สนิมดอกรัก (ตีพิมพ์แล้ว - สนพ.อรุณ)
แพรวเพชร สิริณธรณ์ ไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
เมื่อเผ่าภาคินที่เธอเข้าใจว่าเสียชีวิตไปแล้วเกือบสี่ปี
จู่ๆจะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
แถมยังมาในมาดมหาเศรษฐีหนุ่มรูปหล่อ ร่ำรวย
และโหดเหี้ยมเหมือนในนิยายเป๊ะ!
.
.
.
.
“เชิญกรอกข้อมูลส่วนตัวก่อนนะคะ เดี๋ยวดิฉันจะแนะนำรายละเอียดและขอบเขตการให้บริการให้ฟัง อ้อ...ต้องให้ดิฉันแจ้งค่าใช้จ่ายให้ทราบคร่าวๆก่อนไหมคะ เพราะค่าบริการของเราไม่แพงก็จริง แต่สำหรับคนกำลังเก็บเงินแต่งงาน มันก็...เป็นจำนวนเงินไม่น้อยเลย”

“ดูเหมือนว่าเงินจะเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตคุณเสมอเลยนะ คุณแพรวเพชร” เผ่าภาคินหยัน

“พูดอย่างกับว่ามันไม่สำคัญสำหรับคุณงั้นแหละ” หญิงสาวบิดริมฝีปากนิดๆอย่างดูถูก จากนั้นเดินไปยังโต๊ะที่วางชิดผนัง ดึงเอกสารแผ่นหนึ่งจากแท่นใสทรงกระบอกถือมากางตรงหน้าชายหนุ่ม พลางอธิบายด้วยท่าทีเหมือนทองไม่รู้ร้อน ไม่สนใจแม้จะเห็นว่าสายตาที่จ้องเธอแทบจะแผดเผาลุกเป็นไฟ

“นี่ค่ะ อัตราค่าสมัครแรกเข้าสำหรับลงทะเบียนเป็นสมาชิกของคิวปิดฯ ส่วนคอร์สที่คุณจะเข้าใช้บริการแยกคิดเป็นรายครั้ง เรามีรายการให้คุณเลือกเยอะค่ะ ทั้งดำน้ำ วาดรูป อบรมบุคลิกภาพ เที่ยวพิพิธภัณฑ์ ทำบุญไหว้พระ ทำขนม อ้อ...แต่สุดท้ายนี่ฉันไม่แนะนำนะคะ เพราะคุณคงไม่อยากให้ครูคนนั้นรู้ว่ามาสมัครเป็นลูกค้าที่นี่”

“แล้วมีคอร์สสับรางไม่ให้รถไฟชนกันบ้างไหม หรือไม่ก็พวก...วิธีซ่อนชู้ ซ่อนกิ๊กอะไรแบบนี้น่ะ ผมสนใจเป็นพิเศษ และถ้าให้แนะนำ ผมว่าคุณน่ะเหมาะจะเป็นวิทยากรมาก ใช้ประสบการณ์ตรงมาสอนก็ได้ คงมีคนอยากเรียนกันเยอะแยะ”

แพรวเพชรหัวเราะขัน “แปลกนะคะ คุณพูดเองแท้ๆว่าฉันไม่ได้มีเกียรติ มีเสน่ห์ หรือว่ามีค่าพอให้คุณเสียดมเสียดายอะไรแล้ว แต่ไอ้ที่คุณพูดๆมาเนี่ย เหมือนว่า...คุณจะจำเรื่องราวเกี่ยวกับตัวฉันได้แม่นยำจังเลย”

หญิงสาวดักคอและลอยหน้าเอ่ยประโยคต่อไปว่า “เอ...หรือว่าอันที่จริงแล้วคุณไม่ได้คิดอย่างที่พูด แต่กำลังเรียกร้องความสนใจจากฉัน หรือบางทีไอ้ที่บอกว่าจะแต่งงานกับคุณนวลนรีนั่นก็เป็นแค่การโกหก แกล้งทำเป็นโชว์ออฟ เพียงเพราะอยากให้ฉันรู้สึกรู้สาไปด้วยเท่านั้นเอง ประชด...อะไรทำนองนั้นน่ะเหรอคะ”

ปฏิกิริยาที่ไม่ได้คาดไว้ล่วงหน้าทำให้เผ่าภาคินค้นหาคำตอบโต้ไม่พบแม้แต่คำเดียว

แพรวเพชรแต้มยิ้มทำสีหน้าสมเพช จากนั้นก้าวเข้ามาใกล้ เอื้อมมือแตะแก้มอีกฝ่ายแผ่วเบาหยอกเย้า “โถ...น่ารักจริง แต่ขอโทษด้วยที่ต้องทำให้ผิดหวัง ฉันแต่งงานแล้ว และก็ไม่เคยคิดนอกใจสามี เพราะเขาเป็นคนดีมาก ยิ่งเขาดีเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งนึกเสียดายที่เคยไปเกลือกกลั้วกับของสกปรกมาก่อน โชคดีที่เขาไม่ถือสาอดีตของฉัน ไม่เช่นนั้นฉันคงไม่ได้เป็นผู้หญิงโชคดีอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้”

ประโยคสุดท้ายทิ่มแทงหัวใจคนฟังจนแทบทนไม่ไหว และเพียงเสี้ยววินาทีที่เผ่าภาคินปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือความควบคุม อุ้งมือแข็งแรงก็ตวัดคว้าต้นแขนหญิงสาวพร้อมทั้งบีบรุนแรง กระแสบางอย่างที่แล่นปราดผ่านปลายนิ้วทำให้ชายหนุ่มเกือบจะปล่อยมือ แต่เขาก็ฝืนกำมือแน่น เค้นเสียงลอดไรฟันเอ่ยคำถัดมา

“ใช่ ฉันมันเลว ชั่ว แต่ก็สมกันดีแล้วไม่ใช่เหรอ ผู้ชายสกปรกกับผู้หญิงที่น่าขยะแขยงน่ะ แพรวเพชรคนอ่อนโยนไร้เดียงสาที่ฉันเคยรู้จัก มาวันนี้กลับกลายเป็นผู้หญิงกร้านโลก หลายใจ น่ารังเกียจไปแล้ว ทุเรศที่สุด”

“ในเมื่อพี่เผ่าคนที่ฉันเคยรู้จักตายไปแล้ว แพรวเพชรคนที่คุณเคยรู้จักก็สมควรจะตายไปได้แล้วเหมือนกัน ถือว่าเราเสมอกันไงคะ” หญิงสาวยิ้มกว้างอย่างสะใจ

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

เนื้อหาทั้งหมดที่ปรากฎบนหน้าเพจนี้สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พุทธศักราช ๒๕๓๗ ห้ามมิให้ทำการคัดลอก ดัดแปลง หรือแก้ไข บทความเพื่อนำไปใช้ก่อนได้รับการอนุญาต

หากฝ่าฝืน สิริณ จะดำเนินการทางกฎหมายทั้งจำและปรับ โดยไม่มีการประนีประนอมใดๆทั้งสิ้น

ผู้ใดชี้เบาะแสการคัดลอก สิริณ มีรางวัลนำจับให้ด้วยนะคะ ^^
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ ๑๗

เสียงจ้อกแจ้กจอแจของเด็กๆที่หัวเราะหยอกเย้ากันดังขึ้นทีละนิดเมื่อเจ้าของร่างสูงเข้าใกล้ประตูรั้วของเนิร์สเซอรี่มากขึ้นเรื่อยๆ แต่ด้วยระเบียบของสถานรับเลี้ยงเด็กซึ่งไม่อนุญาตให้คนแปลกหน้าซึ่งไม่มีบัตรประจำตัวที่โรงเรียนออกให้เข้าไปในเขตรั้วเด็ดขาด ชายหนุ่มจึงทำได้เพียงหลบมาสังเกตการณ์ยังร้านกาแฟฝั่งตรงข้าม มุมที่เขาเลือกค่อนข้างกว้างและไม่มีสิ่งกีดขวางบดบังทัศนวิสัย จึงเห็นสนามหญ้าและด้านหน้าของเนิร์สเซอรี่ชัดเจน

รอยยิ้มบางๆเผยขึ้นบนใบหน้าชายหนุ่ม เมื่อเห็นแพรวเพชรปรากฏตัวขึ้นในระยะสายตา เธอเดินหายเข้าไปในอาคารชั่วครู่ แล้วกลับออกมาโดยมีเด็กหญิงตัวน้อยจูงมือกันไว้ ท่าทางกานติมาจะมีเรื่องเล่ามากมาย เพราะเขาเห็นปากย้อยนั้นขยับเล่าจ๋อยๆ มือก็ทำท่าประกอบเป็นระยะ คนเป็นแม่ก้มลงไปพยักพเยิดตั้งใจฟังจนกระทั่งมาถึงรถซึ่งจอดอยู่นอกรั้วสถานรับเลี้ยงเด็ก

เผ่าภาคินทอดสายตาลอดกระจกรถมองหญิงสาวก้มลงไปคาดเข็มขัดนิรภัยให้เด็กหญิง คอยจนเลกซัสสีขาวแล่นลับสายตาไปแล้ว จึงชำระเงินแล้วออกจากร้านกาแฟ เดินผ่านหน้าเนิร์สเซอรี่กลับไปที่รถซึ่งจอดลึกเข้าไปในซอยเพื่อไม่ให้แพรวเพชรสังเกตเห็น สมองครุ่นคิดถึงวิธีการที่จะดำเนินการตามแผนขั้นต่อไปอย่างแนบเนียน

แต่แล้วขณะเดินผ่านรั้วสถานรับเลี้ยงเด็กนั่นเอง เสียงของใครคนหนึ่งซึ่งดังมาจากสนามเด็กเล่นก็เรียกเขาไว้ “เอ๊ะ! นั่นเพื่อนคุณเพชรใช่ไหมคะ”

เผ่าภาคินชะงัก หันกลับไปทางต้นเสียง เห็นคุณครูคนที่เคยพบเมื่อครั้งตามมาตอแยแพรวเพชรถึงที่นี่กำลังเดินตรงเข้ามาหา พูดคุยกันผ่านรั้ว

“คุณคลาดกับคุณเพชรแล้วละค่ะ คุณเพชรเพิ่งรับหนูกานกลับไปเมื่อครู่นี้เอง”

“อ๋อ...เหรอครับ ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมกำลังจะตามไปสมทบกับเพชรอยู่แล้ว” ชายหนุ่มรับสมอ้างพอให้พ้นตัว

“งั้นคงต้องรีบหน่อยละค่ะ เดี๋ยวช้าจะไม่ทันหนูกานตัดเค้ก” หญิงสาวอมยิ้ม “พูดให้ถูกก็คือเดี๋ยวจะไปไม่ทันกินเค้ก เพราะหนูกานกินหมดเสียก่อน”

คนฟังขมวดคิ้ว เขาไม่ได้แปลกใจที่ได้ยินว่ากานติมาชอบทานขนมหวาน แต่ที่ข้องใจก็คือ...

“เค้ก เอ๊ะ!วันนี้วันเกิดหนูกานหรือครับ”

“ใช่ค่ะ แกครบสามขวบแล้ว คุณเพชรมารับเร็วกว่าปกติก็เพราะจะพากันไปฉลองนี่ละค่ะ”

“งั้นผมคงต้องขอตัวรีบตามไปสมทบแล้วละครับ ขอบคุณมากนะครับคุณครู” เผ่าภาคินก้มศีรษะแทนการบอกลาแล้วก้าวเท้ายาวๆกลับไปที่รถ สมองวิ่งวุ่นด้วยคำถามมากมาย

เขานับเวลาย้อนหลังรวดเร็ว กานติมาจะอายุสามขวบได้อย่างไร ในเมื่อระยะเวลาที่เขากับแพรวเพชรเลิกรากันคือสามปีกับห้าเดือนเศษ!

ต่อให้เธอเลิกกับเขาแล้วตัดสินใจคบหากับนราธิปเลยในทันที ก็ไม่มีผู้หญิงคนไหนที่จะตั้งครรภ์แค่ห้าเดือนแล้วให้กำเนิดเด็กที่สมบูรณ์แข็งแรงอย่างกานติมาได้เด็ดขาด

บทสรุปนั้นยังผลให้หัวใจชายหนุ่มโลดแรงราวกับจะทะลุออกมานอกอก มือที่กดโทรศัพท์มือถือคำนวณตัวเลขสั่นระริก ขณะเดียวกันเขาก็พบว่ามันเย็นเฉียบด้วยความตื่นเต้น

เขาเขียนทดตัวเลขบนหน้าจอโทรศัพท์ ค่อยๆไล่เดือนปีย้อนหลังอย่างเชื่องช้า ทบทวนซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีความผิดพลาดในขั้นตอนการคำนวณอย่างแน่นอน แล้วคำตอบที่ได้ก็ทำให้ชายหนุ่มขนลุกซู่รู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออกดื้อๆ

หนทางเดียวที่กานติมาจะอายุครบสามขวบในวันนี้ได้ก็คือ...แพรวเพชรตั้งท้องอยู่แล้วตอนที่เลิกรากับเขา!

เผ่าภาคินหยิบโทรศัพท์กดหาเพื่อนที่เป็นแพทย์ หัวใจโหมลั่นราวกับกลองรบขณะคอยฟังเสียงสัญญาณด้วยใจที่ร้อนรนราวจะลุกเป็นไฟ

“ไอ้หมอ...ถ้าเด็กคลอดก่อนกำหนด แม่ต้องมีอายุครรภ์อย่างน้อยกี่เดือนวะ เด็กถึงจะรอดน่ะ” เขาทักทาย และแนะนำตัวรวดเร็ว ตามด้วยการพุ่งตรงเข้าสู่ประเด็นทันที

“ถามอะไรอย่างนี้วะ เมียเอ็งจะคลอดลูกหรือไง”

“ตอบมาก่อนสิวะ อย่าเพิ่งถาม” เขาสวนกลับร้อนรน

“โอเคๆ” ปลายสายนิ่งไปชั่วครู่คล้ายกำลังทบทวนข้อมูล แล้วจึงเอ่ย “จากสถิติแล้วแม่เด็กควรจะมีอายุครรภ์อย่างน้อย ๓๐ สัปดาห์ บางรายเป็นกรณีพิเศษ ๒๔ สัปดาห์แล้วเด็กรอดก็มี แต่คลอดแล้วก็ยังต้องอยู่ในตู้อบพักใหญ่เพื่อปรับสภาพร่างกายให้แข็งแรงก่อนนะเว้ย”

“ยี่สิบสี่สัปดาห์ ก็ตกราวๆหกเดือนสิวะ ใช่ไหม”

“เอาเป๊ะๆก็หกเดือนหนึ่งสัปดาห์”

“แล้วเด็กจะผิดปกติไหม” เผ่าภาคินไม่รู้ตัวสักนิดว่าเขาแทบกลั้นหายใจเพื่อรอฟังคำตอบนั้นเลยทีเดียว

“อายุครรภ์ยิ่งน้อยก็ยิ่งมีความเสี่ยงว่าเด็กจะพัฒนาร่างกายได้ไม่ครบ ส่วนใหญ่คลอดแล้วหมอจะเอกซเรย์ตรวจร่างกาย เผื่อมีปัญหาจะได้แก้ไขทัน”

“แล้วเป็นไปได้ไหมวะว่าผู้หญิงจะท้องสักเดือนหรือสองเดือนโดยที่ดูไม่ออกน่ะ”

“เป็นได้สิวะ ท้องสาวน่ะ บางทีห้าหกเดือนแล้วยังดูแทบไม่ออกเลยก็มี”

“ท้องสาว...แปลว่าอะไรไอ้หมอ” เผ่าภาคินงง ไม่เคยคิดมาก่อนว่าผู้ชายอย่างเขาจะต้องมาทำความรู้จักคำแปลกๆพวกนี้

“ก็แปลว่าผู้หญิงสาวๆที่เพิ่งตั้งครรภ์ลูกเป็นคนแรกน่ะ ร่างกายเขาต้องค่อยๆปรับตัว การขยายของช่องท้องค่อนข้างน้อย บางทีมองจากภายนอกจะดูไม่ออกว่าท้อง อาจจะคิดว่าแค่อ้วน”

“ขอบใจมาก แค่นี้แหละ” ชายหนุ่มตัดสายทันทีเมื่อได้คำตอบที่ต้องการครบถ้วน ไม่สนใจแม้เสียงโวยวายของเพื่อนจะดังลอดมาให้ได้ยินก็ตามที

“อายุครรภ์อย่างน้อยหกเดือน งั้นตอนที่เพชรไปกับไอ้หมอนั่น เพชรท้องได้เดือนเศษแล้วน่ะสิ หรือบางทีถ้ากานติมาไม่ได้คลอดก่อนกำหนด ก็แปลว่าเพชรท้องมานานแล้ว อาจจะถึงสามหรือสี่เดือนอย่างที่ไอ้หมอว่าก็ได้” เผ่าภาคินลูบหน้าแรงๆ คล้ายยังไม่แน่ใจว่าเขากำลังอยู่ในความฝันหรือเปล่า

นี่เอง...เหตุผลที่แพรวเพชรทวงหา ‘ความรับผิดชอบ’ จากเขา เธอไม่ได้หมายถึงการแต่งงาน แต่หมายถึงลูกต่างหาก กานติมาเป็นลูกเขา!

เพียงข้อความนั้นถูกย้ำลงในความรับรู้อีกครั้ง เผ่าภาคินก็ขนลุกซู่ ความปีติตื้นตันเปลี่ยนแปรเป็นหยดน้ำตาที่รื้นเอ่อขึ้นตรงปลายตา วินาทีนั้นเขาลืมทุกแผนการ จำไม่ได้แม้กระทั่งว่าเคยถูกทำร้ายจนปางตายอย่างไร สิ่งเดียวที่อยากทำก็คือหัวเราะให้ดังก้อง อยากตะโกนบอกโลกทั้งใบว่าเขากำลังมีความสุขมากเพียงใด

เขามีลูก กานติมาเป็นลูกของเขา! ลูกของเขากับแพรวเพชร!

เผ่าภาคินบีบพวงมาลัยรถแน่น เรียกสติที่ฟุ้งซ่านกระเจิดกระเจิงด้วยความยินดีให้กลับมารวมกัน แม้แวบหนึ่งที่เขาชะงัก มือเผลอลูบแผลเป็นตรงหน้าอกเบื้องซ้าย ขณะใจประหวัดไปถึงที่มาที่ไปของมัน ทว่าความแค้นก็ผ่านวาบเข้ามาแล้วปลิวหายวับไปอย่างรวดเร็ว เขาสลัดมันออกจากความคิดทันควัน บอกตัวเองว่ามันไม่สำคัญอีกต่อไป เขาพร้อมแล้วที่จะก้าวข้ามทุกกำแพงที่รายล้อมเพื่อกลับไปสู่หัวใจของเธออีกครั้ง

ชายหนุ่มยิ้มกริ่มอย่างมีความสุข ช่างหัวอดีต ช่างหัวทุกอย่าง ช่างมันไปให้หมด!

เผ่าภาคินยังจำการพบกันที่ร้านเค้กหวานได้ แวบแรกที่แพรวเพชรเห็นเขา ชายหนุ่มมั่นใจว่าเขาเห็นความยินดีในดวงตาคู่นั้น บางที...อาจจะมีความเข้าใจผิดเกิดขึ้นก็ได้ เธออาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับการที่มือมีดปริศนาคนนั้นบุกเข้าไปฆ่าปิดปากเขา

สีหน้าฉงนฉงายของแพรวเพชรตอนถามเขาว่าศพที่พบในอพาร์ตเมนต์เป็นใครยังติดตา หญิงสาวอาจไม่มีส่วนรู้เห็นกับการวางเพลิงนั่นเลยก็เป็นได้

ชายหนุ่มควานหาทุกเศษเสี้ยวของความหวังที่ตกหล่นอยู่ในทุกการพบกันมาใช้เป็นเหตุผลสนับสนุนให้ตัวเองยกโทษให้หญิงสาว เขาเก็บกอบทุกข้ออ้างที่พอจะหาได้มาย้ำให้ตัวเองมีความชอบธรรมที่จะรักเธออย่างที่เคยรัก ไม่สนใจว่ามันจะสมเหตุสมผลหรือไม่ก็ตาม

ถึงตอนนี้อะไรก็ไม่สำคัญเท่าเขาจะต้องหาทางเอาสมบัติของตัวเองกลับคืนมาสู่อ้อมอกให้ได้ สมบัติ...ที่ไม่ใช่สิ่งของ แต่หมายถึงแพรวเพชรและลูก!

เผ่าภาคินปล่อยให้หัวใจที่เย็นชาไร้ความรู้สึกโหมลั่นเป็นท่วงทำนองของความสุข ตั้งธงหมายมาดปรารถนามั่น เขาจะทำทุกวิธีทางเพื่อแย่งแพรวเพชรคืนมาอีกครั้ง ต่อให้ต้องแลกกับอะไร เขาก็พร้อมจะยอมทั้งสิ้น!

บางทีการที่หญิงสาวแต่งงานกับนราธิปอาจไม่ใช่เพราะหมดรักเขาแล้ว แต่เป็นเพราะรักมากจนต้องใช้สถานะทางสังคมในฐานะภรรยาของใครสักคนในการปกป้องลูกสาวของเขา

ใช่แน่แล้ว...ต้องเป็นอย่างนี้แน่นอน เขามั่นใจ!
.
.
.
.
.
ตลอดสัปดาห์ถัดมาเผ่าภาคินกลับมาเป็นคนหนุ่มไฟแรงบ้าคลั่งกับการทำงานเหมือนกับก่อนที่อาการ ‘อกหัก’ จะเข้าโจมตี คนรอบข้างมองความเปลี่ยนแปลงของเขาด้วยความอัศจรรย์ใจ แต่ไม่มีใครกล้าออกปากถามว่าเหตุใดเขาจึงหายจากอาการซึมเศร้าได้ง่ายดายนัก การประชุมผู้บริหารที่ต้องเลื่อนไปถึงสองครั้งสองคราได้รับการปรับลำดับขึ้นมาเป็นความสำคัญอันดับแรกอีกครั้ง

“ยินดีด้วยนะคุณเผ่า ตอนนี้ไอซีอินทิเกรทเต็ดและชิปเมคเกอร์เป็นของคุณอย่างละครึ่งเรียบร้อยแล้ว” พงษ์ชัยเอ่ยเป็นประโยคแรกเมื่อเผ่าภาคินก้าวเข้ามาในห้องประชุม เรียกเสียงปรบมือจากทีมผู้บริหารทั้งห้องได้กราวใหญ่

“ต้องขอบคุณทีมงานทุกคนที่ช่วยกันทำทุกอย่างจนการเจรจาลุล่วงมากกว่า” เผ่าภาคินยิ้มอารมณ์ดี ขณะเดินไปนั่งที่หัวโต๊ะเตรียมเริ่มการประชุม

บทสรุปของแต่ละแผนกถูกรายงานตามลำดับ ชายหนุ่มสั่งการรวดเร็วด้วยท่าทีมั่นอกมั่นใจ และครั้งนี้...เห็นจะต้องบอกว่ามีความแข็งกร้าวมากขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ

“เรื่องไทยแสงฟ้าว่ายังไง มีความคืบหน้าไหม” เผ่าภาคินถามถึงบริษัทที่เคยทำหนังสือมาเสนอตัวขายหุ้นให้กับพาร์กิ้นอินเตอร์เนชันแนล

ผู้บริหารที่รับผิดชอบเรื่องนี้กดปุ่มบนเครื่องคอมพิวเตอร์ ไม่นานภาพก็แสดงบนจอหน้าห้อง เสียงอธิบายคล่องแคล่วไม่ติดขัดของเจ้าตัวดังเป็นจังหวะ

“งบบริษัทไม่ค่อยดีครับ ตัวสินค้าทำกำไรได้มาก แต่ค่าใช้จ่ายก็สูงไม่แพ้กัน ทุกเดือนแทบไม่เหลือกำไร ยิ่งตอนนี้เอาสินทรัพย์ตัวโรงงานไปค้ำกู้แบงก์ออกมาจนเต็มวงเงินแล้วด้วย สภาพคล่องไม่มีเลย ถ้าสถานการณ์เป็นอย่างนี้ต่อไป ไม่นานก็เจ๊ง”

“ของก็ทำกำไรได้ ทำไมหมุนเงินไม่ทัน” เผ่าภาคินตั้งคำถามเรียกดูบัญชีกระแสเงินสด เจ้าหนี้ ลูกหนี้ แยกประเภท และค่าใช้จ่าย เขาอ่านตัวเลขอย่างเชี่ยวชาญก่อนลงท้ายด้วยการส่ายหน้า

“พื้นฐานดี แต่บริหารไม่ได้เรื่อง ค่าแรงคนงานบานอย่างนี้ ถ้าลงทุนเอาเครื่องจักรเข้ามาแทนก็สิ้นเรื่อง” เขาหันไปทางผู้ร่วมประชุม “พวกคุณคิดว่ายังไง”

“ราคาที่คุณแสงฟ้าเสนอขายต่ำกว่าตลาด ถ้าซื้อมาปรับระบบ ทำงบสวยๆ น่าจะขายต่อทำกำไรได้พอสมควร” ฝ่ายการเงินเสนอ

“ถ้าลงทุนเครื่องจักร เอามาเป็นกำลังผลิตสำรองของบริษัทในเครือก็ดีนะครับ” ฝ่ายโรงงานให้ความเห็น
เผ่าภาคินฟังความเห็นทั้งด้านบวกและลบของทุกคน ฟังการทุ่มเถียงเพื่อประโยชน์ของบริษัทด้วยความสุขใจ เขารักการทำงาน หลงใหลการเป็นผู้ชนะก็เพราะอย่างนี้ หลังจากชั่งใจกับผลประโยชน์ที่จะได้รับและต้องเสียไปอยู่ครู่ใหญ่ ในที่สุดจึงตัดสินใจได้เด็ดขาด “ปฏิเสธไปละกัน บอกว่าเราไม่สนใจข้อเสนอ บริษัทมีแต่หนี้ กว่าจะปลดสภาพหนี้ กว่าจะทำกำไร ไม่คุ้มกับเวลาและกำลังคนที่เราต้องทุ่มลงไป”

“เสนอเงินกู้ให้ดีไหมครับ” เสียงหนึ่งดังขึ้น

“ผมไม่ใช่ธนาคาร ผู้บริหารที่กู้เอาเงินบริษัทมาส่งลูกเรียนไม่ใช่ลูกหนี้ที่ดี ผมไม่อยากให้หนี้สูญ” เขาปฏิเสธไร้เยื่อใย แล้วหันไปบอกพงษ์ชัย “บอกปัดไปครับ ไม่มีเงื่อนไข ไม่มีข้อเสนอ จบแค่นี้”

การประชุมดำเนินต่อเนื่องไปอีกหลายชั่วโมง และเมื่อใกล้จะจบลง เผ่าภาคินหยิบแฟ้มของบริษัททั้งสองแห่งที่เพิ่งเข้าเป็นผู้ถือหุ้นครึ่งหนึ่งโยนลงบนโต๊ะพร้อมกับตั้งคำถามเสียงกร้าว

“ถ้าผมอยากให้เอาสองโรงงานนี้มาเป็นของผมหนึ่งร้อยเปอร์เซนต์ ต้องใช้เวลากี่เดือน ปีนึงพอไหม”

แฟ้มเล่มที่อยู่ด้านบนสุดเปิดหราออก แต่ไม่มีใครสนใจ ทุกคนมัวแต่หันไปมองหน้ากันด้วยอาการไม่แน่ใจ ก่อนที่พงษ์ชัยจะรับหน้าเสื่อเจรจากับเจ้านายเช่นเคย

“จะขุดบ่อล่อปลาทั้งที ใจร้อนไม่ได้หรอกนะคุณเผ่า เกิดกวนน้ำขุ่นปลารู้ตัวว่ายหนีไปหมด ไอ้เงินที่เสียไปเป็นค่าขุดบ่อจะกลายเป็นเปล่าประโยชน์ ได้ไม่คุ้มเสียหรอก สู้ใจเย็นๆให้ปลาค่อยๆว่ายมาลงบ่อเอง ทีนี้เราจะใช้กระชอนตักขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้ แบบนี้ดีกว่า เชื่อผมเถอะ”

ชายหนุ่มหัวเราะหึๆกับความเจ้าคารี้สีคารมของคนอาบน้ำร้อนมาก่อน แม้เหตุผลของอีกฝ่ายจะฟังขึ้น แต่ใช่ว่าเขาจะยอมประนีประนอมง่ายๆ “งั้นคุณต้องการกี่ปี”

“สี่...โอเค สามปีก็ได้” พงษ์ชัยแย้ง แม้จะมีคำตอบที่ห่างไกลจากความคาดหวังของเจ้านายค่อนข้างมาก แต่ด้วยพรรษาและอายุงานที่คร่ำหวอดในวงการธุรกิจมานาน ทำให้สามารถคำนวณความเป็นไปได้ในหัวรวดเร็ว และปรับเปลี่ยนระยะเวลาเพื่อตอบคำถามอีกฝ่ายตามสถานการณ์และความเหมาะสมได้ทันท่วงที

“สิบแปดเดือน” เผ่าภาคินยื่นคำขาด

“เร็วที่สุดคือสามสิบเดือน ถ้าคุณรวบรัดเร็วกว่านั้น มันจะไร้จริยธรรมแล้วก็โฉ่งฉ่างเกินไป อีกหน่อยอาจไม่มีใครกล้าร่วมทุนกับเราอีก” พงษ์ชัยเน้นเสียง

“ตกลง...สองปีครึ่ง ซื้อบริษัทนั้นมาให้ได้ แล้วผมจะมีโบนัสให้พวกคุณอย่างงาม” เผ่าภาคินยิ้มกว้างพอใจ และเมื่อมองไปทางคู่โต้วาทีเมื่อครู่ ก็เห็นฝ่ายนั้นส่ายหน้า ท่าทางบอกชัดว่าเจ็บใจไม่น้อยที่ ‘เสียรู้’ ให้แก่เขา

“คุณมีตัวเลขสามสิบเดือนอยู่ในใจแล้ว แต่ดันเอาปีนึงมากดดันให้พวกเราต้องลดเงื่อนเวลาจากสี่ปีลงมาตั้งเกือบครึ่ง ทำกันได้ลงคอนะคุณเผ่า” พงษ์ชัยโวย ทว่าสีหน้ายิ้มแย้มเห็นได้ชัดว่าชื่นชมและพอใจกับลูกล่อลูกชนของเจ้านาย และแน่นอนว่าคำชมจากคนผ่านโลกมามาก โชกโชนในโลกธุรกิจอย่างพงษ์ชัยย่อมมิใช่ธรรมดา

“ผมต้องขอบคุณทุกคนมากกว่าที่จะช่วยกันทำตามแผนที่วางไว้ให้สำเร็จตามกำหนด” เผ่าภาคินถ่อมตัว เขาฟังทีมผู้บริหารถกเถียงกันด้วยประเด็นอื่นๆอีกพักใหญ่จึงบอกเลิกประชุม

เมื่อทั้งห้องเหลือเพียงเขาลำพัง ชายหนุ่มเอื้อมไปคว้าแฟ้มที่เปิดอ้าอยู่มาตรงหน้า ขณะกำลังจะงับมันเข้าด้วยกันนั้นเอง ข้อความบรรทัดหนึ่งก็สะดุดตาเข้า ก่อนเข้าร่วมทุนในกิจการใดก็ตาม ที่ปรึกษาด้านการเงินและประเมินความเสี่ยงจะต้องสืบประวัติของบริษัทเป้าหมายอย่างละเอียด ปกติเผ่าภาคินเปิดผ่านหน้าแรกในส่วนของอารัมภบทการก่อตั้งกิจการ โดยเน้นไปดูที่ตัวเลขผลประกอบการและประมาณการณ์ระยะเวลาที่จะคืนทุนเป็นหลัก

แต่วันนี้...จะด้วยความบังเอิญหรือจะบอกว่าเป็นโชคดีของเขาก็สุดรู้ เอกสารหน้าที่เปิดค้างอยู่บนโต๊ะ นอกจากจะมีข้อความสำคัญกระเด้งเตะตาแล้ว รูปที่ประกอบอยู่กับข้อความนั้นยังยืนยันให้เขายิ่งสบายใจมากขึ้นว่า เทพีแห่งโชคชะตาคงกำลังประทับอยู่บนบ่าของเขาแน่นอน

ไอซีอินทิเกรทเต็ดก่อตั้งจากโรงรถที่ถูกใช้เป็นทั้งแหล่งผลิตและสำนักงาน ก่อนย้ายมาก่อสร้างโรงงานบนพื้นที่ห้าไร่ในเขตจังหวัดนครปฐม

ใช่แน่แล้ว...รูปที่ปรากฎอยู่บนหน้าเอกสารคือบ้านพ่อแม่ของแพรวเพชร เขาจำได้จากรูปถ่ายที่เธอเคยเอาให้ดูสมัยยังอยู่ซิดนีย์ด้วยกัน

ความมั่นใจ พอใจพลุ่งขึ้นก่อนเป็นลำดับแรก แล้วจึงตามมาด้วยอาการชะงักเมื่อระลึกได้ว่าเขาเพิ่งสั่งการให้ทีมงานฮุบโรงงานที่ว่าให้ได้ภายในสองปีครึ่ง

เผ่าภาคินขมวดคิ้วอยู่ครู่เดียว รอยยิ้มก็เคลื่อนเข้ามาแทนที่ เมื่อนึกหาหนทางใช้สิ่งที่เพิ่งรู้ให้เกิดประโยชน์กับตัวเองได้มากที่สุดพบแล้ว!


* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

พรุ่งนี้ก็จะเป็นงานสัปดาห์หนังสือฯ วันแรกแล้วนะคะ
ลายแทง สำหรับผู้ที่สะสมหนังสือของสิริณยังไม่ครบทุกเล่ม
ไปตามนี้ได้เลยค่า

ภาพรักในฝัน รอยตะวัน และแผนก่อการรัก
ซื้อได้ที่ บูธร้านนายอินทร์ #Q12 โซน C ชั้น 2 หรือ Z02 โซน D

บุหงาซ่อนกลิ่น ซื้อได้ที่ โอเชียนบุ๊คมาร์ท #R32 โซน C ชั้น 2

สำหรับ สนิมดอกรัก
ยังไม่คอนเฟิร์มว่าจะวางแผงช่วงต้น ช่วงกลาง หรือท้ายงาน
(แวะไปช่วงไหน ไปลองถามที่บูธนายอินทร์ได้นะคะ)

เดี๋ยวจะเอาปกฉบับเต็มมาให้ชมกันค่ะ



สิริณ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 มี.ค. 2556, 00:01:29 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 มี.ค. 2556, 00:01:29 น.

จำนวนการเข้าชม : 1949





<< ตอนที่ 16   ตอนที่ ๑๘ >>
สิริณ 29 มี.ค. 2556, 00:03:08 น.
ฉากที่ทุกคนรอคอยมาแว้วววววว อิอิ
ตอนหน้า...เตรียมยากันมดกันมาด้วยน้า 55555
หากปลื้มไปกับพี่เผ่า ก็ขอแรงกดคนละไล้ค์ด้วยน้า
ตอนที่แล้ว...สงสัยคนไม่ค่อยปลื้ม
มีคนชอบแค่ 23 คนเอง T_T
คนเขียนแอบนอยด์นะคะเนี่ยยยยยยย


คิมหันตุ์ 29 มี.ค. 2556, 01:24:32 น.
คุณเผ่านี่ร้ายตลอด อิอิ


เด็กหญิงม่อน 29 มี.ค. 2556, 01:41:57 น.
จะรอดูว่าพี่เผ่าจะเอาชนะใจเพชรยังไง


พันธุ์แตงกวา 29 มี.ค. 2556, 08:36:47 น.
ในที่สุดเรื่องของหนูกานก็เฉลย


เดิมเดิม 29 มี.ค. 2556, 12:12:18 น.
ไลค์ด้วยค่ะ


supayalak 29 มี.ค. 2556, 15:01:06 น.
ระวังนะค่ะคุณเผ่า ทำอะไรอย่าลืมคิดหน้าคิดหลังดีๆ หล่ะ เดี๋ยวหากเพชรรู้จะเสียใจทีหลังน่าาา


nunoi 29 มี.ค. 2556, 17:14:11 น.
แอบคิดว่า พี่เผ่าจะนึกได้ว่าหนูกานชอบกินขนมหวานเหมือนพ่อ ซะอีก


goldensun 29 มี.ค. 2556, 17:56:21 น.
ถ้าไม่ได้เงื่อนเรื่องอายุหนูกาน พี่เผ่าจะปิดหูปิดตาไปนานแค่ไหน มองความคล้ายไม่มีเลยหรือคะ ที่ชอบของหวานเหมือนกันอีก แต่ก็ดีแล้ว ที่รู้ และอย่างที่คิด ว่าพอรู้ พี่เผ่าคงลืมความแค้นและเริ่มคิดแบบมีเหตุผลแน่ หลังจากที่ปิดหูปิดตาแค้นตลอด
และคงเอาเรื่องบริษัทพ่อเพชรมาเป็นข้อได้เปรียบแน่
ยังคิดอยู่นะคะ ว่าข้าราชการแบบพี่นรา ไม่น่าใช้บริการลูกน้องเจ้าพ่อทำร้ายพี่เผ่า
งานนี้ คิดว่า พี่นรายอมถอยแน่ และพี่เผ่าก็มีแรงที่จะรุกให้เพชรยอมรับแล้ว


bloomberg 2 เม.ย. 2556, 15:30:01 น.
เจี๊ยก!!! อิพี่เผ่าทำงานกับคอมพิวเตอร์มากไป สงสัยมีชิปกระเด็นใส่หัว คิดเร็วม๊วกก
ถูกใจแม่ยกจริง ๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account