รากเหง้า
หมู่บ้านเล็กๆ บรรยากาศชายทุ่ง กลิ่นไอความเป็นบ้านนาคละคลุ้ง
บ้านหลังเล็ก ที่อยู่กัน 7 คน พ่อแม่ลูก เป็นครอบครัวที่อบอุ่น
การเป็นอยู่ก็พื้นๆ ไม่ได้พิเศษอะไรเพราะค่อนข้างจน แต่ก็อยู่กันอย่างมีความสุขตลอดมา การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของครอบครัวน้อยๆ ครอบครัวนี้ เกิดขึ้นเมื่อพ่อผุ้เป็นเสาหลักของครอบครัวป่วย
ลูกๆ จึงต้องช่วยกันทำงาน และต้องลดพาระครอบครัวด้วยการแต่งงานเพื่อลดการแออัดภายในบ้าน และนั่นคือที่มาและเรื่องราวความสุข ความทุกข์ ความสำหวัง ความผิดหวัง ในชีวิต ติดตามได้ใน นิยายเรื่องยาว รากเหง้า ในนามปากกา อ. อกาลิโก
Tags: http://my.dek-d.com/dekdee/writer/view.php?id=908025

ตอน: บ่วงรัก 50%

ที่บ้านมีเสียงอึกทึกครึกโครม บรรยากาศทั้งวุ่นวาย ปนกับความครึ้นเครงเป็นอันมากเหลือเกิน แม่ครัวต่างพากันตะโกนโหวกเหวก
“นี่แม่คุ้ณ ไก่ของแกน่ะ เมื่อไหร่จะสับเสร็จหล่ะ น้ำในหม้อมันเดือดรอจนมันจะแห้งไปหลายรอบแล้วมั้งแม่คุ้ณ แม่ทูนหัว”
บรรดาแม่ครัวที่พากันมาช่วยงานแต่งต่างร่วมแรงร่วมใจกันทำอาหารเพื่อนำมาเลี้ยงแขกเหรื่อ อาหารมื้อนั้นมีด้วยกันหลายเมนู ทำให้ต้องขอเพื่อนบ้านมาช่วยงานกันหลายคน
พี่สาวคนโตและพี่สาวคนรองของบัว เธอทั้งสองคนนั้น กำลังจะเข้าพิธีแต่งงานเพราะเธอทั้งคู่นั้นได้เลือกเฟ้นหนุ่มที่จะมาเป็นคู่ครองได้แล้ว ถึงเวลาที่ต้องออกเรือนเสียที
แม่มาลี แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่สวยงามแบบล้านนา นุ่งผ้าซิ้นตีนจกแม่แจ่ม ผืนงาม ใส่เสื้อฉลุลูกไม้สีขาว(เจ๊เซียงให้ยืม)
พ่อแก้วอยู่ในชุดไทยพระราชทานคอปกสองชั้น สีน้ำเงินเข้ม ขับให้พ่อแก้วยิ่งดูมีสง่าราศี หล่อเหลาไม่แพ้ไอ่หนุ่มที่จะมาเป็นลูกเขยเลยทีเดียว
“โห่ ฮิ้ว โห่ ฮิ้ว โห่ ๆๆๆๆ ฮิ้วๆๆๆ”
“ขบวนเจ้าบ่าวมาถึงแล้วพี่ มากันเย่อะเลยหล่ะ”
“พี่บุญเกิดใส่เสื้อสีอะไรเองเห็นไหม”
“แล้วพี่เจิมหล่ะ จงจิต แต่งตัวยังไง”
“โถ่พี่ ฉันยังไม่เห็นหรอกจ๊ะ ขบวนเขายังไม่โผล่เลย ใจร้อนจริงเชียว เดี๋ยวก็ได้เห็นเองนั่นแหล่ะหน่า ใจร้อนจริงน่ะ ตัวแค่เนี้ยะ”
“แกนี่ บ้าน่ะ”
“นั่นสิ ทะลึ่งจริงๆ เชียว”
“เอ่อ จงจิต แกอย่าลืมบอกบัวน่ะ ริดไถมาให้เย่อะที่สุดน่ะ ยิ่งได้เย่อะเท่าไหร่ยิ่งดี”
“จ๊ะรับรอง งานนี้พี่บุญเกิด กับพี่เจิม ได้กระเป๋าฉีกหมดตัวแน่ๆ”
สามใบเถา พูดคุยหยอกล้อกัน เป็นภาพแห่งความทรงจำอีกภาพหนึ่ง ที่มันจะไม่มีวันได้หวนกลับคืนมาอีกแล้ว
งานเลี้ยงเริ่มขึ้นด้วยขบวนแห่ของเจ้าบ่าว นำหน้าขบวนแห่ด้วยวงกลองยาว ทุกคนในขบวนต่างพากันร้องรำทำเพลงกันอย่างออกรส เป็นที่สนุกสนานครึ้นเครงเสียจริง
“พี่ๆ เสร็จหรือยังขบวนเจ้าบ่าวใกล้เข้าบ้านแล้วน่ะ” พี่สาวทั้งสองคนของเธอ หันหน้ามามองบัว บัวถึงกับอึ้ง เพราะว่าพี่สาวของเธอทั้งสองคนอยู่ในชุดเจ้าสาวผ้าไหมสีทอง แบบไทยจักรพรรดิ เกล้าผมมวยขึ้นและปักด้วยปิ่นทองคู่สองชิ้น พี่สาวทั้งสองคนของเธอสวยเหลือเกิน ใบของทั้งสองคนต่างเปื้อนยิ้ม ดูมีความสุขมากมายเหลือเกินจริงๆ
“สวยจัง” เธอเผลอพูดออกมา
“เจ้าบ่าวคนนี้ใช่ไหม” ชายคนหนึ่งพูดเป็นเชิงถามขึ้นต่อหน้า ครอบครัวของพ่อแก้วที่พากันมายืนรออยู่บริเวณหน้าซุ้มประตูทางเข้าบ้าน พ่อแก้วจึงว่า
“คงไม่ใช่หรอกเพราะว่าเขยฉันหล่อน้อยกว่าหน่อยหนึ่ง”
“แล้วคนนี้หล่ะใช่ไหมจ๊ะ” หญิงคนหนึ่งในขบวนรีบดึงตัวผู้ชายคนหนึ่งที่อยู่ในขบวนขันหมากนั้นมาถามและพูดขึ้นอย่างนึกขัน
“ฉันก็ว่ายังไม่น่าใช่น่ะจ๊ะเพราะว่าเขยของฉันผิวคล้ำมากกว่า” แม่มาลีว่า ทั้งๆ ที่ชายคนนั้นผิวคล้ำดำเมี่ยม
“แล้วแม่คิดว่าคนไหนหล่ะจ๊ะเขยของแม่น่ะ” คนในขบวนขันหมากคนหนึ่งพูดขึ้นอีก
แม่มาลีจึงเดินเข้าไปในหมู่ขบวนขันหมากนั้น และดึงมือ ของนายบุญเกิด และนายเจิม ออกมาจากขบวนขันหมาก แล้วจึงพูดบอกกับคนทั้งขบวนขันหมากว่า
“สองคนนี้แหล่ะเขยคนโตและเขยคนรองของฉัน”
ทุกคนต่างพากันร้องโห่ หิ้ว โห่ สนุกสนานกันเป็นอย่างมาก
ทุกคนในขบวนขันหมากพากันเดินเข้าซุ้มประตูบ้าน ที่ถูกจัดตกแต่งด้วยดอกไม้เอาไว้อย่างสวยงามขบวนกลองยาวก็แห่แหนเป็นที่สนุกสนานยิ่งนัก
แม่มาลีนำเข็มขัดทองมาให้บัวและจงจิต จุดประสงค์ก็เพื่อให้ทั้งสองคน มายืนเป็นคนกั้นประตูเงินประตูทอง เจ้าบ่าวสองคนเดินนำขึ้นมายืนบนบันได สองสาวที่ยืนขึงเข็มขัดก็จ้องหน้าของผู้พยายามจะขึ้นเรือน
“อ่าว เองสองคนมายืนทำอะไรกันหล่ะ”
“มายืนไถ่เงินจ๊ะพี่ พี่มีให้ฉันบ้างหรือเปล่าหล่ะ” ทั้งสองคนต่างต่อรองกับพี่เขยทั้งสองคนของเธออย่างสนุกปาก
“อ่ะ ของเอง” เขายื่นซองขาวให้กับน้องเมียทั้งสองคนของพวกเขา
แต่ทั้งสองคนยังไม่สมใจ
“บัวจะเอาอีก มันน้อยไป” พูดพร้อมไม่ยอมปล่อยเข็มขัด
“วันนี้ฉันอยากกันขนมสาคูยัดไส้ที่ตลาดเขาขาย 10 บาท พี่ๆ จะว่ายังไงจ๊ะ”
พี่เขยจึงควักแบงค์ในกระเป๋าแล้วยืนแบงค์ส่งให้คนละใบ แล้วพูดว่า
“ถ้าวันอื่นๆ เองอยากจะกินอีกก็มาบอกพี่ของเองได้น่ะ” ผู้เป็นเขยใหม่พูดล้อน้องสาวของตน บัวถามอย่างนึกสนุกขึ้นมาอีก
“แต่ถ้าฉันไม่มีสตางค์ซื้อขนมนมเนยในอนาคตหล่ะพี่จะแบ่งปันให้ฉันกับพี่น้องคนอื่นๆ ได้ไหมจ๊ะ”
นายบุญเกิดจึงตอบแทนนายเจิม
“เองก็มาขอเอากับพี่ๆ ของเองก็แล้วกัน”
บัวรับเข็มขัดมาจากจงจิต ประตูเงินประตูทอง ถูกเปิดออกอย่างง่ายดาย
ส่วนบารมีนั้น บัดนี้โตเป็นหนุ่มน้อยหน้าตาดี ยืนอยู่กับพ่อและแม่ไม่ห่าง เขาเป็นคนไม่กินเหล้า ไม่สูบไม่บุหรี่เลย หล่อเหลาเอาการ
“พ่อแก้วแม่มาลี ฉันจะจองลูกชายพ่อกับแม่มาเป็นเขยน่ะ ได้ข่าวว่า เรียนจบ ตั้ง ป.6 ไม่ใช่เหรอ”
หญิงคนหนึ่งพูดแซวขึ้นมาจากบันไดด้านล่างขณะที่รอเจ้าบ่าวเดินเข้าไปบนเรือน แล้วก็แน่ะนำลูกสาวของตัวเองให้หนุ่มบารมีได้รู้จัก
“ นี่ไงจ๊ะ นี่ไงจ๊ะลูกสาวป้า พ่อบารมีว่าสวยไหมจ๊ะ”
แต่ว่าด้วยความเป็นจริงนั้นเธอคนนั้น ไม่สวยเอาเลยแถมยังค่อนข้างขี้ริ้วขี้เหร่อีกต่างหาก บารมีได้แต่ยิ้มแหย่ๆ ยืนทำหน้าปั้นยาก ไม่ตอบว่าอย่างไร
ญาติผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายต่างพากันมารดน้ำ มัดข้อมือ ให้พรคู่บ่าวสาวกันทุกคน
พิธีการดำเนินไปเรื่อยๆ บรรยากาศก็ช่างชื่นมื่น เต็มเปี่ยมไปด้วยความอิ่มเอมใจ
งานเลี้ยงด้านล่างก็ดำเนินไปอย่างเรียบร้อย แขกเหรื่อที่มาร่วมงานนั้น ต่างก็พากันร้องรำทำเพลง ทำให้บรรยากาศของงานแต่งนั้นตลบอบอวนไปด้วยความสุขทั้งบนเรือนและบริเวณรอบๆ บ้าน ที่แขกทุกคนกำลังกินดื่มกันอย่างมีความสุข
ผู้เป็นพ่อและแม่ต่างพากันมาส่งตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาว และให้พรลูกๆ ทั้งสี่คน พร้อมกับผลัดกันส่งตัวส่งเข้าห้องหอ ถึงสองห้อง
“แม่ฝากลูกของแม่ด้วยน่ะ พ่อเจิม”
“จ๊ะ แม่”
“แม่เลี้ยงของแม่มาเกือบ 20 ปี แม่ไม่เคยทุบตีลูกของแม่เลย หากในอนาคต ลูกสาวของแม่ทำผิดพลาดพลั้งไปแต่ประการใด ขอพ่อเจิม ให้อภัยลูกของแม่ด้วยน่ะพ่อน่ะ อย่าได้ทุบได้ตีลูกของแม่เลยน่ะพ่อเจิม”
“จ๊ะแม่ ฉันสัญญาจ๊ะ ว่าฉันจะไม่มีวันทุบตีแม่ผัดแม้แต่ครั้งเดียวจ๊ะแม่”
เจ้าสาวกราบแม่บังเกิดเกล้าของเธอ
พ่อแก้วลูบผมของลูกสาวด้วยความเบามือ
“พ่อจ๋า ฉันต้องไปอยู่ต่างบ้าน คงไม่ได้กลับมาช่วยงานพ่อเหมือนก่อน พ่อเพลาๆ งานลงบ้างน่ะจ๊ะ ฉันเป็นห่วง”
“เอง ไม่ต้องเป็นห่วงพ่อกับแม่หรอก เอ้ย เองต้องไปสร้างครอบครัวใหม่ พ่อขออวยพรให้เองมีความสุข มีครอบครัวที่สมบูรณ์ อยู่เย็นเป็นสุขน่ะลูก”
“จ๊ะพ่อ “ เอ้ยพูดออกมา แต่ก็ต้องพยายามฝืนกลั้นความรู้สึกเอาไว้
เจ้าบ่าวและเจ้าสาวนั่งอยู่บนเตียง ใบหน้ายิ้มแย้มทั้งคู่ ประตูห้องถูกปิดลง
แม่มาลีนั้นเอามือกุมหน้าอกเอาไว้แน่น เพราะรู้สึกเหมือนใครมาควักเอาดวงใจไปจากอก พ่อแก้วต้องโอบไหล่ ประคองแล้วพากันเดินออกไปจากตรงนั้น
บรรดาพ่อๆ แม่ๆ ต่างพากันเดินออกมาเพื่อร่ำลาแขกเหรื่อที่มาร่วมงาน บางคนก็พากันทยอยกลับบ้านตน บางคนก็ร้องรำทำเพลงอยู่กลางลานหน้าบ้านกันต่อ เพราะฤทธิ์สุรานั้นได้ที่จึงทำให้ติดลม
แต่งงานแล้ว เอ้ยก็มาลาพ่อกับแม่เพื่อที่จะไปอยู่บ้านของสามี ซึ่งอยู่กันคนละหมู่บ้าน แต่ก็สามารถไปมาหาสู่กันได้ไม่ลำบากมากนัก
“ไปอยู่บ้านเขา ไม่มีแม่คอยอบรมสั่งสอนเองแล้วน่ะลูก เองจะตื่นสายไม่ได้แล้วน่ะลูกน่ะ ให้เองขยันๆ ตื่นเช้าๆ ให้หมั่นปรนนิบัติพัดวีสามีน่ะลูกน่ะ”
“จ๊ะแม่ ฉันจะจำคำสั่งสอนของแม่เอาไว้จ๊ะ”
“แม่ฝากลูกแม่ด้วยน่ะพ่อน่ะอยู่ด้วยกันก็ขอให้พวกเจ้ารักกัน ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันน่ะลูกน่ะ ลูกแม่เลี้ยงมาแม่ไม่เคยตีเลย ถ้าลูกของแม่ทำผิดอย่างไรก็ให้พ่อ เตือนและบอกกล่าวกันน่ะ อย่าตบอย่าตีลูกแม่น่ะ”
“ จ๊ะฉันรับปากจ๊ะ” นายเจิมและนายบุญเกิดรับปากแม่มาลี
“ก็ลองมาลงไม้ลงมีกับลูกข้าดูสิ ข้าไม่เอาไว้แน่ๆ” พ่อแก้วพูดขึ้นน้ำเสียงนิ่งๆ เฉยๆ แต่ผู้เป็นเขยถึงกับต้องก้มหน้ากลืนน้ำลายไปคนละเอื้อก ต่างมองหน้าซึ่งกันและกัน
“จ๊ะพ่อฉันสัญญาจ๊ะ” นายเจิมรับปาก นายบุญเกิดก็เช่นกัน
“แต่งงานไปแล้วต้องเชื่อฟังสามีของเองน่ะลูก งานบ้านงานเรือนที่แม่เคยสอนมาก็ให้เองนำมาใช้ดูแลบ้านเรือนน่ะ”
ลูกสาวทั้งสองคนต่างพากันกอดแทบเท้าผู้เป็นแม่ของพวกเธอ เพราะต่อจากนี้ไปจะไม่มีใครมาคอยว่า คอยให้อภัย คอยอบรมดูแลพวกเธออย่างที่เคยเป็นมาอีกแล้ว คิดแล้วก็ให้ใจหายน้ำตาไม่รู้ว่าพรั่งพรูมาจากไหนมันไหลบ่าเหมือนกับสายน้ำที่ตกลงมาจากหน้าผาสูงชัน ตกลงรดเท้าของผู้เป็นแม่ของเธอดั่งน้ำตกเลยทีเดียว
“จ๊ะแม่” พวกเธอตอบเพียงแค่ประโยคสั้น แต่แค่เท่านั้นก็ทำให้จิตใจคนเป็นแม่นั้นสั่นสะท้านได้เลยทีเดียว เธอทั้งสองก้มลงกราบเท้าพ่อกับแม่ของเธอเพื่อเป็นกับลาอีกครั้ง
แม่มาลี ร้องไห้มองลูกสาวที่เลี้ยงมาเดินลับหายไปจากเขตบ้าน สายตาคู่นั้นของแม่ช่างหดหู่มากมายนัก สายตานั้นมองทอดยาวออกไปตามหลังผู้เป็นลูกสาวและเขย
“ลูกแม่ โชคดีมีชัยน่ะลูกน่ะ “
“เถ่อะหน่าแม่หยุดร้องเถ่อะลูกเรากำลังจะสร้างครอบครัวใหม่ อย่าร้องไห้ให้มากนักเลย ลูกมันจะกังวลใจเปล่าๆ น่ะ โบราณท่านว่าไว้น้ำตาพ่อแม่เมื่อหลั่งไหลร่วงรินเพราะลูกเป็นเหตุ มันจะทำให้ลูกเราไม่รุ่งเรื่องน่ะแม่มาลี”
ผู้เป็นสามีปลอบผู้เป็นภรรยาตน แม่มาลีจึงได้คืนสติหยุดร้องตามคำบอกของสามีและพากันเดินเข้าบ้านพร้อมกับคนทั้งครอบครัว
กลางวงอาหารมื้อเช้า ขาดเอ้ยและผัด ก็เหมือนขาดอะไรไป แม่มาลีนึกถึงคืนวันเก่าๆ ที่เคยป้อนข้าว ป้อนน้ำให้ คอยพัดวีให้ลูกเมื่อยามลูกๆ ของเธอหลับปุ๋ย คอยเกาขาเกาหัวให้กับลูกเมื่อลูกๆมาอ้อนเธอ แต่มาบัดนี้ ลูกๆออกเรือนไปสองคนแล้ว ไม่มีอีกแล้วคืนวันเก่าๆ
สายตาคู่นั้นมีน้ำตาคลออยู่ในเบ้านิดๆ เพราะอารมณ์คิดถึงลูก ยังไม่จางหาย
“แม่จ๋า อย่าร้องไห้ไปเลยฉันรับรองว่าถ้าฉันออกเรือนแต่งงานเมื่อใด ฉันจะอยู่หมู่บ้านเรานี่แหล่ะ จะไม่เอาไอ่หนุ่มหน้าไหนที่บ้านอยุ่ไกลให้แม่ต้องคิดถึงเป็นห่วงกังวลหรอกจ๊ะ”
พ่อแก้วนึกแก้วนึกหมันไส้ลูกสาวคนนี้จึงว่า
“น้อยๆ หน่อยแม่จงจิต อย่างเองน่ะเหรอใครจะเอาเองไปอยู่กับบ้านกับเรือน กระโดกกระเดกเป็นม้าดีดกระโหลกก็เท่านั้น”
และถามอย่างสงสัยขึ้นมาในคำพูดของผู้เป็นลูกสาว
“แล้วเองพูดแบบนี้หมายความว่ายังไงจงจิต”
จงจิตเขินนิดๆ แล้วพูดดังๆ โดยต้องการให้เสียงของเธอนั้นได้ยินไปไกลว่า
“ก็ออกมาสิพี่พิบูรณ์”



อกาลิโก
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 มี.ค. 2556, 21:03:48 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 มี.ค. 2556, 21:03:59 น.

จำนวนการเข้าชม : 956





<< งานฤดูหนาว 2   บ่วงรัก 2 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account