กล้วยไม้ในมือมาร
กล้วยไม้คือผู้หญิง...เธอคือผู้หญิงชาวจีนที่ถูกซื้อมาเป็นสาวรับใช้ตั้งแต่วัยเด็ก...นวนิยายเรื่องนี้ฉายภาพสยามประเทศใน พ.ศ. 2473
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 46


กล้วยไม้ในมือมาร
46...


ผู้กองคุโบตะเดินทางไปยังคฤหาสน์ของเจ้าคุณสุรเดชด้วยรถทหาร มีทหารพลขับไปด้วยเพียงคนเดียว
“ผมผู้กองคุโบตะขอพบคุณหนูพิกุลเป็นการส่วนตัว” ผู้กองคุโบตะเอ่ยกับตำรวจไทยที่ดูแลคฤหาสน์ของท่านเจ้าคุณ
“ท่านเจ้าคุณไม่อยู่ เพิ่งออกไปประชุมเมื่อครู่นี้เองครับ” ตำรวจไทยตอบอย่างสุภาพ
“ผมไม่ได้มาขอพบท่านเจ้าคุณ แต่มาขอพบคุณหนูพิกุล” คุโบตะยืนยันเสียงหนักแน่น
“ถ้าเช่นนั้น โปรดรอสักครู่ ผมจะเข้าไปรายงานคุณหนูพิกุลให้” เอ่ยแล้วตำรวจก็ยังคงปิดประตูรั้วเหมือนเดิม คนหนึ่งยืนยามเฝ้าเอาไว้ อีกคนวิ่งเหยาะๆ ตรงเข้าไปที่ตัวคฤหาสน์ สักพักใหญ่เขาก็วิ่งเหยาะๆ ออกมา พร้อมกับบอกให้เพื่อน “เปิดประตูได้”
รถของนายทหารญี่ปุ่นแล่นไปตามถนนในรั้วบ้านมาจอดที่เชิงบันไดหินอ่อน ที่คุณหนูพิกุลยืนรออยู่
พอผู้กองคุโบตะลงจากรถ แล้วแสดงความเคารพฝ่ายสุภาพสตรีแบบทหาร คุณหนูพิกุลก็ยกมือไหว้แช่มช้อย “ไม่ทราบว่าผู้กองจะมา ไม่ได้เตรียมตัวต้อนรับ ต้องขออภัยด้วยนะคะ”
“ผมสิครับที่เป็นฝ่ายต้องขออภัยคุณหนู ที่อยู่ๆ ก็มาโดยพลการ”
“เอาเป็นว่า...” คุณหนูพิกุลเอ่ยเสียงนุ่มๆ “เราทั้งสองคนอย่ามัวแต่ขออภัยกันอยู่เลย ผู้กองมาที่นี่ต้องมีธุระแน่นอน เชิญเข้ามานั่งที่ห้องรับแขกก่อนค่ะ”
“ดีครับ” ผู้กองคุโบตะคล้อยตาม ก่อนหันไปสั่งพลขับรถเป็นภาษาญี่ปุ่นให้รออยู่ด้านนอกนั้น
คุณหนูพิกุลนำผู้กองคุโบตะมายังห้องรับแขกที่หรูหรางดงาม พลางเอ่ย “เชิญนั่งก่อนค่ะ”
“เชิญคุณหนูนั่งก่อนครับ”
ทั้งสองแทบจะพูดออกมาพร้อมเพรียงกัน ทั้งสองจึงมองสบตากัน แล้วคุณหนูพิกุลก็ต้องรีบเบือนสายตาไปทางอื่นเพราะความประหม่า
“เชิญคุณหนูนั่งลงก่อนครับ สุภาพบุรุษควรให้เกียรติต่อสุภาพสตรีก่อนเสมอ” ผู้กองคุโบตะเอ่ยพลางค้อมศีรษะเล็กน้อยด้วยกิริยาสุภาพ
คุณหนูพิกุลจึงนั่งลงก่อน นายทหารญี่ปุ่นหนุ่มจึงนั่งลงตาม เขานั่งเก้าอี้ตัวตรงกันข้ามกับหญิงสาวเจ้าของบ้าน พอทั้งสองนั่งลงเรียบร้อย คุณหนูพิกุลก็เอ่ยเสียงเบาๆ ว่า
“ไม่ทราบผู้กองมาที่นี่มีธุระอะไรกับอิฉัน”
“ผมอยากมาถามความเห็นของคุณหนู” ผู้กองหนุ่มกล่าวสีหน้าทั้งสุภาพและจริงจัง
“ความเห็นของอิฉัน...เรื่องอะไรหรือคะ?” คุณหนูพิกุลถามกลับ เพราะไม่เข้าใจจุดประสงค์ของอีกฝ่าย
“เรื่องการเปลี่ยนตัวเจ้าบ่าว”
คำตอบที่ได้ทำให้คุณหนูคนสวยอึ้งไปครู่ ก่อนจะตอบเสียงเบาๆ ว่า “อิฉันเป็นผู้หญิงไทย เรื่องการออกเรือนจะต้องให้บิดามารดาตัดสิน เมื่อเจ้าคุณพ่อท่านไม่คัดค้าน อิฉันก็ไม่คัดค้านค่ะ”
“แล้วความรู้สึกส่วนตัวของคุณหนูล่ะครับ?” สายตาของเขามุ่งหวังจะได้ยินคำตอบอย่างยิ่ง แต่ก็ต้องผิดหวัง เมื่อหญิงสาวตอบว่า
“อิฉันขออนุญาตไม่ตอบนะคะ”
เขานิ่งอยู่อึดใจหนึ่ง ก่อนจะรับคำว่า “ครับ...มันเป็นสิทธิ์ของคุณหนู แต่ผมอยากจะบอกคุณหนูพิกุลถึงความรู้สึกของผมว่า...ผมดีใจเป็นที่สุด!”

ผู้กองทาเคชิมองสองคนที่เข้ามานั่งพับเพียบอยู่ข้างหลังกล้วยไม้อย่างพินิจพิเคราะห์ ทั้งสองผัดหน้าทาแป้งทาปากเพื่อให้ดูสวย แต่ดูยังไงเขาก็ว่าดูมันแปลกๆ มากกว่าสวย แต่แปลกตรงไหนนายทหารหนุ่มแห่งกองทัพญี่ปุ่นบอกไม่ถูก
“สองคนนี้ชื่อแม่ปองและแม่แสงค่ะ เป็นเพื่อนบ้านเก่าที่บ้านนอกของอิฉันเอง” กล้วยไม้เอ่ยกับผู้กองทาเคชิ ทั้งหมดนั่งรับลมอยู่ที่ชานเรือนใหญ่ “อิฉันให้คนไปตามมา เพื่อจะได้มาช่วยอิฉันเปิดร้านอาหารที่บ้าน”
แล้วกล้วยไม้ก็หันไปบอกทั้งสองว่า “สวัสดีผู้กองสิแม่ปอง แม่แสง”
“สวัสดีค่า” ปองกับแสงยกมือไหว้อย่างที่คิดว่าอ่อนช้อยที่สุดในชีวิต พร้อมกับเสียงที่ดัดให้แหลมเล็กให้เหมือนกับเสียงผู้หญิงมากที่สุด
กล้วยไม้เห็นผู้กองทาเคชิมองปองกับแสงด้วยสีหน้าสงสัย ก็รีบเอ่ยแทรกขึ้นเพื่อเรียกความสนใจว่า “อิฉันตัดสินใจจะเปิดบ้านเป็นที่จัดเลี้ยงสำหรับนายทหารญี่ปุ่นตามที่คุณแนะนำแล้วค่ะ”
ผู้กองทาเคชิเบนสายตากลับมายังดวงหน้างดงามของกล้วยไม้ ตอบว่า “ดีครับ...เรื่องลูกค้าไม่ต้องเป็นห่วง ผมจะช่วยหาให้เอง ว่าแต่ที่นี่จะต้องจัดการพรางไฟให้ดี เพราะช่วงนี้พวกข้าศึกมาทิ้งระเบิดบ่อยขึ้นเรื่อยๆ”
“ค่ะ” กล้วยไม้รับคำ
“แล้วเรื่องจัดสถานที่ล่ะ?” ผู้กองหนุ่มถามหญิงสาว
“พี่กุ่ยมีฝีมือทางช่างไม้ ก็กะกันว่าจะต่อโต๊ะเตี้ยแบบญี่ปุ่นสักสี่ตัว อิฉันกับแม่ปองแม่แสงจะทำเบาะนั่ง คงต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะเปิดใช้งานได้น่ะค่ะ” กล้วยไม้เอ่ยเสียงอ่อนโยน
“ผมจะส่งทหารที่เป็นช่างไม้มาช่วย จะได้เสร็จเร็วขึ้น ส่วนงานของผู้หญิง ผมจะให้ทหารหญิงมาช่วย เรื่องพรางไฟเหมือนกัน ให้ทหารญี่ปุ่นมาช่วย ข้าวของก็มีพร้อม ทำสองสามวันก็เสร็จ” ผู้กองทาเคชิเอ่ย
“จะดีหรือคะ?” กล้วยไม้เอ่ย
“ทำไมหรือ?” เขาย้อนถามกลับ
“อิฉันเกรงใจน่ะค่ะ” หญิงสาวเอ่ยเสียงนุ่มนวล แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ
“ทำอย่างที่ผมว่าน่ะดีแล้ว” ผู้กองทาเคชิเอ่ยยิ้มๆ “ไม่ต้องเกรงใจผม ผมยินดีช่วยคุณเสมอ” พร้อมกับคำพูด ผู้กองหนุ่มก็เอื้อมมือมาจับมือของกล้วยไม้
กล้วยไม้ดึงมือกลับอย่างสุภาพ “ขอบคุณมากค่ะ”

แล้วก็เป็นอย่างที่ผู้กองทาเคชิกะการณ์ เพียงสามวัน...บ้านของท่านขุนวิจิตรก็กลายเป็นห้องอาหารบรรยากาศญี่ปุ่น พร้อมที่จะจัดงานเลี้ยง ต้อนรับลูกค้าคนสำคัญ
ปองและแสงติดตั้งเครื่องดักฟังไว้ใต้โต๊ะที่อยู่ในมุมที่ดีที่สุด ซึ่งถ้านายทหารที่มียศสูงมาน่าจะเลือกมุมนี้
แล้ววันเปิดร้านวันแรก...ผู้กองทาเคชิก็พาผู้กองคุโบตะมาเลี้ยงฉลองที่กำลังจะเข้าพิธีแต่งงานกับคุณหนูพิกุลในวันมะรืนนี้ วันนี้จึงเป็นวันฉลองสละโสด
และผู้กองทาเคชิมีความตั้งใจจะให้ผู้กองคุโบตะได้เห็นกล้วยไม้ด้วย...เมื่อแสงนำอาหารไปขึ้นโต๊ะ ผู้กองทาเคชิก็ถามว่า “คุณกล้วยไม้ล่ะ?”
“แม่กล้วยไม้อยู่ในครัวค่ะ” แสงตอบดัดเสียงจนแหลมเล็ก
“เชิญมาพบฉันหน่อย”
“ค่ะ” แสงรับคำแล้วถอยออกมา มาที่ห้องดักฟังก่อน ถามปองที่สวมหูฟังว่า “พวกมันว่ายังไงบ้างปอง บางคำมันพูดญี่ปุ่น ฉันฟังไม่รู้เรื่อง”
“ไอ้ทาเคชิมันอวดเพื่อนมันว่า กล้วยไม้เป็นคนรักของมัน สวยไม่มีที่ติ ผิวงี้ละเอียดเนียนราวผิวเด็ก” ปองพูดไปขบเขี้ยวเคี้ยวฟันไป
แสงมองอาการของเพื่อนแล้วพอจะเดาออก “นายชอบกล้วยไม้หรือ?”
“ไม่ใช่ชอบ แต่ฉันรักกล้วยไม้ เราสองคนคบหาดูใจกันมาตั้งแต่เด็ก” ปองเอ่ย อารมณ์ยังกรุ่นๆ
“เอาเถอะ เรื่องนั้นเอาไว้ค่อยว่ากันทีหลัง เรื่องชาติบ้านเมืองสำคัญกว่า จำไว้นะปอง” แล้วแสงก็ไปตามกล้วยไม้ไปพบผู้กองทาเคชิ
หญิงสาวกำลังผัดอาหารอยู่หน้ากระทะ พอแสงมาตาม ก็ต้องสลับให้แสงทำต่อ แล้วใช้ผ้าซับเหงื่อที่ไรผม เติมแป้งเล็กน้อยก่อนจะออกไปพบกับผู้กองทาเคชิ
ผู้กองทาเคชิกำลังหงุดหงิดที่กล้วยไม้มาช้า พอเห็นหน้าก็ถามว่า “ทำไมช้านัก?”
“อิฉันอยู่หน้าเตา หน้ามันเยิ้ม ออกมาพบแขกคนสำคัญทั้งๆ อย่างนั้นคงไม่เหมาะ อิฉันจึงเช็ดหน้าแล้วเติมแป้งหน่อยค่ะ ขออภัยนะคะที่ให้รอนาน”
คำตอบของกล้วยไม้ทำให้ผู้กองทาเคชิหายโกรธ เขาจึงผายมือไปยังผู้กองคุโบตะ “ที่ฉันขอให้กล้วยไม้มาพบ เพราะอยากแนะนำให้รู้จักญาติของฉัน นี่คือผู้กองคุโบตะ บุตรชายคนเดียวของท่านนายพลคุมะ น้าชายของฉัน”
“สวัสดีค่ะ” กล้วยไม้ยกมือไหว้ผู้กองคุโบตะอย่างอ่อนช้อย
ผู้กองคุโบตะค้อมศีรษะรับ ก่อนจะเอ่ยจริงใจว่า “คุณกล้วยไม้สวยสมคำร่ำลือจริงๆ...ขอโทษที่ผมพูดอะไรตรงๆ”
“ชมเกินไป...ทำให้อิฉันเกรงใจและก็กระดากใจด้วยค่ะ” กล้วยไม้ตอบเสียงนุ่มนวล
“จะกระดากใจไปทำไม พวกเรากันเองทั้งนั้น” ผู้กองทาเคชิเอ่ยยิ้มแย้มแจ่มใส
ยังไม่ทันขาดคำ...เสียงหวอเตือนภัยก็ดังโหยหวน ทุกคนรีบดับไฟ แล้วไปอยู่ในหลุมหลบภัยที่หลังบ้าน แต่ผู้กองคุโบตะกลับวิ่งไปหน้าบ้าน
“คุโบตะ...คุณจะไปไหน?”
“ไปดูคุณหนูพิกุล” คุโบตะตอบ
“มันอันตราย” ผู้กองทาเคชิเอ่ยเสียงดัง แต่ผู้กองคุโบตะไม่สนใจ ยังคงวิ่งตะบึงจากไป
เมื่อทุกคนอยู่ในหลุมหลบภัยกันหมด เสียงระเบิดก็ลงเป็นระลอกๆ ฝุ่นจากเพดานโปรยปรายลงมาเพราะความสะเทือนไหวของแผ่นดิน ผู้กองทาเคชินั่งชิดติดกับกล้วยไม้ เขาโอบไหล่บอบบาง เอ่ยกระซิบว่า “ไม่ต้องกลัวนะ ผมอยู่ใกล้ๆ คุณ”
กล้วยไม้ไม่ตอบ และไม่กล้าขยับตัว เพราะอีกด้านหนึ่งของเธออยู่ชิดติดกับปอง เขาจับมือเธอเอาไว้อย่างปลอบใจเช่นกัน

คุณหนูพิกุลมองเงาตัวเองในกระจก หล่อนงดงามแสนหวานในชุดไทยสีชมพูอ่อน...วันนี้แล้วสินะวันแต่งงาน...พอคิดถึงคำนี้ น้ำตาก็ไหล
ป้าแม้นซึ่งช่วยคุณหนูพิกุลแต่งตัว หันมาเห็นเข้า ก็รีบเข้ามายกผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาให้ “อย่าร้องไห้สิคะ คนดีของป้าแม้น วันนี้เป็นวันแต่งงานของคุณหนูนะคะ คุณหนูใส่ชุดนี้แล้วสวยที่สุด อย่าร้องไห้นะคะ เดี๋ยวตาสวยๆ จะช้ำเสียหมด”
“ป้า...” คุณหนูพิกุลเรียกคนที่เลี้ยงดูตนมาแต่เล็กแต่น้อย เพราะคุณหญิงผกาแม่แท้ๆ ของคุณหนูพิกุลเสียชีวิตตั้งแต่คุณหนูอายุเพียงหกขวบเท่านั้น นับจากนั้นป้าแม้นก็ดูแลคุณหนูเรื่อยมาจนเติบโตเป็นสาวสวย ซึ่งป้าแม้นภาคภูมิใจยิ่งนัก เพราะคุณหนูไม่เพียงแต่สวยเท่านั้น ยังเก่งอีกต่างหาก เก่งทั้งงานบ้านงานเรือน เก่งทั้งหนังสือหนังหา ภาษาอะไรแปลกๆ ที่ป้าแม้นไม่รู้ คุณหนูรู้หมด “ฉันไม่ได้รักผู้กองคุโบตะ แต่ฉันจำใจต้องแต่งงานกับเขาเพื่อประเทศชาติ”
คำพูดนั้น...ผู้กองคุโบตะที่เดินมาถึงหน้าห้องพอดี ได้ยินเข้าอย่างถนัดชัดเจน สีหน้าที่รื่นรมย์เปลี่ยนเป็นหม่นหมอง เดินกลับเส้นทางเดิมเงียบๆ เพราะพื้นปูด้วยพรมหนานุ่ม คุณหนูพิกุลกับป้าแม้นจึงไม่ได้ยินเสียงฝีเท้า
พองานพิธีผ่านพ้น ถึงงานฉลอง ผู้กองคุโบตะก็ดื่มจัด ไม่ปฏิเสธจอกน้ำเมาที่ใครต่อใครคะยั้นคะยอให้ เสียงหยอกล้อเจ้าบ่าวว่ากำลังมีความสุขจึงดังระงม
แต่ผู้กองทาเคชิดูออก จึงดึงแขนญาติหนุ่ม ถามว่า “กลุ้มใจเรื่องอะไรหรือ?”
“ใครว่าผมกลุ้มใจ ผมกำลังมีความสุขต่างหาก” ผู้กองคุโบตะหัวเราะเค้นๆ
“หลอกคนอื่นน่ะได้ แต่หลอกผมไม่ได้หรอก”
“ช่างเถอะ...ว่าแต่ทำไมไม่เห็นคุณกล้วยไม้ล่ะ?” ผู้กองคุโบตะเปลี่ยนเรื่อง
“เธอไม่ได้มา”
“ทำไม...ผมก็เชิญเธอแล้วนี่นา”
“เธอว่าเธอเป็นเพียงแม่ค้าขายอาหาร ไม่บังควรเข้ามาในงานสูงเกียรติแบบนี้”
“เธอคิดมากเกินไป” คุโบตะเอ่ย พลางดื่มอีกจอก
“แต่สักวัน ผมจะทำให้เธอเป็นผู้สูงเกียรติเช่นกันกับผม” ทาเคชิเอ่ยอย่างหมายมั่นปั้นมือ
“ขอให้คุณสมหวัง” คนเป็นเจ้าบ่าวอวยพร แล้วดื่มต่อ
ผู้กองทาเคชิก็ยิ้มรับ พลางยกจอกเหล้าสาเกของตนขึ้นดื่มเช่นกัน

ปองกับแสงแฝงตัวในบ้านของท่านขุนวิจิตร คอยฟังข่าวจากการสนทนาของนายทหารญี่ปุ่นที่มาดื่มกินกัน ปองฟังภาษาญี่ปุ่นได้ แต่เขามักจะแอบฟังอยู่ที่ห้องข้างๆ ผ่านทางเครื่องดักฟัง โดยให้พี่กุ่ยกับแสงออกไปเสิร์ฟอาหารและผลัดเปลี่ยนกันทำอาหาร อาหารที่ทำส่วนใหญ่จะเป็นกับแกล้มที่รับประทานกับเหล้าสาเกที่ทหารญี่ปุ่นนำมาเอง จึงเป็นพวกปลาเผา กุ้งอบเกลือ ปลาหมึกย่าง หมูทอด ไก่ทอด ส่วนกล้วยไม้ก็มีหน้าที่ต้อนรับแขก ผู้กองทาเคชิวางใจกล้วยไม้มาก เพราะเขาเคยถามกล้วยไม้ว่า “กล้วยไม้รู้หนังสือไหม?”
“ไม่ค่ะ” กล้วยไม้ส่ายหน้า
“ทำไมถึงไม่รู้หนังสือ?” เขาถามลึกลงกว่าเก่า
“เพราะครอบครัวอิฉันยากจน อิฉันต้องทำงานตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ไม่มีเวลาเรียนหนังสือหรอกค่ะ”
“นิดหนึ่งก็ไม่” เขามองสบตาเธอ
“ไม่ว่านิดหรือว่าหน่อย อิฉันก็ไม่รู้จักค่ะ ผู้กองก็เห็นแล้วนี่คะว่า ไม่ว่าจะจดรายการอาหารอะไร อิฉันต้องให้พี่กุ่ยช่วยจดให้”
“จริงสินะ ผมไม่น่าลืม” แล้วเขาก็ยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มอย่างสบายใจ
และเพราะวางใจกล้วยไม้ เขาจึงบอกเล่าถึงความลับทางราชการให้หญิงสาวฟังบ้างในบางครั้ง
กล้วยไม้เพียงแค่ยิ้มและรับฟังด้วยกิริยานิ่งๆ ไม่แสดงความสนใจจนออกนอกหน้า เพียงรับฟังแล้วก็ยิ้มพลางออกตัวว่า “เรื่องของทางการ อิฉันไม่ค่อยรู้เรื่องหรอกค่ะ”
แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็ถ่ายทอดมาสู่คุณชายป้อ จากคุณชายป้อก็ส่งต่อถึงท่านพระยาสุรเดช แล้วสู่ขบวนการเสรีไทย
คุณหนูพิกุลก็ทำตัวเป็นจารชนเช่นกัน หล่อนสามารถอ่านภาษาญี่ปุ่น แต่ทำเป็นไม่รู้ภาษาญี่ปุ่น เวลาผู้กองคุโบตะสนทนากับนายทหารที่มาหา หล่อนก็ทำเป็นเอาน้ำมาเสิร์ฟ และคอยฟัง แทนที่ผู้กองคุโบตะจะมาคอยจับตาดูท่านพระยาสุรเดชพ่อตา ก็กลายเป็นเขาถูกภรรยาคอยล้วงความลับไปให้ขบวนการเสรีไทย ด้วยการแสร้งทำเป็นจัดเอกสารโต๊ะทำงานให้
“คุณทำอะไรหรือ?” ผู้กองคุโบตะกลับห้องนอน เพราะลืมจดหมายสำคัญ และมาเห็นคุณหนูพิกุลง่วนอยู่ที่โต๊ะทำงานของเขา
“อะ...เอ่อ...อิฉันจัดโต๊ะทำงานให้คุณค่ะ” คุณหนูพิกุลแก้ตัว
“คุณอ่านออกหรือว่าอะไรเป็นอะไร” เขาถาม นึกสงสัยในใจ
“แค่จัดโต๊ะให้เรียบร้อย ไม่ต้องอ่านออกก็ได้นี่คะ” คุณหนูพิกุลแย้มยิ้มตีหน้าใสซื่อ
เห็นรอยยิ้มนั้น...ผู้กองคุโบตะรู้สึกชุ่มชื่นหัวใจ เอ่ยว่า “รอยยิ้มของคุณงามเหมือนดอกซากุระบานรับฤดูใบไม้ผลิ...ขออนุญาตให้ผมเรียกคุณว่า “ซากุระ” ได้หรือเปล่าครับ”
คำพูดที่อ่อนโยน สายตาที่อาทรของสามีทำให้คุณหนูพิกุลเจ็บปวดใจราวกับมีเข็มทิ่มแทง หล่อนพยายามกลั้นน้ำตา พยักหน้า “ตามใจคุณสิคะ”


(โปรดอ่านต่อฉบับหน้า)



คำรัก
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 เม.ย. 2556, 15:52:07 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 เม.ย. 2556, 15:52:07 น.

จำนวนการเข้าชม : 1540





<< ตอนที่ 45   ตอนที่ 47 >>
ree 1 เม.ย. 2556, 19:51:42 น.
สงสัยคุณหนูพิกุลจะตกหลุมรักสามีตัวเองซะแล้ว


wind 1 เม.ย. 2556, 19:59:10 น.
สงสารทหารญี่ปุ่น เจอรอบด้านเลย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account