กล้วยไม้ในมือมาร
กล้วยไม้คือผู้หญิง...เธอคือผู้หญิงชาวจีนที่ถูกซื้อมาเป็นสาวรับใช้ตั้งแต่วัยเด็ก...นวนิยายเรื่องนี้ฉายภาพสยามประเทศใน พ.ศ. 2473
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 42

กล้วยไม้ในมือมาร
42...


ชายชาวญี่ปุ่นเอาตัวของเขารองรับร่างของกล้วยไม้ หญิงสาวจึงล้มทับร่างที่แข็งแรงอย่างทรงตัวไม่ได้ ร่างทั้งสองล้มอยู่บนพื้น เขาโอบกอดเธอเอาไว้...กว่ากล้วยไม้จะตั้งสติได้ก็อึดใจหนึ่ง เธอรู้สึกอายมากจนหน้าร้อนซู่ไปหมด
“ขอโทษนะคะ” หญิงสาวละล่ำละลัก พลางเอามือยันอกของเขาเพื่อจะพยุงตัวเองให้ลุกขึ้น
เขาปล่อยมือที่โอบกอดอย่างสุภาพ
พอกล้วยไม้ลุกขึ้นได้ เขาก็ลุกขึ้นบ้าง พลางถามเป็นภาษาไทย “คุณผู้หญิงเจ็บตรงไหนหรือเปล่าครับ?”
กล้วยไม้ส่ายหน้า “ไม่ค่ะ...และต้องขอขอบคุณมากๆ ที่ช่วยอิฉันไว้”
“ผมทาเคชิครับ ร้อยเอกทาเคชิแห่งกองทัพองค์จักรพรรดิ” เขาแนะนำตัวเองด้วยทีท่าภาคภูมิ
“งั้น...อิฉันต้องเรียกคุณว่า...”
“ผู้กองทาเคชิก็ได้ครับ”
“ค่ะ...ต้องขอบคุณผู้กองทาเคชิอีกครั้ง” กล้วยไม้เอ่ย แล้วทำท่าจะปลีกตัวไป
แต่เขาเรียกรั้ง “เดี๋ยวสิครับ คุณยังไม่ได้บอกผมเลยว่าคุณชื่ออะไร?”
กล้วยไม้ยิ้มให้เขาเล็กน้อย เขาก็ยิ้มรับ นัยน์ตาที่กล้าแกร่งปรากฏแวววิบวับ
“อิฉันชื่อกล้วยไม้ค่ะ”
“กล้วยไม้...ชื่อเพราะนะครับ”
“ขอบคุณค่ะ” กล้วยไม้กล่าว ยังเคอะเขินไม่หาย “อิฉันต้องขอตัวกลับก่อนนะคะ”
“อนุญาตให้ผมไปส่งนะครับ” ผู้กองทาเคชิเสนอ
กล้วยไม้มองรอบด้าน แล้วคิดว่าจำต้องรับความหวังดีของงเขา เพราะเธอไม่รู้จักทางแถวนี้ดีเท่าไร “ค่ะ”

ผู้กองทาเคชิมาส่งกล้วยไม้ถึงบ้าน ผู้ที่มาเปิดประตูบ้านรับคืออากุ่ย กล้วยไม้จึงแนะนำว่า “คนนี้พี่กุ่ย พี่ชายของอิฉัน”
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ” ผู้กองทาเคชิคำนับอย่างสุภาพ
“ส่วนท่านนี้คือผู้กองทาเคชิ” กล้วยไม้ผายมือไปทางชายสวมชุดประจำชาติญี่ปุ่น
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ” อากุ่ยคำนับเลียนแบบของอีกฝ่าย
“ผู้กองเขาช่วยฉันไว้จากอันธพาล” กล้วยไม้บอกต่ออากุ่ย
“งั้นเชิญเข้ามาดื่มน้ำชากันก่อนสิครับ” อากุ่ยออกปากเชิญตามมารยาท
แต่อีกฝ่ายรับคำเชิญง่ายๆ “ครับ”
ที่ดื่มน้ำชาอยู่ที่ชานเรือนใหญ่ ลมพัดเย็นสบาย กระถางกล้วยไม้ที่ออกดอกถูกอากุ่ยเอามาแขวนประดับชายคาบ้านนั้น ทำให้บ้านดูสดชื่น
“บ้านสวยนะครับ” ผู้กองทาเคชิเอ่ยชม ขณะที่กล้วยไม้นำขนมกับน้ำชาจีนมาตั้งโต๊ะเตี้ยที่ชานเรือน มีเบาะรองนั่งบนพื้นวางรอบโต๊ะสามใบ
“บ้านญาติน่ะค่ะ” กล้วยไม้เอ่ยอย่างที่คุณสายใจสั่งไว้ “พวกเขาไปอยู่ต่างจังหวัดเหลืออิฉันกับพี่ชายอยู่เฝ้าบ้าน”
“ขอโทษนะครับ...พวกคุณเป็นพี่น้องแท้ๆ กันหรือ?” ผู้กองทาเคชิถามอย่างสงสัย
“ถึงไม่แท้ก็เหมือนแท้ค่ะ เราเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน” กล้วยไม้เอ่ยยิ้มๆ
แต่อากุ่ยที่ฟังอยู่รู้สึกปวดลึกในใจ...เขาเป็นได้แค่ลูกพี่ลูกน้องกับเธอ
“พวกคุณเฝ้าบ้านเฉยๆ หรือครับ?” นายทหารญี่ปุ่นถาม
“พวกเราขายข้าวแกงที่ตลาดค่ะ” กล้วยไม้ตอบพร้อมกับแย้มยิ้มพริ้มพราย
นับจากนั้น...ข้าวแกงของกล้วยไม้ก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เพราะพวกทหารญี่ปุ่นมากินกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง...อากุ่ยก็ไม่ต้องไปเร่ขายอีก
สิ่งเดียวที่อากุ่ยไม่ชอบใจอย่างที่สุด แต่พูดอะไรไม่ได้คือ...ผู้กองทาเคชิเป็นลูกค้าขาประจำ และที่ทหารญี่ปุ่นมากินข้าวแกงก็เพราะเขาสั่งให้มา
วันนี้ก็เช่นกัน...ผู้กองทาเคชิมานั่งปุ๊บ ก็สั่งว่า “ขอข้าว ไข่พะโล้ กับแกงเขียวหวานไก่”
“ค่า...รอแป๊บหนึ่งนะคะ” กล้วยไม้ส่งเสียงหวาน จนสมใจที่แผงข้างๆ ค้อนอย่างหมั่นไส้
พอกล้วยไม้จะตักอาหารไปส่งที่โต๊ะผู้กอง อากุ่ยก็ชิงตักเอง พร้อมกับบอกเธอว่า “เดี๋ยวพี่ตักข้าวกับกับให้ผู้กองเอง”
พออากุ่ยเอาของไปตั้ง ผู้กองก็ยิ้มอย่างรู้ทัน เขาจึงลุกเดินมาหากล้วยไม้ที่แผงพร้อมกับบอกว่า “ผมมีเรื่องจะคุยด้วยครับ”
“เรื่องอะไรหรือคะ?” กล้วยไม้ถาม
“ไปที่โต๊ะผมดีกว่า เราจะได้คุยกันสะดวก เป็นเรื่องงานครับ” ผู้กองทิ้งท้ายให้หญิงสาวสนใจ พลางเดินนำเธอมาที่โต๊ะ
พอทั้งสองนั่งลงเรียบร้อย ผู้กองก็เอ่ยว่า “เพื่อนผมจะย้ายไปประจำหน่วยอื่น ผมอยากเลี้ยงส่งเขา อยากให้กล้วยไม้ทำอาหารสำหรับคนสี่คนคืนนี้ ตรงที่คุณเชิญผมดื่มน้ำชาเมื่อแรกรู้จักกันก็ได้ คุณจะตกลงไหม?”
กล้วยไม้เสียเวลาคิดเพียงสามวินาที “ตกลงค่ะ”
“งั้นผมขอสั่งอาหารเลยนะครับ” ผู้กองทาเคชิมีสีหน้าพอใจ
“รอสักครู่นะคะ” หญิงสาวกล่าว แล้วหันไปทางอากุ่ย “พี่กุ่ยมานี่หน่อยค่ะ”
“ทำไมต้องเรียกพี่กุ่ยด้วย?” ผู้กองทาเคชิถามอย่างสงสัย
“อิฉันเขียนหนังสือไม่เป็นค่ะ” หญิงสาวตอบ “ต้องให้พี่กุ่ยช่วยจด ไม่อย่างงั้น เดี๋ยวงานจะขาดตกบกพร่อง”
อากุ่ยเดินมาได้ยินเข้าพอดี จึงเดินกลับไปหากระดาษดินสอมาจด

กลับมาจากขายข้าวแกงตอนเช้า...อากุ่ยอาสาออกไปหาซื้อข้าวของสำหรับทำเลี้ยงตอนเย็น กับของพรุ่งนี้เช้าเอง เพราะเห็นว่าสีหน้ากล้วยไม้เหนื่อย
กล้วยไม้ก็คิดจะนอนพักสักงีบ เนื่องจากเพลียเพราะกำลังมีประจำเดือน แต่นอนไม่หลับ ใจคอยแต่คิดถึงคำพูดของป้าไล้...
“ลื้อแต่งเนื้อแต่งตัวซะสวยยังกับคุณนายแบบนี้คงได้ดีมีความสุขแล้วน่ะสิ” ป้าไล้เอ่ยด้วยน้ำเสียงประชดนิดๆ ในขณะที่ทั้งสองนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ของโต๊ะไม้ในครัวของบ้านยี่เสี่ยเนี้ย
กล้วยไม้ได้แต่ยิ้มไม่รู้จะตอบยังไงดี
“เสี่ยฮวดผัวลื้อนะสบายดีเหรอ?” ในที่สุดป้าไล้ก็ถามถึงคนที่กล้วยไม้ไม่อยากพูดถึงจนได้
กล้วยไม้นิ่งอยู่นาน จนป้าไล้อดรนทนไม่ไหวต้องถามซ้ำ
“เสี่ยฮวดสบายดีไหม?”
ยังไงก็ต้องตอบ เพราะป้าไล้ลองอยากรู้แล้ว นางจะเซ้าซี้ไม่มีที่สุด และไม่สนใจด้วยว่าจะทำให้ใครอึดอัดใจหรือเปล่า
“ฉันไม่รู้ เพราะเราเลิกกันแล้ว”
“หา...ลื้อเลิกกะผัวเหรอ?” ป้าไล้ส่งเสียงลั่น
“อืม...” กล้วยไม้พยักหน้าเบาๆ
“งั้น...ลื้อก็มีผัวใหม่แล้วน่ะสิ ถึงแต่งตัวซะสวยอย่างนี้” ป้าไล้คาดคะเน
“เปล่า”
“เปล่า...อั๊วไม่เชื่อหรอก” ป้าไล้ส่ายหน้า
“จริงๆ ป้า ฉันไม่ได้แต่งงานใหม่” กล้วยไม้ยืนยัน
“แล้วใครเลี้ยงลื้อ?” ป้าไล้ยังคลางแคลง
“ฉันเลี้ยงตัวเอง” กล้วยไม้ตอบ
“ผู้หญิงเลี้ยงตัวเองได้ด้วยเหรอ?” ในความคิดของป้าไล้...ผู้หญิงต้องแต่งงานจะได้มีผัวเลี้ยง
“ได้สิ...ฉันขายข้าวแกงที่ตลาด” กล้วยไม้ตอบ
คำตอบทำให้ป้าไล้ผิดหวัง เพราะนางหวังว่า ถ้าอาลั้งรวยอาจจะมีข้าวของเงินทองมาเจือจานนางบ้าง แต่นี่อีกฝ่ายเป็นเพียงแม่ค้าข้าวแกง จะมีอะไรมาถึงนาง...เมื่อผิดหวังป้าไล้ก็ชักสีหน้า
“แล้วนี่ลื้อมาทำไม?” น้ำเสียงมะนาวไม่มีน้ำ
“ฉันจะมาเยี่ยมทุกๆ คน ตั้งนานแล้วละ แต่ไม่มีเวลาปลีกตัวมาสักที” กล้วยไม้กล่าว...เธอไม่บอกความจริงว่า เธอยังทำใจให้กล้ารับรู้ความจริงไม่เพียงพอต่างหากที่ทำให้เธอมาเยี่ยมที่นี่ช้า
“อ้อ...เขาไปกันหมดแล้ว” ป้าไล้เอ่ยสุ้มเสียงเหงาๆ
“ฉันอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง หลังจากที่ฉันออกจากที่นี่ไปแล้ว” กล้วยไม้ไม่อยากใช้คำว่าแต่งงาน เพราะมันเจ็บปวดใจสำหรับเธอไม่น้อย...หญิงสาวกล่าวพลางหยิบธนบัตรใบละสิบบาทใส่มือป้าไล้ “เอาไว้กินน้ำชานะคะ”
“จะดีเหรอ?” มือป้าไล้ยังกำธนบัตรแน่น
“ดีสิคะ...เราคนกันเองไม่ต้องเกรงใจหรอก”
ป้าไล้เอาธนบัตรใส่กระเป๋าเสื้อ ก่อนจึงเริ่มเล่าว่า
“ยี่เสี่ยเนี้ยเอาเงินที่แต่งลื้อมาซื้อข้าวของสำหรับแต่งคุณหนูโน้ย ที่ชิ้นใหญ่ๆ ก็มีจักรยานกับจักรเย็บผ้า ของแพงๆ ทั้งนั้น แต่ดูตัวกันหลายราย แล้วคุณหนูโน้ยก็ไม่ชอบ
หลังจากที่ลื้อแต่งไปแล้วปีหนึ่ง คุณชายป้อก็กลับมา ลื้อรู้มั้ยอีมาพร้อมกับใคร”
“ใครคะ?” กล้วยไม้อยากรู้จนในใจร้อนผ่าว
“คุณหนูเม่งจู” ป้าไล้เอ่ยสีหน้ายิ้มเยาะอาลั้งที่หน้าซีดเผือด “คุณหนูเม่งจูเป็นคนสวยมาก...สวยกว่าลื้ออีก” นางจงใจทับถมคนฟัง จึงพูดเกินจริงเข้าไว้
“ซาเสี่ยเนี้ยอยากให้คุณชายป้อแต่งงานกับคุณหนูเม่งจู แต่คุณชายป้ออยากเรียนต่อ ไม่รู้จะเรียนอะไรมากมายนักหนา” ตอนท้ายป้าไล้บ่นของแกเอง ก่อนจะมองกล้วยไม้อย่างชั่งใจอยู่ครู่ใหญ่
จนหญิงสาวถามว่า “ป้าไล้มองฉันทำไม?”
“อั๊วจะบอกลื้อดีมั้ยนี่...” นางพึมพำถามตนเองมากกว่าจะถามคู่สนทนา แล้วตัดสินใจ “บอกก็บอก”
“อะไรหรือคะป้า?” กล้วยไม้ถามเสียงนุ่มนวล
“คืนก่อนที่คุณชายป้อจะไปเรียนต่อ...อั๊วแอบเห็น...คุณชายป้อต่อว่าซาเสี่ยเนี้ย”

“แม่ทำอย่างนี้ได้ยังไงครับ?” คุณชายป้อที่โตเป็นหนุ่มเต็มตัวต่อว่ามารดา
ซาเสี่ยเนี้ยทอดถอนหายใจยาว “เพื่อลูก”
“เพื่อผม...โดยการหลอกลวงผมตลอดเวลาสามปีที่ผมอยู่มาเลเซีย...คุณแม่บอกไปในจดหมายว่า อาลั้งไม่ยอมตอบจดหมายผม ทั้งๆ ที่คุณแม่ไม่เคยอ่านจดหมายของผมให้อาลั้งฟังแม้แต่ประโยคเดียว แล้วคุณแม่ก็เห็นดีเห็นงามให้คุณป้าจับอาลั้งแต่งงานไปบ้านนอก นี่เหรอเพื่อผม”
“ใช่...เพื่อให้ลูกได้คู่ครองที่เหมาะสม” ซาเสี่ยเนี้ยตอบ
“ใครล่ะครับที่เหมาะสม?”
“หนูเม่งจูไง”
“ผมเห็นน้องเม่งจูเป็นน้องสาวคนหนึ่ง ผมแต่งงานกับน้องสาวไม่ได้หรอกครับ อีกอย่างหนึ่ง ผมสาบานกับอาลั้งไว้ว่า ผมจะรักเธอคนเดียวไปชั่วชีวิตของผม ชาตินี้ผมแต่งงานกับเธอไม่ได้ ผมก็จะไม่แต่งงานไปตลอดชีวิต”
คุณชายป้อกล่าวยังไม่ทันจบประโยค เสียงหนึ่งก็แทรกขึ้น
“ไม่ต้องพูดต่อแล้วค่ะพี่ป้อ”
แล้วคุณหนูเม่งจูก็ก้าวออกมาจากหลืบประตูห้องโถงนั่งเล่น หล่อนมองชายหนุ่มอย่างตัดพ้อ น้ำตาร่วงรินลงมาตามเนินแก้มขาวผ่อง
“คุณป้าคะ หนูจะกลับมาเลเซียพรุ่งนี้เช่นกัน”
แล้วคุณหนูเม่งจูก็สะบัดหน้าไป โดยไม่รอคำตอบ
“เม่งจูๆ...”
ซาเสี่ยเนี้ยส่งเสียงเรียกอย่างเป็นห่วง แล้วหันมาทางลูกชาย
“ตามไปปลอบน้องหน่อยสิอาป้อ”
แต่คุณชายป้อปฏิเสธ “ไม่ครับ...เพราะจะยิ่งทำให้เธอเข้าใจผิด”
“นี่ลูกไม่ห่วงน้องบ้างเลยหรือ?” ซาเสี่ยเนี้ยถามลูกชาย
“ห่วงครับ...ผมถึงไม่ทำอะไรให้เธอเข้าใจผิด แล้วจะทำให้เธอเป็นทุกข์ไปชั่วชีวิต” คุณชายป้อกล่าวหนักแน่น ก่อนจะเอ่ยต่อว่า “ผมจะไปเรียนต่อที่อเมริกาครับ”
“อย่าไปได้มั้ย?” ซาเสี่ยเนี้ยเอ่ยเสียงอ่อนๆ กึ่งห้ามปรามกึ่งขอร้อง
“ผมอยากไปครับ...ผมจะได้ไม่เห็นอะไรที่บาดความรู้สึกของผมที่นี่” น้ำเสียงเขาหนักแน่น
ซาเสี่ยเนี้ยนิ่งอึ้งไปนาน ก่อนจะเอ่ยเบาๆ ว่า “อย่าลืมเขียนจดหมายถึงแม่บ้างนะ”
“ครับ”

“ตอนไปใหม่ๆ คุณชายก็เขียนจดหมายมาถึงซาเสี่ยเนี้ยสม่ำเสมอดี แต่...” อาไล้เล่าๆ ไปก็หยุดกึก ยกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่มอึกๆ เฉย
กล้วยไม้อยากรู้ข่าวคุณชายป้อเป็นที่สุด จึงรีบถามว่า
“แต่อะไรคะป้า?”
“เดี๋ยวก่อนสิ ให้อั๊วดื่มน้ำชาแก้คอแห้งก่อน อั๊วเล่าจนคอแห้งเป็นผงแล้วน่อ”
กล้วยไม้จึงจำใจต้องอดทนรอ
สักพักใหญ่...ป้าไล้ก็เล่าต่อ
“ตอนหลังอยู่ๆ จดหมายของคุณชายก็ไม่มีมาเลยแม้แต่ฉบับเดียว ซาเสี่ยเนี้ยกับซาเสี่ยไม่ได้ข่าวคราวคุณชายป้อว่าเป็นตายร้ายดีประการใด ไปติดต่อสถานทูตก็ไม่ได้เพราะเกิดสงครามขึ้น”
กล้วยไม้ฟังจนน้ำตาไหล ต้องยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับน้ำตา
“ลื้อจะร้องไห้ไปทำไม...” ป้าไล้ว่าหญิงสาว “ยังไงคุณชายป้อก็ไม่ใช่เนื้อคู่ของลื้อ ต่อให้เง็กเซียนฮ่องเต้ช่วยให้ลื้อได้พบกับคุณชายป้ออีก เขาก็คงไม่แต่งงานกับผู้หญิงที่มีผัวแล้วอย่างลื้อหรอก”
จริงสินะ...กล้วยไม้คิด...นอกจากจะเคยมีสามีแล้ว เธอยังมีลูกชายอีกหนึ่งคน ผู้ชายที่เพียบพร้อมอย่างคุณชายป้อ คงไม่เหลือบตามามองเธออีกแล้ว!
แต่กล้วยไม้เองก็คิดไม่ถึงว่า...ซาเสี่ยเนี้ยที่เธอเคารพนับถืออย่างสูงที่สุด จะหลอกลวงเธอทุกอย่าง สีหน้าเมตตาปรานีราวกับเป็นแม่ของเธอได้นั้นเป็นการเสแสร้งให้เธอตายใจเท่านั้น แท้ที่จริงนางต้องการเขี่ยเธอออกไปจากเส้นทางชีวิตของลูกชาย!
“ส่วนทางนี้ก็บ้านแตกสาแหรกขาด” อาไล้เอ่ยขึ้น
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ?” กล้วยไม้ถาม
“ก็คุณหนูโน้ยน่ะสิ คุณชายป้อไปเรียนต่อได้ไม่นาน อีก็พบคนถูกใจ ตกลงแต่งงานกันเป็นมั่นเป็นเหมาะ พอถึงวันแต่งงาน คุณหนูโน้ยแต่งชุดแต่งงานสีแดงสวยงามรอคอยเจ้าบ่าวมารับ แต่รอแล้วรออีกเจ้าบ่าวก็ไม่มาสักที อีนั่งรออยู่ทั้งคืน...อั๊วก็ต้องพลอยอดนอนมานั่งรอด้วย” ป้าไล้เอ่ยพลางถอนหายใจพลาง...


(โปรดอ่านต่อฉบับหน้า)





คำรัก
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 มี.ค. 2556, 11:14:37 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 มี.ค. 2556, 11:14:51 น.

จำนวนการเข้าชม : 1501





<< ตอนที่ 41   ตอนที่ 43 >>
saralun 20 มี.ค. 2556, 11:49:58 น.
ลุ้น ๆ


maybelittledevil 20 มี.ค. 2556, 13:13:04 น.
กล้วยไม้จะมีชีวิตดี ๆ เจอคนดี ๆ มั่งมั้ยคะเนี่ย


์nuch 20 มี.ค. 2556, 14:00:38 น.
นั่นสิ กล้วยไม้จะเจอคนดีจริงๆไหม อ่านกี่ตอน กี่ตอนก็สงสาร


ree 20 มี.ค. 2556, 19:04:05 น.
ในที่สุดอาลั้งก็รู้ความจริง ยังจะตั้งหน้าตั้งตารอคุณชายป้ออยู่ไหมเนี่ย หรือจะลองพิจารณาผู้กองทาเคชิดี


konhin 20 มี.ค. 2556, 21:52:14 น.
บางทีเมื่อไม่ใช่เนื้อคู่ก็ไม่อาจจะได้อยู่ด้วยกันป่ะคะ


หมีสีชมพู 21 มี.ค. 2556, 01:26:12 น.
แอบสมน้ำหน้าพ่อแม่คุณชายป้อ โดยเฉพาะยายโน้ย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account