ่ามือน้อยๆก็ฟาดเข้าที่ใบหน้าเขาเต็มแรง

เพียะ!

‘เพชรมองพี่เผ่าผิดไปจริงๆ’ เธอคว้ากระเป๋าสะพายแล้วทำท่าจะออกจากห้องไป

แต่เผ่าภาคินไวกว่า คว้าข้อมือเธอไว้ทันที ‘เพชรจะไปไหน’

‘ไปไหนก็ได้ที่ไม่ต้องเจอหน้าคนเห็นแก่ตัว’

‘พี่ไม่ให้ไป’

‘เพชรเบื่อไอ้ชีวิตกัดก้อนเกลือกินนี่เต็มทีแล้ว พี่บอกเองไม่ใช่เหรอว่า ถ้าเพชรเลือกคนอื่น เพชรคงจะมีความสุขกว่านี้ บางที...เพชรอาจจะเลือกผิดมาตลอดก็ได้’ ไม่ว่านั่นจะเป็นความรู้สึกจริงๆหรือเธอแค่ประชดเพราะความผิดหวังเสียใจก็ตาม เผ่าภาคินพบว่าถ้อยคำนั้นเป็นคล้ายหลาวแหลมที่ปักลงตรงกลางหัวใจเขาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว อุ้งมือที่ยึดข้อมืออีกฝ่ายไว้ร่วงหล่นลงข้างตัว

‘งั้นก็เอาสิ มีโอกาสแล้วนี่ จะเลือกใหม่ก็ได้ เอาเลย ตามสบาย!’

แพรวเพชรปาดน้ำตาออกจากใบหน้าขณะแต้มยิ้มเชือดเฉือน ‘ไม่ต้องไล่หรอกค่ะ เพชรกำลังจะไปอยู่แล้ว เพชรจะไปมีชีวิตใหม่แบบที่มีความสุขที่สุดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ไม่ต้องอยู่อย่างอดๆอยากๆเหมือนที่อยู่กับพี่ด้วย พี่เผ่าคอยดูละกัน’ เธอประกาศเจือสะอื้นปนรอยน้ำตา

ถ้อยคำที่ตอกย้ำลงไปตรงปมด้อยซึ่งเขารู้ว่าคงไม่มีวันลบล้างจากใจทำให้ชายหนุ่มขาดสติจนหน้ามืด ถ้าไม่ใช่เพราะคนพูดเป็นแพรวเพชร เขาคงจะฟาดปากสามหาวนั่นเข้าแน่ๆ ดวงตาทั้งคู่ของชายหนุ่มลุกโชนราวกองเพลิง คำดูหมิ่นนั้นกระชากทุกสติยับยั้งชั่งใจของเขาจนหมดสิ้น วินาทีนั้นสิ่งเดียวที่อยู่ในห้วงความคิดคือ จะต้องตอบโต้ให้อีกฝ่ายเจ็บปวดที่สุดเพื่อความสาสมใจเท่านั้น

‘เชิญเลย อยากไปมั่วกับใครที่ไหน จะไปมีใครใหม่อีกกี่คนก็เชิญตามสบาย บอกไว้เลยนะว่าไปแล้วไม่ต้องกลับมาให้เห็นอีก ของที่ทิ้งแล้วฉันไม่เก็บมาใช้ซ้ำ!’

หญิงสาวโผเข้ามาทุบเขาอย่างรุนแรง เสียงกรีดร้องและน้ำตาที่ทะลักทะลายจากดวงตาคู่นั้นช่างมากมายจนเผ่าภาคินแทบไม่อยากหายใจ แต่ความโกรธทำให้เขาปัดความรู้สึกเหล่านั้นทิ้ง เลือกถ้อยคำที่ประหัตประหารความรู้สึกอีกฝ่ายด้วยความสะใจ

‘ฉันปรนเปรอให้ไม่อิ่มหนำหรือยังไง ถึงต้องหาข้ออ้างกลับไปหาของเก่าๆกินน่ะ ทุเรศ’ เขายืนนิ่งให้เธอประทุษร้ายโดยไม่รู้สึกอะไรสักนิด เสียงร้องไห้ของเธอกรีดลงในใจจนเขาจำได้แต่ความชืดชาที่ร้าวไปตลอดทั้งตัว

‘ใช่ พี่น่ะมันห่วยแตก ไม่ได้เรื่องเลย ไม่เคยรู้ตัวเลยหรือ’ หญิงสาวตะโกนสาดน้ำมันลงในกองเพลิง ไม่ว่าเธอจะกระทำด้วยความโกรธหรือเหตุผลอื่น เผ่าภาคินพบว่านั่นเป็นเรื่องที่หยามศักดิ์ศรีลูกผู้ชายจนแทบทนไม่ได้

ชายหนุ่มผลักแพรวเพชรออกห่าง รู้หรอกว่าเธอคงไม่เจ็บ เพราะเขาเจตนาให้เธอเซไปทางที่มีนราธิปรอรับอยู่แล้ว ไอ้หน้าโง่ที่รอรับเดนจากเขา!

‘นังแพศยา’ เผ่าภาคินคำรามด้วยความฉุนเฉียวที่มิอาจควบคุม ทั้งที่โกรธ แต่เขาไม่เคยทำร้ายผู้หญิง โทสะซึ่งไม่มีที่ระบายบังคับให้เขาไปลงกับข้าวของ ชายหนุ่มกวาดทุกอย่างใกล้มือราวพายุ หยิบบางชิ้นอัดขว้างเข้าใส่ผนังเหมือนคนบ้า เขาจำไม่ได้แน่ชัดหรอกว่าใช้คำประณามไหนกันแน่ แต่เชื่อว่าความหมายคงไม่ต่างกันมากนัก

‘เพชรเกลียดพี่เผ่า เพชรเกลียดพี่เผ่าที่สุด’ เสียงสะอื้นโหยหวนนั้นพร่ำคร่ำครวญอยู่แค่คำเดียว นราธิปยึดต้นแขนทั้งสองข้างรั้งหญิงสาว ขณะแพรวเพชรดิ้นรนสุดแรง ไม่กลัวพายุโกรธของเขาสักนิด ทั้งยังพยายามจะโผเข้ามาทำร้ายร่างกายเขาอีก เสียงสุดท้ายที่เผ่าภาคินได้ยินดังก้องมาจากช่องประตูที่คนทั้งคู่ลับกายไปแล้ว ทำให้เขาแทบยืนนิ่งราวกับสิงโตหินที่ไร้ความรู้สึก เขาจำประโยคนั้นได้...ขึ้นใจ

‘คนใจร้ายอย่างพี่ มันน่าจะตายๆไปซะ!’

และนั่น...คือครั้งสุดท้ายที่เขาได้พบกับแพรวเพชร

เขาจำไม่ได้ว่าเข้าไปในห้องนอนได้อย่างไร แล้วก็ต้องพบกับความเงียบงัน เพราะเธอเก็บของออกไปตั้งแต่เมื่อไรก็สุดรู้ เกือบสี่ทุ่มคืนเดียวกันนั้นเอง เผ่าภาคินไปสนามบินเพื่อรับมารดาที่เดินทางมาซิดนีย์ตามที่เขาขอร้อง

ท่านมาช้าไปแค่...ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้นเอง

แผนเซอร์ไพรส์ที่ถูกเลื่อนออกไปไม่มีกำหนดกลายเป็นแผนชีวิตที่ไม่มีวันเป็นจริง เมื่อกลางดึกคืนนั้น...พระเพลิงเผาผลาญทุกสิ่งจนวอดวาย สิ่งที่เหลือทิ้งไว้ไม่ใช่แค่เถ้าถ่านของควันไฟและข้าวของพังยับเยิน แต่มันคือเศษซากของสองชีวิตที่แทบไม่มีแรงจะหายใจต่อไป มารดาเขาถูกไฟคลอกอาการสาหัส ส่วนเขา...แผลถูกแทงด้วยมีดปลายแหลมนับสิบที่ใต้ราวนมซ้ายผ่านปอดไป อีกนิดเดียวก็จะทะลุถึงหัวใจแล้ว

แม้สติจะเลื่อนลอยเต็มที เรี่ยวแรงถดถอยจนแทบไม่เหลือกำลังสู้ต่อ แต่เผ่าภาคินก็รวบรวมเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายฝืนสังขารฝ่าเปลวเพลิงร้อนระอุเข้าไปช่วยแม่ที่ถูกไฟติดตามเสื้อผ้าลุกโหมไปทั้งตัว ล้มลุกคลุกคลานลากท่านออกมาถึงแค่ชานพัก แล้วก็ร่วงลงกองอยู่ตรงนั้น

จมูกของเขาแสบร้อนไปหมด อาการเจ็บที่ชายโครงปวดร้าวราวกับร่างกายถูกทึ้งเป็นชิ้นๆ ลมหายใจแผ่วลงเรื่อยๆ ขณะเลือดรินออกจากปากแผลทะลักทะลาย อย่าว่าแต่จะกดบาดแผลห้ามเลือดเลย เขาไม่มีแม้เรี่ยวแรงจะกระดิกนิ้วด้วยซ้ำ ภาพสุดท้ายที่ชายหนุ่มเห็นก็คือ เสาเตียงที่เพลิงลุกโรจน์ล้มลงมาเฉียดใบหน้าของภาณีไปเล็กน้อย เขาเห็นกับตา แต่ไม่สามารถขยับตัวช่วยเหลือทั้งแม่และตนเองได้เลย กลิ่นเนื้อไหม้เหม็นติดจมูก และในที่สุดเขาก็ทนพิษบาดแผลไม่ไหว หมดสติไป

เมื่อฟื้นได้สติมาอีกครั้ง ข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์บอกให้รู้ว่า ตำรวจพบศพชายชาวเอเชียในห้องพักของเขา แต่เพราะไฟโหมร่างไร้สติของหมอนั่นรุนแรงตลอดหลายชั่วโมงกว่าจะควบคุมเพลิงไว้ได้ เถ้ากระดูกที่เหลือจึงไม่สามารถพิสูจน์อัตลักษณ์ยืนยันตัวผู้ตายได้ คนต่างชาติในออสเตรเลียไม่มีประวัติทันตกรรม จึงยิ่งเป็นเรื่องยากที่จะเทียบว่าผู้เสียชีวิตเป็นใคร เมื่อสิ่งเดียวที่พอจะระบุตัวตนของร่างไร้วิญญาณคือเอกสารที่เจ้าของบ้านเช่ามี เจ้าหน้าที่ชันสูตรจึงสรุปว่าผู้ตายคือเผ่าภาคิน

เขาถูกนำส่งโรงพยาบาลโดยไม่มีบัตรประจำตัวใดๆ การเป็นคนตัวเปล่าในต่างแดนมานานทำให้ไม่มีใครมาเยี่ยม กว่าเผ่าภาคินจะรู้ตัวว่าเขาตายไปแล้วในทางกฎหมายและจัดการแก้ไขข้อเท็จจริงให้ถูกต้อง ข่าววางเพลิงอพาร์ตเมนต์เล็กๆก็ถูกลืมเลือน ไม่มีนักข่าวคนใดสนใจติดตามทำข่าวอีกว่าเจ้าของห้องเช่าตัวจริงยังมีชีวิตอยู่

สองเดือนถัดมาเขานอนนิ่งทอดอาลัยอยู่บนเตียงคนเจ็บ อาการของแม่สาหัสจนท่านต้องอยู่ในห้องปลอดเชื้อและทำการผ่าตัดอีกหลายสิบครั้งตลอดเวลาที่ทำการรักษาตัว

แม้จะผ่านมานานแล้ว แต่เผ่าภาคินไม่เคยลืมเหตุการณ์คืนนั้น หลายค่ำคืนที่เขายังฝันร้าย ภาพกองเพลิงตามหลอกหลอนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขณะเหตุการณ์ก่อนเกิดเหตุผุดขึ้นในความทรงจำสุดท้ายก่อนเข้าสู่นิทราบ่อยครั้ง

คืนที่แพรวเพชรจากไป เผ่าภาคินนอนไม่หลับ กระสับกระส่ายแทบตลอดคืน เพียงเสียงแกรกกรากเล็กน้อยก็ผวาลุกขึ้นมองหา หวังทุกครั้งให้นั่นคือเธอ กว่าค่อนคืนที่เขานอนหลับๆตื่นๆ ตอนที่งัวเงียลืมตาขึ้นเพราะเตียงยวบลง เขายังคิดว่านั่นคือหญิงสาวด้วยซ้ำ

แม้เพิ่งตื่น สติยังไม่สมบูรณ์ แต่เขากลับได้กลิ่นแปลกๆฟุ้งกระจายอยู่รอบกาย เมื่อพยายามมองฝ่าความมืดไปรอบๆ จึงเห็นเงาร่างหนึ่งตระหง่านเงื้อมอยู่ข้างๆ ความบึกบึนของรูปร่างนั้นบอกให้รู้ว่าไม่ใช่แพรวเพชร แรกทีเดียวเขาเข้าใจว่าคือโจรที่งัดแงะเข้ามาขโมยของ แต่เมื่อมีดปลายแหลมถูกเสือกผ่านผิวเข้ามาจนมิดด้ามเป็นครั้งแรก เขาจึงรู้...ว่านี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

‘มึงยุ่งกับผู้หญิงของนายกู ไอ้เดนคนสกปรก’ เขาจับใจความสิ่งที่ได้ยินแค่รางๆ แต่จำภาษาอังกฤษสำเนียงคนจีนที่ฟังยากเย็นประโยคนั้นได้จนถึงทุกวันนี้

‘คนใจร้ายอย่างพี่ มันน่าจะตายๆไปซะ!’

แม้ในช่วงเวลาของความเป็นความตาย ถ้อยคำนั้นกลับหวนมาให้ระลึกถึงอย่างชัดเจนใจจนเหลือเชื่อ แพรวเพชรช่างเลือดเย็นนัก เธอไม่รอให้ข้ามคืนด้วยซ้ำที่จะกำจัดเขาออกจากชีวิต!

ความเกลียดชัง ผิดหวัง ทำให้เขาฮึดสู้สุดใจ ไม่ยอมตายให้สมใจใครง่ายๆ แม้บาดแผลจะเจ็บหนึบ แต่เขาไม่ยอมแพ้ ยกมือขึ้นพยายามป้องกันตัวเอง ชายหนุ่มจำเหตุการณ์ชุลมุนนั้นได้ไม่แน่ชัดนักว่าเอาตัวรอดและล้มผู้บุกรุกลงอย่างไร เลือนๆว่าน็อกมันหลับกลางอากาศ แล้วรีบคลานหนีไปช่วยแม่

สิ่งเดียวที่แจ่มชัดในความทรงจำก็คือ ทุกๆรอยนูนเป็นขีดยาวเหนือชายโครงที่พาดกันไม่มีระเบียบหมายถึงการจ้วงแทงเข้าไปในแต่ละครั้ง ความเจ็บในวินาทีที่มีดผ่านเนื้อเข้ามายังไม่เท่ากับรอยชืดชาที่หลงเหลือไว้ในหัวใจ เทียบกันไม่ได้เลย...แม้แต่นิดเดียว การต้องยอมรับว่าแพรวเพชรเลือกคู่หมั้นผู้สมบูรณ์แบบ ยังไม่ทรมานเท่ากับการต้องทำความเข้าใจว่าเขาคือส่วนเกินในชีวิตที่เธอและผู้ชายคนนั้นต้องรวมหัวกันกำจัดให้พ้นทาง

หลังออกจากโรงพยาบาล เขาพาแม่ย้ายไปรักษาตัวที่เมืองแคนเบอร์รา และเริ่มต้นหางานใหม่ทำ จากการเป็นพนักงานเตรียมเอกสารในบริษัทประกอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เขาเห็นตัวเลขที่บริษัทต้องจ่ายเพื่อสั่งซื้อแผงวงจรมาใช้ และคิดว่าเขาหาของทดแทนได้ในราคาที่ถูกกว่ามาก

เผ่าภาคินเริ่มมองเห็นช่องทางธุรกิจ จึงตัดสินใจสั่งตัวอย่างชิ้นส่วนจากเมืองไทยซึ่งราคาต่ำกว่าของที่ทำในออสเตรเลียมาเสนอขายให้กับบริษัท พระเจ้าท่านคงเมตตาเพราะเห็นว่าเขาเผชิญชะตากรรมเลวร้ายมามาก เพียงจับงานสั่งสินค้าจากเมืองไทยไปขายผ่านมือครั้งแรก เขาก็ทำกำไรได้เกือบหนึ่งพันเหรียญ ความสำเร็จที่เกิดขึ้นทำให้เขาตัดสินใจเสี่ยงลาออกจากงาน มุเขียนแผนธุรกิจนำเสนอต่อธนาคารเพื่อขอกู้เงินมาลงทุนทำกิจการเป็นเรื่องเป็นราว ไม่มีใครยอมปล่อยสินเชื่อให้แม้แต่เซ็นต์เดียว สุดท้ายเขาจึงติดต่อขอเข้าพบวินเซนต์ ลักกี้ ชาร์ลี เจ้าพ่อเงินกู้รายใหญ่ของมลรัฐนิวเซาท์เวลล์

แม้จะต้องจ่ายดอกเบี้ยในอัตรามหาโหด แต่เงินหนึ่งหมื่นเหรียญแรกก็ยังคงงอกเงยขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาใช้ความสามารถทางคอมพิวเตอร์ช่วยงาน ‘เล็กๆน้อยๆ’ ของแก๊งอยู่ไม่นาน ก็รวบรวมเงินได้มากพอเปิดบริษัทคอมพิวเตอร์ของตนเองได้สำเร็จ

คนของวินเซนต์ส่งงานมาให้เขามากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้การเติบโตของบริษัทเป็นไปในทิศทางน่าทึ่ง เมื่อรวมกับที่วินเซนต์แนะนำเขาให้ผู้มีอิทธิพลอีกหลายรายรู้จัก ทำให้พาร์กิ้นอินเตอร์เนชันแนลกลายเป็นพันธมิตรและเป็นตัวเลือกแรกของบรรดาแก๊งสเตอร์ทั้งหลาย

งานของเขาคือดูแลระบบคอมพิวเตอร์ ติดตั้ง ควบคุมหน่วยรักษาความปลอดภัย ให้คำแนะนำและแก้ปัญหาด้านเทคโนโลยี โดยไม่เกี่ยวข้องกับภารกิจผิดกฎหมายใดๆ

มือใหญ่แข็งแรงเลื่อนไปตามรอยผิวหนังนูนเหนือชายโครงด้านซ้ายผ่านเสื้อเชิ้ตอย่างใจลอย ปลายนิ้วโป้งไล้วนไปมาจากรอยแรก ไล่เรียงไปบนรอยที่สอง ที่สาม ที่สี่ เรื่อยไปจนย้อนกลับมายังจุดเริ่มต้น คล้ายเป็นความเคยชินที่จะทำเช่นนั้นในยามเผลอไผล

ชื่อจอมขวัญที่แพรวเพชรเอ่ยออกมากระตุ้นเตือนลางสังหรณ์ว่า หญิงสาวน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ บางทีหากเขาหาตัวเธอพบ เขาอาจจะเข้าใจเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นอย่างละเอียดก็เป็นได้

เผ่าภาคินตัดสินใจฉับไว เขาหยิบโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋าเสื้อ กดเรียกผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตไปที่ออสเตรเลีย ออกปากตรงไปตรงมาทันที “วินเซนต์ ผมมีเรื่องอยากขอความช่วยเหลือ”

“มีอะไรก็ว่ามาเลยเพื่อน ฉันยินดีช่วยเท่าที่ทำได้อยู่แล้ว” ปลายสายรับคำง่ายดายเหมือนทุกครั้ง

“ผมต้องการตามหาตัวผู้หญิงไทยคนนึง เดี๋ยวจะส่งรูปไปให้ดู ผมพบเธอครั้งสุดท้ายเมื่อสี่ปีก่อน แล้วจู่ๆวันนึงเธอก็หายตัวไปโดยไร้ร่องรอย ผมอยากรู้ว่าตอนนี้เธอทำอะไร อยู่ที่ไหน และอยู่กับใคร”

“นายรู้ใช่ไหมว่าจะต้อง ‘จ่าย’ สำหรับงานแบบนี้”

“ผม ‘จ่าย’ ไปเยอะแล้วนะวินเซนต์ ครั้งนี้ถือเป็นการช่วยเหลือกันฉันมิตรเถอะ”

เสียงหัวเราะก้องดังลอดออกมาจากลำโพงเล็กๆของโทรศัพท์

“ไม่มีใครกล้าพูดแบบนี้กับวินเซนต์ ลักกี้ ชาร์ลี นะ นายเป็นคนแรกจริงๆ ตกลง ฉันจะจัดการให้”

“ขอบคุณมากวินเซนต์”

“ฉันไม่รับคำขอบคุณ เพื่อนฉันกำลังจะเปิด ‘บริษัท’ ใหม่ที่โกลด์โคสต์ นายส่งคนเก่งๆไปจัดการระบบคอมพ์ที่นั่นให้ด้วย ส่งบิลเรียกเก็บมาที่ฉันเหมือนเคย แล้วก็...อย่างที่นายรู้นะ พาร์กิ้น งานที่นายทำให้ฉันต้องเป็นความลับ”

“ผมจะจัดการให้ครับ” เผ่าภาคินวางสายลงด้วยความหนักใจระคนพึงพอใจ เขาต่อสายอีกครั้งเรียกไปยังผู้อำนวยการฝ่ายการเงินที่บริษัทในแคนเบอร์ราเพื่อสั่งการตามคำร้องขอของวินเซนต์ ปลายสายฟังด้วยอาการสงบ คอยจนเขาจบประโยคแล้วจึงเอ่ยถาม

“เรามาไกลเกินกว่าจำเป็นจะต้องพึ่งพา ‘คนพวกนี้’ แล้วนะพาร์กิ้น คุณน่าจะหาวิธีประนีประนอมกับเขา ส่งงานของ ‘พวกแก๊ง’ ไปให้บริษัทอื่นทำแทน เรากำลังเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงทั้งที่ไม่จำเป็นเลย”

“คุณก็รู้ว่าเมื่อขึ้นหลังเสือแล้วเราลงไม่ได้ อีกอย่าง...คนจีนเคยพูดกันเอาไว้ว่า บุญคุณต้องทดแทน พาร์กิ้นอินเตอร์เนชันแนลจะมีวันนี้ไม่ได้เลย ถ้าไม่ใช่เพราะวินเซนต์หยิบเงินก้อนแรกมาให้เรากู้เพื่อเปิดบริษัท”

“คุณผิดแล้วละพาร์กิ้น เรากู้เขามาและจ่ายคืนทุกเหรียญ ทุกเซ็นต์ ทุกเพนนี ดอกเบี้ยแพงกว่าปกติด้วยซ้ำ เมื่อพวกนั้นได้ดอกเบี้ยครบทุกบาททุกสตางค์ ก็ไม่มีบุญคุณอะไรเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แล้ว”

“คนชาติอื่นคงต่างกับคนไทยตรงนี้ละ เราไม่ตีคุณค่าของน้ำใจเป็นตัวเงิน เมื่อใครให้โอกาสในยามที่เราตกต่ำ เราจะจำน้ำใจและความเมตตาของเขาไว้ตลอดไป งานของวินเซนต์ครั้งนี้ผมเดาว่าคงเป็นกาสิโนมั้ง ถ้าเปิดถูกกฎหมาย เราก็ถือว่าทำงานบริสุทธิ์ คุณอย่าคิดมากเลย ส่งทีมบีไปจัดการ หมอนั่นรู้ว่าต้องทำยังไงบ้าง และต้องรับมือกับพวกแก๊งยังไง คุณแค่คอยตามงานให้ผมก็พอ”

ฝรั่งผมทองตัวโตยักไหล่ สีหน้าไม่เห็นด้วยฉายชัดผ่านกล้องโทรศัพท์มือถือ แต่เขาก็ยังตอบรับ “ตามใจคุณละกัน คุณเป็นเจ้านายนี่ สั่งยังไง ผมก็ต้องทำอย่างนั้น”

เผ่าภาคินหัวเราะหึๆ สนทนาด้วยเรื่องสัพเพเหระอีกสองสามคำ แล้ววางสายไปด้วยอารมณ์ที่ผ่องใสกว่าตอนก้าวเข้าในห้องนี้ราวกับเป็นคนละคน!
.
.
.
.
.
แพรวเพชรลงจากรถด้วยความแปลกใจ เมื่อเห็นรถบรรทุกขนาดใหญ่จอดอยู่ใกล้อาคารสำนักงาน ทั้งยังมีพนักงานกำลังขนข้าวของเข้าไปในออฟฟิศของคิวปิดแอสซิสแทนซ์ขวักไขว่ หญิงสาวก้าวเข้ามาในตัวตึกแล้วก็ต้องแปลกใจยิ่งขึ้น เมื่อเห็นรอยยิ้มพราวประดับอยู่บนทุกใบหน้า ขณะรอยริษยาแต้มอยู่ในสายตาทุกคู่ที่มองมายังเธอ

ไม่รอให้ข้องใจนานไปกว่านี้ แพรวเพชรแวะไปที่ห้องทำงานของอิงอรุณทันที เธอวางกระเป๋าและของที่ถือติดมือมาไว้บนโต๊ะหน้าโซฟา แล้วมายืนหน้าโต๊ะทำงานของเจ้าของห้อง “เกิดอะไรขึ้นน่ะอิง สั่งของอะไรมาเหรอ”

อิงอรุณละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ หันมาสบตากัน ก่อนจะตั้งคำถาม “รู้จักร้านนากามูระส์ไหม”

“อืม...รู้จักสิ ถามทำไมล่ะ” ชื่อที่เพื่อนเอ่ยถึงคือร้านอาหารญี่ปุ่นประยุกต์ชื่อดังที่สุดในซิดนีย์

“นั่นแหละ...นากามูระส์ย้ายครัวมาทำอาหารที่นี่ เขารอเสิร์ฟเธออยู่” อิงอรุณตอบเสียงเรียบ

คนฟังอ้าปากค้าง ไม่แน่ใจว่าได้ยินสิ่งใดผิดพลาดหรือไม่ “อิงว่าอะไรนะ”

“ก็ว่าอย่างที่ว่านั่นแหละ” เพื่อนเล่นลิ้น “อย่าบอกนะว่านี่เป็นอีกความฝันนึงของเพชร เหมือนไอ้กระเป๋าหลุยส์ วิตตอง นั่นน่ะ”

แพรวเพชรทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ใกล้ตัวอย่างสิ้นเรี่ยวแรง พลางยกมือขึ้นกุมศีรษะ ดวงตาเบิกโพลงคล้ายไม่เชื่อหูตัวเอง “เขาบ้าไปแล้วแน่ๆ”

“ที่บ้าไปกว่านั้นก็คือ...เขายกครัวของภัตตาคารนั่นมาปรุงอาหารให้เธอถึงที่นี่ได้ยังไง นากามูระส์นะเพชร! ไม่ใช่ร้านเจ๊ดาปากซอย”

แพรวเพชรแหงนศีรษะทิ้งลงพิงพนัก สายตาเหม่อมองฝ้าเพดานอย่างกลัดกลุ้ม ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสิ่งที่อิงอรุณคาดนั้นถูกเผง หลายปีก่อนตอนอยู่ซิดนีย์เธอเคยใฝ่ฝันอยากรับประทานอาหารที่ร้านนี้ คนรักในเวลานั้นกอดเธอไว้ บอกแค่ว่า...

‘วันนี้พี่ยังไม่มีปัญญาพาเพชรเข้าร้านแบบนี้ แต่สักวันพี่สัญญาว่าจะต้องให้เพชรได้ชิมอาหารฝีมือเชฟนากามูระแน่นอน’

เผ่าภาคินต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ นั่นเป็นความฝันของเด็กสาวคนหนึ่งเมื่อสี่ปีก่อนโน้น ไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการในวันนี้สักนิด!

หญิงสาวหลับตาลงอย่างอ่อนล้า แม้จะรังเกียจความจริงที่ฟุ้งขึ้นในใจ แต่ก็จำต้องยอมรับว่า แวบหนึ่งคือความดีใจ...เธอดีใจที่เผ่าภาคินยังจำเรื่องราวเกี่ยวกับเธอได้! ผู้ชายใจร้ายคนนั้นไม่ลืมว่าเธอเคยพูดอะไรเอาไว้

แพรวเพชรยิ้มขื่น จะดีแค่ไหนถ้าเรื่องราวที่เกิดขึ้นจะยกโทษให้กันได้ง่ายๆ แต่นี่...เขาทำร้ายเธอกับลูกไว้เจ็บปวดเหลือแสน ต่อให้ต้องตาย เธอก็ไม่มีวันให้อภัยสิ่งที่เผ่าภาคินเคยทำ

เจ้าของเรือนร่างสูงโปร่งผุดลุกขึ้นทันที “เราจะไปบอกให้พวกเขากลับไปให้หมด”

“คิดว่าอิงไม่ได้พยายามทำอย่างนั้นแล้วเหรอ” อิงอรุณย้อนด้วยท่าทีเหนื่อยใจ “พวกข้างนอกนั่น...ไม่ฟังคำสั่งใครทั้งนั้น ยืนกรานแต่ว่าต้องปฏิบัติภารกิจให้ลุล่วง หน็อย...มีการขนโต๊ะในห้องประชุมออกด้วยนะ แล้วเอาโต๊ะตัวเองมาจัดวางเรียบร้อย ตกแต่งบรรยากาศห้องประชุมของเราใหม่ซะจนแทบไม่เหลือคราบเดิมเลย”

“นี่มันบุกรุกกันชัดๆนะอิง”

“ถ้าเพชรอยากจะลองงัดข้อกฎหมายมาเล่นกับเขา จะลองดูก็ได้นะ เขามีทนายความมาด้วยเสร็จสรรพ”

แพรวเพชรอ้าปากค้างอีกคำรบ “อะไรนะ!”

“เขาพร้อมจะถูกฟ้องสำหรับการทำแบบนี้ แถมอีตาทนายนั่นยังบอกอีกด้วยว่า ขอแค่จัดการให้มื้ออาหารเสิร์ฟตามที่นายเขาสั่งได้ในวันนี้ก็พอ ถ้าจะต้องถูกฟ้องร้องเขาก็ยอม เพราะกว่าเรื่องจะไปถึงขั้นตอนที่ว่านั่นก็ต้องอีกเป็นเดือนเลย”

“งั้นก็แจ้งความสิ” แพรวเพชรยังดื้อดึงจะเอาชนะ

“คุณตำรวจไม่รับแจ้ง เพราะอีตาทนายนี่ยืนยันว่าไม่ใช่การบุกรุก แค่คนเป็นแฟนกันอยากสร้างความประทับใจให้กันเท่านั้น”

แพรวเพชรไม่ได้อ้าปากค้าง มิได้ลืมตาโพลง ไม่มีอาการตกตะลึง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคืออาการโกรธจนแทบควันออกหู ใบหน้าแปรเป็นสีแดงก่ำ มือทั้งสองข้างกำแน่น

“แฟนบ้าบออะไร นี่มันจะมากเกินไปแล้วนะ” เสียงคำรามดังแทบไม่พ้นคอ บอกให้รู้ว่าอารมณ์เจ้าตัวมาถึงขีดสุดแล้ว “ผู้ชายคนนี้คิดว่าตัวเองเป็นใคร นึกจะทำอะไรก็ได้งั้นเหรอ เขาไม่ใช่เทพเจ้าที่จะชี้นิ้วบงการชีวิตใครได้ทั้งหมดหรอกนะ ถ้าไม่เคยมีใครขัดใจเขา อย่างน้อยวันนี้เราจะแสดงให้รู้เองว่าเขาบังคับใครที่นี่ไม่ได้!”

แพรวเพชรถลันจากห้องทำงานของเพื่อนอย่างรวดเร็ว เดินแกมวิ่งไปยังห้องประชุมใหญ่อันมีผู้คนเข้าออกเป็นระยะ เธอผลักประตูก้าวเข้าไป เตรียมอาละวาดเต็มที่ แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อห้องสีเหลืองติดลายดอกไม้น่ารักตามสไตล์ของบริษัท บัดนี้ถูกเปลี่ยนโฉมด้วยฉากสีขาว มีขาตั้งสูงมาจัดวางกระถางดอกไม้ไว้เป็นระยะ ผนังหน้าต่างติดมู่ลี่สีขาว ระเบียงที่เคยว่างเปล่ามีต้นไม้จัดวางตามแบบแผน มองปราดแรก บรรยากาศตรงหน้าช่างเหมือนกับร้านอาหารชื่อดังที่ซิดนีย์ราวกับวาด!

หญิงสาวมัวแต่ยืนตะลึง จึงไม่ทันเห็นผู้ชายคนหนึ่งที่ตรงเข้ามาหาด้วยสีหน้าท่าทางสบายๆ แต่นอบน้อมในที “สวัสดีครับคุณแพรวเพชร ผมเป็นตัวแทนของคุณเผ่าภาคิน นำของขวัญมามอบให้แก่คุณแพรวเพชรครับ”

แพรวเพชรเม้มปากแน่น และใช้เวลาเพียงครู่เดียวในการโพล่งออกมา “ฉันไม่ต้องการรับของขวัญชิ้นนี้ค่ะ ช่วยกรุณานำมันกลับไปด้วย”

“ขออภัยครับ ผมไม่สามารถทำตามที่คุณสั่งได้ ผมไม่มีอำนาจตัดสินใจขนาดนั้น”

หญิงสาวกลอกตาไปมา “งั้นคุณโทร.เรียกเจ้านายคุณมาที่นี่เดี๋ยวนี้เลย”

“เกรงว่าจะไม่ได้หรอกครับ คุณเผ่ามีประชุมสำคัญตลอดทั้งวัน”

คำตอบที่คาดไม่ถึงทำให้แพรวเพชรชะงักไปเล็กน้อย เธอคาดว่าผู้ชายเอาแต่ใจคนนั้นจะต้องยัดเยียดตัวเองมารับประทานอาหารมื้อพิเศษนี้กับเธอเสียอีก “หมายความว่าฉันจะเชิญใครมาร่วมรับประทานอาหารมื้อนี้ด้วยก็ได้งั้นเหรอ ช่างเป็นความกรุณาที่น่าซาบซึ้งใจเหลือเกินนะ” คนพูดประชดเสียงแข็ง

“ใช่ครับ คุณเผ่าสั่งให้ทางซิดนีย์เตรียมวัตถุดิบสำหรับเสิร์ฟสิบห้าที่ ซึ่งคาดว่าน่าจะเพียงพอใช้รับรองพนักงานทั้งบริษัทของคุณแพรวเพชร และยังมีบางส่วนเหลือพอให้คุณเชิญแขกมาเพิ่มได้อีกด้วยครับ”

แพรวเพชรบิดริมฝีปากอย่างไม่รู้จะแสดงกิริยาใดจึงจะประกาศความหมั่นไส้ได้มากกว่านี้

“สิบห้าที่! กลัวคนไม่รู้หรือไงว่ารวยน่ะ” คงเพราะมันคือหนึ่งในรายการความฝัน หญิงสาวจึงจำได้แม่นยำว่า อาหารหนึ่งคอร์สที่ร้านนากามูระส์เสิร์ฟทีละจานจนครบ ๑๐ เมนู ค่าบริการต่อหัวตกสองร้อยห้าสิบดอลลาร์ออสเตรเลียหรือเกือบแปดพันบาทต่อคน แล้วนี่เผ่าภาคินสั่งให้ยกครัวจากซิดนีย์มาประกอบอาหารที่นี่สดๆ ไหนยังจะต้องขนบุคลากร วัตถุดิบ เครื่องครัว และอุปกรณ์ตกแต่งสถานที่ข้ามน้ำข้ามทะเลมาพร้อมสรรพอย่างนี้อีก แน่นอนว่าค่าใช้จ่ายย่อมต้องเพิ่มทวีคูณขึ้นจากเดิมอย่างประมาณไม่ได้ แค่ค่าอาหารประการเดียวก็หลักแสนแล้ว ดีไม่ดีเขาอาจต้องจ่ายถึงหกหลักกลางๆเพื่อทำทุกอย่างได้สมบูรณ์แบบเช่นนี้ แต่...เขาต้องทำขนาดนั้นเพื่ออาหารแค่มื้อเดียวเนี่ยนะ ผู้ชายคนนั้นต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ!

“คุณเผ่าฝากนี่มาให้คุณแพรวเพชรด้วยครับ” ชายหนุ่มค้อมศีรษะนิดๆ หยิบเครื่องไอแพดมาเปิดไฟล์วิดีโอส่งให้เธอ แล้วเดินออกจากห้องไป ทั้งยังปิดประตูตามหลังเพื่อให้เธอได้มีความเป็นส่วนตัวอีกด้วย

เจ้าของบริษัทคิวปิดแอสซิสแทนซ์ลากเก้าอี้ใกล้ที่สุดออกมานั่ง แล้วเริ่มต้นกดไฟล์วิดีโอให้เริ่มเล่น ไม่ใช่ภาพเคลื่อนไหวของ ‘ผู้ชายบ้าๆ’ คนนั้นดังคาด แต่...เสียงดนตรีที่ลอดออกมาทำให้แพรวเพชรตะลึงตัวแข็ง

ฉันรักเธอ...รักเธอด้วยความไหวหวั่น
ว่าสักวัน...ฉันคงถูกทอดทิ้ง
ไม่นานเท่าไร แล้วเธอก็ไปจากฉันจริงๆ
เธอทอดทิ้ง...ให้อาลัยอยู่กับความรัก
แม้นมีปีก...โผบินได้เหมือนนก
อกจะต้องธนูเจ็บปวดนัก
ฉันจะบินมาตายตรงหน้าตัก
ให้ยอดรักเช็ดเลือด...และน้ำตา

วิดีโอที่ประกอบกับเสียงครวญกรีดหัวใจคือภาพถ่ายของเธอครั้งสมัยยังศึกษาอยู่ออสเตรเลียสลับกันขึ้นมาบนหน้าจอ ส่วนใหญ่เป็นรูปเดี่ยว มีบ้างที่เป็นรูปคู่ ความสุขฉายฉานจากภาพทุกใบ โลกในวันนั้น...สุขจนเกินสุข หวานจนเกินหวาน...

หยาดน้ำตาร้อนๆเอ่อขึ้นตรงขอบตา และแพรวเพชรก็ปล่อยให้มันรินลงมาช้าๆ ลมหายใจขาดเป็นห้วงเมื่อเจ้าตัวสะอื้นรุนแรง เจ็บตรงหัวใจคล้ายถูกหลาวแหลมปักลงช้าๆ เมื่อจำได้ว่าทุกภาพที่เห็นอยู่นั้น...ใครที่อยู่หลังเลนส์อีกฟากหนึ่ง

ความเข้มแข็งถูกละลายอย่างรวดเร็ว และนั่นทำให้แพรวเพชรเกลียดตัวเองที่สุด โดยเฉพาะเมื่อเธอเชื่อสนิทใจว่าเผ่าภาคินไม่เคยรักเธอน้อยลงเลยสักนิด ไม่ต่างจากความรู้สึกใดๆก็ตามที่เธอยังมีเหลือไว้ให้เขาเช่นกัน

ยิ่งเมื่อพยายามละสายตาจากจอภาพ เธอจึงรู้ว่าคิดผิด เพราะบรรยากาศรอบด้านยิ่งฉุดรั้งให้กลับคืนสู่วันวานในอดีตได้ง่ายดาย รอยสัมผัสอบอุ่นจากใครบางคนที่โอบรัดเธอไว้ขณะยืนหน้าร้านอาหารชื่อดัง แบ่งปันความฝัน ผูกพันกันและกันด้วยคำสัญญา ยังแจ่มชัดในความทรงจำ

หญิงสาวยกมือกดที่หน้าอกเบื้องซ้ายแน่น แต่รอยรวดร้าวกลับไม่ทุเลาอาการลงเลย มันเจ็บอย่างที่เคยเจ็บ ปวดเหมือนที่เคยปวด และเหนืออื่นใดทั้งหมด เธอสวดภาวนาขอพรจากเทพเทวาทุกพระองค์ ปรารถนาให้ทุกสิ่งที่เคยเกิดเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิด หวังให้มีปาฏิหาริย์ใดก็ได้อุบัติขึ้น เพื่อที่เธอจะได้ยกโทษให้ผู้ชายคนนั้นและรักเขาได้ดังเดิม!

แพรวเพชรวางเครื่องไอแพดบนโต๊ะ ซบหน้ากับฝ่ามือ ร้องไห้ด้วยความอัดอั้นตันใจ และเมื่อความอดทนทวีถึงขีดสุด หญิงสาวจึงผลุนผลันลุกขึ้น ผลักประตูห้องประชุม เดินแกมวิ่งออกจากสำนักงานไปที่รถ มือที่ล้วงกุญแจจากกระเป๋ากางเกงสั่นนิดๆ และเพียงติดเครื่องได้ เลกซัสสีขาวก็พุ่งออกไปราวธนูหลุดจากแล่ง
.
.
.
.
.
การประชุมระดับผู้บริหารของพาร์กิ้นอินเตอร์เนชั่นแนลกำลังดำเนินไปอย่างดุเดือด นอกจากเจ้าหน้าที่ทางเมืองไทยแล้ว ยังมีผู้เข้าร่วมประชุมจากทางออสเตรเลียอีกด้วย ไม่รู้ว่าควรขอบคุณเทคโนโลยีการสื่อสารผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตดีหรือไม่ ที่สามารถนำสีหน้าเคร่งเครียดของผู้อำนวยการฝ่ายบัญชีที่สำนักงานใหญ่ในแคนเบอร์รามาฉายบนหน้าจอได้คมชัดราวกับเจ้าตัวกำลังทำท่าทางหวาดวิตกอยู่ตรงหน้ากระนั้น

“ไตรมาสที่ผ่านมา รายได้รวมของบริษัทยังมีกำไรอยู่ก็จริง แต่นั่นเป็นเพราะผลกำไรสะสมตั้งแต่ต้นปี” คนพูดเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ “ถ้าดูเฉพาะไตรมาส มันติดลบจนไม่รู้จะลบยังไงแล้ว ฝ่ายวิจัยและพัฒนาถลุงเงินไปกับโครงการโทรศัพท์บ้านแนวคิดใหม่เกือบสี่ล้านเหรียญ นี่ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายเก่าๆอีกนะ ผม...”

ไฟสีแดงบนเครื่องรับโทรศัพท์กะพริบวาบ และเผ่าภาคินก็ยกมือห้ามคนบนหน้าจอที่ออสเตรเลีย “ผมมีสายด่วน คุณรอสักครู่นะ เดี๋ยวค่อยโวยต่อ”

ชายหนุ่มเอื้อมมือไปรับโทรศัพท์สายพิเศษ กรอกเสียงลงไปด้วยความรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ ผู้ช่วยส่วนตัวไม่เคยรบกวนเวลาในการประชุมสำคัญ การที่เธอขัดคำสั่งเรียกเข้ามาเช่นนี้ ย่อมต้องมีเรื่องไม่ปกติแน่นอน

“คุณการุณอยู่ในสายค่ะ ยืนกรานว่าต้องเรียนสายเจ้านายให้ได้ บอกว่าเรื่องด่วนจากคิวปิดแอสซิสแทนซ์”

เผ่าภาคินกำกระบอกโทรศัพท์แน่นโดยไม่รู้ตัว “โอนเข้ามาเดี๋ยวนี้เลย”

ปลายสายมีเสียงดังคลิก แล้วก็เงียบไปครู่หนึ่ง ตามด้วยน้ำเสียงเร่งร้อนของบอดี้การ์ดที่เขาส่งไปควบคุมงานสำคัญที่ต้องส่งมอบให้ถึงมือแพรวเพชร...

“หลังจากผมเอาไอแพดให้คุณแพรวเพชร เธอก็ร้องไห้ผลุนผลันออกจากสำนักงาน ขับรถออกไปไหนไม่ทราบ พนักงานในบริษัทวิ่งตามไปก็ไม่ทัน เห็นว่าไม่ได้เอากระเป๋าหรือโทรศัพท์ติดไปด้วยเลยสักอย่างครับ” ฝ่ายนั้นรายงานรวดเดียว กระชับ ชัดเจน และครอบคลุมทุกรายละเอียดที่จำเป็น

“มีใครตามไปหรือเปล่า รู้ไหมว่าปลายทางอยู่ที่ไหน”

“ผมสั่งคนติดตามไปแล้วครับ เดี๋ยวคงจะมีรายงานกลับมาว่าเธอไปที่ไหน”

“ได้ความยังไง บอกให้ผมรู้ทันทีนะ” เขาตัดสายแล้วหันกลับมาทางผู้ร่วมประชุมด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ผมมีธุระด่วนต้องไปจัดการ ขอเลื่อนการประชุมไปเป็นพรุ่งนี้ เวลาเดิม ปิดประชุมได้” เอ่ยจบคนตัวสูงในชุดสูทสีดำก็ก้าวพรวดกลับไปยังห้องทำงานส่วนตัวและถอดเสื้อนอกแขวนตาขอ ขณะโน้มตัวมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ มือหนึ่งควบคุมเมาส์ลากปราดๆชั่วครู่ แล้วสุดท้ายมือทั้งคู่ก็ทุบลงบนโต๊ะอย่างแรงเมื่อไม่พบข้อมูลที่ต้องการ

“บ้าชะมัด โทรศัพท์ก็ไม่เอาติดตัวไป ไม่รู้ป่านนี้จะเตลิดไปถึงไหนต่อไหนแล้ว” เจ้าของร่างสูงรูดเน็คไทออก โยนไว้ในลิ้นชัก พับแขนเสื้อรูดไว้ที่ข้อศอกลวกๆ พลางก้าวออกจากห้อง โดยแวะสั่งผู้ช่วยส่วนตัวแค่ “ยกเลิกนัดทั้งหมด ผมไม่รับสายไม่ว่ากรณีไหนทั้งสิ้น ใครมีธุระด่วน คุณนิดให้ฝากข้อความไว้ พรุ่งนี้ผมจะเข้ามาจัดการเอง”

ร่างสูงใหญ่หมุนตัวเดินไปยังหน้าสำนักงาน กิริยานั้นแลหุนหันร้อนรนแปลกตา เรียกให้ผู้ช่วยสาวใหญ่มองตามด้วยความสงสัย

ระหว่างลงลิฟต์อาคารไปยังลานจอดรถ เผ่าภาคินกดโทรศัพท์หาบอดี้การ์ดอย่างร้อนใจ เขาเรียกไปยังเลขหมายเดิมซ้ำๆ ไม่รู้ตัวสักนิดว่าเพิ่งจะผ่านไปไม่ถึงนาทีด้วยซ้ำ

จุดหมายแรกที่ไปตามหาหญิงสาวก็คือเนิร์สเซอรี่ของกานติมา ทว่าลานจอดรถหน้าโรงเรียนกลับมีแต่ความว่างเปล่า ครั้นเข้าไปถามหาเด็กหญิง ครูประจำชั้นก็แจ้งว่าลูกสาวของแพรวเพชรยังอยู่ในห้องเรียน

เผ่าภาคินมืดแปดด้าน ได้แต่ขับรถไปตามถนนอย่างไร้จุดหมาย พร้อมกับมองหาเลกซัสสีขาว หลายครั้งระหว่างทางที่ขับรถ เขานึกก่นด่าตัวเองว่าไม่น่าบีบคั้นแพรวเพชรถึงขนาดนั้นเลย

เกือบสิบนาทีกว่าเสียงโทรศัพท์จะดัง เขากดรับตั้งแต่กริ่งแรกยังไม่เงียบเสียง

“พบแล้วครับ เธอจอดรถอยู่ที่ปั๊มน้ำมันตรงเส้นบางนาขาออกครับ เข้าใจว่าอาจจะน้ำมันหมด”

“หาทางรั้งเธอไว้ที่นั่น อย่าให้ไปไหนได้เป็นอันขาด ผมจะไปถึงที่นั่นในสิบนาที” เขาตัดการติดต่อแล้วกดเท้าลงบนคันเร่ง เพิ่มความเร็วพาหนะให้เท่ากับใจที่พุ่งไปหาใครอีกคนหนึ่งเรียบร้อยแล้ว



สิริณ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 มี.ค. 2556, 00:01:26 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 มี.ค. 2556, 00:26:39 น.

จำนวนการเข้าชม : 1922





<< ตอนที่ ๑๒   ตอนที่ ๑๔ >>
สิริณ 20 มี.ค. 2556, 00:03:58 น.
มีใครสงสารพี่เผ่าแล้วบ้าง
ยกมือขึ้นนนนนนนนนนนนนนนนนนน ^^v

มาถึงจุดนี้ (เฉลยแล้วนะ)
ไหนใครเดาถูกบ้างค้าาาาาาา
กดไล้ค์ให้ดูหน่อย ว่ามีกี่คนเดาเรื่องถูกบ้าง อิอิ

หนทางยังอีกยาวไกล
ถ้าใครคิดว่าจะลองเดาใจสิริณต่อเนื่อง เชิญเลยค่ะ
อย่างที่บอก ทุกคอมเม้นต์จะถูกนำมาจับสลากเพื่อแจกหนังสือ
และคอมเม้นต์ที่โดนใจสิริณ (อาจจะเดาถูกหรือผิดก็ได้)
จะมีรางวัลพิเศษให้นะคะ ^^

มาลุ้นกันต่อค้าบบบบบบ


ไรน้ำ 20 มี.ค. 2556, 02:48:16 น.
สงสารทั้งพี่เผ่า ทั้งเพชร แต่สังหรณ์ว่านราธิปเป็นตัวร้ายรึเปล่า เหมือนจะเป็นคนบงการฆ่าพี่เผ่าเลย


sai 20 มี.ค. 2556, 03:00:25 น.
เราแอบสงสัยวินเซนต์แหะ มั่วไปเรื่อย 555


Pampam 20 มี.ค. 2556, 05:41:06 น.
สงสัยนราธิปจ้างผู้หญิงที่ชื่อขวัญมารึเปล่า เอาเข้าไปนั่นเรา


หมูอ้วน 20 มี.ค. 2556, 05:57:52 น.
ทายไม่ถูกอ่ะค่ะ รออ่านอย่างเดียวดีกว่าเน๊อะ... แต่สงสารทั้งคู่เลยอ่ะค่ะ


invisible 20 มี.ค. 2556, 07:24:09 น.
สงสารพี่เผ่าจัง โดนจัดฉากให้เข้าใจผิดนะเนี่ย T T


พันธุ์แตงกวา 20 มี.ค. 2556, 07:46:50 น.
อุเหม่! ไม่นะ ไม่ใช่พี่นรา...


Auuuu 20 มี.ค. 2556, 09:30:25 น.
น่าจะโดนจัดฉากทั้งคู่เลย ทั้งพระเอกแล้วก็นางเอก


supayalak 20 มี.ค. 2556, 13:58:34 น.
สงสัยจะผิดตรงที่จอมขวัญรึเปล่า จอมขวัญอาจจะมาชอบคุณเผ่าแต่จอมขวัญอาจมีภาระผูกพันอยู่กับใครเลยทำให้คุณเผ่าเจ็บตัวฟรี ในขณะที่พี่นรากับเพชรมาเจอกันในเวลาที่ทุกอย่างเข้าล๊อกกันพอดี ใช่ป่ะ แต่ถ้าเราเป็นหนูเพชรเราคงปลื้มใจมากมายเลยเนอะที่มีใครสักคนจดจำทุกสิ่งอย่างที่เราเคยพูดกันไว้ได้ และทำให้เราได้ในวันที่เค้ามีความสามารถที่จะทำ


nunoi 20 มี.ค. 2556, 14:22:39 น.
เดาว่าผู้หญิงของนายคนที่ทำร้ายพี่เผ่าคือจอมขวัญ หรือเปล่า
ที่แน่ๆ น่าสงสารทั้งสามคนเลย


heartlogue 20 มี.ค. 2556, 17:31:22 น.
ซับซ้อนจริงๆ
ผวานิดๆว่าคนเขียนจะแกล้งไม่ลงให้ไปอ่านต่อในเล่ม
please อย่าทำรุนแรงกับรีดเดอร์เลยนะ


goldensun 20 มี.ค. 2556, 18:29:36 น.
นราไม่น่าจะอยู่เบื้องหลังการทำร้ายเผ่าพร้อมทั้งเผาบ้านนะคะ ข้าราชการ ไม่ใช่เจ้าพ่อซะหน่อย
ผู้หญิงของนาย ใช้ภาษาอังกฤษสำเนียงจีน คนของแก๊งแน่ แต่ผู้หญิงที่ว่า จะใช่จอมขวัญรึเปล่า เพราะยังไม่เห็นมีผู้หญิงคนไหนมาเกี่ยวข้องอีก ถ้าใช่ ก็เป็นคนเดียวที่ทำให้เพชรเข้าใจผิด และทำให้เผ่ากับแม่เกือบตาย
ถ้าปมเข้าใจผิดยังไม่คลาย คงยากที่จะคืนดีกันได้ ไม่อยากให้พี่เผ่าแก้แค้นเพชรเลย เข้าใจผิดแน่ๆ กลไกป้องกันตัวเพราะใจเจ็บปวด เลยขาดสติยั้งคิด สาดคำร้ายๆ ใส่กัน เลยแตกหักกันไปเลย น่าสงสาร
นิดนึงว่า บ้านถูกเผา พี่เผ่าเจ็บหนัก รูปเพชรที่เคยถ่ายไม่ไปกับไฟแล้วหรือคะ หรือพี่เผ่าแอบเก็บไว้ที่ไหน ถึงได้มีรูปเก่าๆ มาง้อเพชรได้


ทราย 20 มี.ค. 2556, 19:20:13 น.
ถ้านราธิป กับ จอมขวัญไม่ได้ร่วมมือกัน ก็อาจจะเป็นฝ่ายจอมขวัญเสียเอง ที่อาจจะไม่ได้ตัวเปล่า มีคนรักอยู่แล้ว คนรักของจอมขวัญเลยสั่งลูกน้องมาจัดการ

คนอ่านอินจัด คิดไปโน่นนนนน


ทราย 20 มี.ค. 2556, 19:21:25 น.
ขอให้พิมพ์ทันงานหนังสือด้วยเถ๊อะ. สาธุ


bloomberg 21 มี.ค. 2556, 18:03:28 น.
ย้อนกลับไปอ่านตอนเก่า ใช้สมองคิดเพื่อจะเอารางวัลชนะใจไรเตอร์ (ว่าไปนั่น)
เราว่าพี่นราไม่ได้เป็นคนอยู่เบื้องหลังหรอก อ่านทบทวนตอนพี่แกสะดุ้งตื่นจากฝันร้าย

ไรเตอร์เผยความรู้สึกเพชรว่าเผ่าโหดร้ายถึงขนาดจะฆ่าลูกของเธอ แสดงว่าต้องมีคนมาพูดกับเพชรในวันเกิดเหตุว่าเผ่ามีผู้หญิงคนใหม่ ไม่รักเพชรแล้ว ถึงท้องก็ไม่รับให้เอาออก ประมาณนั้น ทำให้เพชรต้องลากพี่นรามานั่งร้องไห้อยู่ในอพาร์ตเมนท์เผ่า


คิมหันตุ์ 24 มี.ค. 2556, 03:20:59 น.
ผู้หญิงของนายกู ก็น่าจะเป็นพี่นรานะคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account