นิยามรักหัวใจร็อค ภาค 2 (นิยามรักของเจ้าชายเย็นชา)
เรื่องราวของอีริค หนุ่มลูกครึ่งฮ่องกงอังกฤษ ที่แสนจะเงียบขรึม คนที่เป็นหัวใจหลักของการทำงานดนตรีของ Evasion ผู้มีความหลังอันลึกลับ และขมขื่น ....
Tags: สิรินดา, นิยามรัก, หัวใจร็อค, แจ่มใส, ภาค 2,นิยาย, sirinda, jamsai, novels, love story, อีริค
ตอน: 33 : ก็แค่พระอาทิตย์ตกดิน
“ผมขอฝากมันด้วยนะ ผมรู้ว่าการอยู่กับเจ้านั่นเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก คุณต้องใช้ความอดทนอย่างมากเลยละ” เสียงคนในสายยังไม่คลายความกังวล อีวานใช้เวลาคุยกับหญิงสาวกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว สั่งเสียเกือบทุกเรื่องราวกับอีริคจะต้องไปอยู่กลางขุนเขาไร้อุปกรณ์ช่วยเหลือทุกประการ ไม่ใช่บ้านพักสุดหรูริมทะเล ซึ่งมีคนดูแลประจำอยู่แล้ว
“ไม่ต้องห่วงค่ะ ฉันจะดูแลเขาให้ดีที่สุด เท่าที่จะทำได้”
“ถ้ามีอะไรให้ช่วย ก็โทรมาทันทีนะครับ”
“ค่ะ ฉันจะโทรทันที แต่เท่าที่คุณเล่า…ทุกอย่างก็น่าจะพร้อมหมดแล้วนะคะ”
“แล้วนี่เตรียมของพร้อมกันหรือยังครับ”
“เรียบร้อยค่ะ กำลังรอรถมารับไปสนามบิน”
อีวานสั่งเสียอะไรอีกเล็กน้อย ก่อนจะวางสายไป หญิงสาวเดินกลับไปยังคนที่นั่งอยู่ที่ระเบียงคอนโดฯ ส่วนตัว ฟังเพลงจากเครื่องเล่นเอ็มพีสามส่วนตัวอยู่พักใหญ่แล้ว
“เจ้าอีวานสินะ” อีริคเอ่ยขึ้นหลังจากหญิงสาวส่งแก้วน้ำผลไม้เย็นเฉียบให้อีกฝ่าย ก่อนจะนั่งลงข้างๆ
“ค่ะ”
“สั่งเสียให้คุณดูแลผมดีๆ ใช่ไหม” คนรับแก้วเครื่องดื่มไปจิบสองอึกใหญ่ แล้วส่งคืน
“ค่ะ เขาห่วงคุณมาก ยังกับเป็นพ่อคุณแน่ะ”
“มันคิดว่าคนตาบอดคือคนป็นง่อยหรือไง”
รมิดาหัวเราะเบาๆ แก้วน้ำแทบจะร่วงลงจากมือ
....
สองวันแล้วที่อีริคขอกลับจากโรงพยาบาลมาอยู่ที่คอนโดส่วนตัวของเขา ทันทีที่กลับถึงที่พัก เขาก็ไล่ให้รมิดากลับไปหาพี่สาว โดยพร้อมกับเรียกรถให้เสร็จสรรพ
“อีกสองวันเราต้องเดินทางไกล ผมอยากให้คุณใช้เวลากับครอบครัวก่อนที่จะไม่ได้พบกันอีกพักใหญ่”
“แต่ว่า…คุณล่ะจะอยู่คนเดียวได้ยังไง”
“ผมดูแลตัวเองได้ ไม่ต้องห่วง สั่งให้หาคนมาดูแลชั่วคราวแล้ว ไปเถอะ”
รมิดาจึงมีโอกาสได้กลับมาหาพี่สาว และร่ำลาก่อนเดินทางไกล
“ฝนแน่ใจนะว่าต้องการทำอย่างนี้จริงๆ น่ะ” พี่สาวถามเสียงเครียด ระหว่างที่ทั้งคู่นั่งคุยกันอยู่ที่ห้องรับแขกในบ้านใหม่ ซึ่งหลังเล็กกว่าเดิมหลายเท่าแต่ทุกมุมของบ้านหลังนี้ออกแบบได้อย่างน่ารัก อบอุ่น เป็นกันเอง ตรงข้ามกับบ้านเดิมแทบทุกอย่าง
“พี่สาไม่เห็นด้วยหรือคะ” น้องสาวถามตามความจริง ทำหน้านิ่วเล็กน้อย
“ไม่เห็นด้วยเลย”
เสียงปฐพีหัวเราะมาจากด้านหลัง เงยหน้าจากแท็บเล็ตส่วนตัว “หวงน้องน่ะสิ”
นั่นทำให้วันวิสาข์ค้อนให้ “หวงสิคะ เพื่อนคุณน่ะ ถึงจะตาบอด แต่ก็ผู้ชายตัวโตๆ นะคะ ยัยฝนน่ะยังเด็กอยู่ จะให้ไปอยู่สองต่อสองแบบนั้นได้ยังไง”
ปฐพีหัวเราะอีกรอบ “ผมว่าคุณติดนิสัยของแม่ของผมมามากเลยนะ หัวโบราณ”
คราวนี้รมิดาหัวเราะ “จริงด้วยค่ะ พี่สาน่ะคิดมากจัง”
“ยัยฝนกับคุณดินนี่ สาพูดจริง ยังมาทำเป็นเล่นเฮ้อ”
“ก็จริงๆ นี่คะ ฝนไปดูแลคุณอีริคจริงๆ นะคะ เป็นห่วงเขา อยู่คนเดียวแบบนั้นจะทำอะไรก็ลำบาก ไหนๆ เราจะช่วยแล้ว ก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด บ้านพักนั่นก็มีคนอื่นอยู่ด้วย คุณอีวานบอกว่ามีคนดูแลบ้านนั้นอยู่ด้วย”
“ถ้าคิดแล้ว มั่นใจแล้วว่าอยากทำ พี่ก็จะไม่ห้าม”
“ต้องอย่างน้านนน” เสียงแทรกมาอีกรอบ
“คุณดิน เล่นเกมไป อย่าแซว”
รมิดาหัวเราะอีกรอบ
“เอ่อ…พี่สาคะ ก่อนไปทะเล ฝนขอไปเยี่ยมพ่อ ได้ไหมคะ”
.....
บ้านพักตากอากาศแบบบังกะโลส่วนตัวหลังนั้นเป็นบ้านชั้นเดียวมีขนาดสองห้องนอน มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครันไม่ว่าจะเป็น เครื่องเสียง มินิบาร์ ทีวีจอแอลซีดีพร้อมเครื่องเล่นซีดีและดีวีดี บ้านทั้งหลังแต่งด้วยโทนขาวเทา มีระเบียงด้านหน้าสำหรับวิวทะเลและหาดทรายขาวสุดตา
คนดูแลบ้านกุลีกุจอมาช่วยทั้งคู่เอาของเก็บเข้าห้อง หลังจากเก็บของเรียบร้อย รมิดาก็ดึงอีริคมานั่งที่ระเบียงหน้าบ้านส่วนที่เป็นร่มไม้ใหญ่ เธออธิบายแปลนบ้านทั้งหลังให้เขาฟังอย่างช้าๆ
“ขอบคุณนะ อธิบายเสียละเอียดเลย” คนพูดที่ใส่แว่นดำปกปิดดวงตาที่ยังไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดผ้าพันแผลออก ดูเหมือนจะอมยิ้ม “อยากบอกว่าผมเคยมาที่นี่แล้วละหนีมาที่นี่ตอนที่ต้องการความสงบเสมอ”
“อ้าว ที่นี่เป็นของคุณ เหรอคะ ฉันคิดว่าเป็นของบริษัท หรือไม่ก็ของคุณอีวานเสียอีก”
คนฟังพยักหน้า “มันเป็นกำไรจากการเล่นหุ้นปีแรกๆ ตอนนั้นซื้อไว้เพราะเจ้าของร้อนเงิน ตอนแรกก็เป็นที่เปล่าๆ ค่อยๆ ทยอยทำมาเรื่อยๆ ระเบียงนี่บางส่วนผมก็ทาสีเอง”
โห เป็นมุมที่รมิดาไม่เคยคิดมาก่อนเลย นายมือกีตาร์มาดนิ่งนี่นะเหรอทาสีระเบียงบ้าน
“แต่ก็ขอบใจมากนะ ที่เป็นห่วง”
คนฟังหน้าแดง
“เป็นอะไรไป เงียบเลย”
“ฉันแปลกใจนิดหน่อยว่า พักหลังคุณพูดจาดีจัง ไม่ค่อยทำหน้าเครียดๆ ใส่ฉันอีกแล้ว ก็เลยอึ้งๆ”
“...” คนฟังเม้มปากไปหลายวินาที ก่อนจะลุกขึ้นหันหลังให้ “ช่างมันเถอะ วันนี้คุณไปพักผ่อนเถอะ ผมอยากนั่งคิดอะไรสักครู่ ให้แม่บ้านเอาน้ำส้มมาให้ผมสักแก้วก็แล้วกัน”
รมิดารู้สึกว่าเขาตั้งใจเปลี่ยนเรื่อง แต่ก็ยอมทำเฉยเสีย
.....
ระหว่างที่อีริคขออยู่คนเดียว รมิดากลับเข้าห้องเพื่อพักผ่อน เธอตัดสินใจอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ เก็บของใช้ส่วนตัวให้เข้าที่ แล้วเดินเข้าครัว เจ้าตัวหันรีหันขวาง คิดไม่ออกว่าจะกินอะไรดีเย็นนี้ เพราะเป็นคนที่ไม่เคยทำอาหารอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอัน ถ้าทำให้เพื่อนร่วมบ้านกิน เขาอาจจะป่วยหนักกว่าเดิมก็ได้ ในที่สุดก็ตัดสินใจยกหน้าที่นี้ให้แมม่บ้านซึ่งพักอยู่ในเรือนด้านหลัง ให้เตรียมทำอาหารให้สักสองสามอย่างสำหรับมื้อเย็น
ที่ระเบียงบ้าน ไม่มีเงาของคนที่มาด้วยกันจากรุงเทพฯ เธอเดินไปเคาะประตูห้องของอีริค ตั้งใจจะถามว่าเขาอยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า แต่ปรากฎว่าไม่มีเสียงตอบ
เจ้าตัวถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไป...ทั้งห้องเงียบ ไม่มีเสียงในห้องน้ำ ไม่มีคนอยู่ในห้อง เธอสำรวจรอบห้องอีกครั้ง พร้อมกับส่งเสียงเรียก แต่ก็ไม่มีเสียงตอบอยู่ดี
“ไปไหนของเขานะ” คนดูแลชักเป็นห่วง เพราะคนที่หายไปสายตาไม่ปกติ หญิงสาวเดินไปหน้าบ้าน พบว่ารองเท้าแตะสำหรับใส่เดินเล่นของชายหนุ่มหายไป
“คุณอีริค” รมิดาเดินผ่านระเบียงตรงไปยังชายหาด เห็นหลังของชายหนุ่มลิบๆ อยู่ที่ชายหาดห่างออกไปราวห้าสิบเมตร เขาคงไม่ได้ยินเสียงของเธอ หญิงสาวตัดสินใจกลับเข้าบ้าน หยิบกระเป๋าสตางค์ใบเล็ก ปิดบ้านแล้ววิ่งตามไป
ร่างสูงเดินช้าๆ แต่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ตอนแรกเธอตั้งใจจะเรียก แต่แล้วก็ปล่อยให้เสียงเรียกนั้นเงียบหายไป ทำเพียงรักษาจังหวะของเท้าของตนให้คงที่ ไม่รบกวนอีกฝ่าย
ผมยาวของเขาถูกมัดลวกๆ ไว้กลางหลัง ร่างสูงดูโดดเด่นท่ามกลางหาดทรายกว้างและแสงแดดอุ่นๆ ยามเย็น
ในที่สุด ชายหนุ่มก็หยุดเดิน หันกลับมา
“คุณจะตามผมอีกนานแค่ไหน”
“เอ่อ” หญิงสาวชะงักเท้า “ขอโทษค่ะ ฉันแค่คิดจะตามคุณไปเงียบๆ ไม่คิดว่า…เอ่อ คุณจะได้ยิน”
“มาสิ เดินไปด้วยกัน”
คนฟังอมยิ้ม ก้าวเร็วๆ สี่ห้าก้าวเพื่อขยับไปยืนข้างอีกฝ่าย
“ฉันขอโทษค่ะ รู้ว่าคุณอาจต้องการความเป็นส่วตัว แต่ว่า...ก็อดเป็นห่วงไม่ได้”
“ช่างเถอะ ผมแค่อยากคิดอะไรนิดหน่อย พยายามบังคับให้ตัวเองกล้าเดินไปข้างหน้าด้วย ถ้าไม่เดินเสียบ้าง เราก็จะไม่กล้าที่จะทำอย่างอื่น ใช่ไหม”
คนฟังอมยิ้ม “ฉันนับถือความกล้าหาญของคุณค่ะ”
บริเวณบ้านพักตากอากาศของอีริค เป็นโซนที่มีบ้านพักตากอากาศอยู่ใกล้ๆ กันสองสามหลัง ทุกหลังมีชายหาดส่วนตัว เลยไปนิด เป็นส่วนที่เป็นร้านอาหาร สปา ซึ่งเอาไว้สำหรับการบริการส่วนกลาง ทั้งคู่เดินด้วยกันเงียบๆ จนเลยส่วนที่เป็นย่านที่พัก อากาศเย็นลงเรื่อยๆ ในขณะที่ลมทะเลก็แรงขึ้นตามลำดับ
“เสียดายนะคะที่คุณไม่มีโอกาสได้เห็นวิวทะเล ตอนนี้พระอาทิตย์กำลังตก สวยเชียวค่ะ”
“ผมเห็นจากความทรงจำเก่าๆ” เขาตอบ “แปลกนะ การที่สายตาแย่ลงทำให้สมอง ความจำ และความรู้สึกของผมดีขึ้นมาก ตอนนี้แทบจะรู้สึกได้เลยนะ ว่าพระอาทิตย์อยู่ตรงไหน รู้สึกได้ถึงความอุ่นของแสงของมันเลย”
รมิดาอมยิ้ม ดีใจเขาไม่ได้อ่อนแออย่างที่เธอคิด
“อยากพักไหมคะ ด้านหน้ามีชิงช้าที่แขวนติดกับกิ่งไม้ที่ยื่นลงทะเล น่านั่งมากค่ะ”
“ผมจำได้ เอาสิ พักสักนิดก็ดี” เขายกมือขึ้น ทำสัญญานให้หญิงสาวพาตัวเองไปยังชิงช้า ทั้งคู่นั่งลงบนชิงช้านั้นด้วยกันเงียบๆ อยู่หลายนาที
“ฉันแวะไปหาพ่อมาก่อนจะมาที่นี่ค่ะ” จู่ๆ รมิดาก็เอ่ยขึ้น
“…”
“ท่านเปลี่ยนไปมากเลยนะคะ”
“คงลำบากมากสินะ”
รมิดานิ่ง
“ผมเสียใจด้วย …มาถึงตอนนี้ ไม่อยากให้เรื่องมันจบแบบนี้เลย”
คนฟังก้มลงมองมือตนเอง เม้มปาก “ท่านไม่ได้แย่นักหรอกค่ะ ดูจะปลงได้มากทีเดียว ท่านเสียชื่อเสียง เสียครอบครัว เสียน้องชาย แล้วก็มีคดีคอรับชั่นติดตัว แต่ท่านก็ยังสู้ ท่านอยากปรับตัวค่ะ เห็นบอกว่าได้คิดจากการฟังเทศน์ ที่พระเกจิท่านหนึ่งแวะไปเยี่ยมนักโทษเมื่อหลายวันก่อน”
อีริคถอนหายใจเพราะน้ำเสียงสุดท้ายของคนพูดเครือจัด
“น่าแปลกนะคะ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ฉันรู้สึกว่าได้คุยกับคนที่เป็นพ่อจริงๆ ไม่ใช่นักการเมืองแปลกหน้า”
คนร่างสูงเอื้อมมือมาจับมือของคนพูดบีบเบาๆ ในขณะที่รมิดาเอามือกรีดหางตา ไล่ความรู้สึกที่เริ่มจะท่วมท้นในจิตใจให้กลับคงเดิมอย่างรวดเร็ว เจ้าตัวบอกตัวเองว่าจะต้องเข้มแข็งให้มากกว่านี้ เพราะตอนนี้เธอเป็นคนที่ต้องมาดูแลเขา
“ฉันขอโทษค่ะ ไม่ควรจะเล่าเรื่องนี้ให้คุณฟังเลย”
“พูดไปเถอะ ผมฟังได้” และผมพร้อมจะฟังแล้ว … อีริคอยากบอกอย่างนั้น แต่ก็นิ่งไว้ “ดีใจด้วย อย่างน้อย คุณพ่อของคุณก็อาจได้เริ่มอะไรใหม่ๆ ให้กับตัวเองนะ”
“ค่ะ ฉันก็คิดแบบนั้น เราเสียอะไรไปมากมาย แต่มันก็ของนอกกายทั้งนั้น”
คนฟังถอนหายใจอีกรอบ
“นั่นสิ เหมือนผม มีเงินอยู่แทบจะท่วมตีว ทำอะไรมาก็หลายอย่าง แต่ท้ายที่สุด…มันก็ของนอกกายทั้งนั้น พอมองไม่เห็น ก็ทำอะไรไม่ได้ มันก็ดูเหมือนไม่มีอะไรเลยสักอย่าง”
คราวนี้ เป็นรมิดาเองบ้างที่บีบมือเขาเบาๆ
“คุณ…เอ่อ ยังเริ่มต้นใหม่ได้นะคะ”
“อยากจะคิดอย่างนั้น แต่ มันก็ตื้อจน ไม่รู้จะเริ่มต้นใหม่ยังไงดีเหมือนกัน” อีริคสารภาพตามตรง
คนฟังเอนศีรษะพิงไหล่คนพูด “คุณไม่ต้องรีบร้อนคิดไม่ใช่หรือคะ ไหนๆ ก็ตัดสินใจมาที่นี่แล้ว ค่อยๆ คิด ค่อยๆ ทำ ก็ได้”
“นั่นสินะ ค่อยๆ คิด…ค่อยๆ ทำ”
“พระอาทิตย์กำลังตกดินค่ะ” รมิดาบอก “แต่พรุ่งนี้ มันก็จะขึ้นอีกครั้ง…ที่เดิม เสมอนะคะ”
คราวนี้เป็นอีริคที่ยิ้มกว้าง ไม่ตอบอะไรอีก เพราะเขาเองรู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน ทั้งๆ ที่มองไม่เห็น …พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน แต่…พรุ่งนี้มันก็จะขึ้นใหม่
ถ้ายังไม่ตาย คงมีทางไปสักทางนะ…
“ไม่ต้องห่วงค่ะ ฉันจะดูแลเขาให้ดีที่สุด เท่าที่จะทำได้”
“ถ้ามีอะไรให้ช่วย ก็โทรมาทันทีนะครับ”
“ค่ะ ฉันจะโทรทันที แต่เท่าที่คุณเล่า…ทุกอย่างก็น่าจะพร้อมหมดแล้วนะคะ”
“แล้วนี่เตรียมของพร้อมกันหรือยังครับ”
“เรียบร้อยค่ะ กำลังรอรถมารับไปสนามบิน”
อีวานสั่งเสียอะไรอีกเล็กน้อย ก่อนจะวางสายไป หญิงสาวเดินกลับไปยังคนที่นั่งอยู่ที่ระเบียงคอนโดฯ ส่วนตัว ฟังเพลงจากเครื่องเล่นเอ็มพีสามส่วนตัวอยู่พักใหญ่แล้ว
“เจ้าอีวานสินะ” อีริคเอ่ยขึ้นหลังจากหญิงสาวส่งแก้วน้ำผลไม้เย็นเฉียบให้อีกฝ่าย ก่อนจะนั่งลงข้างๆ
“ค่ะ”
“สั่งเสียให้คุณดูแลผมดีๆ ใช่ไหม” คนรับแก้วเครื่องดื่มไปจิบสองอึกใหญ่ แล้วส่งคืน
“ค่ะ เขาห่วงคุณมาก ยังกับเป็นพ่อคุณแน่ะ”
“มันคิดว่าคนตาบอดคือคนป็นง่อยหรือไง”
รมิดาหัวเราะเบาๆ แก้วน้ำแทบจะร่วงลงจากมือ
....
สองวันแล้วที่อีริคขอกลับจากโรงพยาบาลมาอยู่ที่คอนโดส่วนตัวของเขา ทันทีที่กลับถึงที่พัก เขาก็ไล่ให้รมิดากลับไปหาพี่สาว โดยพร้อมกับเรียกรถให้เสร็จสรรพ
“อีกสองวันเราต้องเดินทางไกล ผมอยากให้คุณใช้เวลากับครอบครัวก่อนที่จะไม่ได้พบกันอีกพักใหญ่”
“แต่ว่า…คุณล่ะจะอยู่คนเดียวได้ยังไง”
“ผมดูแลตัวเองได้ ไม่ต้องห่วง สั่งให้หาคนมาดูแลชั่วคราวแล้ว ไปเถอะ”
รมิดาจึงมีโอกาสได้กลับมาหาพี่สาว และร่ำลาก่อนเดินทางไกล
“ฝนแน่ใจนะว่าต้องการทำอย่างนี้จริงๆ น่ะ” พี่สาวถามเสียงเครียด ระหว่างที่ทั้งคู่นั่งคุยกันอยู่ที่ห้องรับแขกในบ้านใหม่ ซึ่งหลังเล็กกว่าเดิมหลายเท่าแต่ทุกมุมของบ้านหลังนี้ออกแบบได้อย่างน่ารัก อบอุ่น เป็นกันเอง ตรงข้ามกับบ้านเดิมแทบทุกอย่าง
“พี่สาไม่เห็นด้วยหรือคะ” น้องสาวถามตามความจริง ทำหน้านิ่วเล็กน้อย
“ไม่เห็นด้วยเลย”
เสียงปฐพีหัวเราะมาจากด้านหลัง เงยหน้าจากแท็บเล็ตส่วนตัว “หวงน้องน่ะสิ”
นั่นทำให้วันวิสาข์ค้อนให้ “หวงสิคะ เพื่อนคุณน่ะ ถึงจะตาบอด แต่ก็ผู้ชายตัวโตๆ นะคะ ยัยฝนน่ะยังเด็กอยู่ จะให้ไปอยู่สองต่อสองแบบนั้นได้ยังไง”
ปฐพีหัวเราะอีกรอบ “ผมว่าคุณติดนิสัยของแม่ของผมมามากเลยนะ หัวโบราณ”
คราวนี้รมิดาหัวเราะ “จริงด้วยค่ะ พี่สาน่ะคิดมากจัง”
“ยัยฝนกับคุณดินนี่ สาพูดจริง ยังมาทำเป็นเล่นเฮ้อ”
“ก็จริงๆ นี่คะ ฝนไปดูแลคุณอีริคจริงๆ นะคะ เป็นห่วงเขา อยู่คนเดียวแบบนั้นจะทำอะไรก็ลำบาก ไหนๆ เราจะช่วยแล้ว ก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด บ้านพักนั่นก็มีคนอื่นอยู่ด้วย คุณอีวานบอกว่ามีคนดูแลบ้านนั้นอยู่ด้วย”
“ถ้าคิดแล้ว มั่นใจแล้วว่าอยากทำ พี่ก็จะไม่ห้าม”
“ต้องอย่างน้านนน” เสียงแทรกมาอีกรอบ
“คุณดิน เล่นเกมไป อย่าแซว”
รมิดาหัวเราะอีกรอบ
“เอ่อ…พี่สาคะ ก่อนไปทะเล ฝนขอไปเยี่ยมพ่อ ได้ไหมคะ”
.....
บ้านพักตากอากาศแบบบังกะโลส่วนตัวหลังนั้นเป็นบ้านชั้นเดียวมีขนาดสองห้องนอน มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครันไม่ว่าจะเป็น เครื่องเสียง มินิบาร์ ทีวีจอแอลซีดีพร้อมเครื่องเล่นซีดีและดีวีดี บ้านทั้งหลังแต่งด้วยโทนขาวเทา มีระเบียงด้านหน้าสำหรับวิวทะเลและหาดทรายขาวสุดตา
คนดูแลบ้านกุลีกุจอมาช่วยทั้งคู่เอาของเก็บเข้าห้อง หลังจากเก็บของเรียบร้อย รมิดาก็ดึงอีริคมานั่งที่ระเบียงหน้าบ้านส่วนที่เป็นร่มไม้ใหญ่ เธออธิบายแปลนบ้านทั้งหลังให้เขาฟังอย่างช้าๆ
“ขอบคุณนะ อธิบายเสียละเอียดเลย” คนพูดที่ใส่แว่นดำปกปิดดวงตาที่ยังไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดผ้าพันแผลออก ดูเหมือนจะอมยิ้ม “อยากบอกว่าผมเคยมาที่นี่แล้วละหนีมาที่นี่ตอนที่ต้องการความสงบเสมอ”
“อ้าว ที่นี่เป็นของคุณ เหรอคะ ฉันคิดว่าเป็นของบริษัท หรือไม่ก็ของคุณอีวานเสียอีก”
คนฟังพยักหน้า “มันเป็นกำไรจากการเล่นหุ้นปีแรกๆ ตอนนั้นซื้อไว้เพราะเจ้าของร้อนเงิน ตอนแรกก็เป็นที่เปล่าๆ ค่อยๆ ทยอยทำมาเรื่อยๆ ระเบียงนี่บางส่วนผมก็ทาสีเอง”
โห เป็นมุมที่รมิดาไม่เคยคิดมาก่อนเลย นายมือกีตาร์มาดนิ่งนี่นะเหรอทาสีระเบียงบ้าน
“แต่ก็ขอบใจมากนะ ที่เป็นห่วง”
คนฟังหน้าแดง
“เป็นอะไรไป เงียบเลย”
“ฉันแปลกใจนิดหน่อยว่า พักหลังคุณพูดจาดีจัง ไม่ค่อยทำหน้าเครียดๆ ใส่ฉันอีกแล้ว ก็เลยอึ้งๆ”
“...” คนฟังเม้มปากไปหลายวินาที ก่อนจะลุกขึ้นหันหลังให้ “ช่างมันเถอะ วันนี้คุณไปพักผ่อนเถอะ ผมอยากนั่งคิดอะไรสักครู่ ให้แม่บ้านเอาน้ำส้มมาให้ผมสักแก้วก็แล้วกัน”
รมิดารู้สึกว่าเขาตั้งใจเปลี่ยนเรื่อง แต่ก็ยอมทำเฉยเสีย
.....
ระหว่างที่อีริคขออยู่คนเดียว รมิดากลับเข้าห้องเพื่อพักผ่อน เธอตัดสินใจอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ เก็บของใช้ส่วนตัวให้เข้าที่ แล้วเดินเข้าครัว เจ้าตัวหันรีหันขวาง คิดไม่ออกว่าจะกินอะไรดีเย็นนี้ เพราะเป็นคนที่ไม่เคยทำอาหารอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอัน ถ้าทำให้เพื่อนร่วมบ้านกิน เขาอาจจะป่วยหนักกว่าเดิมก็ได้ ในที่สุดก็ตัดสินใจยกหน้าที่นี้ให้แมม่บ้านซึ่งพักอยู่ในเรือนด้านหลัง ให้เตรียมทำอาหารให้สักสองสามอย่างสำหรับมื้อเย็น
ที่ระเบียงบ้าน ไม่มีเงาของคนที่มาด้วยกันจากรุงเทพฯ เธอเดินไปเคาะประตูห้องของอีริค ตั้งใจจะถามว่าเขาอยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า แต่ปรากฎว่าไม่มีเสียงตอบ
เจ้าตัวถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไป...ทั้งห้องเงียบ ไม่มีเสียงในห้องน้ำ ไม่มีคนอยู่ในห้อง เธอสำรวจรอบห้องอีกครั้ง พร้อมกับส่งเสียงเรียก แต่ก็ไม่มีเสียงตอบอยู่ดี
“ไปไหนของเขานะ” คนดูแลชักเป็นห่วง เพราะคนที่หายไปสายตาไม่ปกติ หญิงสาวเดินไปหน้าบ้าน พบว่ารองเท้าแตะสำหรับใส่เดินเล่นของชายหนุ่มหายไป
“คุณอีริค” รมิดาเดินผ่านระเบียงตรงไปยังชายหาด เห็นหลังของชายหนุ่มลิบๆ อยู่ที่ชายหาดห่างออกไปราวห้าสิบเมตร เขาคงไม่ได้ยินเสียงของเธอ หญิงสาวตัดสินใจกลับเข้าบ้าน หยิบกระเป๋าสตางค์ใบเล็ก ปิดบ้านแล้ววิ่งตามไป
ร่างสูงเดินช้าๆ แต่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ตอนแรกเธอตั้งใจจะเรียก แต่แล้วก็ปล่อยให้เสียงเรียกนั้นเงียบหายไป ทำเพียงรักษาจังหวะของเท้าของตนให้คงที่ ไม่รบกวนอีกฝ่าย
ผมยาวของเขาถูกมัดลวกๆ ไว้กลางหลัง ร่างสูงดูโดดเด่นท่ามกลางหาดทรายกว้างและแสงแดดอุ่นๆ ยามเย็น
ในที่สุด ชายหนุ่มก็หยุดเดิน หันกลับมา
“คุณจะตามผมอีกนานแค่ไหน”
“เอ่อ” หญิงสาวชะงักเท้า “ขอโทษค่ะ ฉันแค่คิดจะตามคุณไปเงียบๆ ไม่คิดว่า…เอ่อ คุณจะได้ยิน”
“มาสิ เดินไปด้วยกัน”
คนฟังอมยิ้ม ก้าวเร็วๆ สี่ห้าก้าวเพื่อขยับไปยืนข้างอีกฝ่าย
“ฉันขอโทษค่ะ รู้ว่าคุณอาจต้องการความเป็นส่วตัว แต่ว่า...ก็อดเป็นห่วงไม่ได้”
“ช่างเถอะ ผมแค่อยากคิดอะไรนิดหน่อย พยายามบังคับให้ตัวเองกล้าเดินไปข้างหน้าด้วย ถ้าไม่เดินเสียบ้าง เราก็จะไม่กล้าที่จะทำอย่างอื่น ใช่ไหม”
คนฟังอมยิ้ม “ฉันนับถือความกล้าหาญของคุณค่ะ”
บริเวณบ้านพักตากอากาศของอีริค เป็นโซนที่มีบ้านพักตากอากาศอยู่ใกล้ๆ กันสองสามหลัง ทุกหลังมีชายหาดส่วนตัว เลยไปนิด เป็นส่วนที่เป็นร้านอาหาร สปา ซึ่งเอาไว้สำหรับการบริการส่วนกลาง ทั้งคู่เดินด้วยกันเงียบๆ จนเลยส่วนที่เป็นย่านที่พัก อากาศเย็นลงเรื่อยๆ ในขณะที่ลมทะเลก็แรงขึ้นตามลำดับ
“เสียดายนะคะที่คุณไม่มีโอกาสได้เห็นวิวทะเล ตอนนี้พระอาทิตย์กำลังตก สวยเชียวค่ะ”
“ผมเห็นจากความทรงจำเก่าๆ” เขาตอบ “แปลกนะ การที่สายตาแย่ลงทำให้สมอง ความจำ และความรู้สึกของผมดีขึ้นมาก ตอนนี้แทบจะรู้สึกได้เลยนะ ว่าพระอาทิตย์อยู่ตรงไหน รู้สึกได้ถึงความอุ่นของแสงของมันเลย”
รมิดาอมยิ้ม ดีใจเขาไม่ได้อ่อนแออย่างที่เธอคิด
“อยากพักไหมคะ ด้านหน้ามีชิงช้าที่แขวนติดกับกิ่งไม้ที่ยื่นลงทะเล น่านั่งมากค่ะ”
“ผมจำได้ เอาสิ พักสักนิดก็ดี” เขายกมือขึ้น ทำสัญญานให้หญิงสาวพาตัวเองไปยังชิงช้า ทั้งคู่นั่งลงบนชิงช้านั้นด้วยกันเงียบๆ อยู่หลายนาที
“ฉันแวะไปหาพ่อมาก่อนจะมาที่นี่ค่ะ” จู่ๆ รมิดาก็เอ่ยขึ้น
“…”
“ท่านเปลี่ยนไปมากเลยนะคะ”
“คงลำบากมากสินะ”
รมิดานิ่ง
“ผมเสียใจด้วย …มาถึงตอนนี้ ไม่อยากให้เรื่องมันจบแบบนี้เลย”
คนฟังก้มลงมองมือตนเอง เม้มปาก “ท่านไม่ได้แย่นักหรอกค่ะ ดูจะปลงได้มากทีเดียว ท่านเสียชื่อเสียง เสียครอบครัว เสียน้องชาย แล้วก็มีคดีคอรับชั่นติดตัว แต่ท่านก็ยังสู้ ท่านอยากปรับตัวค่ะ เห็นบอกว่าได้คิดจากการฟังเทศน์ ที่พระเกจิท่านหนึ่งแวะไปเยี่ยมนักโทษเมื่อหลายวันก่อน”
อีริคถอนหายใจเพราะน้ำเสียงสุดท้ายของคนพูดเครือจัด
“น่าแปลกนะคะ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ฉันรู้สึกว่าได้คุยกับคนที่เป็นพ่อจริงๆ ไม่ใช่นักการเมืองแปลกหน้า”
คนร่างสูงเอื้อมมือมาจับมือของคนพูดบีบเบาๆ ในขณะที่รมิดาเอามือกรีดหางตา ไล่ความรู้สึกที่เริ่มจะท่วมท้นในจิตใจให้กลับคงเดิมอย่างรวดเร็ว เจ้าตัวบอกตัวเองว่าจะต้องเข้มแข็งให้มากกว่านี้ เพราะตอนนี้เธอเป็นคนที่ต้องมาดูแลเขา
“ฉันขอโทษค่ะ ไม่ควรจะเล่าเรื่องนี้ให้คุณฟังเลย”
“พูดไปเถอะ ผมฟังได้” และผมพร้อมจะฟังแล้ว … อีริคอยากบอกอย่างนั้น แต่ก็นิ่งไว้ “ดีใจด้วย อย่างน้อย คุณพ่อของคุณก็อาจได้เริ่มอะไรใหม่ๆ ให้กับตัวเองนะ”
“ค่ะ ฉันก็คิดแบบนั้น เราเสียอะไรไปมากมาย แต่มันก็ของนอกกายทั้งนั้น”
คนฟังถอนหายใจอีกรอบ
“นั่นสิ เหมือนผม มีเงินอยู่แทบจะท่วมตีว ทำอะไรมาก็หลายอย่าง แต่ท้ายที่สุด…มันก็ของนอกกายทั้งนั้น พอมองไม่เห็น ก็ทำอะไรไม่ได้ มันก็ดูเหมือนไม่มีอะไรเลยสักอย่าง”
คราวนี้ เป็นรมิดาเองบ้างที่บีบมือเขาเบาๆ
“คุณ…เอ่อ ยังเริ่มต้นใหม่ได้นะคะ”
“อยากจะคิดอย่างนั้น แต่ มันก็ตื้อจน ไม่รู้จะเริ่มต้นใหม่ยังไงดีเหมือนกัน” อีริคสารภาพตามตรง
คนฟังเอนศีรษะพิงไหล่คนพูด “คุณไม่ต้องรีบร้อนคิดไม่ใช่หรือคะ ไหนๆ ก็ตัดสินใจมาที่นี่แล้ว ค่อยๆ คิด ค่อยๆ ทำ ก็ได้”
“นั่นสินะ ค่อยๆ คิด…ค่อยๆ ทำ”
“พระอาทิตย์กำลังตกดินค่ะ” รมิดาบอก “แต่พรุ่งนี้ มันก็จะขึ้นอีกครั้ง…ที่เดิม เสมอนะคะ”
คราวนี้เป็นอีริคที่ยิ้มกว้าง ไม่ตอบอะไรอีก เพราะเขาเองรู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน ทั้งๆ ที่มองไม่เห็น …พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน แต่…พรุ่งนี้มันก็จะขึ้นใหม่
ถ้ายังไม่ตาย คงมีทางไปสักทางนะ…
สิรินดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 มี.ค. 2556, 23:19:19 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 มี.ค. 2556, 20:15:59 น.
จำนวนการเข้าชม : 4279
<< 32 : โอเคค่ะ ฉันจะไปกับคุณ | 34 : Sweet Child O' Mine >> |
สิรินดา 23 มี.ค. 2556, 23:20:08 น.
ปั่นนนน ๆๆๆๆ จนได้มาอีกตอน ใกล้จบแล้วน้าาาา
ปั่นนนน ๆๆๆๆ จนได้มาอีกตอน ใกล้จบแล้วน้าาาา
สิรินดา 23 มี.ค. 2556, 23:30:21 น.
เชิญชวนมาจับผิดเหมือนเดิมจ้าาาา
เชิญชวนมาจับผิดเหมือนเดิมจ้าาาา
คิมหันตุ์ 23 มี.ค. 2556, 23:50:19 น.
ลงชื่อ จ้า ^^ เอาใจช่วยอีริค อิอิ
ลงชื่อ จ้า ^^ เอาใจช่วยอีริค อิอิ
ปอรินทร์ 24 มี.ค. 2556, 01:25:17 น.
อ่านแบบมึนๆ เจอหนึ่งคำ "เย็น" บ่ แม่น "เย็จ" เด้อ ออกเสียงเพี้ยงอีกนิดชีวิตเปลี่ยนเลยน้าาาาา
อ่านแบบมึนๆ เจอหนึ่งคำ "เย็น" บ่ แม่น "เย็จ" เด้อ ออกเสียงเพี้ยงอีกนิดชีวิตเปลี่ยนเลยน้าาาาา
konhin 24 มี.ค. 2556, 02:32:52 น.
หวานละมุน
หวานละมุน
วนัน 24 มี.ค. 2556, 10:15:35 น.
ปั่นต่อคะ
ปั่นต่อคะ
สิรินดา 24 มี.ค. 2556, 12:37:57 น.
ขอบคุณจ้าน้องปอรินทร์
ขอบคุณจ้าน้องปอรินทร์
ใบบัวน่ารัก 24 มี.ค. 2556, 13:35:22 น.
หายเร็วๆนะคะ
หายเร็วๆนะคะ
รัชต์ 25 มี.ค. 2556, 07:48:33 น.
ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน
ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน
supayalak 25 มี.ค. 2556, 11:35:57 น.
แอบดีใจ นึกว่าคุณอีริคมองเห็นซะอีก ว่าแต่คงมองเห็นในที่สุดเนอะ
แอบดีใจ นึกว่าคุณอีริคมองเห็นซะอีก ว่าแต่คงมองเห็นในที่สุดเนอะ
ของขวัญ 27 มี.ค. 2556, 22:08:59 น.
ท่าทางคู่นี้คงเข้ากันได้ดีนะคะ
ท่าทางคู่นี้คงเข้ากันได้ดีนะคะ
Zephyr 31 มี.ค. 2556, 13:32:02 น.
ชอบประโยคพระอาทิตย์กำลังจะตก แต่ก็จะขึ้นใหม่อีกครั้ง ที่เดิม...
ชอบประโยคพระอาทิตย์กำลังจะตก แต่ก็จะขึ้นใหม่อีกครั้ง ที่เดิม...