สนิมดอกรัก (ตีพิมพ์แล้ว - สนพ.อรุณ)
แพรวเพชร สิริณธรณ์ ไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
เมื่อเผ่าภาคินที่เธอเข้าใจว่าเสียชีวิตไปแล้วเกือบสี่ปี
จู่ๆจะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
แถมยังมาในมาดมหาเศรษฐีหนุ่มรูปหล่อ ร่ำรวย
และโหดเหี้ยมเหมือนในนิยายเป๊ะ!
.
.
.
.
“เชิญกรอกข้อมูลส่วนตัวก่อนนะคะ เดี๋ยวดิฉันจะแนะนำรายละเอียดและขอบเขตการให้บริการให้ฟัง อ้อ...ต้องให้ดิฉันแจ้งค่าใช้จ่ายให้ทราบคร่าวๆก่อนไหมคะ เพราะค่าบริการของเราไม่แพงก็จริง แต่สำหรับคนกำลังเก็บเงินแต่งงาน มันก็...เป็นจำนวนเงินไม่น้อยเลย”

“ดูเหมือนว่าเงินจะเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตคุณเสมอเลยนะ คุณแพรวเพชร” เผ่าภาคินหยัน

“พูดอย่างกับว่ามันไม่สำคัญสำหรับคุณงั้นแหละ” หญิงสาวบิดริมฝีปากนิดๆอย่างดูถูก จากนั้นเดินไปยังโต๊ะที่วางชิดผนัง ดึงเอกสารแผ่นหนึ่งจากแท่นใสทรงกระบอกถือมากางตรงหน้าชายหนุ่ม พลางอธิบายด้วยท่าทีเหมือนทองไม่รู้ร้อน ไม่สนใจแม้จะเห็นว่าสายตาที่จ้องเธอแทบจะแผดเผาลุกเป็นไฟ

“นี่ค่ะ อัตราค่าสมัครแรกเข้าสำหรับลงทะเบียนเป็นสมาชิกของคิวปิดฯ ส่วนคอร์สที่คุณจะเข้าใช้บริการแยกคิดเป็นรายครั้ง เรามีรายการให้คุณเลือกเยอะค่ะ ทั้งดำน้ำ วาดรูป อบรมบุคลิกภาพ เที่ยวพิพิธภัณฑ์ ทำบุญไหว้พระ ทำขนม อ้อ...แต่สุดท้ายนี่ฉันไม่แนะนำนะคะ เพราะคุณคงไม่อยากให้ครูคนนั้นรู้ว่ามาสมัครเป็นลูกค้าที่นี่”

“แล้วมีคอร์สสับรางไม่ให้รถไฟชนกันบ้างไหม หรือไม่ก็พวก...วิธีซ่อนชู้ ซ่อนกิ๊กอะไรแบบนี้น่ะ ผมสนใจเป็นพิเศษ และถ้าให้แนะนำ ผมว่าคุณน่ะเหมาะจะเป็นวิทยากรมาก ใช้ประสบการณ์ตรงมาสอนก็ได้ คงมีคนอยากเรียนกันเยอะแยะ”

แพรวเพชรหัวเราะขัน “แปลกนะคะ คุณพูดเองแท้ๆว่าฉันไม่ได้มีเกียรติ มีเสน่ห์ หรือว่ามีค่าพอให้คุณเสียดมเสียดายอะไรแล้ว แต่ไอ้ที่คุณพูดๆมาเนี่ย เหมือนว่า...คุณจะจำเรื่องราวเกี่ยวกับตัวฉันได้แม่นยำจังเลย”

หญิงสาวดักคอและลอยหน้าเอ่ยประโยคต่อไปว่า “เอ...หรือว่าอันที่จริงแล้วคุณไม่ได้คิดอย่างที่พูด แต่กำลังเรียกร้องความสนใจจากฉัน หรือบางทีไอ้ที่บอกว่าจะแต่งงานกับคุณนวลนรีนั่นก็เป็นแค่การโกหก แกล้งทำเป็นโชว์ออฟ เพียงเพราะอยากให้ฉันรู้สึกรู้สาไปด้วยเท่านั้นเอง ประชด...อะไรทำนองนั้นน่ะเหรอคะ”

ปฏิกิริยาที่ไม่ได้คาดไว้ล่วงหน้าทำให้เผ่าภาคินค้นหาคำตอบโต้ไม่พบแม้แต่คำเดียว

แพรวเพชรแต้มยิ้มทำสีหน้าสมเพช จากนั้นก้าวเข้ามาใกล้ เอื้อมมือแตะแก้มอีกฝ่ายแผ่วเบาหยอกเย้า “โถ...น่ารักจริง แต่ขอโทษด้วยที่ต้องทำให้ผิดหวัง ฉันแต่งงานแล้ว และก็ไม่เคยคิดนอกใจสามี เพราะเขาเป็นคนดีมาก ยิ่งเขาดีเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งนึกเสียดายที่เคยไปเกลือกกลั้วกับของสกปรกมาก่อน โชคดีที่เขาไม่ถือสาอดีตของฉัน ไม่เช่นนั้นฉันคงไม่ได้เป็นผู้หญิงโชคดีอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้”

ประโยคสุดท้ายทิ่มแทงหัวใจคนฟังจนแทบทนไม่ไหว และเพียงเสี้ยววินาทีที่เผ่าภาคินปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือความควบคุม อุ้งมือแข็งแรงก็ตวัดคว้าต้นแขนหญิงสาวพร้อมทั้งบีบรุนแรง กระแสบางอย่างที่แล่นปราดผ่านปลายนิ้วทำให้ชายหนุ่มเกือบจะปล่อยมือ แต่เขาก็ฝืนกำมือแน่น เค้นเสียงลอดไรฟันเอ่ยคำถัดมา

“ใช่ ฉันมันเลว ชั่ว แต่ก็สมกันดีแล้วไม่ใช่เหรอ ผู้ชายสกปรกกับผู้หญิงที่น่าขยะแขยงน่ะ แพรวเพชรคนอ่อนโยนไร้เดียงสาที่ฉันเคยรู้จัก มาวันนี้กลับกลายเป็นผู้หญิงกร้านโลก หลายใจ น่ารังเกียจไปแล้ว ทุเรศที่สุด”

“ในเมื่อพี่เผ่าคนที่ฉันเคยรู้จักตายไปแล้ว แพรวเพชรคนที่คุณเคยรู้จักก็สมควรจะตายไปได้แล้วเหมือนกัน ถือว่าเราเสมอกันไงคะ” หญิงสาวยิ้มกว้างอย่างสะใจ

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

เนื้อหาทั้งหมดที่ปรากฎบนหน้าเพจนี้สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พุทธศักราช ๒๕๓๗ ห้ามมิให้ทำการคัดลอก ดัดแปลง หรือแก้ไข บทความเพื่อนำไปใช้ก่อนได้รับการอนุญาต

หากฝ่าฝืน สิริณ จะดำเนินการทางกฎหมายทั้งจำและปรับ โดยไม่มีการประนีประนอมใดๆทั้งสิ้น

ผู้ใดชี้เบาะแสการคัดลอก สิริณ มีรางวัลนำจับให้ด้วยนะคะ ^^
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 16

“นี่เราสองคนเพี้ยนหรือเปล่าก็ไม่รู้ ที่ทิ้งอาหารมื้อละเป็นหมื่นมานั่งกินส้มตำข้างทางกันอย่างนี้น่ะ ทั้งหมดนี่ความผิดเพชรนะ” เผ่าภาคินเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก บ่นกระปอดกระแปดผ่านริมฝีปากแดงก่ำอันเกิดจากความเผ็ดหลังชิมส้มตำปูปลาร้ารสแซบที่แพรวเพชรสั่งมารับประทานคนเดียว

“คุณรู้จักร้านส้มตำแบบนี้ได้ยังไง” แพรวเพชรเปลี่ยนเรื่อง ไม่อยากพูดถึง ‘อาหารมื้อละเป็นหมื่น’ ที่ทำให้เธอเตลิดเปิดเปิงจนต้องมาลงเอยอย่างนี้ หญิงสาวมองผ่านซุ้มไม้ระแนงไปยังสถานที่โดยรอบด้วยอาการพิจารณา ค่อนข้างมั่นใจว่าเขาเลือกจอดรถที่หน้าร้านนี้ด้วยความตั้งใจ ไม่ใช่แค่บังเอิญ

“คุณนิด...ผู้ช่วยส่วนตัวพี่แนะนำมาน่ะ” คนพูดสูดปากทำเสียงซี้ดซ้าด ไม่วายงึมงำ ชี้อาหารจานต้นเหตุ “เพชรกินเผ็ดชะมัด นี่ถ้าไม่เห็นกับตาว่าเพชรกินอย่างเอร็ดอร่อย พี่คงคิดว่าเพชรแกล้งพี่แหงๆ”

“พี่เผ่า เรามาคุยกันดีๆไหมคะ” ในที่สุดแพรวเพชรก็ตัดสินใจสงบศึก เธอเล่นเกมนี้ด้วยยุทธวิธีเดิมๆ แล้วก็พบกับความพ่ายแพ้มาโดยตลอด บางทีนี่น่าจะถึงเวลาที่ต้องลองเปลี่ยนแผนการรบบ้าง

“พี่ก็คุยดีๆมาตลอดนี่นา มีแต่เพชรนั่นแหละที่โยเย พิโยกพิเกนอยู่ฝ่ายเดียว”

“เพชรหมายความว่า พี่อย่ามาทำอะไรแบบนี้ให้เพชรอีกเลย พี่เผ่าก็รู้ว่าเพชรยังรักพี่อยู่ การที่พี่มาทำแบบนี้ เพชรยิ่งอึดอัดแล้วก็ลำบากใจมากเข้าไปใหญ่” ในเมื่อป่วยการจะโกหกในสิ่งที่เขารู้อยู่แล้ว ก็พูดความจริงกันไปเลย

“ทำไมเพชรจะต้องอึดอัด”

“เพราะเพชรกำลังทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องไงคะ เพชรแต่งงานแล้ว ไม่สมควรที่จะรักผู้ชายคนอื่นอีก”

“แต่ใครๆก็รู้ว่าเราเคยรักกันมาก่อน”

“พี่เผ่าพูดถูกค่ะ เรา ‘เคย’ รักกันมาก่อน มันมีคำแสดงความเป็นอดีตกาลอยู่ในประโยคนี้นะ”

“พี่ไม่เข้าใจ ทำไมคนสองคนที่รักกันถึงจะอยู่ด้วยกันไม่ได้” เผ่าภาคินยืนกรานความคิดของตนเอง

“เพราะมันไม่ถูกต้อง ไม่ใช่สิ่งที่สังคมยอมรับ”

“ไปแคร์สังคมทำไมล่ะเพชร เวลาเราสุขหรือทุกข์ สังคมไม่ได้มารับรู้กับเราสักหน่อย”

“เพชรไม่แคร์ได้ แต่พ่อแม่เพชร พ่อแม่พี่นราล่ะ ไหนยังจะแม่พี่เผ่าอีก ยิ่งพี่ดันทุรังต่อไป ก็มีแต่จะทำให้ทุกฝ่ายเจ็บปวดกันไปมากขึ้นเท่านั้น”

ดูเหมือนวิธีนี้จะได้ผล เพราะเขานิ่งไปนาน ในที่สุดก็ถอนหายใจยาวราวกับจนด้วยคำโต้แย้ง

แพรวเพชรคิดว่าทุกอย่างจะจบลงตรงนี้แล้วแท้ๆ แต่เธอคิดผิด!

“งั้นเพชรบอกให้พี่ฟังทีว่าเพชรทิ้งพี่ไปเพราะอะไรกันแน่ มีเหตุผลอื่นมากกว่าแค่ข้ออ้างที่เพชรบอกว่าไม่อยากลำบากกับพี่แล้วหรือเปล่า”

“พี่เผ่าจะรู้หรือไม่รู้ก็ไม่มีประโยชน์แล้วละค่ะ เชื่อเพชรเถอะ” เธอเอื้อมไปแตะท่อนแขนเขา “เราอย่าทำร้ายกันอีกเลยนะคะ ปล่อยเพชรไปเถอะ”

ชายหนุ่มส่ายหน้า “ถ้าเพชรเป็นแค่ใครสักคนมาพูดแบบนี้ พี่คงไม่สนใจ ไม่เก็บมาเป็นอารมณ์เลย แต่เพชรจะให้พี่ทำใจยังไง พี่ไม่เคยรักใครอย่างที่เคยรักเพชร”

“พี่ยังไม่ได้ให้โอกาสตัวเองต่างหากล่ะคะ เปิดใจให้กว้างๆ แล้วพี่เผ่าจะพบว่ามีผู้หญิงที่ดีกว่าและเหมาะสมกับพี่มากกว่าเพชรอีกเยอะแยะ”

“ถ้าพี่รักคนอื่นได้ พี่คงไม่เป็นโสดมาจนถึงป่านนี้”

“พี่เคยทำได้มาแล้ว ก็ต้องทำได้อีกค่ะ”

คนฟังชักผิดหู “เพชรหมายความว่ายังไง เคยทำได้มาแล้ว? นี่เพชรยังไม่เลิกคิดบ้าๆเรื่องที่พี่นอกใจเพชรไปหาขวัญอีกหรือ”

แพรวเพชรถอนใจ เห็นสีหน้าดื้อดึงไม่พอใจของผู้ชายที่เธอรักแล้ว ก็พอจะเดาได้ว่าเขาไม่ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปง่ายๆแน่นอน บางทีหญิงสาวก็เกลียดตัวเองนักที่เข้าใจทุกความหมายในดวงตา ในท่าทาง ในรอยยิ้ม หรือแม้แต่ในน้ำเสียงของเผ่าภาคินได้ราวกับเป็นอีกครึ่งหนึ่งของตัวเอง

“เพชรรู้หมดแล้ว เรื่องที่พี่เผ่านอกใจเพชรไปมีอะไรกับขวัญ แล้วพอขวัญขอให้พี่เลิกกับเพชร พี่ก็โกรธ พลั้งมือทำร้ายร่างกายขวัญจนเกือบตาย”

“ทั้งหมดที่เล่ามานี่ ถามจริงเถอะว่าเพชรจินตนาการออกมาได้ยังไง ตลอดเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน พี่เป็นคนเลวอย่างนั้นเลยเหรอ” เผ่าภาคินทิ้งตัวพิงพนักอย่างสิ้นเรี่ยวแรง “แล้วเพชรไปเอาเรื่องจอมขวัญมาจากไหน ขวัญเล่าให้ฟังงั้นเหรอ”

“ไม่ต้องให้ใครเล่าให้ฟังหรอกค่ะ เพราะวันที่เราเลิกกันนั่น เพชรเข้าไปเจอขวัญถูกซ้อมปางตายอยู่ที่ห้องของเราด้วยตาตัวเองเลย ขวัญบอกเพชรก่อนหมดสติ ตอนไปถึงมือหมออาการขวัญโคม่าแล้ว ช้าอีกนิดคงไม่รอด ไม่รู้ว่าโชคดีหรือร้ายที่หมอยื้อชีวิตเธอไว้ได้ แต่ขวัญต้องกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา พี่เผ่าเกือบฆ่าคนตายเลยรู้ไหมคะ”

คนฟังส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง นี่น่ะหรือสาเหตุที่ทำให้เขากับแพรวเพชรต้องเลิกรากัน ช่างเป็นเหตุผลบ้าบอที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมาเลยทีเดียว เขาเนี่ยนะซ้อมจอมขวัญปางตาย!

“พอรวมกับเช็คที่ขวัญสั่งจ่ายให้พี่ เพชรเลยคิดว่าพี่เป็นไอ้พวกหน้าตัวเมีย พอเจอหลักใหม่แล้วก็ตั้งใจเฉดหัวคนส่งเสียเดิมทิ้ง คิดว่าพี่จะโผมาเกาะเพชรแทนงั้นเหรอ”

“เพชรไม่ได้พูดแบบนั้น”

“แต่เพชรเข้าใจแบบนั้น ไม่อย่างนั้นเพชรคงไม่ทิ้งพี่ไปหรอก”

“เพชรไม่ได้ทิ้งพี่เผ่า แต่เพชรเลือกทางออกที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่ายต่างหาก”

“ดีสำหรับเพชรคนเดียวมากกว่ามั้ง ตรงที่จะได้สลัดแมงดาปีกทองทิ้ง ไปแต่งงานอยู่กับไอ้มหาเศรษฐีที่จงรักภักดีกับเพชรไม่เสื่อมคลายน่ะ”

แพรวเพชรแต้มยิ้มบางๆบนใบหน้า “ถ้าเข้าใจแบบนั้นแล้วทำให้พี่เผ่ารู้สึกดีขึ้น เพชรก็ไม่มีอะไรจะโต้แย้งค่ะ”

ชายหนุ่มฮึดฮัด ไม่รู้จะระบายความไม่ได้ดังใจ อึดอัด หงุดหงิด และอยากจะบีบคอใครสักคนลงที่ไหนดี ยิ่งแพรวเพชรวางท่านิ่งเฉย ไม่ร้อนเร่าทุรนทุรายกับถ้อยคำประชด ก็ยิ่งทำให้เขาอยากจะอาละวาดเสียให้สาแก่ใจ เผื่อความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในใจจะบรรเทาเบาบางลงได้บ้าง

“เพชร! พี่ไม่รู้หรอกนะว่าขวัญไปหมดสติอยู่ที่บ้านเราได้ไง พี่บอกได้แค่ว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพี่ พี่ไม่ทำร้ายผู้หญิง อย่าว่าแต่ซ้อมจนปางตายเลย จะตบตีหรือแค่ด่าแรงๆ พี่ก็ไม่ทำทั้งนั้น สิ่งที่เพชรเห็นอาจจะไม่ใช่ความจริงทั้งหมด วันนั้น...ครบรอบหกเดือนที่เราอยู่ด้วยกัน พี่อยู่ที่ออฟฟิศทั้งวัน จะเอาเวลาที่ไหนไปทำร้ายร่างกายขวัญได้ เช้าวันนั้นเพชรมาส่งพี่ที่หน้าตึกเอง จำไม่ได้เหรอ ถ้าพี่ทำอย่างนั้นจริง ทำไมพี่ถึงโง่ขนาดพาขวัญกลับไปซ้อมที่บ้านเพื่อให้เพชรเจอ สู้โยนทิ้งไว้ข้างทางที่ไหนก็ได้ จะไม่เป็นการทำลายหลักฐานที่ง่ายกว่าเหรอ”

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลที่เขายกมาอ้างฟังดูเข้าท่า หรือเพราะใจเธอเอียงไปทางอยากจะเชื่อว่าเผ่าภาคินไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อยู่แล้วก็ตาม แพรวเพชรพบว่าตัวเอง...ร้องไห้!

เผ่าภาคินลูบหน้าแรงๆ ห้ามตัวเองสุดกำลังมิให้เอื้อมมือไปกรีดซับน้ำตาให้เธอ

“แล้ว...เพชรรู้หรือเปล่าว่าตอนนี้ขวัญเป็นยังไงบ้าง” ชายหนุ่มถามพลางเลื่อนกล่องทิชชูมาตรงหน้าคนขี้แย

แพรวเพชรดึงกระดาษไปซับน้ำตาลวกๆ “จอมขวัญ...เสียแล้วค่ะ”

แวบแรกคือความตระหนก ทว่าวินาทีถัดมากลับเป็นความผิดหวังที่เขาไม่กล้ายอมรับว่ามีอยู่ในใจ น่าแปลก...ทำไมเขาถึงหนักใจ หวาดหวั่นว่าไม่อาจหาใครที่ไหนมายืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเองได้!

“เพชรรู้เรื่องที่ขวัญเสียแล้วได้ยังไง”

“เพชรอยู่ที่นั่นด้วยค่ะ หลังแอดมิทเข้าโรงพยาบาลได้วันเดียว หมอช่วยอะไรไม่ได้เลย วันรุ่งขึ้นเราเลยตัดสินใจย้ายขวัญไปรักษาตัวอีกที่นึง ขวัญอยู่ได้อีก...เอ้อ...พักใหญ่ แกหลับอยู่อย่างนั้น หยุดหายใจเป็นพักๆ แต่หมอก็ยื้อยายขวัญไว้จน...ถึงเวลาที่เหมาะสม”

ชายหนุ่มขมวดคิ้วกับคำอธิบายแปลกๆท้ายประโยค แต่เขาปัดมันทิ้งไปด้วยมีเรื่องอื่นที่ค้างคาใจมากกว่า

“เพชรบอกว่า ‘เรา’ ตัดสินใจย้ายขวัญไปที่อื่นใช่ไหม แปลว่าไม่ใช่เพชรคนเดียว”

“ค่ะ เราที่ว่าก็คือเพชรกับพี่นรา เราสองคนดูแลแล้วก็รับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมดจนถึงวันสุดท้ายที่จอมขวัญจากไป”

จิ๊กซอว์ถูกวางลงไปในช่องว่างทีละชิ้น จนเริ่มมองภาพเหตุการณ์ในอดีตชัดเจนขึ้นทีละนิด เผ่าภาคินถอนหายใจ ไม่รู้จะโทษใครดีกับความผิดพลาดในการสื่อสารชนิดที่เรียกว่าเข้าขั้น ‘ล้มเหลว’ โดยสิ้นเชิง

“นี่เองที่มีคนลือกันว่าเห็นเพชรกับไอ้ดอกเตอร์ที่สนามบิน พี่นึกว่าเพชรหนีกลับเมืองไทยแล้วซะอีก เพราะไอ้ดอกเตอร์มันเรียนจบพอดี ที่แท้เพชรก็พาขวัญไปรักษาตัวนี่เอง ว่าแต่...เพชรพาจอมขวัญไปรักษาที่ไหน”

แพรวเพชรกลอกตาอย่างชั่งใจอยู่นาน สุดท้ายกลับปฏิเสธ “พี่ไม่ต้องรู้หรอกค่ะ ยังไงมันก็จบลงไปแล้ว หลังจากที่ขวัญเสีย เพชรกับพี่นราเลยตัดสินใจกลับเมืองไทย โดยพาจอมขวัญกลับมาหาพ่อแม่เขาที่กรุงเทพฯด้วย”

“ไม่เล่าให้ละเอียดเลยละว่าเพชรอุ้มลูกกลับมาด้วย” ความริษยาทำให้เขาอดใจไม่ได้ เผลอประชดออกไป น้ำเสียงที่เอ่ยประโยคนั้นขมขื่นร้าวราน ทั้งยังอ้างว้างเดียวดาย บอกทุกความผิดหวัง เจ็บปวด และเสียดลึกในใจ

“ถ้าอยากฟังก็จะเล่าค่ะ” แพรวเพชรเอ่ยเสียงเรียบ “เพชรพาลูกสาวแรกเกิดกลับมาด้วย มาถึงพ่อแม่ก็จับแต่งงานเอิกเกริกเลย ได้ยินแล้วเกลียดเพชรขึ้นบ้างหรือยังล่ะคะ”

“อย่างน้อยก็น่าจะทอดเวลาออกไปสักนิด พอให้พี่หลอกตัวเองได้บ้างว่าเพชรต้องมีเวลาทำใจกับการเลิกกันของเรา ไม่ใช่พอเลิกกับพี่แล้วเพชรก็...ไปคบกับมันทันที”

“เพชรถึงบอกไงคะว่าพี่เผ่าเกลียดเพชรซะเถอะ เพชรไม่ดีพอจะให้พี่รักเหมือนเมื่อก่อนแล้ว”

“คิดว่าพี่ไม่เคยพยายามหรือ” เผ่าภาคินแตะมือลงที่หน้าอกเบื้องซ้าย ไล้ปลายนิ้วลากผ่านรอยนูนใต้อกเสื้ออย่างใจลอย “พี่บอกตัวเองนับครั้งไม่ถ้วนว่าให้ลืมเพชรซะ จะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่เสียที แต่ใจคนไม่ใช่สวิตช์ที่จะเปิดปิดได้อย่างที่ต้องการ ทั้งที่เพชรฆ่าพี่อย่างเลือดเย็นที่สุด แต่พี่กลับไม่เคยเกลียดเพชรได้จริงๆสักที วันที่เพชรเปิดบริษัท พี่ไปแอบดู บอกตัวเองว่าขอแค่ได้เห็นกันอีกสักครั้ง...เป็นครั้งสุดท้าย แล้วพี่จะตัดใจให้ได้” ชายหนุ่มไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคำพูดยาวๆนั้นคือละครฉากใหญ่ที่เขาเตรียมไว้หรือถ่ายทอดมันออกมาจากใจกันแน่

เผ่าภาคินจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของหญิงสาว “นั่นแหละ...การตัดสินใจที่ผิดพลาดที่สุดของพี่ แค่เห็นไอ้หมอนั่นหอมแก้มเพชร พี่แทบอยากจะปราดเข้าไปกระชากมันมาชกเลยรู้ไหม น่าสมเพช...พี่เอาชนะมาได้ทุกอย่าง แต่สุดท้ายต้องมาแพ้ให้กับผู้หญิงแค่คนเดียว”

“พี่เผ่าเล่าเรื่องอุบัติเหตุไฟไหม้ให้เพชรฟังได้ไหม มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เพชรนึกว่าพี่...เสียชีวิตไปแล้วซะอีก”

“ก็อย่างที่เพชรเห็นนั่นแหละ พี่ยังไม่ตาย”

“แล้วศพที่พบ...”

“เพชรน่าจะลองไปถามสามีดูนะ เขาอาจจะตอบเพชรได้”

“พี่นรามาเกี่ยวอะไรด้วย”

“แล้วเพชรคิดว่าศพที่ถูกไฟคลอกจนระบุอัตลักษณ์ไม่ได้ ต้องถูกไฟเผาอยู่นานแค่ไหนล่ะ ถ้าไม่มีเชื้อ ไฟมันจะติดได้นานขนาดนั้นหรือ”

แพรวเพชรหน้าเสีย มือที่ทาบอกบอกความตกใจแท้จริง “พี่เผ่าหมายความว่ามันเป็นการวางเพลิงเหรอคะ”

“พี่สะเพร่าเองมั้ง” ชายหนุ่มประชด

แพรวเพชรถอนหายใจ รู้ว่าไม่มีประโยชน์ที่จะอธิบายหรือแก้ความเข้าใจผิดใดๆ เขามีสิ่งที่เชื่ออยู่ในใจแล้ว และคงไม่ยอมเปลี่ยนแปลงมันง่ายๆ

“เราสองคนกำลังทำในสิ่งที่ไร้สาระมากเลยรู้ไหมคะ” จู่ๆเธอก็เปลี่ยนเรื่อง แสร้งทำทีคล้ายว่าไม่ใส่ใจกับสิ่งที่เขาเพิ่งพูดจบเมื่อครู่ “ทั้งหมดที่เรากำลังคุยกันอยู่นี่ เปลี่ยนอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง ต่อให้สี่ปีก่อนมีเรื่องเข้าใจผิดเกิดขึ้นจริงๆ ไม่ว่าพี่เผ่าจะเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของจอมขวัญหรือไม่ หรือพี่นราจะเกี่ยวข้องกับไฟไหม้นั่นไหม เราก็ย้อนเวลาไปแก้ไขอะไรไม่ได้ เราทุกคนเดินมาไกลจากจุดนั้นจนไม่สามารถกลับไปเริ่มต้นใหม่ได้แล้ว”

เธอรีบยกมือขึ้นปรามเมื่อเขาทำท่าจะขัด “อย่าบอกว่าเราเปลี่ยนได้ ไอ้การต้องอยู่กับคนที่เรารักน่ะ มันก็แค่คำพูดลอยๆที่ฟังดูดีในโลกสีชมพูของหนุ่มสาวเท่านั้นแหละ บนโลกของความเป็นจริง ไม่มีผู้หญิงคนไหนทิ้งลูกและสามีตัวเองไปหาผู้ชายอีกคนนึงได้หรอก ต่อให้รักมากแค่ไหน...ก็ทำไม่ได้! ส่วนที่พี่เผ่าดื้อดึงดันทุรังบอกตัวเองว่ารักและต้องการเพชร มันก็แค่ความรู้สึกอยากเอาชนะเท่านั้นเอง เพชรไม่ได้ดูถูกความรู้สึกของพี่นะคะ เพชรรู้ว่าพี่เผ่ายังรัก แต่เพชรเชื่อว่ามันต้องมีบางส่วนในใจของพี่ที่ตะขิดตะขวงใจอยู่เหมือนกันถ้าจะรักเพชรอย่างที่เคยรัก”

“อย่ามาเดาใจพี่ อย่ามาวิเคราะห์พี่เลย ปริญญาเกียรตินิยมของเพชรใช้กับพี่ไม่ได้หรอก” คนพูดหน้าบึ้ง

แพรวเพชรเลื่อนมือมากุมมือชายหนุ่มไว้แล้วบีบเบาๆ ขณะเอ่ยประโยคต่อไปช้าๆด้วยความตั้งใจ

“พี่เผ่าเคยบอกว่าเพชรคือลมใต้ปีกที่พยุงให้พี่บินสูง ถ้าทุกอย่างที่พี่มีอยู่ทุกวันนี้เกิดขึ้นเพราะพี่อยากเอาชนะคำพูดของเพชร เพชรดีใจที่พี่ประสบความสำเร็จ จริงๆนะคะ แม้ว่าจะรู้สึกไม่ดีอยู่บ้างที่เป็นแรงผลักดันด้วยวิธีที่แย่เหลือเกินก็ตามที ถ้าเรายังรักกันอย่างที่พี่พูด อย่าทรมานกันอีกเลย เราควรจะมีชีวิตใหม่ที่ไม่ต้องเอาใครอีกคนมาเป็นเงื่อนไขในชีวิตเสียที ทางเดินของเราแยกจากกันไปนานแล้ว ต้นรักของเรา...ตายไปแล้ว”

เผ่าภาคินตั้งกำแพงขึ้นกางกั้นความรู้สึกไม่ทัน ถ้อยคำนั้นจึงพุ่งทะลุเข้ามาเสียบตรงก้านหัวใจ ส่งผลให้หัวใจวาบด้วยความสะเทือนใจลึกซึ้ง

แต่เพียงเสี้ยววินาทีที่ใจอ่อน ชายหนุ่มก็ได้สติ รีบปัดความรู้สึกนั้นออกจากใจทันที อย่าเชื่อมารยาของผู้หญิงคนนี้ง่ายๆ จำไว้สิว่านายเคยเกือบตายเพราะใบหน้าหวานๆ เสียงโศกๆพวกนี้มาแล้ว!

ชายหนุ่มกดความเกลียดชังที่รื้นขึ้นในอกลงอย่างยากเย็น แสร้งพยายามแต้มรอยโศกลงในน้ำเสียง

“เรายังเป็นเพื่อนกันได้ไหมเพชร”

แพรวเพชรฝืนยิ้ม แต่ส่ายหน้าโดยไม่เอ่ยอะไร

“ทำไมล่ะ” เผ่าภาคินจุกในอก ทั้งยังรู้สึกถึงกระบอกตาที่ร้อนผ่าวโดยไม่ทันควบคุมเมื่อเค้นเสียงถาม

“เพราะตราบเท่าที่เราต่างยังมีเยื่อใยกันอยู่ เราไม่มีทางเป็นเพื่อนกันจริงๆได้หรอกค่ะ มันก็แค่ข้ออ้างที่เราใช้โกหกตัวเองเพื่อมาพบกันโดยที่ไม่รู้สึกผิดเท่านั้นเอง และเพชรไม่อยากทำอย่างนั้น คนที่ยังรักกันเป็นเพื่อนกันไม่ได้ เพราะมันง่ายมากที่เราจะล้ำเส้นไปโดยไม่รู้ตัว”

ชายหนุ่มผงกศีรษะนิดๆคล้ายว่าเข้าใจและยอมรับกับเหตุผลนั้นโดยดุษณี ต่างฝ่ายต่างจมอยู่ในความเงียบและห้วงความคิดของตนเองตามลำพัง

ในที่สุดแพรวเพชรก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้น “เย็นมากแล้ว พี่เผ่าไปส่งเพชรกลับบ้านเถอะค่ะ”

อีกฝ่ายไม่โต้แย้ง เขาเรียกพนักงานมาชำระค่าอาหารแล้วลุกขึ้น ยื่นมือส่งให้แพรวเพชรโดยไม่เอ่ยอะไร

ดวงตาที่คลอด้วยหยาดน้ำตาตวัดมองเขานิ่งๆ แล้วเสหลบตา พลางลุกขึ้นยืนด้วยตัวเอง

“อย่าสร้างความเคยชินอะไรที่เราจะไม่ได้อยู่กับมันเลยค่ะ ถ้าช้าหรือเร็วเราต้องจากกัน ก็สู้ทำให้มันจบๆไปเสียดีกว่า จะได้ไม่ต้องเจ็บให้มันยืดเยื้อเรื้อรังด้วย”

ชายหนุ่มเม้มปากนิดๆ คล้ายว่าจะยอมเข้าใจกับทุกอย่างที่เธอพูดแต่โดยดี เขาหมุนตัวเดินนำกลับไปที่รถโดยไม่เอ่ยอะไรต่อกันอีกเลยแม้แต่คำเดียว

แพรวเพชรมองแผ่นหลังกว้างที่ค่อยๆเดินห่างออกไปผ่านม่านน้ำตา คล้ายจะจำหลักภาพนี้เก็บไว้ประโลมใจในวันอ่อนล้า วันหน้าที่เธอต้องอยู่เดียวดาย เหลือเพียงแค่เศษซากความรักของคนสองคนอยู่ในความทรงจำเท่านั้น

หญิงสาวกัดริมฝีปาก ซ่อนรอยสะอื้นไว้อย่างยากเย็น ดูเหมือนเผ่าภาคินจะยอมรับกับทุกเหตุผลที่เธอสรรหามาอธิบายง่ายดาย เขากลับไปเป็นคนที่พร้อมเข้าใจและรับฟังเหตุผล ไม่ใช่ผู้ชายช่างประชด จอมกระแนะกระแหนอีกต่อไป

เขากลับไปเป็นเผ่าภาคินคนที่เธอรัก น่าเสียดายที่เธอรักเขา ‘อย่างเดิม’ ไม่ได้อีกแล้ว!
.
.
.
.
.
โฟร์วีลสีดำแล่นช้าๆผ่านสนามหญ้า วนรอบสระน้ำพุขนาดใหญ่มาจอดที่หน้ามุขของคฤหาสน์เทียมสุบรรณ

แพรวเพชรเหลียวไปมองคนขับรถที่นิ่งเงียบมาตลอดทางด้วยสายตาอาวรณ์ “เพชรลานะคะ”

“เราเจอกันอีกไม่ได้เลยจริงๆหรือเพชร” เผ่าภาคินอ้อนวอน

“ยิ่งเจอก็ยิ่งเจ็บค่ะ” เธอเอื้อมไปแตะฝ่ามือกับแก้มเขา ไล้ปลายนิ้วโป้งไปบนใบหน้านั้นแผ่วเบาอย่างปลอบประโลม “เพชรอยากเห็นพี่มีความสุขกับคนที่เหมาะสม บางที...คุณนวลนรีอาจจะ...”

“ไม่มีใครแทนเพชรได้” เขาขัดขึ้นทันควัน พลางดึงมือเธอไปจูบแผ่วเบา “โลกนี้ใจร้ายจังที่บังคับให้เราไม่สามารถอยู่กับคนที่เรารักได้”

“ใครว่าล่ะคะ เราน่าจะดีใจที่เรายังรักกันได้ทั้งที่ไม่ต้องอยู่ด้วยกัน” แพรวเพชรฝืนยิ้มทั้งน้ำตา ก่อนจะถอนหายใจ กะพริบตาปริบๆไล่หยดน้ำร้อนๆให้จางหายไป “พี่เผ่าอย่ามาดราม่าเลย เพชรไม่ซึ้งหรอกนะ”

“ถ้าเราเจอกัน เราจะทักกันไหม”

“ทักสิคะ แต่เราจะไม่หยุดคุยกัน เราจะส่งยิ้มให้กันแล้วเดินแยกจากกันไป เก๋ดีจะตาย เหมือนในหนังเลย”

“เพชรพยายามทำให้ขำใช่ไหม” เผ่าภาคินทำเสียงน้อยใจ

“เพชรอยากให้เป็นอย่างนั้นจริงๆต่างหาก” เธอดึงมือออกจากการเกาะกุมของเขาแผ่วเบา “เพชรต้องเข้าบ้านแล้ว ป่านนี้หนูกานคงจะรอกินข้าวกับแม่แล้วละ”

“เพชร...” เผ่าภาคินพยายามจะรั้งเธอไว้ อยากให้วินาทีนี้ยาวนานไป...จนถึงนิรันดร

หญิงสาวไม่ฟังเสียง เธอเปิดประตูก้าวลงจากรถ มีเพียงแวบเดียวที่หันกลับมาขณะงับประตูเข้าด้วยกัน จากนั้นขึ้นบันไดหน้ามุขผ่านเข้าไปในตัวบ้านโดยไม่มีอาการลังเล แม้น้ำตาจะรินลงมา แต่แพรวเพชรบังคับมิให้ไหล่ไหวสักนิด เรือนร่างสูงเพรียวก้าวเนิบช้า สง่างาม หมายจะให้เขาจดจำภาพสุดท้ายที่สวยงามและเข้มแข็งเอาไว้ เพื่อใช้มันเป็นแรงผลักดันในการก้าวต่อไป...โดยไม่ต้องมีเธอ!
.
.
.
.
.
นราธิปต้องเล่านิทานจบไปถึงสองเรื่องกว่ากานติมาจะหลับสนิท เขาคอยจนเห็นเด็กหญิงหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ แล้วจึงห่มผ้าให้อย่างเบามือ จากนั้นโหย่งเท้าไปหรี่ไฟที่หัวเตียงให้อ่อนลง ก่อนลงบันไดมาชั้นล่างอีกครั้ง รู้โดยไม่ต้องเดาว่าแพรวเพชรอยู่ที่ไหน

แม้หลังกลับจากข้างนอกหญิงสาวจะทำท่าทีร่าเริงชวนเขาและลูกรับประทานอาหารเย็นชื่นมื่น พูดคุยด้วยเรื่องสัพเพเหระมากมาย ทว่าเธอไม่ปริปากถึงเวลากว่าค่อนวันที่หายตัวไปแม้ครึ่งคำ เขาเห็นตั้งแต่วินาทีที่รถสีดำคันนั้นเคลื่อนเข้ามาในบ้านแล้ว แต่เลือกหลบมุมอยู่ชั้นบน มองลอดกระจกหน้ารถเข้าไปเพื่อสอดแนมอย่างเงียบๆ

ไม่มีบทเลิฟซีนบาดตาอย่างที่กลัว ไม่ใช่ฉากปรับความเข้าใจหวานชื่น น่าแปลกที่แม้จะมองจากที่ไกลขนาดนั้น ทว่าเขากลับรู้สึกถึงบรรยากาศของการบอกลามากกว่า คล้ายกับว่าจะเป็นการจากกันด้วยดีอย่างไรอย่างนั้น

หลังแพรวเพรชลงจากรถ โฟร์วีลสีดำก็เคลื่อนออกไปช้าๆ แสงตะวันที่ลอดผ่านเข้าไปในรถทาบไปบนใบหน้าของผู้ชายคนนั้น และเขาเห็นชัดเจนถึงความเศร้าหมอง!

บัดนี้สตรีที่กอดเข่าขดตัวอยู่บนโซฟา ทอดศีรษะไว้บนหัวเข่า เอียงหน้าเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยอิริยาบถเลื่อนลอย ก็ดูจะมีอาการไม่แตกต่างกันนัก

“อย่าแปลงเป็นนกแล้วบินหนีไปนะ เพราะพี่คงไม่มีปัญญาจะตามเพชรได้ทัน” นราธิปเข้ามานั่งข้างๆหญิงสาว พลางหยิบรีโมตมากดปิดโทรทัศน์ที่ถูกเปิดไว้โดยไร้คนเหลียวแล เปลี่ยนความเงียบให้ห่มคลุมทั้งบริเวณในทันที

แพรวเพชรเลื่อนตัวมาเอนศีรษะซบไหล่เขา แล้วปล่อยน้ำตาให้ไหลลงมาช้าๆโดยไม่เอ่ยอะไร

ชายหนุ่มโอบบ่าบางเข้ามา ปล่อยให้แพรวเพชรร้องไห้ไปเรื่อยๆ ไม่ปลอบ ไม่ถาม ไม่เซ้าซี้ ไม่ทำอะไรเลยเกือบสิบนาทีกว่าเธอจะคลายสะอื้น นราธิปลูบศีรษะอีกฝ่ายอย่างปลอบโยนแล้วจึงเอ่ย “อยากเล่าให้พี่ฟังไหม”

หญิงสาวก้มหน้าหลบตาเขาแล้วงึมงำบอก “เพชรกับเขาจบกันแล้วนะคะ”

“ง่ายขนาดนั้นเลยหรือ”

“ค่ะ เพชรอธิบายให้เขาฟังแล้วว่าไม่มีประโยชน์ที่จะมาเอาชนะกันแบบนี้”

“แล้วเขาก็ยอมง่ายๆ ทั้งที่ทุ่มเททำอะไรต่อมิอะไรไปตั้งมากมายงั้นหรือ” นราธิปไม่ได้หมายถึงอาหารมื้อหรูเมื่อกลางวันแค่อย่างเดียว เขาหมายถึงกระเป๋าสะพายแบรนด์เนม การสมัครเป็นสมาชิกของคิวปิดแอสซิสแทนซ์ อาจจะรวมถึงความ ‘บังเอิญ’ ที่เผ่าภาคินช่วยแพรวเพชรไว้ไม่ให้ถูกรถชนตอนอยู่หัวหิน รวมไปถึง...ทุกหยาดเหงื่อและความพยายามที่ผู้ชายคนนั้นก่อร่างสร้างตัวจนมีวันนี้!

“ค่ะ เขายอมรับจริงๆนะคะ”

“แต่ถ้าเขารู้เรื่องหนูกาน พี่ว่าเขาไม่ยอมอยู่เฉยแน่”

แพรวเพชรผละออกห่างเล็กน้อย แหงนขึ้นสบตาเขา “เพชรเชื่อว่าเขาจะไม่มีวันรู้เรื่องนี้หรอกค่ะ เขาไม่ระแคะระคายเลยสักนิด”

“แล้วเราจะพรากพ่อพรากลูกแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหนล่ะเพชร” นราธิปอยากถอนหายใจนัก เขามิได้รังเกียจกานติมาเลย ตรงข้ามเขารักแกเหมือนลูกสาวคนหนึ่งด้วยซ้ำ เพราะเลี้ยงกันมา ตามใจกันมานาน แต่...มันจะเป็นการโหดร้ายหรือเปล่า หากเขาเจตนาจะยึดกานติมาไว้กับตัวเช่นนี้ตลอดไป

ถ้าวันหนึ่งที่เติบโตขึ้นแล้วได้รู้ความจริง กานติมาจะโกรธ จะเกลียดเขาและแพรวเพชรหรือเปล่า

“เพชรก็ไม่รู้เหมือนกัน ก่อนหน้านี้เพชรเข้าใจว่าเขาไม่ต้องการผูกพันกับใคร ถึงได้ทำร้ายจอมขวัญจนปางตายขนาดนั้น แต่วันนี้พี่เผ่ายืนยันว่าเขาไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ขวัญถูกทำร้าย”

“แล้วเพชรก็เชื่อเขางั้นเหรอ”

“ไม่ใช่ว่าเพชรเข้าข้างพี่เผ่าหรอกนะคะ แต่เขาพูดมีเหตุผล เขาไม่เคยทำร้ายผู้หญิง ข้อนี้เพชรมั่นใจ อีกอย่างถ้าจะทำแบบนั้น เขาก็ไม่น่าให้เพชรจับได้ สู้เอาขวัญไปไว้ที่อื่นน่าจะดีกว่าพากลับมาบ้านให้เพชรเจอกับตา เพชรเพิ่งคิดได้ว่า บางที...เขาอาจไม่รู้เรื่องที่ขวัญถูกทำร้ายจนไปหมดสติอยู่ที่นั่นเลยก็ได้”

“ก็เป็นไปได้นะ ตอนนั้นเราทุกคนต่างใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผลกันทั้งนั้น มองย้อนกลับไป ก็มีจุดที่น่าสงสัยอยู่หลายข้อเหมือนกัน” นราธิปพยักหน้าเคร่งขรึม

“พี่นรา...อย่าเกลียดพี่เผ่าเลยนะคะ”

นราธิปอมยิ้ม โยกศีรษะคนในอ้อมแขนอย่างล้อเลียน “อะไรกัน ไปเจรจาสงบศึกกันมาวันเดียว ทำตัวเป็นกระบอกเสียงให้เขาแล้วหรือ”

“เปล่าซะหน่อย เพชรก็แค่...อยากให้เราทุกฝ่ายจำกันแต่เรื่องดีๆเอาไว้เท่านั้นเอง เพราะจากนี้ไปเพชรจะไม่พบเขาแล้ว เขาเองก็จะไม่มาวุ่นวายกับเราเหมือนกัน เราจะได้ชีวิตสงบๆแบบเดิมกลับคืนมาแล้วนะคะ” น้ำเสียงที่เธอเอ่ยประโยคนั้นเต็มไปด้วยความวาดหวัง กระตือรือร้น คล้ายจะย้ำให้เขาเชื่อว่าเธอสุขใจที่เรื่องลงเอยแบบนี้

แพรวเพชรยิ้มที่ปาก แต่นราธิปมองเห็นรอยเศร้าที่ซ่อนอยู่ในดวงตาเธอชัดเจน ขนาดนี้แล้วจะให้เชื่อได้อย่างไรว่ามันจะ ‘จบ’ จริงๆ

กระนั้นชายหนุ่มก็ฝืนปั้นยิ้มส่งให้ภรรยา “ถ้าเพชรมั่นใจว่านี่คือสิ่งที่เพชรต้องการ พี่ก็ดีใจด้วยจ้ะ”

“วันนี้เพชรเหนื่อยมากเลย ขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะคะ”

“จ้ะ เพชรเข้านอนเลยก็ได้นะ พี่มีงานค้างอยู่นิดหน่อย เดี๋ยวเคลียร์เสร็จก็จะขึ้นไปนอนเหมือนกัน”

แพรวเพชรส่งยิ้มมาให้ และก่อนที่เขาจะคาดคิด เธอดึงมือเขาไปแนบแก้ม จูบเบาๆแสดงความขอบคุณ “ราตรีสวัสดิ์ค่ะพี่นรา”

นราธิปเอี้ยวตัวมองตามจนหญิงสาวเดินลับช่องประตูไปแล้วจึงถอนหายใจยาว รู้ตัวเองดีว่าไม่ได้สบายใจกับสิ่งที่เห็นเลยสักนิด แพรวเพชรอ่อนหวาน สดใส สง่างาม แต่เธอไม่ใช่คนร่าเริง ทั้งหมดที่แสดงออกมาให้เห็นเมื่อครู่เป็นเพียงแค่ภาพมายาที่เธอพยายามหลอกตัวเองต่างหากว่าพอใจกับบทสรุปเช่นนี้

เขาได้แต่หวังว่าวันเวลาจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น และทำให้แพรวเพชรกลับมาเป็นคนเดิมได้อีกครั้ง ขออย่างเดียว...อย่าให้เขาต้องทนเห็นเธอเป็นทุกข์เหมือนเมื่อสี่ปีที่แล้วอีกเลย!
.
.
.
.
.
ทั้งที่เป็นเวลาสิบเจ็ดนาฬิกาสามสิบนาทีแล้ว แต่สำนักงานของคิวปิดแอสซิสแทนซ์กลับเพิ่งเริ่มครึกครื้น เพราะสมาชิกส่วนใหญ่มักจะแวะมาที่บริษัทจับคู่หลังเลิกงานเพื่อทำกิจกรรมร่วมกัน ในช่วงแรกบรรดาลูกค้าต่างยังเหนียมอายกันอยู่ เพราะขัดเขินกับความรู้สึกว่านี่คือการ ‘ตั้งใจ’ มาหาแฟน แต่เมื่อได้ร่วมกิจกรรมของผู้ช่วยกามเทพเพียงสองสามครั้ง ทุกคนก็เริ่มคุ้นกันและผ่อนคลายมากขึ้น ด้วยบรรยากาศความเป็นกันเองและความหลากหลายของกิจกรรมที่ได้กระทำร่วมกันค่อยๆลบล้างความรู้สึกเหล่านั้นจนหมดไปโดยไม่รู้ตัว

กิจกรรมประจำวันนี้คือการอบรม ’เทคนิคการอ่านกิริยาของเพศตรงข้ามจากภาษากาย’ แน่นอนว่าสมาชิกทั้งหญิงและชายต่างลงชื่อซื้อคอร์สนี้กันล้นหลาม จนเต็มความจุของห้องประชุมใหญ่ในบริษัทเลยทีเดียว

ขณะที่แพรวเพชรประจำตรงหน้าห้องบรรยายในหัวข้อนี้ อิงอรุณก็หัวหมุนอยู่ข้างนอก ควบคุมพนักงานที่โต๊ะลงทะเบียนและตรวจสอบความเรียบร้อยของอาหารว่างที่จะเสิร์ฟในช่วงพัก

เสียงหัวเราะดังลอดมาจากในห้องประชุมเป็นระยะ บอกให้รู้ว่าแพรวเพชรทำได้ดีเช่นเคยที่สามารถเปลี่ยนการบรรยายภาคทฤษฎีของวิชาจิตวิทยาอันน่าเบื่อให้กลายเป็นเรื่องสนุกได้อย่างน่าทึ่ง

หลังจากจัดการทุกอย่างจนมั่นใจว่าสมบูรณ์แบบตามมาตรฐานของ ‘คุณหนูอิงอรุณ’ แล้ว หญิงสาวก็หลบเข้าไปในห้องประชุมใหญ่ ส่งกำลังใจให้เพื่อนเงียบๆจากหลังห้อง

แพรวเพชรสวย สดใส เปล่งประกายเช่นทุกครั้งที่อยู่ท่ามกลางแสงไฟ ด้วยรูปร่างที่สูงเพรียว แค่เชิ้ตคริสเตียน ดิออร์ สีน้ำตาล พิมพ์ลายสีอ่อนในเนื้อผ้า จับพลีตทางตรงที่อก คอเสื้อผูกเป็นโบขนาดกำลังดีทิ้งชายสวย แขนเสื้อยาวจรดข้อมือติดกระดุมเรียบร้อย โดยสอดชายเสื้อไว้ในกางเกงสีกากีตัดเย็บจากผ้าเนื้อนิ่มเข้ารูปทรงขากระบอก กับแคชชูส์สีดำเรียบสูงสี่นิ้วยี่ห้อเดียวกันอีกคู่ ก็ทำให้เธอเจิดจรัสน่ามองจนแทบไม่อยากละสายตาไปไหนแล้ว

ผมสีน้ำตาลเข้มแสกกลางยาวถึงกลางหลังถูกปล่อยอวดความเงางามเป็นลอนสวยทันสมัย ใบหน้าแต่งแบบธรรมชาติ เน้นให้เห็นดวงตาเรียวและจมูกโด่งชัดเจน ริมฝีปากสีชมพูอ่อนขยับขึ้นลงขณะเจ้าตัวอธิบายท่าทีของผู้เข้าร่วมฟังการบรรยายแต่ละคน แซวคนโน้นบ้าง ชมคนนี้ที เรียกเสียงปรบมือได้เป็นระยะ

ทุกอย่างรอบด้านเหมือนจะดีพร้อมไปหมด เพียงสิ่งเดียวเท่านั้น...ที่มองไม่เห็น แต่อิงอรุณกลับรู้สึกได้ว่ามันอยู่ตรงนั้น ทุกครั้งที่หยุดฟังคำถามจากสมาชิก ช่วงเวลาสั้นๆที่แพรวเพชรตั้งสมาธิกับสิ่งที่ได้ยินจนลืมหยิบหน้ากากของความสนุกสนานมาครอบใบหน้า เสี้ยววินาทีนั้นเองที่อิงอรุณมองเห็นความเศร้าหมองก่อตัวขึ้นบางๆรอบตัวผู้หญิงที่ยืนโดดเดี่ยวอยู่หน้าห้อง สีหน้าและแววตาเพื่อนแห้งแล้ง ไร้ชีวิตชีวา แสงไฟที่สาดไปยังเวทีก่อเงาขนาดใหญ่ทอดลึกไปด้านหลัง ยิ่งข่มให้รู้สึกละม้ายโลกของแพรวเพชรช่างอ้างว้างและเดียวดายอย่างบอกไม่ถูก

อิงอรุณทนมองภาพนั้นได้แค่ครู่เดียวก็ก้มหน้าก้มตาหลบออกจากห้อง สูดหายใจเข้าลึกเพื่อสงบสติอารมณ์และขับไล่ความหมองเศร้าทิ้งจากใจ

“เป็นอะไรไปน่ะอิง” เสียงนุ่มคุ้นหูของพี่ชายดังขึ้นใกล้ตัว อิงอรุณตวัดตาไป ก็เห็นนราธิปกำลังมองมาด้วยสีหน้ากังวล

“ไม่มีอะไรค่ะ อิงแค่เผลอคิดอะไรเล่นๆ เลยสติแตกไปหน่อยน่ะค่ะ” หญิงสาวเสก้มลงไปทักทายหลานสาวตัวน้อยแทน กานติมาทำความเคารพเสร็จก็โผเข้ามากอดเธอ

“อาอิงขา คุณพ่อบอกว่าวันนี้อาอิงมีหนมเต็มเลย จริงหรือคะ”

“จริงจ้ะ แล้วอาอิงจะให้หนูกานกินได้เต็มที่เลยด้วย แต่มีข้อแม้นะว่าหนูกานต้องเรียบร้อย เป็นเด็กดี ไม่ดื้อ ไม่ซน แล้วก็ไม่งอแงด้วย เพราะวันนี้อาอิงกับคุณแม่มีงานต้องทำเยอะแยะเลย”

“กานสัญญาค่ะ” ใช่แค่ศีรษะเล็กล้อมกรอบด้วยเส้นผมนุ่มจะพยักรวดเร็วเท่านั้น เจ้าตัวเล็กยังเอื้อมมาจูงมืออาสาวอย่างเอาใจอีกด้วย “ไปห้องอาอิงกัน กานจะกินหนมแล้วก็เล่นของเล่น ไม่ซนค่ะ”

อิงอรุณอดหัวเราะไม่ได้ หันไปพยักพเยิดกับพี่ชาย “ต๊าย! ไหวไหมคะเนี่ยพี่นรา ลูกสาวพี่นี่ พอมีขนมมาเกี่ยวด้วยนี่ว่าง่ายตลอดเลยนะ”

นราธิปอมยิ้ม ส่งมือให้เด็กหญิง “อาอิงทำงานอยู่นะลูก มากับพ่อดีกว่า เดี๋ยวพ่อพาหนูกานไปกินขนมเอง”

“เดี๋ยวให้เด็กดูหลานไว้แทนแป๊บนึงเถอะค่ะ อิงมีเรื่องจะคุยกับพี่” อิงอรุณก้มลงไปบอกกานติมา “เดี๋ยวหนูกานไปกับพี่เขาก่อนนะลูก อาอิงคุยกับคุณพ่อเสร็จแล้วจะไปหา”

“แล้วหนมล่ะคะ” เจ้าตัวยุ่งห่วงอยู่เรื่องเดียว

“อาอิงจะให้พี่เขาเอาขนมไปให้แล้วก็เล่นเป็นเพื่อนหนูกานด้วย ตกลงนะคะ” อิงอรุณเรียกประชาสัมพันธ์ของบริษัทซึ่งคุ้นเคยกับหลานอยู่แล้วให้พากานติมาไปยังห้องประชุมเล็ก สั่งให้จัดขนมมาให้เด็กหญิง เมื่ออุ่นใจว่าหลานอยู่ในความดูแลที่เหมาะสมแล้ว อิงอรุณก็เดินนำพี่ชายกลับไปยังห้องทำงานส่วนตัวของเธอ
ราวกับนราธิปรู้อยู่แล้วว่าเธอต้องการปรึกษาเรื่องใด เพราะทันทีที่ทั้งคู่นั่งลงที่โซฟาเรียบร้อย เขาจึงชิงเริ่มต้นบทสนทนาเสียเอง “วันนี้เพชรเป็นยังไงบ้าง”

“หัวเราะบ่อยเชียวค่ะ เอะอะอะไรก็ขำไปหมด แถมยังวิ่งวุ่นทำโน่นทำนี่ไม่ได้หยุดหย่อนเลย” อิงอรุณถอนหายใจ ดวงตาที่กลอกไปมามีริ้วรอยใคร่ครวญชั่วขณะก่อนตัดสินใจ “อาทิตย์หน้าคิวปิดฯมีกิจกรรมจะพาสมาชิกไปทำบุญกัน วันนี้อิงไปจองเลี้ยงเพลที่วัด เลยได้เจอ ‘คนนั้น’ ด้วย”

นราธิปขยับตัวนั่งหลังตรง มีท่าทีสนใจมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

“อิงไม่ได้เข้าไปทักเขาหรอก พูดง่ายๆว่าจงใจหลบไม่ให้เห็นมากกว่า เขามากับแม่แล้วก็คุณนวล”

“เอ๊ะ! สองคนนั้นเขารู้จักกันด้วยเหรอ”

“ตอนอิงไปเจรจาธุรกิจกับคุณนวลครั้งแรก พี่เผ่าบอกว่ากำลังจะแต่งงานกับคุณนวลค่ะ แต่เท่าที่อิงแอบถามมา ผู้หญิงน่ะชอบพี่เผ่า แต่ยังไม่แน่ใจว่ารักหรือเปล่า คุณนวลบอกว่าพี่เผ่าเหมือนมีอะไรบางอย่างในใจตลอดเวลา”

“นี่ใช่ไหมเหตุผลที่อิงชวนคุณนวลมากินมื้อหรูด้วยกันคราวนั้น กะจะเอาไว้ดัดหลังไอ้หมอนั่นนี่เอง”

“ก็ไม่เชิงหรอกค่ะ อิงแค่คิดว่า...มันไม่เสียหายถ้าเราจะมีไพ่ดีๆไว้ในมือ เผื่อเหลือดีกว่าขาด”

“โอเค...พี่เข้าใจแล้ว ไหนกลับมาเล่าเรื่องที่วัดต่อซิ”

“เขาดูแย่มากเลยค่ะ หน้าตายังกับคนอกหักอย่างนั้นแหละ หน้าหมอง ท่าทางซังกะตาย ไม่มีชีวิตชีวา เหมือนคนของเรายังกับแกะ ที่ชอบฝืนทำเป็นร่าเริง แต่พอเผลอทีไรก็ปิดอาการไม่มิดทุกที พี่นราว่านี่เกี่ยวกับเรื่องวันนั้นที่เขาหายไปด้วยกันทั้งวันหรือเปล่าคะ”

“คงไม่มีคำอธิบายอื่นที่ดีกว่านี้”

“อิงไม่รู้หรอกนะว่าเขาไปตกลงอะไรกันมา ยายเพชรไม่พูดถึงเรื่องนี้สักคำ แถมวันรุ่งขึ้นพี่เผ่าก็โทร.มายกเลิกการเป็นสมาชิกที่บริษัท อิงหยั่งเสียงดู เพชรบอกแค่ว่าดีแล้ว จะได้ไม่ต้องเจอกันให้ลำบากใจทุกฝ่าย”

“อ้าว! ก็ดีแล้วไง อิงยังจะเอาอะไรอีกล่ะ”

“ก็ดีหรอกค่ะ แต่ลึกๆแล้วอิงไม่เห็นรู้สึกดีเลย ยิ่งเพชรทำร่าเริงกลบเกลื่อน อิงยิ่งไม่สบายใจเข้าไปใหญ่”

“แล้วอิงว่าพี่ควรทำยังไง” นราธิปหยั่งเชิง

“พี่นราพาเพชรไปเมืองนอกไหมคะ ไปให้ห่างจากสิ่งแวดล้อมเก่าๆสักพัก พอจิตใจดีขึ้นแล้วค่อยกลับมา”

“ไม่มีใครหนีหัวใจตัวเองได้หรอก พอกลับมาเจอสภาพแวดล้อมเดิมๆ แน่ใจได้ยังไงว่าเพชรจะไม่ซึมเศร้าอีก”

“งั้นอิงก็จนปัญญาคิดแล้วละ พี่นราก็รู้ว่างานอิงมีแต่ทำให้คนรักกัน เจอแต่คนมีความสุข ต้องมารับมือคนอกหักนี่...อิงก็ไปไม่เป็นเหมือนกันนะ”

นราธิปหัวเราะหึๆ หากตั้งใจฟังจะรู้ว่ามีความขมขื่นปะปน “อิงยอมรับแล้วเหรอว่าอาการที่เพชรเป็นอยู่เรียกว่าอกหักน่ะ”

หญิงสาวเบิกตากว้าง รีบปฏิเสธเป็นพัลวัน

พี่ชายโบกมือห้าม “ไม่ต้องแก้ตัวหรอก คิดว่าพี่เดาไม่ได้หรือ พี่ก็รู้เหมือนอิงนั่นแหละ เพียงแต่ว่า...พี่อาจจะขี้ขลาดเกินกว่าจะยอมรับความจริงก็เท่านั้นเอง บางที...ก็แค่บางทีเท่านั้นนะ พี่คิดว่า...พี่อาจจะขอเพชรหย่า”

คนฟังอ้าปากค้าง ดวงตาเบิกกว้าง ตัวแข็งทื่อ ไม่แน่ใจว่าได้ยินผิดหรือเปล่า “ไม่ค่ะ...อิงไม่เห็นด้วย พี่นราอย่าคิดทำอะไรบ้าๆแบบนั้นเด็ดขาดเลยนะคะ” อิงอรุณขนลุกเกรียว คาดไม่ถึงว่าพี่ชายจะรักเพื่อนของเธอ ‘มาก’ ถึงขนาดจะยอมเสียสละเป็นฝ่ายเดินออกมาเองทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิดเลยสักนิด!

“นั่นเป็นสิ่งที่พี่ควรจะทำเลยต่างหากละ จำตอนที่เราช่วยกันคิดสโลแกนของบริษัทได้ไหม กว่าจะมาลงตัวตรงจิ๊กซอว์ที่ไม่ต้องต่อกันสนิท เรามีคำคมเป็นร้อยมากางให้เลือก และที่มีคะแนนสูงในลำดับต้นๆอีกอันก็คือ...” นราธิปนิ่งทบทวนความทรงจำชั่วขณะแล้วค่อยเอ่ยต่อ “ความรักมักบังเกิดในชั่วพริบตา ชั่วพริบตานั้นเจิดจ้าจำรัสปานใด สวยสดงดงามเพียงไหน ชั่วพริบตานั้นจะคงอยู่เป็นนิรันดร์ พี่เชื่อว่าตัวเองรักเพชรอย่างนั้น...ชั่วนิรันดร์”

เพียงจบประโยคนั้น อิงอรุณก็ปล่อยน้ำตาหยดลงมาโดยไม่ทันควบคุม เสียงค้านสั่นระริกละล่ำละลัก “แต่นั่นเป็นแค่ความรักในอุดมคติ ในขณะที่นี่เป็นชีวิตจริงของพี่นรานะคะ”

ชายหนุ่มส่ายหน้า โน้มน้าวน้องสาวด้วยการบอก “อิงน่าจะดีใจ ที่พี่รักเพชรได้โดยไม่ต้องมีความเห็นแก่ตัว สี่ปีเป็นเวลาไม่น้อยเลยนะ เมื่อคิดว่าเราได้มีความสุข ได้อยู่กับคนที่เรารักมานานขนาดนั้น มีความทรงจำดีๆเกิดขึ้นมากมาย แต่การต้องทนเห็นเพชรเป็นอย่างนี้ พี่ทุกข์กว่าตั้งไม่รู้เท่าไหร่ ถามตัวเองตลอดเวลาว่า มีอะไรที่พี่จะทำให้เพชรกลับมาสดใสเหมือนเดิมได้ไหม คำตอบคือมี เพียงแต่พี่จะกล้าพอหรือเปล่าเท่านั้นเอง นี่อาจจะถึงเวลาแล้วก็ได้ที่พี่จะได้พิสูจน์ตัวเองว่าพี่รักเพชรมากเท่าที่พี่เคยคิดเอาไว้หรือเปล่า”

“พี่นรา...” อิงอรุณจนด้วยคำพูด ทำได้แค่คว้ามือพี่ชายมากุมไว้แทนการให้กำลังใจ

นราธิปเสลุกขึ้นยืน ดึงมือออกจากการเกาะกุม แล้วจับศีรษะอีกฝ่ายโยกเบาๆ เค้นประโยคถัดมาอย่างยากเย็น “อิงไม่ต้องห่วง พี่โอเค...จริงๆนะ...โอเคจริงๆ”



สิริณ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 มี.ค. 2556, 00:01:40 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 มี.ค. 2556, 00:01:40 น.

จำนวนการเข้าชม : 2090





<< ตอนที่ ๑๕   ตอนที่ ๑๗ >>
สิริณ 27 มี.ค. 2556, 00:07:12 น.
มาจนถึงตอนนี้ มีใครเดาใจสิริณถูกบ้างหรือยังคะ
สารภาพกันมาซะดีๆ อิอิ

ตอนนี้ยาวเนอะ สิริณเอาใจขนาดนี้แล้ว
ขอแรงกดไล้ค์เบาๆ คนละทีด้วยนะค้า
ล่าสุดเห็นนิยายขึ้นไปติดอันดับ 3 ของเว็บแล้ว
ขอบคุณความเมตตาและเอ็นดูจากทุกๆคนจริงๆค่ะ ดีใจจัง ^^

ขอส่งข่าวด้วยนิดนึงละกัน
ตอนนี้ สนิมดอกรัก ยืนคอยอยู่หน้าแท่นพิมพ์
รอคิวขึ้นแท่นพิมพ์แล้วน้า...
คาดว่า "น่าจะ" พิมพ์เสร็จทันงานหนังสือ
แต่ยังไม่สามารถยืนยันได้
ว่าจะเสร็จช่วง "ต้นงาน - กลางงาน หรือ ท้ายงาน"

ข่าวกระซิบแว่วมาว่า ราคาขายเคาะอยู่ที่ ๓๔๕ บาทค่ะ
(สนิมดอกรักหนากว่าแผนก่อการรักนิดหน่อย)
หากเพื่อนๆ นักอ่านผู้น่ารัก เริ่มหยอดกระุปุกวันละ ๑๐-๒๐ บาท
เดี๋ยววันหนังสือวางแผง
ก็พอดีสะสมครบสำหรับซื้อ สนิมดอกรัก พอดีเลยน้า :D


ทราย 27 มี.ค. 2556, 06:23:57 น.
อิงอรุณหรือคะ สับสนไปหมดแล้ว
ถ้าใช่ เธอมีเหตุผลอะไรที่ต้องทำอย่างนั้น แอบชอบพี่เผ่า?
ตอนนี้สงสารพี่เผ่าจังเลยค่ะ และอยากให้หนูกานมีบทบาทมากกว่านี้จัง ท่าทางจะเป็นเด็กน่ารักน่าดูเลยนะคะ


beau 27 มี.ค. 2556, 09:21:09 น.
ขอนางเอกแสนดีให้พี่นราซักคนได้มั้ยคะคนเขียน


supayalak 27 มี.ค. 2556, 11:01:49 น.
สงสารทุกคนเลยค่ะ ทำไมนะบนโลกใบนี้ถึงมีแต่ความรักที่เกินความพอดีไปซะหมดเลย แล้วทางออกที่ดีที่สุดคือการมองเห็นคนที่เรารักมีความสุขก็ดีนะคะ แต่จะมีสักกี่คนที่ทำได้ เหมือนอ่านเรื่องดราม่าบวกสืบสวนสอบสวนว่าใครคือต้นเหตุแห่งความเลวร้ายทั้งหมด


nunoi 27 มี.ค. 2556, 12:01:15 น.
โอ๊ยย พี่นรา น่าสงสารจังเลย


หมูอ้วน 27 มี.ค. 2556, 12:24:43 น.
ใครอยู่เบื้องหลังเอ๋ย??? เดาไม่ถูกเลยค่าา


คิมหันตุ์ 27 มี.ค. 2556, 13:18:14 น.
นั่นสิ...เดาไม่ออกว่าจะไปทางไหน?


พันธุ์แตงกวา 27 มี.ค. 2556, 17:31:34 น.
วันนี้มีพี่นรา ดีใจๆ


mhengjhy 27 มี.ค. 2556, 18:03:47 น.
น่ากลัวพี่นรา...


เดิมเดิม 27 มี.ค. 2556, 19:39:42 น.
แผนยัยอิงป่าวเนี่ย


lookpud 27 มี.ค. 2556, 20:48:27 น.
เศร้าจัง ใครเป็นคนทำเรื่องทั้งหมดให้วุ่นวาย


heartlogue 27 มี.ค. 2556, 22:03:23 น.
ขวัญไม่อยู่แล้ว ใครจะไขปัญหานะ


goldensun 27 มี.ค. 2556, 22:50:51 น.
ถ้าพี่เผ่ายังไม่รู้ความจริงทั้งหมด ต้องยังแค้นเพชรอยู่ การเสียสละของพี่นราจะเสียเปล่านะคะ
ยังอยากให้พี่เผ่าไล่สืบเรื่องทั้งหมดก่อน อีกอย่าง เพชรจะยอมหย่ารึเปล่า
ดูจะต่างฝ่าย ต่างเข้าใจผิดนะคะถ


bloomberg 28 มี.ค. 2556, 13:45:58 น.
ยิ่งพี่นราหย่าให้ เพชรก็จะยิ่งรู้สึกผิด
ไม่เข้าใจแผนยัยอิงที่ชวนนวลมากินอาหารเศรษฐี ตั้งใจจะให้นวลหึงแล้วอาละวาดรึ ยังไงพี่เผ่าก็ไม่ได้ชอบนวลแบบชู้สาวอยู่แล้ว

สารภาพค่ะ จนป่านนี้ก็ยังเดาไม่ได้ว่าใครคือผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด พี่นราก็ดีเกินคน ยัยอิงก็ใกล้ตัว อาจจะเป็นหอกข้างแคร่ แม่นรา แม่เพชร เป็นไปได้ทั้งนั้นเลย
เฮ้อ.. คิดมากจนเกือบต้องกินยาคลายเครียดเลยนะเนี่ย อะนะ ล้อเล่ง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account