กล้วยไม้ในมือมาร
กล้วยไม้คือผู้หญิง...เธอคือผู้หญิงชาวจีนที่ถูกซื้อมาเป็นสาวรับใช้ตั้งแต่วัยเด็ก...นวนิยายเรื่องนี้ฉายภาพสยามประเทศใน พ.ศ. 2473
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 45


กล้วยไม้ในมือมาร

45…

พร้อมกับเสียงที่เปล่งออกจากปาก อากุ่ยก็ปราดเข้ามาผลักไหล่ของคุณชายป้อให้ถอยห่างจากหญิงสาว แล้วใช้มืออีกมือคว้าข้อมือของกล้วยไม้ดึงร่างอรชรให้ไปหลบข้างหลังเขา

“ลื้อเป็นผู้ร้ายใช่ไหม?” อากุ่ยถามทื่อๆ

“ไม่ไช่…ผมไม่ใช่ผู้ร้าย” คุณชายป้อตอบ

“ผู้ร้ายทุกคนก็ว่าตนเองไม่ใช่ผู้ร้ายทั้งนั้น” อากุ่ยกำหมัดระวังตัว

“เดี๋ยวก่อน พี่กุ่ย…คนนี้คือคุณชายป้อ” กล้วยไม้รีบพูดแทรกขึ้น ก่อนที่เรื่องราวจะลุกลามเลยเถิดไปกันใหญ่

“คุณชายป้อ!”

“จ๊ะ…คุณชายป้อที่เป็นเจ้าของแหวนหยกขาวที่ฉันร้อยเชือกแดงสวมติดคอไง”

คำอธิบายของกล้วยไม้เหมือนฟ้าผ่าลงมาตรงหน้าอากุ่ย…เขาเคยหวังว่าเจ้าของแหวนจะหายสาบสูญ แล้วนานๆ ไปกล้วยไม้จะยอมรับให้ตัวเขามากขึ้น

แต่อยู่ๆ เจ้าของแหวนก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า…อากุ่ยอึ้งจนพูดอะไรไม่ถูก

“พี่กุ่ยกลับมาคนเดียว หรือมีใครตามมา” กล้วยไม้มองหน้ามองหลังระแวงระวัง

“พี่ซื้อของกลับมาคนเดียว” อากุ่ยตอบอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง

“พี่กุ่ย…” คุณชายป้อหรือปองเอ่ยกับอีกฝ่ายน้ำเสียงสุภาพ “ขอผมเรียกคุณว่าพี่กุ่ยนะครับ”

อากุ่ยฝืนยิ้ม “ผมเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาๆ คุณชายให้เกียรติเกินไป ผมคงรับไม่ไหว”

“อย่าพูดอย่างนั้นสิครับ” ปองเอ่ย “เราเป็นประชาชนคนธรรมดาเหมือนๆ กันนั่นแหละ ผมเกิดเมืองไทย ผมก็เป็นคนไทยเชื้อสายจีน แล้วพี่กุ่ยเกิดที่ไหน?”

“ผมเกิดที่เมืองจีน”

“แต่พี่กุ่ยพูดไทยชัดมาก” ปองเอ่ยอย่างสังเกต

“ผมมาโตที่เมืองไทย ได้เข้าเรียนหนังสือถึงป.4” อากุ่ยเอ่ย

“เหมือนอาลั้ง…เอ่อ…กล้วยไม้นะครับ เธอก็เกิดที่เมืองจีน แล้วมาโตที่เมืองไทย น่าเสียดายที่เธอไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือ ไม่งั้นเธอต้องเรียนหนังสือเก่งแน่ๆ” ปองเอ่ยเรื่อยๆ เป็นการผ่อนคลายบรรยากาศที่ตึงเครียด

พอเห็นสีหน้าอากุ่ยค่อยดีขึ้น ปองก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่ไม่ดังนัก แต่ทว่าหนักแน่น “ผมมาที่นี่เพื่อเอาแผนที่การทหารที่ผมให้กล้วยไม้เอาไว้”

“คุณเป็นเสรีไทย?” อากุ่ยถาม เพราะเขาเคยได้ยินได้ฟังเกี่ยวกับเสรีไทยมาบ้าง แต่ที่เขาไม่ได้เอาเรื่องเหล่านี้มาเล่าให้กล้วยไม้ฟัง ก็เพราะว่าเห็นว่ามันเป็นเรื่องไกลตัวพวกตน ไม่นึกว่าอยู่ๆ พวกตนก็ต้องมาเกี่ยวข้องกับเสรีไทย

“ครับ” ปองรับตรงๆ

อากุ่ยมองสบตาปองนิ่งนาน

“พี่กุยเกรงว่าผมจะนำเรื่องเดือดร้อนมาให้ใช่ไหมครับ?” ปองถามตรงไปตรงมา

“เพียงครึ่งหนึ่ง” อากุ่ยตอบ

“หมายความว่าอย่างไร?” ปองถาม

“ผมเกิดที่เมืองจีนก็จริง แต่ผมมาอยู่เมืองไทยนานกว่าอยู่เมืองจีนเสียอีก ข้าวแต่ละคำ น้ำแต่ละอึก ล้วนเป็นของแผ่นดินไทย ในเวลานี้ผมถือว่าเลือดในกายของผมเป็นไทยเต็มร้อย ให้ผมทำอะไรเพื่อเมืองไทย ผมจะไม่ปฏิเสธ เพียงแต่…” อากุ่ยเหลือบมองหญิงสาวข้างกาย

“เพียงแต่อะไรพี่กุ่ย?” กล้วยไม้ถามแทรกขึ้น

“พี่เป็นห่วงความปลอดภัยของกล้วยไม้” อากุ่ยตอบ

“ผมก็เช่นกัน” ปองเอ่ย

“คุณชายและพี่กุ่ยดูถูกกล้วยไม้มากเกินไปแล้ว” กล้วยไม้เอ่ย “ผู้ชายทำงานเพื่อชาติเพื่อแผ่นดินได้ ทำไมผู้หญิงอย่างกล้วยไม้จะทำบ้างไม่ได้”

“หมายความว่า พี่กุ่ย กับกล้วยไม้ก็จะมาเป็นเสรีไทยเหมือนหรือ?” ปองถามน้ำเสียงจริงจัง

“ใช่” อากุ่ยกับกล้วยไม้ตอบพร้อมๆกัน



ปองนำแผนที่ทางการทหารกลับไปยังห้องลับใต้ดินในบริเวณคฤหาสน์ของท่านพระยาสุรเดช บิดาของคุณหนูพิกุล ณ ที่นั้น…ท่านเจ้าคุณ กับคุณหนูพิกุล และแสง ต่างอยู่กันพร้อมหน้า เมื่อเห็นแผนที่ทุกคนต่างยินดี

“ได้กลับมายังไง” ท่านเจ้าคุณถาม

“กล้วยไม้คืนให้ผมครับ” ปองตอบ

“กล้วยไม้…คือใคร?” ท่านเจ้าคุณจับสังเกตจากน้ำเสียงสนิทสนมของปอง

ปองยิ้มเล็กน้อย “กล้วยไม้เคยเป็นคนในบ้านของผม ต่อมาเธอแต่งงานไปและได้หย่าขาดจากสามีแล้ว ตอนนี้เธอเป็นอิสระ อาศัยอยู่ที่บ้านท่านขุนวิจิตร ซึ่งพาครอบครัวไปอยู่ต่างจังหวัดกันหมด เหลือกล้วยไม้กับพี่กุ่ยอยู่เฝ้าบ้าน ทั้งสองก็เลยทำข้าวแกงขาย”

“แสดงว่าปองรู้จักกับกล้วยไม้มาก่อน”

“ครับ” ปองรับคำ

“แล้วกล้วยไม้รู้หรือเปล่าว่าปองเป็นเสรีไทย?” ท่านเจ้าคุณถามด้วยความรอบคอบ

“รู้ครับ” ปองตอบ ก่อนจะต่อท้ายว่า “แต่กล้วยไม้เป็นคนที่ไว้วางใจได้”

แต่แสงไม่คิดอย่างนั้น “คุณไปอยู่ต่างประเทศซะนาน กลับมาพบคนเคยรู้จัก คุณจะรู้หรือว่าเขาเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยนไป”

“จริงด้วย” คุณหนูพิกุลพึมพำ อดรู้สึกหนักใจไม่ได้

“ผมกล้ารับรองครับว่า กล้วยไม้ไม่ได้เปลี่ยนไป แต่ผมก็ป้องกันที่มั่นของพวกเราไว้ ผมไม่ได้บอกเธอหรือพี่กุ่ยว่าพวกเราอยู่ที่ไหน แต่กล้วยไม้กับพี่กุ่ยยินดีช่วยงานเสรีไทย” ปองกล่าวชัดถ้อยชัดคำ

“อืม…” ท่านเจ้าคุณพยักหน้า “งั้นก็ดี”

พระยาสุรเดชซึ่งนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ หันมองลูกสาวที่นั่งข้างๆ ด้วยสีหน้ากึ่งสงสารกึ่งห่วงใย ก่อนจะหันมากล่าวกับปองและแสงที่นั่งอยู่ด้วย โดยมีไฟแรงเทียนต่ำห้อยอยู่ตรงกลางเพดานห้อง “ทางญี่ปุ่นขอเปลี่ยนตัวเจ้าบ่าว”

“ทำไมมันไม่ยกเลิกการแต่งงานนี้ไปซะเลย” แสงเอ่ยอย่างหงุดหงิด

“เพราะเขาสงสัยฉัน” ท่านเจ้าคุณเอ่ย “วิธีที่ดีที่สุดคือส่งคนมาจับตาดูฉัน และวิธีที่ส่งคนเข้ามาในบ้านฉันแนบเนียนที่สุดก็คือมาเป็นลูกเขยฉัน”

“ทำไมท่านไม่ถือโอกาสนี้ล้มงานแต่งเสียละ ในเมื่อฝ่ายเขาขอเปลี่ยนตัวเจ้าบ่าวแบบนี้ไม่ให้เกียรติกันนี่นา” แสงเอ่ย เขาหวังว่า…คุณหนูพิกุลจะไม่ต้องแต่งงานกับคนญี่ปุ่น เพราะเขาหลงรักคุณหนูพิกุลตั้งแต่เห็นหน้าครั้งแรก ที่เขามาหลบซ่อนตัวในห้องใต้ดินนี้ เพื่อปฏิบัติการต่อต้านญี่ปุ่น

ท่านเจ้าคุณถอนหายใจยาว “เจ้าบ่าวที่ฝ่ายญี่ปุ่นเปลี่ยนตัวมา เป็นการให้เกียรติฉันมากขึ้น”

“เพราะอะไรครับท่าน?” แสนถาม

“เพราะเขาคือผู้กองคุโบตะ บุตรชายโทนของท่านนายพลคุมะ…ระหว่างผู้กองทาเคชิที่เป็นหลานห่างๆ กับผู้กองคุโบตะที่เป็นลูกชายแท้ๆ ของท่านนายพลคุมะ ฉันจะพูดได้ยังไงว่าเขาไม่ให้เกียรติฉัน” ท่านเจ้าคุณว่า

“แล้วทางเขาให้เหตุผลอะไรในการเปลี่ยนตัวเจ้าบ่าว?” ปองถามขึ้น เพราะสงสัยว่ามีเลศนัยอะไรแอบแฝง

ท่านเจ้าคุณหันไปมองบุตรสาว ก่อนจะตอบว่า “นายพลคุมะบอกว่า บุตรชายเขารักลูกสาวฉัน”

“โกหก” แสงโพล่งขึ้น

“เธอว่าฉันโกหกรึ? ” ท่านเจ้าคุณถามแสงเสียงเย็น

“หามิได้ครับ” แสงรีบปฏิเสธ “ผมว่านายพลคุมะโกหก ลูกชายเขาจะมารักคุณหนูได้ยังไง เขามาเห็นเมื่อไหร่”

“เขาว่า ผู้กองคุโบตะเห็นพิกุลในงานวันเกิดของฉัน วันนั้นพิกุลเล่นซอสามสายให้แขกเหรื่อในงานฟัง” ท่านเจ้าคุณกล่าวตามที่นายพลคุมะเล่ามา

“แล้วพวกเราจะทำอย่างไรต่อไปครับ?” ปองถามขึ้น

“ทำตามแผนเดิม…ถึงแม้ฝ่ายเขาจะเปลี่ยนตัวเจ้าบ่าว ก็ไม่มีผลอะไรต่อการทำงานของเสรีไทย…จริงไหมลูก?”

ท้ายประโยค…พระยาสุรเดชหันไปถามคุณหนูพิกุลผู้เป็นลูกสาวคนเดียวของท่าน

“ค่ะ…เจ้าคุณพ่อ” คุณหนูพิกุลตอบรับหนักแน่น ก่อนจะชายตามองปอง

สีหน้าของปองเรียบเฉย ไม่แสดงอาการใดๆ…จนคุณหนูคนงามต้องลอบถอนหายใจ ทรวงอกสะท้อนแรง

“แล้วแม่กล้วยไม้ที่เธอรู้จักละปอง?” ท่านเจ้าคุณเปลี่ยนเรื่อง

พอพูดถึงกล้วยไม้ ปองก็มีสีหน้าอ่อนโยน “เธอเคยเป็นเด็กช่วยงานในบ้านผมครับ พอเธออายุสิบห้า ผมก็ไปเรียนหนังสือต่อที่มาเลเซีย ผมเรียนที่มาเลเซียอยู่สามปี พอกลับมาเมืองไทย ผมจึงรู้ว่าเธอถูกจับคลุมถุงชนให้แต่งงานไปอยู่ต่างจังหวัด ผมก็เลยไปเรียนต่อที่อเมริกา จนกระทั่งเกิดสงคราม แล้วผมลอบกลับมาเมืองไทย มาเป็นเสรีไทย

วันนั้น…ผมเอาแผนที่หนีพวกทหารญี่ปุ่น บังเอิญเข้าไปในบ้านของท่านขุนวิจิตร เจอเธอเข้า แต่เราจำกันไม่ได้ เพราะเราจากกันมานานหกเจ็ดปี ต่างฝ่ายต่างเติบโตขึ้น เธอสวยขึ้นมาก...”

สายตาของปองเคลิบเคลิ้ม…จนแสงสะกิด

“เล่าต่อสิ”

“เออะ…เอ่อ…ผมเห็นจวนตัว ไม่รู้จะถูกจับหรือเปล่า เลยเสี่ยงเอาแผนที่ยัดใส่มือเธอ เธอรู้ว่าผมกำลังหนีทหารญี่ปุ่นก็บอกว่า หลังบ้านมีคลอง ผมก็เลยวิ่งไปทางหลังบ้าน หนีออกมาทางคลอง…” แล้วปองก็เล่าเรื่องที่ตนได้พบกับกล้วยไม้เมื่อลอบเข้ามาค้นหาแผนที่ จนกระทั่งกล้วยไม้มาพบเข้า และจดจำกันได้ เพราะเขาจำแหวนหยกขาวของตนเองที่เธอคล้องคออยู่ แล้วเขาทำเชือกคล้องแหวนขาด และอากุ่ยกับกล้วยไม้รับปากจะช่วยเสรีไทย

“กล้วยไม้เอาแผนที่ไปซ่อนไว้หลังตู้กับข้าวในครัว” ปองสรุป

“เธอเป็นคนฉลาด” คุณหนูพิกุลชม

“ครับ…น่าเสียดายที่เธอไม่มีโอกาสเรียนหนังสือ” ปองเอ่ย

“แล้วเราไว้วางใจแม่กล้วยไม้กับพี่กุ่ยได้แค่ไหน?” แสงยังไม่วางใจสนิทนัก

“ผมกล้ารับรองว่ากล้วยไม้เป็นคนดี ผมรู้จักเธอมาตั้งแต่เด็กๆ” ปองเอ่ย

“คงไม่ใช่แค่รู้จักมั้ง” แสงแซว

ปองเพียงแค่ยิ้มนิดๆ “ส่วนพี่กุ่ย ผมดูเขาเป็นคนซื่อสัตย์ ไม่ใช่คนปลิ้นปล้อนอย่างแน่นอน” ปองเอ่ยรับรองอากุ่ยอีกคน

“แล้วคุณปองจะให้สองคนนี้ทำอะไรต่อคะ?” คุณหนูพิกุลถาม

“เท่าที่ฟังจากปากคำของพี่กุ่ยและกล้วยไม้ ผู้กองทาเคชิชอบมากินข้าวแกงที่ร้านของทั้งสองบ่อยๆ ซ้ำยังเกณฑ์ให้ทหารญี่ปุ่นมาอุดหนุนด้วย” ปองเกริ่น

“แบบนี้เจ้าทาเคชิจะต้องมาติดอกติดใจแม่กล้วยไม้เป็นแน่” แสงออกจากเห็น

“ผมก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน เพราะผู้กองทาเคชิเคยมาขอจัดเลี้ยงส่งเพื่อนที่บ้านของท่านขุนที่กล้วยไม้อาศัยอยู่ ไม่เพียงเท่านั้น เขายังเสนอให้กล้วยไม้ทำอาหารขายที่บ้าน แบบจัดเลี้ยงเป็นงานๆไม่ต้องไปขายข้าวแกงทุกเช้า เขาจะหาลูกค้าให้เอง” ปองกล่าว

“แบบนี้ก็เข้าทาง”

“เข้าทางยังไงรึแสง?” ปองถาม

“จัดเลี้ยงเป็นงานๆ พวกทหารปลายแถวก็จะไม่ได้เกี่ยวข้อง ส่วนใหญ่จะเป็นนายทหารจัดเลี้ยง แล้วในงานเลี้ยงก็ต้องมีเหล้า พอเหล้าเข้าปาก ความลับก็จะออกจากปาก” แสงเอ่ยเป็นฉากๆ

“ถูกต้อง” พระยาสุรเดชเอ่ยขึ้น “เรื่องนี้ฉันเห็นด้วย”

“เรื่องนี้ผมก็เคยพูดกับกล้วยไม้ แต่เธอเกรงใจเจ้าของบ้าน” ปองเอ่ย

“ในเวลาสงครามอย่างนี้ ต้องเห็นแก่ชาติบ้านเมืองเป็นสำคัญ ถ้าหลังสงครามแล้วท่านขุนเจ้าของบ้านจะคิดค่าเสียหาย ฉันจะจ่ายให้เอง” ท่านเจ้าคุณเอ่ยจริงจัง

“ยังมีอีกปัญหาครับ?” ปองเอ่ย

“ปัญหาอะไรหรือคะ?” คุณหนูพิกุลถาม

“กล้วยไม้ไม่มีลูกมือพอ”

“มีสิคะ” คุณหนูพิกุลตอบ

“ใครครับ?” ปองถาม

“ก็แม่ปองกับแม่แสงยังไงล่ะคะ”

ปองและแสงหันไปมองหน้ากันด้วยสีหน้าพิกลๆ



“คุณเป็นใครคะ?” กล้วยไม้มองคนตรงหน้าสองคนด้วยความแปลกใจ คนทั้งสองสวมผ้าถุงความยาวแค่ครึ่งน่อง สวมถุงเท้าสีขาว รองเท้าสีดำมันวับก็สวมเรียบร้อย แต่เป็นรองเท้าที่ใหญ่มาก เสื้อผ้าลูกไม้แขนกระบอก มีหมวกใบเก๋ครบครัน ถือว่าแต่งกายเรียบร้อยดี แต่…เป็นผู้หญิงที่ตัวสูงมากทีเดียวคนหนึ่ง แม้อีกคนจะสูงน้อยกว่า แต่ก็ยังถือว่าสูงอยู่ดี

“พี่ปองไงคะ น้องกล้วยไม้”

เสียงที่ได้ยินเป็นเสียงที่ฟังประหลาดๆ ดีที่เขารีบกระซิบเสียงเบาๆ

“ผมเอง อาลั้ง”

กล้วยไม้จำได้ว่าเป็นเสียงคุณชายป้อ จึงรีบเอ่ยเสียงปกติว่า

“เข้าบ้านก่อนเถอะค่ะ”

ปองกับแสงในชุดแต่งกายผู้หญิงจึงหิ้วกระเป๋าหวายเดินตามกล้วยไม้เข้าไปในประตูรั้วบ้าน

ทันทีที่ทั้งหมดเข้าประตูรั้วไป…ทหารญี่ปุ่นคนหนึ่งก็รีบขึ้นรถที่จอดรออยู่กลับไปยังค่าย และเข้ารายงานต่อผู้กองทาเคชิเป็นการด่วน

“มีผู้หญิงสองคนมาที่บ้านคุณกล้วยไม้ครับ”

“เป็นใครมาจากไหน?”

“ยังไม่ทราบว่าเป็นใคร แต่ทั้งสองมีกระเป๋าเดินทางมาด้วย แสดงว่ามาจากทางไกล ไม่ใช่คนแถวนี้

ก๊อกๆๆ…เสียงเคาะประตูดังขัดจังหวะ

“ใคร?”

“ผมเอง…คุโบตะ” คนนอกห้องตอบ

“เชิญ” ผู้กองทาเคชิเอ่ยเสียงดัง

ประตูก็ถูกผลักเปิดเข้ามาทันที แล้วผู้กองคุโบตะในชุดเต็มยศก็เดินเข้ามาอย่างสง่างาม

ผู้กองทาเคชิหันไปทางลูกน้องสั่งว่า “จับตาดูต่อไป”

“ไฮ้” ทหารชั้นผู้น้อยทำความเคารพต่อนายทหารทั้งสอง ก่อนออกจากห้องนั้นไป

(โปรดอ่านต่อฉบับหน้า)





คำรัก
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 มี.ค. 2556, 13:01:00 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 มี.ค. 2556, 13:16:00 น.

จำนวนการเข้าชม : 1352





<< ตอนที่ 44   ตอนที่ 46 >>
ree 27 มี.ค. 2556, 23:11:58 น.
น่ากลัวถูกจับได้เหมือนกันนะเนี่ย เล่นเอาแม่ค้าตัวโตอย่างกับผู้ชายมาช่วยงานอย่างเงี้ย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account