ปาริชาตซ่อนรัก

Tags: ปาริชาตซ่อนรัก สุรเสกข์ ปาริชาต บุษบาฮาวาย

ตอน: ตอนที่ 4

ตอนที่ 4

ทางด้านของปาริชาต ภายหลังเดินออกมาจากแผนกเครื่องแต่งกายบุรุษอย่างหัวเสีย เธอก็ไม่มีอารมณ์จะไปเดินเตร็ดเตร่เลือกชมสินค้าใด ๆ ได้อีก ที่สำคัญกลัวจะได้เจอผู้ชายคนนั้นอีกหนเพราะเรื่องที่เพิ่งจบไปสด ๆ ร้อน ๆ นี้ ได้สร้างความอับอายให้เธอจนอยากเอาหน้ามุดดิน ยอมรับว่าภาพชั้นในชายสีขาวที่โผล่ให้เห็นกับสายตาและคำพูดของเขายังตามหลอกหลอนเธออยู่จนถึงวินาทีนี้

“อุ๊ย...”

ขณะที่จิตใจล่องลอยและขุ่นมัวกับเหตุการณ์ในบ่ายแก่ ๆ ของวันนี้ เสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้นก็ทำเอาเจ้าของถึงกับสะดุ้งโหยง ก่อนจะควานมือไปหยิบมันออกมาจากกระเป๋า

“สวัสดีค่ะ”

“ป่านอยู่ไหน ไม่ได้อยู่ที่บ้านใช่ไหม”

น่ากลัวว่าเสียงเพลงและความจอแจภายในห้างสรรพสินค้าจะดังเล็ดลอดเข้าไปในสายด้วย เพราะฝ่ายนั้นเอ่ยถามราวกับมั่นใจเป็นอันมาก ซึ่งดูแล้วก็ป่วยการหากจะเธอโกหก

“เอ่อ...ป่านมาเดินดูชุดทำงานค่ะ”

“เหรอ ได้มากี่ชุดล่ะ”

น้ำเสียงที่มีเค้าของความเอ็นดูดังมา ทำให้ปาริชาตพอจะยิ้มออกได้บ้าง หลังจากรู้สึกอดสูใจด้วยไม่คิดว่าจะตนเองจะต้องมาเปลือยกายต่อหน้าผู้ชายแปลกหน้า ที่สำคัญสายตาและคำพูดของเขายังชวนให้โมโหและอยากร้องไห้ในเวลาเดียวกันอีกด้วย

“ยังไม่ได้สักชุดเลยค่ะ”

“อ้าว...แล้วกัน ทำไมเป็นอย่างนั้น”

“ก็เห็นมีแต่ราคาแพง ๆ ป่านเสียดายเงินค่ะ”

ปาริชาตเอ่ยบอกน้ำเสียงแผ่ว ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นกับเธอตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็นป้ายราคาบนเสื้อผ้าชุดที่เธอคิดว่าสวยและน่าซื้อนั้นแล้ว ก่อนที่จะมีความรู้สึกบางอย่างเพิ่มมาอีก ที่สำคัญมันจุกอยู่ในอกไม่สามารถเปิดปากบอกใครได้

“ไม่เป็นไรหรอกน่ะ เงินนั้นผมตั้งใจให้อยู่แล้ว ไม่ต้องคิดมาก คิดว่ามันจำเป็นต้องซื้อหาสิ”

“ป่านว่าจะไปซื้อแถวตลาดนัดดีกว่าค่ะ เห็นราคาเสื้อผ้าในห้างแล้วซื้อไม่ลง เก็บเงินไว้ซื้อนมกับผ้าอ้อมให้ยายหนูดีกว่า”

“ไม่เอาน่า บอกแล้วไงว่าอย่าคิดมาก มันคนละส่วนนะป่าน เงินนั้นผมให้ป่าน ส่วนยายหนูผมก็ให้ในส่วนของแกอยู่แล้ว”

“เอ่อ...”

“เลิกคิดมากได้แล้ว รีบไปหาซื้อเสื้อผ้าเสียนะ เพราะขืนมัวแต่ไม่ซื้อ ๆ เดี๋ยวมาทำงานก็ไม่มีเสื้อผ้าใส่พอดี ที่สำคัญคืออาจจะไม่มีเวลาว่างพอจะไปเดินหาซื้ออีก”

“ค่ะ...แล้วเย็นนี้คุณจะแวะไปที่บ้านไหมคะ”

“ว่าจะไปเพราะไม่ได้เห็นหน้ายายหนูหลายวันแล้ว”

“ถ้างั้นป่านจะรีบกลับนะคะ”

“ไม่ต้องรีบหรอก จัดการเรื่องของป่านให้เสร็จเรียบร้อยก่อนเถอะ ผมจะไปเล่นกับยายหนูรอ”

“แล้วคุณจะทานข้าวเย็นที่นี่ไหมคะ ป่านจะได้ดูอะไรเข้าไปให้”

“ก็ดีนะ ฝากท้องอีกสักมื้อก็แล้วกัน”

“ค่ะ แล้วเจอกันที่บ้านนะคะ”

แล้วปาริชาตก็ตอบแทนน้ำใจของอีกฝ่ายด้วยการจัดหาอาหารมื้อเย็นให้เขาอย่างเต็มใจอีกครั้ง ซึ่งการหิ้วกับข้าวสำเร็จกลับเข้าบ้านดูจะเป็นทางออกที่ดี ทดแทนการไม่สะดวกใจที่จะไปนั่งรับประทานอาหารกันนอกบ้าน อีกอย่างปาริชาตก็ไม่ถนัดเรื่องงานบ้านงานครัวเพราะเธอเพิ่งผ่านพ้นวัยเรียนได้ไม่กี่วัน แถมย้อนไปเมื่อ 8 เดือนที่แล้วยังได้รับภาระสำคัญล้ำหน้านักศึกษาหญิงคนอื่น ๆ แบบไม่คาดคิดอีกด้วย

หญิงสาวเก็บโทรศัพท์มือถือลงกระเป๋าก่อนจะหยุดเท้าอยู่หน้าร้านขายเสื้อผ้าร้านหนึ่ง อันเป็นห้องเช่าไม่ใช่ส่วนของห้างสรรพสินค้า ซึ่งสนนราคาของเสื้อผ้าก็อยู่ในช่วง 300 – 500 บาท และเธอก็พอจะควักเงินจ่ายโดยไม่ต้องเสียดายให้มากนัก



ปาริชาตกลับถึงบ้านในเวลาพลบค่ำ บ้านหลังเล็กชั้นเดียวบัดนี้เปิดไฟสว่างไสวไปทั้งหลังแล้ว ซึ่งภาพแรกที่ปรากฏเมื่อเปิดประตูเข้าไปภายในบ้าน คือคุณสุพลนอนเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้ตัวยาวโดยมีร่างของยายหนูหรือเด็กหญิงปุณญภัสนอนคว่ำหน้าอยู่บนอกนิ่งอยู่

“ยายหนูหลับไปแล้วเหรอคะ”

ปาริชาตเอ่ยถามเบา ๆ เมื่อคุณสุพลหันหน้ามามอง ก่อนจะเลี่ยงไปวางบรรดาถุงหิ้วทั้งหลายในมือลงแล้วเดินเอากับข้าวเลยไปในครัว ภายหลังจากที่เห็นเขาพยักหน้ารับ

“มาค่ะ ป่านจะเอาแกไปนอน คุณจะได้ทานข้าว”

“ไม่เป็นไร ขออยู่แบบนี้นานอีกสักหน่อย”

“แล้วคุณไม่หิวข้าวเหรอคะ”

“หิวนิดหน่อย แต่...อีกเดี๋ยวก็ได้”

ท่าทีโอบประคองเด็กน้อยที่หลับตาพริ้มนั้นอย่างทนุถนอม ทำให้ปาริชาตไม่อยากจะขัด เธอเลี่ยงไปจัดการกับกองผ้าอ้อมที่เพิ่งผ่านการซักและตากจนแห้งสนิทแล้วให้เข้าที่

“เอ่อ...ป่าน ถ้าพรุ่งนี้ต้องไปเริ่มต้นทำงาน เตรียมตัวทันไหม”

จู่ ๆ คุณสุพลก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกึ่ง ๆ เกรงใจ เขารู้และพยายามมาตลอดที่จะไม่ให้ความสนใจกับหญิงใดจนเป็นที่สะดุดตาและสะดุดใจคนในครอบครัว ทว่าหนนี้ความจำเป็นก็บีบบังคับเหลือเกิน

“ไหนคุณบอกป่านว่าให้ไปเริ่มต้นทำงานวันจันทร์หน้าไงคะ”

เหตุเพราะรู้ตัวว่ายังมีภารกิจหลายอย่างที่ต้องจัดการให้เรียบร้อย คำถามของคุณสุพลจึงทำให้เธอไม่อาจตอบได้แบบปัจจุบันทันด่วน

“ก็เจ้าเสกข์มันไปนั่งทำงานแล้ว แถมยังมาแย่งเอาเลขาของผมไปอีก ถ้าป่านไม่ติดอะไร ผมก็อยากให้เลื่อนเวลาเริ่มงานเข้ามา เอาตามที่ป่านพร้อมนะ พรุ่งนี้ไม่ได้ก็วันมะรืน”

คำพูดของคุณสุพลที่บอกว่าลูกชายของเขากลับมาจากต่างประเทศแล้วและกำลังเริ่มต้นทำงานที่บริษัท ทำให้คนที่รู้ตัวว่าจากนี้ไปต้องได้ใกล้ชิดกับคนในครอบครัวของคุณสุพลแบบเลี่ยงไม่ได้ เริ่มรู้สึกวิตกกังวล

“คุณ...คิดว่ามันจะไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นใช่ไหมคะ”

“ผมจะคอยดูแลไม่ให้มี ป่านจะทำงานกับผม ฉะนั้นโอกาสที่นายเสกข์จะมายุ่งเกี่ยวด้วยก็คงน้อย ไม่ต้องห่วงไปหรอก”

แม้จะรู้ว่าสิ่งที่กำลังดำเนินอยู่ในทุกวันนี้มีผลพวงมาจากการทำผิดศีลธรรม หากปาริชาตก็ได้แต่หวังว่าการไม่เบียดเบียนและสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้อีกฝ่าย น่าจะช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาได้บ้าง ฉะนั้น...การต้องไปนั่งทำงานที่บริษัทของคุณสุพล และที่สำคัญต้องเดินเข้าไปอยู่ในวงล้อมของคนในครอบครัวเขา จึงทำให้รู้สึกไม่ใคร่สบายใจนัก

“ยายหนูก็ให้อยู่กับนันทาเหมือนเดิม”

นันทาเป็นหญิงหม้ายวัยกลางคนที่อาศัยอยู่ข้างบ้านรั้วติดกัน ทุกวันนี้คุณสุพลจ่ายเงินค่าจ้างให้แก่นางสัปดาห์ละ 2,000 บาทเพื่อช่วยดูแลลูกสาวตัวจ้อยของเขา โดยทำหน้าที่นี้ตั้งแต่เช้าจรดเย็นในวันที่ปาริชาตมีเรียน ส่วนเสาร์-อาทิตย์ก็ช่วยบ้างตามอัธยาศัย

“สงสารแกเหมือนกันนะคะ”

ปาริชาตเปรยออกมาพลางลดสายตาลงทอดจับที่ใบหน้าของหนูน้อย ความที่ยังเล็กทำให้ไม่มีปากมีเสียงหากจะถูกทิ้งให้อยู่กับคนแก่ข้างบ้าน แต่ก็ดูเหมือนโลกจะสร้างทุกสิ่งมาให้สมดุลกัน เด็กที่เกิดมาบนความไม่สมบูรณ์พร้อม ก็จำเป็นต้องมีความอดทนมากกว่าจึงจะอยู่รอดปลอดภัยได้อย่างทัดเทียมกัน

“มันเป็นเพราะความไม่กล้าของผม ยายหนูถึงต้องมาลำบากอย่างนี้”

คุณสุพลรู้ตัวดีมาตลอดว่าตนเองเก่งแต่เรื่องบริหารธุรกิจ หากแต่เรื่องครอบครัวและหัวใจเขากลับทำผลงานได้แย่เอามาก ๆ เคยนึกอยากทำอะไรให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดลงไป ทว่าพอหันมองแต่ละฝ่าย เขาก็ไม่อาจทำให้ใครคนใดคนหนึ่งเจ็บช้ำได้เลยแม้แต่ปลายเล็บ

“คุณพูดแบบนี้อีกแล้ว ป่านว่าเราเปลี่ยนเรื่องพูดกันดีกว่าค่ะ เชื่อสิคะว่าป่านกับยายหนูเราอยู่กันได้”

“แต่ผมก็อยากจะรับปากเหมือนกับทุกครั้งว่ายังไงก็ไม่ทอดทิ้ง”

“ค่ะ ป่านเชื่อคุณ ให้ป่านพาแกไปนอนนะคะ คุณจะได้ทานข้าว”

พูดจบปาริชาตก็คุกเข่าลงรับร่างของหนูน้อยมาอุ้ม ท่ามกลางท่าทีผวาเฮือกด้วยถูกพลิกตัวขึ้นจากอกของผู้เป็นพ่อ

“จะทานด้วยกันไหม”

“ไม่ล่ะค่ะ คุณโทร.หาป่านช้าไปเพราะป่านกินมาจากข้างนอกเรียบร้อยแล้ว”

จากนั้นต่างฝ่ายต่างก็แยกจากกันไปทำกิจกรรมของตนเอง คุณสุพลนั่งรับประทานอาหารอยู่ที่โต๊ะเพียงลำพัง ส่วนปาริชาตก็ทำหน้าที่พาเด็กน้อยเข้าห้อง ภายหลังปลอบให้หยุดจากการร้องไห้โยเยเพราะถูกขัดจังหวะในการนอน

สุดท้ายด้วยสำนึกในบุญคุณของคุณสุพล ทำให้ปาริชาตตกลงปลงใจจะไปเริ่มต้นทำงานในวันรุ่งขึ้น ท่ามกลางความหวั่นใจ หากแต่เธอก็เชื่อว่าคุณสุพลจะสามารถดูแลและปกป้องเธอได้ตามที่เขาลั่นวาจาไว้



การได้ยินบิดาเอ่ยปากถึงคนที่จะมาช่วยทำงานในตำแหน่งเลขานุการคนใหม่และเขาก็เพิ่งเจรจายกให้เธอไปเป็นเลขาหน้าห้องของฝ่ายนั้นเมื่อวันวาน ทำให้สุรเสกข์ไม่นึกสงสัยในตัวของหญิงสาวที่เดินตามหลังคุณสุพลเข้ามาในห้องทำงานของเขา เมื่อเวลาเกือบ 10 นาฬิกาวันรุ่งขึ้นเลยแม้แต่น้อย

“พ่อพาเลขาคนใหม่มาแนะนำให้รู้จัก”

พอได้ยินผู้เป็นพ่อเอ่ยบอก สุรเสกข์ก็ปิดวารสารยานยนต์ซึ่งกำลังให้ความสนใจอยู่ก่อนหน้าแล้วชำเลืองข้ามไหล่หนาไปหยุดที่หญิงสาวเรือนร่างผอมบางในชุดเสื้อเชิ้ตสีอ่อนแขนสี่ส่วนเข้ารูปเก็บชายไว้ในกระโปรงสีเข้มเหนือเข่าเรียบร้อยนั้นนิดหนึ่ง ก่อนนัยน์ตาคู่คมจะเต้นระริก เมื่อได้เห็นว่าหญิงสาวคนนั้นคือคนเดียวกันกับสาวน้อยมหาภัยในห้องลองเสื้อ ซึ่งเธอก็คงจำเขาได้อย่างแน่นอนเพราะตาโตคู่นั้นกำลังเบิกกว้างบ่งบอกถึงความตกใจ

“นี่สุรเสกข์ เป็นลูกชายผม เพิ่งเรียนจบและกลับมาจากอังกฤษ เสกข์นี่ปาริชาต เรียกสั้น ๆ ว่าป่าน”

เหตุเพราะสังเกตเห็นใบหน้าเรียวนั้นเริ่มซีดแถมเจ้าของยังเปลี่ยนจากสีหน้าท่าทางตื่นตะลึงไปเป็นจืดเจื่อนราวกับเกรงว่าจะถูกเขายกเอาความได้เปรียบขึ้นมารังแก สุรเสกข์จึงพยายามระงับความรู้สึกทั้งหลายเอาไว้ในอก ก่อนจะสำรวมกิริยาแล้วเอ่ยทักด้วยความสุขุม

“สวัสดีครับ ยินดีที่จะได้ร่วมงานกัน”

“เอ่อ...สะ สวัสดีค่ะ”

ปาริชาตจำต้องยกมือขึ้นไหว้เขาพร้อมกับอาการเจ็บจี้ดในอก เมื่อวานเธอกับเขายังมีเรื่องกันอยู่เลย แต่วันนี้กลับต้องได้มายกมือไหว้แถมทำกิริยานอบน้อมต่อเขาเสียแล้ว ที่สำคัญเธอตกเป็นรองอย่างเห็นได้ชัด แบบนี้ต่อให้คุณสุพลจะรับรองความปลอดภัยให้แค่ไหน ปาริชาตก็แทบไม่อยากจะหวังแล้วว่ามันจะเป็นจริงเช่นว่า

“ทราบมาว่าเพิ่งจบใหม่ เรียนสาขาอะไรมาครับ”

ผู้ชายคนที่ปาริชาตหวาดกลัวการเผชิญหน้ามากที่สุดเอ่ยถาม หญิงสาวกัดริมฝีปากตัวเองแน่นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความรู้สึกอยากร้องไห้

“จบ วทบ.ค่ะ”

“หืม...”

คิ้วหนาเลิกขึ้นพร้อมเสียงอุทานอย่างฉงนเพียงในลำคอ ก่อนที่คุณสุพลซึ่งยืนอยู่ตรงกลางและไม่ได้รู้ความเป็นไปของคนทั้งคู่นี้มาก่อนแม้แต่น้อยจะเป็นฝ่ายเฉลยออกมา ท่ามกลางความหวั่นใจว่าจะถูกตำหนิที่รับเอาคนไม่เป็นงานเข้ามาแถมวุฒิการศึกษาก็ไม่ตรงกับเนื้องานที่จะปฏิบัติ

“ป่านเค้าจบเคมีมา”

“หา...”

ก่อนที่สุรเสกข์จะทันได้พูดอะไรต่อ ซึ่งอาจเป็นการทำร้ายจิตใจคนฟัง นภษรก็เคาะประตูแล้วผลักมันเข้ามาภายใน

“อ้าว...คุณษรมาแล้ว ผมพาน้องใหม่มาแนะนำให้รู้จัก”

“สวัสดีค่ะ”

ปาริชาตยกมือไหว้สาวใหญ่วัยน่าจะเกินกว่า 30 หากแต่ยังดูคล่องแคล่วและกระฉับกระเฉงด้วยความยินดี ที่สำคัญเธอมีบุคลิกภาพชวนมองน่าประทับใจ

“คุณษร นี่ปาริชาต หรือจะเรียกง่าย ๆ ว่าป่านก็ได้ คนที่ผมเคยบอกว่าจะให้มาเป็นผู้ช่วยของคุณไง ป่านเค้าเรียนจบเคมีมา อาจจะไม่เกี่ยวกับงานของเราแต่ว่าเค้าก็หัวดี เรียนรู้ได้ไว”

พอได้ยินคำบอกเล่าของผู้เป็นพ่อ ซึ่งดูจะเอนเอียงไปทางการปกป้องหญิงสาววัยละอ่อนคนนี้จนเขารู้สึกได้ ไหนจะยังน้ำเสียงที่แสดงความสนิทสนมประหนึ่งรู้จักกันมาเนิ่นนานทั้งที่ไม่ใช่ญาติฝ่ายใดนั้นอีก ความสงสัยของสุรเสกข์จึงก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว

“ฝากสอนงานด้วยนะคุณษร”

“ยินดีค่ะ”

“งั้นป่านก็ออกไปเริ่มต้นเรียนรู้งานจากคุณษรได้แล้ว มีอะไรค่อยคุยกัน”

“ค่ะ”

แล้วนภษรก็เดินออกจากห้อง โดยมีร่างของปาริชาตก้าวตามไป ซึ่งเมื่อประตูบานนั้นถูกปิดลงพร้อมกับร่างของหญิงสาวทั้งสองคนได้หายลับไปแล้ว สุรเสกข์ก็หันไปพูดกับผู้เป็นพ่อด้วยสีหน้าจริงจัง

“ทำไมตอนที่เราคุยกัน พ่อไม่เห็นบอกผมเลยว่าผู้หญิงคนนี้เธอเรียนจบเคมีมา”

“อ้าว แล้วมันแปลกตรงไหนล่ะ จะบอกตอนนั้นหรือว่าบอกตอนนี้ ยังไงก็เปลี่ยนวุฒิการศึกษาของปาริชาตเค้าไม่ได้อยู่ดี”

“แต่มันก็เปลี่ยนคนใหม่ได้นี่ครับ”

“รู้สึกว่าพ่อจะบอกเหตุผลที่รับป่านเค้าเข้าทำงานให้แกฟังไปแล้วนะ ฉะนั้นก็ป่วยการจะมาพูดอย่างนี้ ดู ๆ ไปก่อน ถ้าไม่ไหวค่อยว่ากัน”

ผู้เป็นพ่อตอบออกมาแบบไม่ยี่หระด้วยมั่นใจว่าถึงอย่างไรปาริชาตก็ต้องได้ทำงานอยู่ที่นี่อย่างแน่นอน ซึ่งน้ำเสียงแบบนี้ก็ทำให้คนที่เคยคุ้นมาแต่เล็กแต่น้อยอย่างสุรเสกข์รู้ดีว่าหมดโอกาสเปลี่ยนใจอีกฝ่ายได้แล้วด้วยประการทั้งปวง แต่กระนั้นชายหนุ่มก็ยังอดแสดงความเห็นออกมาบ้างไม่ได้ เพราะถึงอย่างไรปาริชาตก็เป็นพนักงานของที่นี่ อาจจะต้องทำงานร่วมกับเขาด้วยไม่มากก็น้อย

“จบเคมี แล้วจะรู้เรื่องอะไหล่รถยนต์เหรอครับ แล้วไหนจะเรื่องการตลาดอีก”

“ก็ให้มาเป็นเลขาเองนี่นา ไม่ใช่ให้ออกไปดีลกับลูกค้าข้างนอกเหมือนพวกเซลล์ที่ไหนกันล่ะ อย่างมากก็หนีไม่พ้นงานเอกสาร ของแบบนี้มันเรียนรู้กันได้”

“แต่เค้าไม่มีพื้นฐานเรื่องธุรกิจเลย เรานำเข้าและขายอะไหล่รถยนต์นะพ่อ ไม่ได้นำเข้าเคมีภัณฑ์”

“เอาน่า เมื่อก่อนคุณษรเธอก็ไม่มีความรู้ในเรื่องพวกนี้เหมือนกัน แต่เดี๋ยวนี้เป็นไง ตัวแกเองก็ยังอยากได้ไปเป็นเลขาอยู่เหย็ง ๆ น่ะ”

“ถึงคุณษรเธอจะไม่ได้จบเลขามาโดยตรง แต่เธอก็จบบริหารธุรกิจมา”

“แต่ป่านเค้าก็หัวดี เรียนเก่ง งานอะไรก็ทำได้ทั้งนั้นแหละ”

“ทำได้กับทำเป็นมันเหมือนกันซะที่ไหนล่ะครับ”

“ก็ช่วยกันสอนเข้าสิ อีกหน่อยก็เก่งเองนั่นแหละ”

เมื่อทักท้วงออกไปแล้วถูกฝ่ายผู้เป็นพ่อคอยแต่กล่าวแก้กลับมาทันควันเสียทุกประโยคเช่นนี้ สุรเสกข์จึงไม่คิดจะเอ่ยอะไรอีก แต่แม้ว่าเขาจะยอมปิดปากเงียบ ทว่าในใจของชายหนุ่มกลับเต็มไปด้วยคำถาม...อะไรที่ทำให้ผู้เป็นพ่อ มั่นใจในตัวปาริชาตมากมายถึงเพียงนี้

“เอ่อ...ได้ตามเรื่องอะไหล่ที่พ่อให้เด็กมันสั่งไปล็อตล่าสุดหรือยัง สรุปว่าจะมาถึงวันไหน”

คุณสุพลเปลี่ยนเรื่องพูด หลังจากรู้สึกเหมือนกับสุรเสกข์จะยังคงกังขาในความเป็นมาของปาริชาต

“อีก 3 วันครับ พ่อถามทำไม”

“เปล่า...ลูกค้าเค้าถามมา อีกตั้ง 3 วันเหรอ ทำไมรอบนี้มันช้านักนะ อุตส่าห์ว่ารีบเลยไม่ให้ส่งมาทางเรือเหมือนทุกที สุดท้ายก็ยังปาเข้าไปหลายวันจนได้”

“ก็เครื่องบินมันงดเที่ยวบินตั้งหลายเที่ยวนี่ครับ แต่ก็ยังจะเร็วกว่ามาทางเรืออยู่ดีนั่นแหละพ่อ”

“เออ...ใช่ หรือว่าโลกมันใกล้จะแตกเหมือนใคร ๆ เขาลือกันก็ไม่รู้นะ”

เหตุการณ์ภูเขาไฟปะทุจนท้องฟ้ามืด เต็มไปด้วยฝุ่นควันและเถ้าถ่าน ทำให้สายการบินงดให้บริการ ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นเที่ยวบินที่จะขนส่งอะไหล่ยานยนต์มายังประเทศไทย ดังนั้นจึงทำให้เกิดการล่าช้า จนลูกค้าหลายรายเริ่มทวงถามเข้ามา โชคดีเหลือเกินที่ในวันเดินทางกลับประเทศไทยของเขา ทางสายการบินยังไม่ประสบปัญหามากนักจนถึงขั้นงดเที่ยวบิน

“ผมว่ามันไม่แตกหรอกครับ คงเป็นเพราะคนดูหนังเยอะเกินไปเลยอินจัด”

“อืม...แต่มันก็แปรปรวนขึ้นทุกวัน ๆ พ่อไปทำงานก่อนนะ”

“ครับ”

พอลับร่างของคุณสุพล มุมปากหยักของสุรเสกข์ก็ถึงกับยกขึ้นยิ้มเมื่อนึกไปถึงเจ้าของใบหน้าเรียวที่ตาโตของเธอเบิกกว้างด้วยความตกใจเมื่อครู่ และจะว่าไปเธอก็ตกใจตอนเจอหน้าเขาทุกทีนั่นแหละ

ความที่ยังค้างคาใจในความรู้และความสามารถของปาริชาต ทำให้สุรเสกข์ถึงกับสาวเท้าไปหยุดยืนอยู่หลังประตู ก่อนจะจับจ้องผ่านช่องกระจกสีชาไปยังโต๊ะของนภษรและหญิงสาวที่เพิ่งก้าวเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่รายล่าสุดของบริษัท เมื่อได้เห็นท่าทีตั้งอกตั้งใจเรียนรู้งานของเธอ ด้วยการเงยหน้าขึ้นถามสลับกับก้มลงจดยิก ๆ ในสมุดบันทึกเล่มหนา สุรเสกข์จึงพักความสงสัยนั้นไว้แล้วหันหลังกลับไปนั่งอ่านวารสารที่เปิดค้างอยู่ตามเดิม









บุษบาฮาวาย
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 มี.ค. 2556, 00:08:30 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 มี.ค. 2556, 00:08:30 น.

จำนวนการเข้าชม : 1700





<< ตอนที่ 3   ตอนที่ 5 >>
ผักหวาน 26 มี.ค. 2556, 08:29:57 น.
อยากรู้จังว่า จริงๆ แล้ว ป่านเป็นน้อยคุณสุพลหรือเปล่าค่ะ


วนัน 26 มี.ค. 2556, 11:13:39 น.
น่าติดตามคะ


ree 26 มี.ค. 2556, 22:36:26 น.
มีเค้าลางว่าจะวุ่นวายน่าดู


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account