กล้วยไม้ในมือมาร
กล้วยไม้คือผู้หญิง...เธอคือผู้หญิงชาวจีนที่ถูกซื้อมาเป็นสาวรับใช้ตั้งแต่วัยเด็ก...นวนิยายเรื่องนี้ฉายภาพสยามประเทศใน พ.ศ. 2473
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 43

กล้วยไม้ในมือมาร

43...


“อีรอจนเช้าเจ้าบ่าวก็ยังไม่มา มาแต่...” ป้าไล้หยุดพูดดื้อๆ ยกถ้วยกระเบื้องเก่าๆ ที่ใส่น้ำชาขึ้นจิบช้าๆ อย่างใจเย็น
กล้วยไม้อดรนทนไม่ไหวต้องเร่งว่า “แล้วยังไงต่อ?”
“ใจเย็นๆ สิ ให้อั๊วดื่มน้ำชาให้ชุ่มคอก่อน” แล้วนางก็ค่อยๆ ละเลียดจิบชา ปล่อยให้คนฟังนั่งรอฟังอย่างกระวนกระวาย จนนางพอใจจึงเอ่ยต่อ
“คนที่มาเป็นแม่สื่อ อีมาบอกว่า เจ้าบ่าวเป็นลมตายไปตั้งแต่เมื่อคืน”
“หา...” กล้วยไม้อดตกใจไม่ได้
“คุณหนูโน้ยได้ยินเท่านั้นก็ร้องกรี๊ดๆ ลั่นบ้าน บอกว่าไม่จริง ไม่เป็นความจริง แล้วอีก็เป็นบ้า เอาแต่หัวเราะบ้าง ร้องไห้บ้าง ที่น่ารำคาญที่สุดคือกลางค่ำกลางคืน อีก็ตื่นขึ้นมาร้องกรี๊ดๆ จนคนอื่นไม่เป็นอันหลับอันนอน ยี่เสี่ยกับยี่เสี่ยเนี้ยอับอายชาวบ้านจนแทบจะเอาปี๊บคลุมหัว” ป้าไล้เล่า
“โชคร้ายจัง” กล้วยไม้เอ่ยด้วยความสงสาร
“ลื้อไม่ดีใจเหรอ?” ป้าไล้ถาม มองหญิงสาวเขม็ง
“ดีใจเรื่องอะไร?” กล้วยไม้ถามกลับ เพราะเธองุนงงว่าเรื่องน่าเศร้าอย่างนี้ เธอควรจะยินดีตรงไหน
“ก็ดีใจที่คุณหนูโน้ยที่ชอบกลั่นแกล้งลื้อประสบชะตากรรมที่เลวร้าย” ป้าไล้เอ่ยแล้วจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างจับพิรุธ
“ไม่...” กล้วยไม้ตอบจากใจจริง “ฉันไม่เคยคิดแค้นคุณหนูโน้ย ฉันเสียใจที่คุณหนูโน้ยโชคร้ายน่าเศร้าอย่างนี้”
“เรื่องน่าเศร้ายังมีอีก” ป้าไล้เอ่ยต่อ “เสียงร้องกรี๊ดๆ ในตอนกลางคืนของคุณหนูโน้ยทำให้คนในบ้านไม่ได้หลับไม่ได้นอน ทำให้ชาวบ้านมาต่อว่า และทำให้คุณชายกกน้องชายคนเล็กขวัญหนีดีฝ่อ คุณชายน้อยไม่สบายอยู่อาทิตย์หนึ่งก็ตาย...”
“คุณชายกกตายแล้วหรือ!” กล้วยไม้ยกมือทาบอกอย่างตกใจ
“ใช่สิ...ยี่เสี่ยเนี้ยแค้นคุณหนูโน้ยแทบกระอักเลือด ที่ทำให้ลูกชายคนเดียวของอีตาย”
“แต่คุณหนูโน้ยไม่ได้ตั้งใจ” กล้วยไม้แก้ตัวแทนคนที่แก้ตัวให้ตัวเองไม่ได้
“จะตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจ อีก็ทำให้น้องชายตายไปคนหนึ่ง” ป้าไล้โทษคุณหนูโน้ยเต็มประตู
“ป้า...คนเราจะอยู่หรือจะตายไม่มีใครอื่นมาทำอย่างเดียวหรอก แต่เป็นเพราะบุญกรรมของตัวเราเองด้วย คุณชายกกอาจจะหมดบุญเพียงแค่นี้ก็ได้”
“บุญกรรมอะไร?” ป้าไล้ยกขาข้างหนึ่งขึ้นมาชันเข่าบนเก้าอี้ที่นั่ง
“คนเราต่างมีบุญมีกรรมติดตัวมาแต่เกิด ถ้าเกิดมาอยู่สุขสบาย เขาว่าเกิดมาใช้บุญ ถ้าเกิดมาลำบากยากจนหรือพิกลพิการ เขาว่าเกิดมาใช้กรรม พอหมดบุญหมดกรรมคนเราก็ตาย ไปเกิดชาติภพใหม่ เป็นอย่างนี้เรื่อยๆ ไป เขาเรียกว่าวัฏสงสาร” กล้วยไม้พูดตามที่ได้ยินคุณสายใจสอนมา
“ลื้อพูดอะไร ยังกับคนมีความรู้แน่ะ”
“คนบอกต่อฉันเป็นคนมีความรู้”
“แต่อั๊วยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี” ป้าไล้เอ่ยตามตรง
“แรกๆ ฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอก แต่พอนำมาคิดทบทวนหลายๆ ครั้งก็จะเข้าใจเอง คนเราเลือกเกิดไม่ได้ เพราะกรรมเก่าเราทำมาไม่เหมือนกัน แต่เราเลือกที่จะทำดีหรือทำเลวได้ ชาติหน้าเราจะเกิดมาดีกว่านี้หรือแย่กว่านี้ ก็อยู่ที่การทำดีหรือเลวของเราเอง”
“เออๆ...พอเถอะ อั๊วฟังแล้วปวดหัว” ป้าไล้รู้สึกไม่ชอบฟังเรื่องความดีหรือความเลว สิ่งที่นางชอบคือเรื่องชาวบ้านเขาทำอะไร มีอะไรอื้อฉาว นางจะได้เอาไปขยายต่อ สนุกปาก
กล้วยไม้ก็ไม่ฝืนใจ เธอถามว่า “แล้วทำไมทุกคนถึงย้ายไปล่ะ?”
“ก็เพราะยี่เสี่ยกับยี่เสี่ยเนี้ยทนอับอายที่ลูกสาวเป็นบ้าเป็นบอไม่ได้ ก็เลยปิดร้านแล้วย้ายกลับไปเมืองจีน ส่วนซาเสี่ยตอนหลังก็ไม่ค่อยสบาย ซาเสี่ยเนี้ยก็เลยตัดสินใจกลับเมืองจีนไปให้ซาเสี่ยพักรักษาตัวด้วย ส่วนจดหมายของคุณชายป้อ ถ้ามีมาก็ให้เอาไปฝากที่บ้านญาติให้ส่งไปที่เมืองจีน จดหมายก็เห็นมาแค่ฉบับเดียว แล้วเงียบหายไปเลย อั๊วก็อยู่เฝ้าบ้านคนเดียว กลัวระเบิดก็กลัวระเบิด โจรผู้ร้ายก็ชุกชุม นี่คนดีๆ อย่างอั๊วทำไมถึงลำบากอย่างนี้หนอ!” ป้าไล้รำพึงรำพัน
กล้วยไม้ได้รู้เรื่องราวของบ้านยี่เสี่ยเนี้ยที่จากไปนานแล้ว ก็ขอตัวลากลับ
ป้าไล้พอฟังว่าหญิงสาวจะกลับแล้วก็ชวนว่า “แล้วมาเยี่ยมอั๊วใหม่นะอาลั้ง”
กล้วยไม้ได้แต่ยิ้มรับ เพราะไม่รู้ว่าเธอจะหาเวลาว่างมาเยี่ยมเยือนอีกฝ่ายได้หรือเปล่า เพราะงานขายข้าวแกงของเธอก็เหนื่อยไม่เบา ไหนยังจะต้องคอยหนีระเบิด หากวันใดเธอเกิดโชคร้ายถูกระเบิดตายไป ก็ไม่สามารถทำตามที่รับปากอีกฝ่ายได้ ทางที่ดีที่สุดคือไม่รับปาก แต่ก็สงสารป้าไล้อยู่เหมือนกัน เพราะนางดูชราไปเยอะ...

กล้วยไม้ซึ่งนอนเล่นคิดอะไรเพลินๆ จนนอนไม่หลับ ก็ลุกจากที่นอนเดินออกจากห้อง พอลงจากชานเรือนก็เจอเข้ากับผู้ชายแปลกหน้าคนหนึ่งที่หันรีหันขวางเหมือนตัดสินใจไม่ถูกว่าจะไปทางไหนดี
“ใคร?” หญิงสาวถามอย่างตกใจ อันดับแรกที่ผุดขึ้นมาในความคิดคือ ขโมย!
“ฉันหนีทหารญี่ปุ่นมา” เขาตอบรวดเร็ว พลางจับมือเธอแล้วยัดแผ่นกระดาษที่พับจนเล็กใส่ “เก็บไว้อย่าให้ทหารญี่ปุ่นเห็น”
อันดับสองที่ผุดในความคิดของหญิงสาว...ถ้าเขาถูกทหารญี่ปุ่นจับได้ เขาต้องตายแน่!
“หลังบ้านมีคลอง” หญิงสาวชี้ไปทางท่าน้ำหลังบ้าน
เขาไม่พูดอะไรมากก็รีบวิ่งไปทางหลังบ้าน ทันใดนั้นเสียงเอะอะก็ไล่กวดมา หญิงสาวไม่มีเวลาคิด เธอรีบเหน็บกระดาษที่พับเล็กซ่อนไว้ที่เอว ทหารญี่ปุ่นสี่คนเข้ามาถึงตัวเธอในอึดใจ หัวหน้ากลุ่มรู้จักกล้วยไม้ดี เพราะไปกินข้าวแกงบ่อยๆ
“คุณกล้วยไม้เห็นคนร้ายไหม?” เขาถามเสียงแปร่งๆ แต่ก็ฟังออก
กล้วยไม้พยักหน้า...เธอคิดว่าการตอบว่าเห็นจะช่วยให้ไม่น่าสงสัยมากกว่า
“คนร้ายไปทางไหน?” เขาถามอีก
“หลังบ้าน”
หัวหน้ากลุ่มวิ่งนำไปหลังบ้านทันที สักพักทั้งหมดก็กลับมามือเปล่า หัวหน้ากลุ่มที่มียศนายสิบเอกพูดกับกล้วยไม้ว่า “ผู้ร้ายหนีไปแล้ว คงว่ายน้ำหนีไป คุณต้องระวังตัวให้ดี ถ้าเห็นผู้ร้ายอีกต้องแจ้งให้ทหารญี่ปุ่นรู้ทันที”
“ค่ะ” กล้ววยไม้รับคำ
“ปกติคุณต้องไปให้ปากคำที่กรมทหาร แต่เรื่องนี้ผมจะรายงานให้ผู้กองทาเคชิรู้” เขาพูดทิ้งท้าย แล้วพาทหารจากไป
กล้วยไม้ลอบถอนหายใจยาว...กระดาษแผ่นนั้นสำคัญอย่างไร กล้วยไม้ไม่อยากรู้ แต่ถ้าทหารญี่ปุ่นรู้ว่าอยู่ที่เธอ เธอต้องเดือดร้อนแน่ ดีไม่ดีจะตายเสียเปล่าๆ...หญิงสาวคิดแล้วก็เอากระดาษแผ่นนั้นไปซ่อนอยู่หลังตู้กับข้าวในครัว
เธอเพิ่งซ่อนของเสร็จผู้กองทาเคชิก็มาหา หญิงสาวเชื้อเชิญเขานั่งที่เบาะข้างโต๊ะเตี้ยชานเรือนใหญ่ แล้วขอตัวว่า “เดี๋ยวอิฉันไปชงชามานะคะ”
“ไม่ต้อง” เสียงเขาห้วนจนเกือบเป็นตวาด “นั่งลง”
หญิงสาวนั่งลงที่เบาะตรงกันข้ามกับเขาตามที่เขาสั่งอย่างว่าง่าย
เขามองเธอแล้วเม้มปากจนเป็นเส้นตรง ก่อนจะเอ่ยว่า
“คุณรู้จักคนร้ายไหม?”
“ไม่ค่ะ” หญิงสาวตอบหนักแน่นพลางส่ายหน้า
เขาสบตาเธอเขม็ง...แต่สิ่งที่กล้วยไม้พูดเป็นความจริง เขาจึงเห็นแต่แววซื่อสัตย์และจริงใจ
“คุณกล้วยไม้รู้ไหม...” เสียงของเขาคลายความเคร่งเครียดลง “ถ้าเป็นคนอื่น ทหารที่มาจะเอาตัวคุณไปที่กรมแล้ว”
“ทำไมเหรอคะ?” สีหน้าสีตาที่ใสซื่อ ทำให้ผู้กองทาเคชิถอนหายใจเฮือก
“เพราะคนที่คนร้ายพบทุกๆ คนจะต้องถูกสอบสวนว่ามีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับคนร้ายหรือเปล่า?”
“เขาขโมยอะไรหรือคะ?” ถามออกไปแล้ว สีหน้าของผู้กองทาเคชิเปลี่ยนเป็นดุดันทันที
“คุณรู้ว่าเขาขโมยของ?”
“ค่ะ” หญิงสาวใจหายวูบ ก่อนจะเกิดไหวพริบ “ผู้ร้ายทุกคนต้องขโมยของ”
ผู้กองทาเคชิลอบระบายลมหายใจออกทางปาก “เขาพูดอะไรกับคุณหรือเปล่า?”
“เปล่าค่ะ” หญิงสาวตอบน้ำเสียงเรียบๆ เพื่อไม่ให้เป็นพิรุธ
“คุณยังจำหน้าเขาได้ไหม?”
เป็นคำถามที่กล้วยไม้ต้องนิ่งคิดอยู่ครู่ ก่อนจะตอบว่า “ได้นิดหน่อยค่ะ”
“บรรยายหน้าตาของงเขาสิ”
“เขาคิ้วเข้ม ไว้หนวดไว้เคราเต็มหน้า” กล้วยไม้เอ่ยได้แค่นี้ก็ส่ายหน้า “นอกนั้นอิฉันจำไม่ค่อยได้ มัวแต่ตกใจค่ะ และเห็นแค่แวบเดียว”
ความจริงเธอจดจำเขาได้มากกว่านั้น เพราะเธอเห็นเขามากกว่าแวบ แต่เธอไม่อยากให้ทหารญี่ปุ่นจับเขาได้ ดูท่าทางเขาจะมีความผิดร้ายแรงกว่าขโมยธรรมดาๆ เขาอาจจะต้องตาย ถ้าตกอยู่ในมือของทหารญี่ปุ่น
ผู้กองทาเคชิพยักหน้า “ถึงเห็นก็เท่ากับไม่ได้เห็น”
“หมายความว่ายังไงคะ?” กล้วยไม้ถามเสียงนุ่มๆ
“หมายความว่าถ้าคนร้ายโกนหนวดโกนเคราออก คุณก็คงจำไม่ได้” ผู้กองทาเคชิอธิบาย
“จริงด้วย” กล้วยไม้ก็เห็นด้วย แต่ดวงตาที่คุ้นตาของคนร้ายนั้นช่างติดตาเธออย่างยิ่ง แต่เธอไม่บอกต่อเขา “อิฉันลืมนึกถึงข้อนี้เสียสนิท”
ผู้กองทาเคชิยิ้มเล็กน้อย “ดีที่ทหารที่ติดตามเขามาอยู่ในหน่วยของคุโบตะ เขาจำคุณได้ จึงบอกต่อผม” เขามาครั้งนี้เป็นการสอบสวนกล้วยไม้กลายๆ
“คุณคุโบตะคิดว่าอิฉันเป็นพวกเดียวกันกับขโมยหรือคะ?”
“คนร้ายไม่ได้เป็นแค่ขโมย แต่เป็นเสรีไทย” ผู้กองทาเคชิบอกต่อหญิงสาว
“อะไรคือเสรีไทย?” กล้วยไม้ถามเพราะเพิ่งเคยจะได้ยินคำคำนี้
“เป็นพวกใต้ดินคอยทำลายความสัมพันธ์อันดีของประเทศไทยกับอาณาจักรญี่ปุ่น เป็นพวกที่เลวร้ายกว่าขโมยเสียอีก”
“ตายจริง...มีคนพวกนี้ด้วยหรือ” กล้วยไม้เอ่ยเสียงตกใจเล็กน้อย “แล้วนี่พวกนี้จะมาทำร้ายอิฉันไหมคะ?”
“คุณเป็นมิตรที่ดีกับญี่ปุ่น พวกนี้จะทำร้ายคุณแน่นอน” เขาเอ่ยเสียงจริงจัง จนกล้วยไม้ก็ชักจะกังวล และมันก็ฟ้องออกมาทางสีหน้า
“คุณไม่ต้องกลัว ผมจะปกป้องดูแลคุณเอง” ผู้กองทาเคชิถือโอกาสจับมือหญิงสาว
กล้วยไม้พยายามดึงมือออกอย่างสุภาพ เอ่ยว่า “เดี๋ยวใครมาเห็นเข้าจะไม่ดี”
เขายิ้ม “ไม่มีใครเห็นหรอก...”
เขาเอ่ยยังไม่ทันขาดคำ เสียงอากุ่ยก็ดังมาก่อนตัว “กล้วยไม้ๆ...ฉันซื้อของกลับมาแล้ว”
“จ้า...” กล้วยไม้ขานรับ “ฉันจะไปช่วยหิ้วของเข้าครัวเดี๋ยวนี้” หญิงสาวหันมายิ้มให้คนเป็นแขก “ขอตัวประเดี๋ยวนะคะ”
“งั้น...ผมขอตัวกลับก่อน เย็นนี้ผมจะมาทานอาหารฝีมือของคุณกับเพื่อนๆ” แล้วผู้กองทาเคชิก็ลุกจากไปก่อน
กล้วยไม้ลอบถอนหายใจโล่งอกที่อากุ่ยกลับมาได้ทันเวลา

หลังจากวันที่ทำอาหารเลี้ยงนายทหารญี่ปุ่น ผู้กองทาเคชิก็เสนอให้กล้วยไม้รับจัดเลี้ยงที่บ้าน แล้วไม่ต้องไปขายข้าวแกงแต่เช้า เพราะเหน็ดเหนื่อยเกินไป หญิงสาวจึงปรึกษาอากุ่ย ในขณะที่ทั้งสองกำลังจัดแผงขายอาหารของเช้าอีกวันหนึ่งว่า “พี่กุ่ยเห็นด้วยไหม”
“เหนื่อยเท่าๆ กัน แต่เราสามารถเรียกค่าอาหารแพงเป็นสิบเท่า เพราะทหารญี่ปุ่นพิมพ์แบงก์ใช้เอง มันก็น่าจะดีอยู่หรอก” อากุ่ยเอ่ยพลางคิดพลาง “แต่เราจะไม่เป็นส่วนตัว”
“ทุกวันนี้ เราก็ไม่เป็นส่วนตัวอยู่แล้ว” กล้วยไม้เอ่ย ด้วยมีทหารญี่ปุ่นมาเยี่ยมๆ มองๆ ที่บ้านเป็นประจำ เพราะผู้กองทาเคชิใช้ให้มาดูแลความปลอดภัยให้หญิงสาว
“งั้นก็รับปากผู้กองเขาเถอะ สุภาษิตว่า น้ำขึ้นให้รีบตัก” อากุ่ยเอ่ยอย่างตัดสินใจแล้ว
“รับปาก...” สมใจที่มายืนฟังทั้งสองสนทนาพลางเรียงข้าวของพลาง ถามแทรกขึ้น “เรื่องอะไรเหรอ...หรือกล้วยไม้จะรับปากเป็นเมียผู้กอง”
“สมใจ...” ทั้งกล้วยไม้ทั้งอากุ่ยเรียกชื่ออีกฝ่ายขึ้นมาพร้อมๆ กัน
“เพ้อเจ้อนะ” อากุ่ยว่าต่อท้าย
“ก็เรื่องอะไรกัน...ทำไมต้องกระซุบกระซิบกันสองคน บอกให้ฉันฟังอีกคนสิ” สมใจว่าพลางเอามือเท้าสะเอว
“มันไม่ใช่เรื่องของเธอ” อากุ่ยว่า
“แล้วเป็นเรื่องของกล้วยไม้เหรอ?” สมใจประชด
“ใช่” อากุ่ยตอบสั้นๆ
“ทำไมพี่กุ่ยชอบกีดกันฉันออกเป็นคนนอก” สมใจทำหน้าเง้างอน
อากุ่ยเงียบเสีย จัดร้านเสร็จก็จัดโต๊ะจัดเก้าอี้ ไม่สนใจแม่ค้าผักสาวที่ตามเซ้าซี้ “พี่กุ่ยบอกมานะว่าฉันไม่ดีตรงไหน?”
กล้วยไม้ได้แต่ส่ายหน้า และจัดจานชามไป ก็มีเสียงทุ้มๆ เสียงหนึ่งทักจากด้านหลังว่า “แม่ค้า...”
หญิงสาวจึงหันไปมอง เห็นเป็นชายหนุ่มร่างสูงเพรียว ผิวออกขาวแบบคนจีน แต่คิ้วเข้ม ตาคม ดวงหน้าเกลี้ยงเกลาคมคาย
เธอรู้สึกสะดุดตาที่ดวงตาคมมีขนตาเป็นแพราวพัดจีบที่คลี่ออกของเขาคู่นั้นมาก...ดูคุ้นตา จนเขาเดินเข้ามามองดูอาหารบนแผง
“กระดาษแผ่นนั้นอยู่ที่ไหน?” เขากระซิบเบาๆ เมื่อเดินเฉียดผ่านเธอ
หญิงสาวอึ้ง รู้สึกตัวชาวาบ แต่มีทหารญี่ปุ่นเข้ามานั่งที่โต๊ะสองคน หญิงสาวหันกลับมามองชายหนุ่มร่างสูงเพรียวอีกครั้ง เห็นเขาเดินเลี่ยงออกไปไกลแล้ว เธอจึงรีบเดินตามออกไป พอถึงตรอก เธอก็ไม่เห็นเขาแล้ว
แต่พอเธอหันกลับ ก็พบว่าเขายืนอยู่ตรงหน้า
“คุณเอากระดาษแผ่นนั้นมาด้วยหรือเปล่า?” เขาถาม
“เปล่า...ฉันซ่อนมันเอาไว้” หญิงสาวตอบ ก่อนจะถามกลับ “คุณคือผู้ชายคนนั้นใช่ไหม?”
“ใช่”
“คุณเป็นเสรีไทย?” หญิงสาวถาม
เขารีบยื่นมือมาปิดปากเธอ ก่อนจะหันซ้ายหันขวา “อย่าพูดคำคำนี้ให้เข้าหูพวกญี่ปุ่นเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นเธออาจจะตายได้โดยไม่ทันรู้ตัว!”


(โปรดอ่านต่อฉบับหน้า)




คำรัก
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 มี.ค. 2556, 11:15:10 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 มี.ค. 2556, 11:15:10 น.

จำนวนการเข้าชม : 1390





<< ตอนที่ 42   ตอนที่ 44 >>
ree 22 มี.ค. 2556, 14:12:47 น.
ช่วงนี้ชีวิตกล้วยไม้ดูวุ่นวาย มีคนมาเกี่ยวข้องเต็มไปหมด


pattisa 22 มี.ค. 2556, 17:07:21 น.
อร๊ายย ใช่คุณชายป้อป่าวอ่ะ?


konhin 22 มี.ค. 2556, 18:23:45 น.
ว้าววว เสรีไทยด้วยอ่ะ


์nuch 22 มี.ค. 2556, 21:33:13 น.
ไม่ชอบไอ้หมวดทาเคชิเลย ท่าทางจะเลว


ธีร์จุฑา 23 มี.ค. 2556, 19:07:04 น.
เพิ่งจะมาอ่าน.ตั้งแต่ต้น ชีวิตอาลั้งรันทดเกินไปแล้ววว TT


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account