มธุรัตน์เสน่หา โดย ภคพร (วางแผงแล้ว)
เมื่อนักเขียนสาวจิตป่วนโคจรมาพบกับหนุ่มเจ้าของไร่เจ้าระเบียบ ความหื่นฮารั่วจึงบังเกิดขึ้น:"รสจูบมันเป็นยังไง" เจ้าหล่อนไม่ถามเปล่าแต่กระชากคอเขามาจูบด้วย แถมยังจดโน้ตหน้าตาเฉยว่า'รสจูบ = กาแฟ' โอ้ยยย! อยากบ้า!
Tags: หนุ่มชาวไร่ สาวนักเขียน โรแมนติก คอเมดี้ นางเอกแปลก ฮา รั่ว อ่านสบายคลายเครียด

ตอน: บทนำ + บทที่ 1 ความปรารถนาดีของเพื่อน

มธุรัตน์เสน่หา

บทนำ

ท่ามกลางความเงียบงันของยามราตรี ในขณะที่ผู้คนในไร่นายพฤกษ์กำลังหลับใหล เจ้าของสถานที่อย่างพลวัตกลับไม่อาจข่มตาหลับได้

ชายหนุ่มทอดสายตามองร่างบอบบางที่หลับตาพริ้มอยู่ข้างๆ อย่างเหม่อลอย

จันทร์กระจ่างสาดแสงลงมาบนร่างหญิงสาว ขับให้ผิวเนื้อเนียนเปล่งประกายงดงามราวกับงานประติมากรรมชั้นเลิศ

ถ้าเขามีอารมณ์ศิลป์อีกหน่อย คงจะหากล้องมาบันทึกภาพของเธอเอาไว้ แล้วตั้งชื่อผลงานชิ้นนี้ให้เกี่ยวกับเทพธิดาไม่ก็แสงจันทร์ แต่พลวัตเป็นชาวไร่ ย่อมไม่มีอารมณ์ศิลปินเช่นนั้น ที่สำคัญเขาหวงแหนเธอเกินกว่าจะใจกว้างยอมแบ่งปันให้คนอื่นชื่นชม แม้มันจะเป็นเพียงภาพถ่ายก็ตาม

พลวัตพยายามจดจำทุกรายละเอียดของหญิงสาว เพื่อให้ภาพนี้ฝังลึกอยู่ในความทรงจำ ที่มีเพียงเขาเท่านั้นที่ได้เป็นเจ้าของ

เมื่อได้มองจนเป็นที่พอใจแล้ว พลวัตก็ตะแคงตัวลงนอนแล้วกอดหญิงสาวเอาไว้ ชายหนุ่มกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น เมื่อระลึกได้ว่าอีกไม่นานเธอจะต้องจากไป

‘หากเขาขอให้เธออยู่ต่อ เธอจะยอมอยู่ไหม’

คิดได้เพียงเท่านี้ ชายหนุ่มก็ต้องยิ้มหยันให้กับความคิดของตัวเอง

เขาคือคนที่สร้างข้อตกลงเองว่าจะอยู่ด้วยกันอย่างไม่มีข้อผูกมัด แล้วตอนนี้ก็เป็นคนเสียเองที่อยากจะละเมิดข้อตกลง

ชายหนุ่มถอนหายใจออกมายาวเหยียด เมื่อนึกถึงนิสัยของอีกฝ่าย เธอเปรียบเสมือนสายลมที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ พัดมาแล้วก็ลอยหายไปตามแต่ใจตน ทว่าหัวใจของสายลมอันนี้กลับหนักแน่นดั่งหินผา หากเธอพูดว่า ‘ไม่’ แล้ว ไม่ว่าอะไรก็เหนี่ยวรั้งเธอเอาไว้ไม่ได้

พลวัตรู้ดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขาจะต้องจบลงด้วยการลาจาก กระนั้นก็ยังเผลอใจไปรักเธอเข้าจนได้ ตอนนี้เขาไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้ว นอกจากภาวนาวิงวอนขอต่อสิ่งที่ชักนำเธอมา

‘ได้โปรดอย่าพรากเธอไปจากเขาเลย’


บทที่ 1 ความปรารถนาดีของเพื่อน

“วันนี้จะทำแกงจืดเต้าหู้ กับผักพริกแกงนะ น้ำผึ้งอยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า” พิมลตราร้องถามเพื่อร่วมห้อง ขณะที่เอื้อมมือไปเปิดตู้เย็นสำรวจดูว่ามีของสดอะไรหลงเหลืออยู่ในตู้บ้าง

ไม่มีเสียงตอบรับจากมธุรัตน์ซึ่งกำลังพิมพ์งานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ แต่เสียงรัวแป้นที่เคยดังอย่างต่อเนื่องก็หยุดชะงักลง เหมือนอีกผ่ายกำลังคิดอยู่ อึดใจเสียงปลายนิ้วสัมผัสกับแป้นก็กลับมาดังอีกครั้ง อาการแบบนี้สื่อความหมายให้รู้กันโดยนัยว่า

’ไม่อยากกินอะไรเป็นพิเศษ อยากกินอะไรก็ทำได้ตามสบายเลย’

“งั้นทำพะโล้นะ เก็บไว้กินได้หลายมื้อดี”

สักพักก็มีเสียงจากตุ๊กตาดังมาว่า ‘I love you.’ แทนคำขอบคุณเรื่องอาหาร

เวลาทำงานมธุรัตน์มักจะไม่ค่อยพูดกับใคร เธอบอกว่าถ้าพูดแล้วจะลืมสิ่งที่คิดอยู่ในหัว ก็เลยต้องสื่อสารกันด้วยภาษาท่าทาง ไม่ก็อาศัยอุปกรณ์ช่วยแบบนี้เสมอ ซึ่งพิมลตราก็ไม่เคยถือสา เพราะเข้าใจภาษากายและอุปนิสัยใจคอของกันเป็นอย่างดี

ทั้งสองรู้จักกันมาตั้งแต่อยู่ชั้นประถม ทั้งยังเรียนห้องเดียวกันตลอดจนจบมัธยมปลาย เมื่อถึงคราวต้องเรียนมหาวิทยาลัย ยังจับพลัดจับผลูมาเรียนคณะบริหารที่เดียวกันอีกอย่างไม่ตั้งใจ

มธุรัตน์เลือกเรียนจิตวิทยาแต่กลับฝนเลือกคณะผิดช่อง เลยได้เรียนคณะเดียวกันกับพิมลตรา

เมื่อได้โควตาแล้วหญิงสาวก็ไม่คิดจะสอบใหม่ เธอบอกเรียนบริหารก็ดีเหมือนกัน เผื่อว่าต่อไปอยากจะทำธุรกิจจะได้มีพื้นฐาน แต่พอเรียนใกล้จบ หญิงสาวกลับเบนเข็มมาเป็นนักเขียน และยึดอาชีพนี้มาโดยตลอดตั้งแต่เรียนจบ

แรกทีเดียวมธุรัตน์อาศัยอยู่เพียงลำพัง และทุ่มเทกับงานจนไม่ใส่ใจสุขภาพของตัวเอง จากที่เคยหนัก 84 ก็ลดลงมาเหลือ 48 ในช่วงเวลาไม่นาน

นอกจากจะเป็นพวกหมกมุ่นจนไม่คำนึงถึงเรื่องรอบตัวแล้ว มธุรัตน์ยังมีนิสัยอยากรู้อยากลองอะไรแปลกๆ จนน่ากลุ้ม ทุกคนที่รู้จักมักจะพูดว่ามธุรัตน์เพี้ยนหลุดโลก ซึ่งพิมลตราเองก็เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง

คนจำพวกมธุรัตน์จำเป็นจะต้องมีคนคอยดูแล พิมลตราจึงตัดสินใจย้ายจากที่ของบริษัทมาอยู่ด้วย และรับหน้าที่แม่บ้านกึ่งผู้ปกครองมาตั้งแต่บัดนั้น

เนื่องจากวางตัวเป็นผู้ปกครอง เธอเลยค่อนข้างจะเจ้ากี้เจ้าการกับชีวิตของมธุรัตน์ แต่เจ้าตัวก็ไม่เคยโกรธ หรือรำคาญเลย บอกให้ทำอะไรก็ทำ ให้ไปที่ไหนก็ไป ก็ไม่เคยขัดสักคำเดียว สองสาวจึงอยู่กันได้อย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย ไม่เคยทะเลาะกันเลยสักครั้ง

ความสัมพันธ์ของทั้งสองเหนียวแน่นจนทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่าเป็นคู่รัก แม้ว่าพิมลตราจะมีแฟนเป็นผู้ชาย แต่ก็ไม่เคยคบใครได้นาน บรรดาแฟนเก่ามักจะน้อยใจว่าเธอใส่ใจมธุรัตน์มากกว่า บ้างคนก็หาว่าเธอคบเขาบังหน้าเพราะเป็นเลสเบี้ยน พิมลตราก็เลยตัดสินใจเป็นโสด แต่แล้วโชคชะตาก็เล่นตลกเข้าจนได้ เมื่อคนที่อยากโสดกลับหมั้นในเวลาไม่กี่เดือนต่อมา กับคนใกล้ตัวอย่างบรรณาธิการของมธุรัตน์

หนุ่มตี๋ใส่แว่นคนนี้ ยอมรับความแปลกประหลาดของมธุรัตน์ได้ และยอมเปิดรับมธุรัตน์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเธอ

ตอนที่ยังไม่รู้จักกัน อรรณพเคยคิดว่าคนชื่อพิมที่มธุรัตน์เอ่ยถึงเสมอ คงเป็นคุณน้าหรือไม่ก็หญิงสูงวัย เนื่องจากเห็นว่าทำอาหารกับทำงานบ้านให้ทุกอย่าง

ทว่าเมื่อได้พบตัวจริงเขาก็ต้องตะลึง พิมลตราเป็นหญิงสาววัยไม่ต่างจากมธุรัตน์นัก ครั้งแรกที่เขาเห็นเธอ เธอไว้ผมหน้าม้าแล้วตัดทรงบ็อบเทตามความนิยมตอนนั้น ดวงตาเธอกลมบ้องแบ๊วแต่กรีดตาแต่งหน้าจนดูสวยคม ส่วนชุดก็เป็นเดรสสั้นใส่กับถุงน่องตาข่าย มองแล้วขัดกับคำบอกเล่าที่ได้ยินมาอย่างสิ้นเชิง พอได้เรียนรู้นิสัยใจคออรรณพก็ยิ่งประทับใจมากขึ้น ก็เลยตามจีบและขอแต่งงานในที่สุด

พิมลตราคิดว่ามันเร็วไป เลยแกล้งพูดว่าถ้าแต่งงานกันเธอจะชวนมธุรัตน์มาอยู่ด้วย เพราะทิ้งขว้างเพื่อนไม่ลง

อรรณพตอบตกลงในทันที เขาตั้งใจเอาไว้แต่แรกแล้วว่าจะซื้อบ้านหลังใหญ่หน่อย เผื่อมธุรัตน์อยากจะมาอยู่ด้วย

‘พี่เอี้ยอยากแต่งงานกับพิมขนาดนั้นเชียว’

พิมลตราเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อหูกับความใจกว้างของเขา

‘พี่รักพิมนี่ครับ อยากแต่งงานด้วยไม่เห็นจะเป็นเรื่องแปลก อีกอย่างพี่ก็ทำใจตั้งแต่วันแรกที่จีบพิมแล้วว่าพิมน่ะไม่ใช่คนตัวเปล่า แต่มีคุณน้ำผึ้งเป็นลูกติดมาด้วย’

ได้ฟังพิมลตราก็ยิ่งรักเขามากขึ้นเป็นเท่าตัว แต่ก็อยากทำอะไรให้รอบคอบเลยตัดสินใจหมั้นกับเขาเอาไว้ก่อน

บิดาเธอไม่ว่าอะไรเพราะเห็นว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว พี่ชายคนโตกับพี่คนรองมีหวงน้องกันบ้างแต่ก็ยอมในที่สุด ในขณะที่พี่ชายคนเล็กรัวใส่กลับมาเป็นชุด

‘ท้องหรือเปล่า? แล้วหาแฟนทั้งทีทำไมชื่อประหลาดนัก คนอะไรชื่อ ‘เอี้ย’ โคตรจะไม่เป็นมงคล แต่งๆ กันไปชื่อมันเปลี่ยนจากอออ่างเป็นหอหีบจะทำยังไง’

พี่ชายคนเล็กของเธอข่มขู่อรรณพไปสารพัด แต่เขาก็ไม่สะท้านสะเทือน พศวีร์เลยต้องยอมให้น้องสาวหมั้นในที่สุด แต่ก็ยังไม่วายไปหาหมอดูชื่อดังมาบอกว่าต้องคบกันให้ครบสองปีก่อนแล้วค่อยแต่ง ไม่อย่างนั้นจะไม่เป็นมงคล แถมยังไปกล่อมว่าที่พ่อสามีแม่สามีเธอ จนทางฝ่ายนั้นเห็นดีเห็นงามด้วยอีกต่างหาก

ตอนนั้นเธอโกรธมากโวยใส่พี่ชายจนหน้าดำหน้าแดงเลยทีเดียว มานึกย้อนตอนนี้แล้วก็ขำ เพราะทั้งหมดที่พี่ทำไปก็เพื่อเธอทั้งนั้น

จะว่าไปแล้วเวลาก็ผ่านไปเร็วเหลือเกิน ตอนนั้นคิดว่าสองปีครึ่งมันนาน แต่ตอนนี้เหลืออีกไม่กี่เดือนเท่านั้นเธอก็จะต้องแต่งงานแล้ว

หญิงสาวคิดอะไรเพลินๆ ไป ทำกับข้าวไป ไม่นานทุกอย่างก็เสร็จ นอกจากต้มจืดกับผัดเผ็ดแล้ว เธอทำผัดผักเพิ่มอีกหนึ่งอย่าง เผื่ออรรณพที่กินเผ็ดไม่ค่อยได้

อรรณพย้ายมาอยู่ตึกเดียวกันหลังจากหมั้น แต่ก็เป็นคนละห้อง เพราะพิมลตราถือเรื่องแบบนี้ ตราบใดที่ยังไม่ได้แต่งงานเธอจะไม่ขนข้าวขนของย้ายไปอยู่กับผู้ชาย หรือให้ผู้ชายย้ายเข้ามาเป็นอันขาด อรรณพเข้าใจหญิงสาวเป็นอย่างดี แต่ที่พักเขาอยู่ไกลมากก็เลยต่อรองขอย้ายมาอยู่คอนโดมีเนียมเดียวกันแทน

พออรรณพมาถึง ทุกคนก็ล้อมวงกันรับประทานอาหารเย็น มธุรัตน์ยอมวางมือจากงานที่ทำอยู่อย่างว่าง่าย แล้วมานั่งประจำที่รอให้พิมลตราตักข้าวสวยร้อนๆ ใส่จานให้

สภาพผมปรกหน้ากับความอึมครึมของหญิงสาว ทำให้บรรดาคู่รักที่ผ่านมาของพิมลตราผวามานักต่อนัก เวลาที่ต้องมานั่งกินข้าวด้วยกัน แต่สำหรับอรรณพชายหนุ่มไม่เห็นว่าเป็นเรื่องแปลกอะไร เขาบอกว่าบุคลิกของมธุรัตน์ดูเก๋มีเอกลักษณ์ดี มุมมองที่ไม่เหมือนใครของเขา ทำให้พิมลตราได้รู้ว่าเธอได้เปิดรับคนแปลกเข้ามาในชีวิตอีกหนึ่งคนแล้ว

ทั้งสามคุยกันไปกินกันไปเรื่อยๆ แต่ส่วนใหญ่คนที่คุยจะเป็นพิมลตรากับอรรณพเสียมากกว่า นานทีมธุรัตน์จะพูดอะไรสักคำ อรรณพเลยชวนคุยเรื่องงาน หญิงสาวจะได้มีเรื่องพูดมากขึ้น

“นิยายเรื่องใหม่ถึงไหนแล้วครับ”

“อีกสิบหน้าก็เสร็จแล้วค่ะ คงส่งให้ได้ก่อนวันจันทร์”

“เยี่ยมเลยครับ ได้ก่อนกำหนดอย่างนี้วางแผงทันช่วงปีใหม่แบบสบายๆ เลย”

อรรณพเป็นทั้งบรรณาธิการและเจ้าของสำนักพิมพ์ที่มธุรัตน์ส่งงานให้เป็นประจำ ครอบครัวเขาทำธุรกิจโรงพิมพ์ ชายหนุ่มจึงแยกตัวออกมาทำธุรกิจสำนักพิมพ์เพิ่มอีกหนึ่งอย่าง

“เรื่องนี้เลือดสาดกระจุยเลย เขียนจำกัดเรตอายุคนอ่านไว้หน่อยก็ดีนะคะพี่เอี้ย” พิมลตราเสนอ

เธอได้อ่านงานของมธุรัตน์บางส่วนแล้ว นวนิยายฆาตกรรมสยองขวัญสั่นประสาทเรื่องนี้ทำเอาเธอหลอนไม่กล้าไปไหนมาไหนคนเดียวตอนกลางคืนไปพักใหญ่

“พี่ใส่ทุกเล่มอยู่แล้วล่ะ ความจริงงานของคุณน้ำผึ้งก็ไม่แรงมากหรอกนะ แต่มันละเอียดเหมือนเห็นภาพการฆาตกรรมลอยมาเป็นฉากๆ เลยต้องใส่ตัวเลขกำกับอายุผู้อ่านไว้เสียหน่อย”

งานของมธุรัตน์ส่วนใหญ่จะเป็นนวนิยายสยองขวัญกับฆาตกรรมสืบสวน หญิงสาวได้ชื่อว่าเป็นนักเขียนแนวสยองขวัญที่มีผลงานโดดเด่นทีเดียว งานออกมาทีไรก็จะติดอันดับหนังสือขายดีเสมอ

“จริงสิครับ ถ้างานนี้จบแล้ว คุณน้ำผึ้งจะเปิดเรื่องใหม่เลยหรือเปล่า ลองเขียนแนวโรมานซ์เกี่ยวกับความรักดูไหมครับ แนวนี้กำลังขายดี ผมเลยจะเปิดหมวดใหม่เพิ่ม”

อรรณพเอ่ยชวนไปตามเรื่อง เขาได้ยินหญิงสาวตอบรับกลับมาแค่คำว่า ‘ค่ะ’ เท่านั้น จากนั้นก็ไม่พูดอะไร เขาเลยคิดว่าเธอแค่รับคำ ไม่ได้จะส่งจริงๆ เพราะคนอย่างหญิงสาวไม่เหมาะจะมาเขียนแนวความรักโรแมนติกอยู่แล้ว

ใครเลยจะรู้ว่าขณะนี้ในหัวของมธุรัตน์มีคำว่านวนิยายโรมานซ์อยู่เต็มสมอง เธอไม่เคยเขียน ไม่เคยอ่าน เคยแต่เห็นตามแผงหนังสือเท่านั้น หญิงสาวเลยอยากลองท้าทายความสามารถของตัวเองขึ้นมา

‘เราจะต้องเขียนนิยายโรมานซ์ให้ได้สักเล่ม’ มธุรัตน์ตั้งปณิธานเอาไว้ในใจอย่างมาดมั่น


หลังอาหารเย็นหญิงสาวก็ลงไปที่ร้านหนังสือซึ่งอยู่ไม่ไกลกับคอนโดมิเนียมมากนัก เธอหยิบนวนิยายโรมานซ์ทั้งของนักเขียนไทยและต่างชาติจากแผงหนังสือมาทุกเล่ม จนขนกลับเองไม่ไหว ต้องวานให้ที่ร้านช่วยเอาที่เหลือมาส่งให้

เท่านั้นยังไม่พอ เธอยังสั่งซื้อหนังสือจากอินเตอร์เน็ตมากองโต จนชั้นวางหนังสือชั้นเต็ม แต่หญิงสาวก็ไม่เป็นกังวลเรื่องนี้นัก เพราะในห้องยังเหลือพื้นให้ตั้งชั้นวางหนังสืออีกหลายชั้น

หญิงสาวเอาห้องนอนของตัวเองมาทำเป็นห้องเก็บหนังสือและข้อมูลสำหรับเขียนนวนิยาย แล้วดัดแปลงมุมเล็กๆ ในห้องโถง ทำเป็นเตียงและที่ทำงาน เธอนั่งอยู่ในมุมนี้เกือบทั้งวัน ถ้าพิมลตราไม่มาจัดการชีวิต เธอก็จะกินข้าวหน้าจอคอมพิวเตอร์เลย

มธุรัตน์มีตู้เย็นเล็กที่เต็มไปด้วยอาหารแช่และน้ำดื่มวางอยู่ข้างตัว บนตู้เย็นคือที่ตั้งไมโครเวฟเอาไว้อุ่นอาหาร ส่วนปลายเตียงนอนก็เป็นประตูห้องน้ำ หญิงสาวจึงสามารถใช้ชีวิตอยู่ในมุมนี้โดยไม่ต้องขยับตัวไปไหนได้หลายวันทีเดียว

อรรณพบรรยายมุมนี้อย่างสวยหรูว่า ‘อาณาจักรของคุณน้ำผึ้ง’ ในขณะที่พิมลตราพอใจเรียกมันว่า ‘รังหนู’ หญิงสาวจะเข้ามาจัดการทำความสะอาดตรงนี้เดือนละสองสามครั้ง เพื่อไม่ให้เพื่อนสาวจมกองฝุ่นตาย

เมื่อพิมลตราเห็นกองหนังสือจำนวนมหาศาลที่เพื่อนซื้อมาใหม่ หญิงสาวก็อดเป็นกังวลเรื่องขนย้ายไม่ได้

“กุมภาฯ นี้เราก็ต้องเริ่มย้ายบ้านกันแล้วนะ ยังจะขนซื้อมาอีก มีหวังได้ขนของกันรากเลือดแน่” พิมลตราบ่นอุบ

ฐานะอย่างพวกเธอจะจ้างบริษัทขนย้ายก็ได้ แต่ว่ามธุรัตน์กับพิมลตราไม่ชอบให้ใครมาแตะต้องข้าวของของตัวเอง เลยมักจะขนกันเองเสียเป็นส่วนใหญ่

“ไม่ต้องขนหรอก”

“จะเอาที่นี่ไว้เก็บของงั้นหรือ ปล่อยเช่าดีกว่าน่าน้ำผึ้ง บ้านใหม่ออกกว้าง เก็บของหมดนี่ยังมีที่เหลือเฟือ”

บ้านที่เธอกับอรรณพซื้อไว้เป็นบ้านสองชั้นขนาดสี่ห้องนอน ถึงจะไม่หรูหราขนาดเรียกว่าคฤหาสน์ แต่ก็มีพื้นที่ใช้สอยกว้างขวาง เธอกับเขาตกลงกันแล้วว่าจะยกห้องนอนใหญ่ชั้นล่างให้เป็นที่เก็บหนังสือของมธุรัตน์ และจะทำห้องทำงานที่อยู่ติดกัน ให้เป็นห้องนอนของหญิงสาวแทน

“เราหมายถึงว่าเราจะไม่ย้ายไปอยู่ด้วย”

“ทำไมล่ะ!”

พิมลตราถามเสียงสูงด้วยความตกใจ เนื่องจากไม่คาดคิดว่าจะได้ยินคำปฏิเสธจากปากเพื่อน

“หรือเธอเกรงใจ พี่เอี้ยเขาก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ พี่เขาคิดว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกันอยู่แล้ว อย่าคิดมากเลยไปอยู่ด้วยกันเถอะนะ” หญิงสาวกล่อม

“ไม่” มธุรัตน์ปฏิเสธด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แล้วหันมาสบตากับเพื่อน

“เรามีความสุขที่ได้อยู่กับพิมนะ แล้วก็อยากอยู่แบบนี้ตลอดไป แต่เราโตแล้วนะพิม เรามีศักดิ์ศรีในแบบของเรา จะให้เราไปอยู่ด้วยเป็นลูกแหง่ของพิมทั้งชีวิตเราไม่เอาด้วยหรอก”

ฟังแล้วพิมลตราก็นิ่งงันไป เธอไม่มีอะไรจะมาโต้แย้ง เพราะเรื่องย้ายบ้านในครั้งนี้เธอคิดเหมาะเอาเองเสร็จสรรพ ไม่ได้ปรึกษากับมธุรัตน์เลย

“เราขอโทษที่จุ้นจ้านมากไป” พิมลตราเอ่ยเสียงเครือ

ไม่ใช่เพราะรู้สึกผิด แต่เธอรู้สึกราวกับตัวเองเป็นแม่นก ที่ได้รู้ข่าวร้ายว่าอีกไม่นานลูกน้องที่เธอเฝ้าถนอมจะต้องบินไปจากอ้อมอก หญิงสาวรู้สึกเคว้ง ใจมันหายวูบจนต้องทรุดตัวลงนั่ง

มธุรัตน์เข้ามากอดพิมลตราเอาไว้ หญิงสาวพูดออกมาแค่คำเดียวคือ ‘ขอบคุณ’ เท่านั้น

ถ้อยคำนี้ทำให้น้ำตาไหลพรั่งพรูออกมาจากหน่วยตาของพิมลตราอย่างห้ามไม่อยู่ เธอได้รู้ในตอนนี้เองว่าเธอติดเพื่อนมากกว่าที่คิด คนที่งอแงเป็นลูกแหง่น่ะเธอต่างหาก

พิมลตรารู้ดีกว่าควรจะปล่อยมธุรัตน์ให้หัดใช้ชีวิตตามลำพัง แต่กระนั้นก็ยังอดห่วงไม่ได้ หญิงสาวกลั้นน้ำตาแล้วครุ่นคิดอย่างหนักว่าควรจะทำอย่างไรดี

ในขณะที่น้ำตาเริ่มเหือดลง หญิงสาวก็ได้ความคิดดีๆ ผุดเข้ามาในสมอง พิมลตราจึงผละออกจากอ้อมกอดของเพื่อน

“ขอไปหาพี่เอี้ยก่อนนะ จะไปบอกเรื่องน้ำผึ้งไม่ไปอยู่บ้านเราแล้ว”

มธุรัตน์พยักหน้ารับ สีหน้าของเธอดูเรียบเฉย แต่แววตาเต็มไปด้วยความเห็นห่วง

เธอรู้มาตลอดว่าพิมลตราต้องเลิกรากับคนรักหลายครั้งก็เพราะเธอ แต่แกล้งทำเป็นไม่รับรู้เพราะไม่อยากให้เพื่อนต้องเป็นกังวลเพิ่ม เธอดีใจที่เพื่อนสนิทได้เจอคนดีอย่างอรรณพ ดังนั้นจึงไม่อยากให้เรื่องของเธอมาทำให้ความรักของพิมลตรามีปัญหาอีก

แม้อรรณพจะมีน้ำใจ แต่เธอก็ไม่เคยคิดจะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวใหม่นี้ มธุรัตน์ไม่อยากเป็นภาระ และที่สำคัญเธออยากให้พิมลตราทุ่มความสนใจไปที่สามีและลูกๆ ที่กำลังจะเกิดมาในอนาคตให้มาก หญิงสาวจึงปฏิเสธอย่างแข็งขัน แม้ในใจจะรู้สึกเหงาเพียงไรก็ตาม

“แบบนี้ล่ะดีแล้ว” หญิงสาวพึมพำบอกกับตัวเอง ขณะที่มองแผ่นหลังของเพื่อนเดินหายออกไปจากห้อง


มธุรัตน์คิดว่าพิมลตราอาจจะไปร้องไห้กับอรรณพต่อ ซึ่งก็จริงดังคาด แต่พิมลตราไม่ร้องไห้เปล่าๆ เพื่อนผู้แสนดียังบังคับคู่หมั้นให้คิดหาทางที่จะช่วยให้มธุรัตน์อยู่ลำพังได้โดยที่เธอวางใจด้วย

“ไม่ยากนี่พิม จ้างพยาบาลสิ” อรรณพแนะนำ

“บ้า! น้ำผึ้งยังดีๆ อยู่นะพี่เอี้ย ไม่ได้เป็นอัมพาตลุกไปไหนมาไหนไม่ได้ ถ้าเป็นแม่บ้านก็ว่าไปอย่าง”

“งั้นก็จ้างแม่บ้านสิ”

การจ้างแม่บ้านเหมือนจะเป็นทางออกที่ดี แต่พิมลตราส่ายหน้า เธอบอกว่ามธุรัตน์เคยจ้างแม่บ้านอยู่ระยะหนึ่งแต่ก็ทะเลาะกันเพราะแม่บ้านกวาดงานเธอทิ้ง ไม่ก็ทนความแปลกแบบหลอนๆ ของเจ้าหล่อนไม่ไหว เลยลาออกไป

ข้อหลังนี้ไม่ใช่ความผิดของแม่บ้านเลย เพราะหนนั้นมธุรัตน์เอาไก่ที่เพิ่งถูกเชือดสดๆ ยังไม่ได้ถอนขนมาทดลองชำแหละดู เธอเคยเห็นแต่ไก่ทำสำเร็จเป็นชิ้น ที่ขายตามซูเปอร์มาร์เก็ตเท่านั้น ก็เลยนึกภาพเครื่องในสัตว์ไม่ออก แม่บ้านบังเอิญมาเห็นเข้า เลยร้องกรี๊ด แล้ววิ่งหนีไปแบบไม่คิดชีวิตเลยทีเดียว

“หาแฟนให้น้ำผึ้งดีไหมพี่เอี้ย จะได้วางใจว่ามีคนดูแล”

เมื่อได้ยินความคิดนี้ อรรณพก็หัวร่องอหายแทบจะตกเก้าอี้เลยทีเดียว

“พี่ว่าพิมไปหาจิ้งจกเก้าหางเห่าได้ยังจะหาง่ายกว่าอีก”

ที่พูดอย่างนี้ไม่ได้ดูถูกแต่อย่างใด เพียงแต่คนที่จะมาคบหากันได้ถ้าไม่ต่างกันก็ต้องมีอะไรเหมือนกันบ้าง อย่างหลังนี่เองที่ทำให้เขาฮากลิ้ง พอนึกภาพผู้ชายที่มีนิสัยแปลกๆ เหมือนมธุรัตน์ เวลาเดทด้วยกันมันคงจะอึมครึมยกกำลังสอง

ชายหนุ่มหัวเราะต่อเนื่องอย่างไม่มีทีท่าที่จะหยุด พิมลตราจึงตีมือเข้าที่แขนของคู่หมั้น แล้วส่งค้อนวงใหญ่แถมมาให้ด้วย

“มาช่วยกันคิดเลยนะพี่เอี้ย พี่มีเพื่อนคนไหนโสดๆ ดีๆ พอจะพามาแนะนำได้บ้างหรือเปล่าคะ”

พอเห็นว่าน้ำเสียงของพิมลตราส่อเค้าว่าจะเริ่มหงุดหงิด ชายหนุ่มจึงกลั้นหัวเราะแล้วทำหน้าคิดอย่างจริงจังเพื่อเอาใจเธอ ทว่าคนดีๆ ต่างก็สละโสดกันไปหมดแล้ว ที่เหลือถ้าไม่เป็นเกย์ก็เจ้าชู้ ไม่อยากมีห่วงมาผูกมัดกันทั้งนั้น

คิดไปคิดมาพิมลตราก็ถอนหายใจออกมายาวเหยียด เพราะเธอเองก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะแนะนำใครให้เพื่อนสนิทรู้จัก

ในขณะที่หญิงสาวกำลังจะยกมือยอมแพ้แล้วหาทางอื่น อรรณพก็พูดโพล่งขึ้นมา

“พวกพี่ๆ คุณยังไม่ได้แต่งงานกันเลยนี่ อาจจะมีสักคนที่ชอบของแปลกก็ได้”

ชายหนุ่มหยอกเพราะอยากให้หญิงสาวลดความเคร่งเครียดลง ทว่าพิมลตรากลับเห็นด้วยกับเรื่องพูดเล่นของเขา

“ทำไมฉันไม่เคยคิดมาก่อนนะ เยี่ยมที่สุดเลย!” หญิงสาวเอ่ยอย่างลิงโลดใจ

สิ่งที่เธอทำเป็นอย่างต่อมาคือโทรศัพท์หาพี่ชาย เธอตั้งใจจะจับคู่เพื่อนให้กับพี่ชายคนโตไม่ก็คนรอง ส่วนพี่ชายคนเล็กนั้นตัดไปได้เลย เพราะพศวีร์นั้นมีนิสัยกวนประสาท แถมยังลื่นเป็นปลาไหลอย่าบอกใคร

คนแรกที่หญิงสาวโทรหาคือพัลลภ พี่ชายคนโตของเธอเป็นนายแพทย์ ทำงานอยู่ในโรงพยาบาลเอกชนมีชื่อแห่งหนึ่ง พี่เพิ่งเลิกกับคนรักไปเมื่อครึ่งปีก่อน หญิงสาวเลยอยากตรวจสอบว่าตอนนี้พี่ชายยังโสดอยู่หรือเปล่า

พอโทรศัพท์ไป แทนที่จะได้ยินเสียงของพี่ชายตอบกลับมา หญิงสาวกลับได้ยินเสียงผู้หญิงแทน

“คุณหมออาบน้ำอยู่ค่ะ”

“ขอบคุณค่ะ แค่นี้นะคะ” พูดจบ หญิงสาวก็กดวางสายไปอย่างผิดหวังที่พี่ชายมีแฟนใหม่เร็วผิดคาด

พิมลตราโทรศัพท์หาพี่ชายคนรองเป็นรายต่อไป พี่ชายเธอคนนี้หน้าตาคมเข้มไม่เหมือนพี่น้องคนอื่น พี่พลชอบออกกำลังกาย รักชีวิตกลางแจ้ง ดูตรงข้ามกับมธุรัตน์ทุกอย่าง ในเมื่อหาคนนิสัยเหมือนไม่ได้ ก็ต้องเจอคนต่างขั้วกันอย่างนี้ล่ะ

หญิงสาวไม่ได้ถามออกไปตรงๆ ว่าตอนนี้พี่มีแฟนหรือคบหากับใครอยู่หรือเปล่า เธอชวนคุยเรื่องสรรพเพเหระไปก่อน แล้วค่อยวกกลับมาถามเรื่องที่เธออยากรู้

“พี่พล งานแต่งพิมพี่จะควงว่าที่พี่สะใภ้มาให้ดูตัวหรือเปล่า จะได้จัดที่ไว้ให้”

“ไม่มีหรอกของอย่างนั้น อยากได้พี่สะใภ้ก็ไปขอพี่พันกับไอ้พศโน้น” ชายหนุ่มโบ้ย

พิมลตราจึงลอบยิ้มอย่างยินดี เธอเป็นห่วงว่าพี่พลจะได้ภรรยาไม่ดี ในขณะเดียวกันก็เป็นห่วงเพื่อน งานนี้ถ้าสำเร็จเหมือนยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลยทีเดียว

“พี่พลยังไม่มีใครล่ะพี่เอี้ย ยอดไปเลย น่าจะคิดเรื่องนี้ได้ตั้งนานแล้วนะเนี่ยเรา” หญิงสาวเอ่ยด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวัง

“พูดมันก็ง่ายนะพิม แต่ทำน่ะมันยาก พิมคิดออกแล้วหรือว่าจะให้เขามาเจอกันแล้วชอบกันได้ยังไง พี่รู้ว่าพิมหวังดี แต่ถ้ายุ่งมากไปพี่ชายพิมกับคุณน้ำผึ้งอาจจะมองหน้ากันไม่ติดก็ได้นะ” อรรณพเตือน

พิมลตราเป็นพวกชอบเจ้ากี้เจ้าการชีวิตคนอื่น บางครั้งมันก็เกิดพอดีไปมากโข ที่สำคัญถ้าเกิดมีอะไรไม่ได้ดั่งใจเธอขึ้นมา หญิงสาวก็มักจะผิดหวังและซึมไปหลายวัน ชายหนุ่มไม่คิดว่าการจับคู่ครั้งนี้จะเป็นไปได้ ก็เลยไม่อยากจะเห็นใบหน้าเศร้าๆ ของเธอ

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ พี่พลชอบผู้หญิงสวย จัดการให้น้ำผึ้งแต่งสวยก็สิ้นเรื่อง”

หญิงสาวผุดลุกขึ้นมาจากโซฟา แล้วหยิบกระดาษจากโต๊ะทำงานของอรรณพมาหนึ่งแผ่น จากนั้นก็ร่างแผนการทุกอย่างลงไปอย่างละเอียด ไม่ว่าอรรณพจะพยายามเตือนอย่างไร หญิงสาวก็ไม่สนใจฟัง

ชายหนุ่มส่ายหน้าอย่างอ่อนใจแกมเป็นห่วง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะจัดการคนรั้นอย่างไรดี ท้ายที่สุดก็เลยเข้าร่วมแผนการด้วย ถ้าพยายามเต็มที่แล้วไม่ได้อย่างที่หวัง ก็ยังมีคำพูดมาปลอบใจว่าได้พยายามจนถึงที่สุดแล้ว


พิมลตราวางแผนจับคู่ให้พลวัตกับมธุรัตน์อยู่หนึ่งสัปดาห์ ในที่สุดก็ได้แผนการอันสมบูรณ์แบบออกมา

เธอกับอรรณพจะทำทีไปเที่ยวพักผ่อนที่บ้านไร่ของพลวัตและพามธุรัตน์ไปด้วย พิมลตราจะแปลงโฉมเพื่อนสาวเสียใหม่ให้พี่ชายเธอตะลึงจนตาค้าง จากนั้นก็คอยช่วยเหลือหาโอกาสให้สองหนุ่มสาวได้ใกล้ชิดกัน

“คุณนี่เขียนนิยายพาฝันได้สบายเลยนะ”

อรรณพคิดว่าแผนการนี้ช่างดูเพ้อฝันเสียเหลือเกิน ถึงมธุรัตน์จะไม่ใช่คนขี้เหร่ แต่เขาก็ไม่คิดว่าเธอเป็นคนสวย ยิ่งได้รู้มาว่าคนรักสมัยมหาวิทยาลัยของพลวัตเป็นนางแบบ เขาก็คิดว่างานนี้ต้องหมดหวังแน่ แต่พิมลตราก็ไม่ยอมฟังเหมือนเคย

“พาฝันก็พาฝันสิ พิมจะทำฝันให้เป็นจริงให้ดู” หญิงสาวเอ่ยอย่างมาดมั่น จากนั้นก็เริ่มดำเนินการตามแผนทันที

พิมลตราใช้ช่วงเวลาอาหารเย็น เปิดประเด็นสนทนาเรื่องการไปเที่ยวพักผ่อน

“หน้าหนาวปีนี้ไปเที่ยวกันไหมน้ำผึ้ง ไปดูทุ่งทานตะวันกับไร่องุ่นที่สระบุรีกัน”

หญิงสาวชวนโดยไม่แง้มปากบอกว่าไร่องุ่นที่จะไปเที่ยวคือไร่ของพี่ชายเธอ เพราะกลัวว่ามธุรัตน์จะระแคะระคาย เห็นเงียบๆ อย่างนี้แต่ถ้าเป็นเรื่องของเพื่อนสนิทอย่างพิมลตราแล้ว มธุรัตน์จะความรู้สึกไวเป็นพิเศษเชียวล่ะ

“ไม่ไป เราจะทำงาน”

หญิงสาวตอบกลับมาอย่างชัดเจน เธออยากจะทำงานจริงๆ ไม่ใช่เพราะห่วงว่าจะไปเกะกะคู่รัก

ช่วงนี้มธุรัตน์กำลังศึกษานวนิยายแนวรักโรแมนติก และกำลังเริ่มหัดเขียนอยู่ เธอลองใช้พล็อตซ้ำๆ ที่เห็นได้ทั่วไปเอามาลองเขียน แต่ก็เขียนไม่รอด อ่านแล้วดูจืดชืดไร้สีสันเหลือเกิน ถ้าไม่มีอาถรรพ์ ไม่มีคนตาย สมองเธอมักจะตีบตันเขียนอะไรไม่ค่อยจะออก

“ไปเถอะนะ เราอยากไป” พิมลตราทำเสียงอ้อน

“ไปเที่ยวกับคุณอรรณพสองคนก็ได้นี่” หญิงสาวแนะนำแล้วก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อ

พิมลตราจึงเอาศอกกระทุ้งอรรณพให้ช่วยพูดให้

ชายหนุ่มนึกเรียบเรียงคำพูดอยู่สักพักหนึ่ง ก็ได้ความคิดดีๆ เขาเกริ่นเรื่องงานกับมธุรัตน์ แล้วสอบถามความคืบหน้า

“ยังไม่ได้เรื่องเลยค่ะ มันยากกว่าที่คิดไว้”

ตามหน้าที่แล้ว เขาควรจะแนะนำให้เธอกลับไปเขียนแนวเดิม แต่เขากลับยุให้เธอลองพยายามให้มาขึ้นอีก

“เคยอ่านหนังสือเรื่อง ‘สิ่งที่ฉันตามหา’ ไหมครับ ผมมีอยู่ที่ห้องเดี๋ยวจะเอามาให้คุณผึ้งลองอ่าน รับรองว่าต้องได้ความคิดอะไรดีๆ แน่”

“ขอบคุณค่ะ” มธุรัตน์เงยหน้าขึ้นมาค้อมศีรษะให้

แล้วบทสนทนาก็จบลงเพียงเท่านั้น พิมลตราจึงหันไปถามคู่หมั้นด้วยสายตา เธอไม่เขาใจว่าอรรณพกำลังวางแผนอะไรอยู่

ชายหนุ่มขยับมือเป็นเชิงบอกให้รอก่อน ไว้อยู่ด้วยกันสองคนแล้วเขาจะอธิบายให้ฟัง พิมลตราก็เลยรอให้กินอาหารเรียบร้อยแล้วจึงตามอรรณพไปที่ห้อง

หญิงสาวมักจะไปนั่งดูโทรทัศน์ที่ห้องของอรรณพหลังอาหารเย็นเสมอ มธุรัตน์จึงไม่ได้เอะใจว่าเพื่อนสาวมีความลับปิดบังเธออยู่

พอเข้าไปที่ห้องของอรรณพ ชายหนุ่มก็หยิบเอาหนังสือปกสีเขียวที่เป็นภาพของทิวทัศน์มาให้พิมลตราดู

“นี่คือหนังสือที่พี่แนะนำให้คุณน้ำผึ้งอ่าน ลองอ่านคำโปรยบนปกสิ”

พออ่านแล้วเธอก็รู้ว่ามันเป็นเรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่ง ที่กำลังมีปัญหาในชีวิต เธอถูกคนรักบอกเลิก เพื่อนรักที่สุดกำลังจะแต่งงานและย้ายไปอยู่ต่างประเทศ ป้าที่เป็นเสมือนญาติเพียงคนเดียวเพิ่งเสียชีวิต เธอจึงตัดสินใจเดินทางเพื่อเยียวยาจิตตัวเอง เธอก็พบกระท่อมไม้หลังหนึ่ง แล้วถูกใจมันเลยตัดสินใจพักอยู่ที่นั่นระยะใหญ่ ระหว่างนี้เองที่เธอได้พบกับมิตรภาพและความรักมากมายจากผู้คนที่ไม่คิดฝัน

“พี่เอี้ยกะจะให้น้ำผึ้งอินแล้วไปเที่ยวกับเราหรือคะ” พิมลตราเดา

“ถูกต้องแล้วครับผม” ชายหนุ่มทำมือชี้นิ้วไปที่หญิงสาวเลียนแบบพิธีกรรายการหนึ่ง

พิมลตราค่อนข้างจะเห็นด้วยกับวิธีนี้ เพราะในเรื่องนางเอกก็เป็นนักเขียนเหมือนกัน แถมยังเขียนนวนิยายโรมานซ์เสียด้วย

“สาธุ! ขอให้น้ำผึ้งอ่านแล้วยอมไปเที่ยวทีเถิด”

หญิงสาวยกหนังสือขึ้นมาพนมมืออธิษฐาน ก่อนจะหยิบหนังสือเล่มนั้นกลับไปที่ห้อง

มธุรัตน์เพิ่งอาบน้ำเสร็จพอดีตอนที่พิมลตรากลับมา หญิงสาวก็เลยเอาหนังสือไปยื่นให้

“พี่เอี้ยฝากมาให้ รีบอ่านเลยนะจะได้รีบคืน”

“อืม” มธุรัตน์พยักหน้ารับ

เธอหย่อนก้นลงบนเตียงนอนที่อยู่ติดกับโต๊ะทำงาน เอาหลังพิงผนัง แล้วเปิดหนังสืออ่านในทันที

พอเห็นว่าเพื่อนเริ่มอ่านหนังสือแล้ว พิมลตราก็หมุนตัวกลับไปที่ห้องนั่งเล่น หญิงสาวเปิดโทรทัศน์ดูข่าว แล้วชำเลืองมองสีหน้าของมธุรัตน์เป็นระยะ

มธุรัตน์ทำหน้าเครียด แล้วเปิดหนังสืออ่านด้วยความเร็วที่เร็วจนน่าตกใจ อาการแบบนี้คือสัญญาณแสดงว่าหนังสือเล่มนี้มีเนื้อหาสนุกถูกใจเจ้าหล่อน

พิมลตราแอบลุ้นอยู่เงียบๆ ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงมธุรัตน์ก็อ่านหนังสือจบ หญิงสาวปิดหน้าหนังสือ แล้วเดินตรงมาหาเพื่อน

“เราขอไปเที่ยวสระบุรีด้วยคนนะ”

“จริงนะน้ำผึ้ง ขอบคุณมาก” พิมลตราร้องกรี๊ดดีใจ แล้วกระโดดกอดเพื่อนสาวแน่น

ท่าทีดีใจผิดปรกติของเพื่อนทำให้มธุรัตน์ย่นหัวคิ้วอย่างสงสัย สระบุรีมีอะไรดีพิมลตราถึงได้อยากไปนักหนา แม้จะสงสัยแต่หญิงสาวก็ไม่ได้ถาม เธอคิดเพียงแต่ว่าไปแล้วก็คงจะรู้เอง


เมื่อมธุรัตน์ตกลงไป ก็ได้เวลาดำเนินตามแผนการขั้นต่อไป พิมลตราทำเรื่องลางานหนึ่งสัปดาห์เต็ม ในขณะที่อรรณพเร่งสะสางงาน เพื่อที่เวลาเขาไม่อยู่พวกลูกน้องจะได้จัดการงานกันเองได้โดยไม่มีปัญหา

ก่อนหน้าเดินทางสามวันพิมลตราก็ชวนเพื่อนสาวออกไปซื้อของสำหรับไปเที่ยว เธอบอกว่าอยากได้เสื้อผ้าชุดใหม่ แต่เอาเข้าจริงหญิงสาวกลับยุให้มธุรัตน์ซื้อเสื้อผ้าสวยๆ แทน

มธุรัตน์ไม่ใช่คนเรื่องมาก หญิงสาวก็เลยปล่อยให้พิมลตราเลือกชุดให้ตามใจชอบ เธอมีหน้าที่แค่ลองใส่ชุดและรูดการ์ดจ่ายเงินเท่านั้น

หญิงสาวเป็นมนุษย์จำพวกซื้อของแบบไม่เคยดูราคา อยากซื้อก็ซื้อเลย เนื่องจากเดือนหนึ่งๆ เธอแทบไม่ได้ใช้เงิน เธอทำงานอยู่บ้านก็เลยไม่ซื้อรถขับ ทำให้ไม่ต้องเสียเงินค่าน้ำมัน พวกเครื่องแต่งตัวสำหรับไปทำงานก็ไม่จำเป็นสำหรับเธอ ค่าน้ำค่าไฟกับค่าอาหาร พิมลตราก็เป็นคนออกให้ เพราะว่าห้องที่อยู่ทุกวันนี้เป็นของมธุรัตน์และหญิงสาวก็ซื้อมันมาด้วยเงินสด ปัจจุบันเธอเลยมีเงินเก็บก้อนใหญ่

เสร็จจากเรื่องเสื้อผ้าแล้วก็เป็นเรื่องของเครื่องสำอาง ที่จำเป็นต้องซื้อก็คือพวกเบสกับรองพื้น ของพวกนี้เธอสองคนใช้ด้วยกันไม่ได้ เพราะว่ามีสีผิวต่างกันมาก พิมลตราไม่ใช่คนผิวคล้ำ แต่ผิวของมธุรัตน์ต่างหากที่ขาวจัด

สมัยเรียนไม่ว่าใครก็ต้องชมเรื่องมธุรัตน์ผิวสวย แต่ตอนนี้มันกลายเป็นซีดไปแล้ว เพราะเจ้าหล่อนไม่ค่อยออกไปไหน วันๆ หมกตัวอยู่แต่ในห้อง ไม่เคยได้รับวิตามินจากแสงแดดเลย

“น้ำผึ้งแต่งพวกสีพาสเทลเก่งนี่ งั้นเอาเซตนี้ไปด้วยนะ”

พิมลตราชี้ไปที่ชุดเครื่องสำอางที่มีอยู่ครบครันสำหรับแต่งหน้าแบบครบวงจรตั้งแต่ปากตาแก้ม

“อืม” มธุรัตน์พยักหน้ารับ เพราะนึกว่าพิมลตราจะซื้อไปให้เธอแต่งหน้าให้

หญิงสาวแต่งหน้าเก่งใช้ได้ เพราะครึ้มใจไปเรียนแต่งหน้าศพมา ความที่เป็นพวกหัวศิลป์ พอรู้ทฤษฏีสีกับวิธีการใช้อุปกรณ์แต่งหน้าต่างๆ หญิงสาวก็เอามาปรับใช้กับคนปรกติได้ไม่ยาก

จากนั้นสองสาวก็ไปที่แผนกรองเท้ากับชุดชั้นใน ทีแรกพิมลตราตั้งใจจะไปร้านตัดผมด้วย แต่ว่าเวลาหมดเสียก่อนก็เลยไม่ได้แวะไป สภาพผมของมธุรัตน์ก็เลยยังเป็นผมปรกหน้าไม่เป็นทรงอยู่

พิมลตราตั้งใจว่าจะพามธุรัตน์ไปตัดผมพรุ่งนี้ แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดถึงจนได้ เมื่อหญิงสาวนึกอยากออกกำลังกายและลดโลกร้อน ด้วยการใช้บันไดแทนใช้ลิฟต์ ในจังหวะที่ก้าวลงมาส้นสูงเธอเกิดหัก พิมลตราเลยไถลตกบันได ฟกช้ำไปทั้งตัว ที่ร้ายที่สุดคือข้อเท้าแพลงบวมเป่ง จนหมอต้องสั่งให้พักยาว ห้ามใช้ขาจนกว่าจะหายปวด

พิมลตราถึงกับหลั่งน้ำตาด้วยความเสียใจ ที่ไปเที่ยวสระบุรีไม่ได้แล้ว และนั่นก็เท่ากับว่าแผนการที่เตรียมเอาไว้เสียดิบดีพังทลายไปต่อหน้า

พอกลับจากโรงพยาบาล หญิงสาวก็เลยโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง อรรณพจึงปลอบใจด้วยการสัญญาว่าจะหลุดงานมาดูแลเธอจนกว่าขาจะหาย

“ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่ว่าพิมมีคนดูแลหรือเปล่าสักหน่อย”

หญิงสาวแยกเขี้ยวใส่ขณะกระซิบบอก เธอใช้เสียงดังมากไม่ได้เพราะมธุรัตน์อยู่ในห้องด้วย

ตอนรู้ว่าพิมลตราตกบันได หญิงสาวทำหน้านิ่งๆ ไม่ยินดียินร้าย แต่พอเธอกลับมา ก็เห็นว่ามธุรัตน์เตรียมน้ำแข็งไว้เต็มตู้ มีผ้ายืดกับอุปกรณ์ปฐมพยาบาลกองใหญ่ แถมยังหาวิธีการดูแลตัวเองเวลาข้อเท้าแพลงมาให้อีก

ถึงจะไม่ค่อยพูดแต่หญิงสาวก็มีวิธีการแสดงความใส่ใจต่อคนที่ห่วงใยเธอ นี่ล่ะความน่ารักของมธุรัตน์ที่จะมองเพียงฉาบฉวยไม่ได้

“ขอโทษนะน้ำผึ้ง เราคงไปเที่ยวกันไม่ได้แล้ว” พิมลตราหันไปบอกเพื่อนแล้วทอดสายตามองข้าวของที่จัดไว้มุมห้องอย่างแสนเสียดาย

“ไม่เป็นไร เราไปเที่ยวคนเดียวได้”

“อะไร!” พิมลตราหันขวับมาในทันที

เธอไม่ได้ต้องการคำตอบซ้ำ แต่ว่าเป็นการอุทานเพราะความตกใจเสียมากกว่า ท่าทางหนังสือที่อรรณพเอามาให้เพื่อนเธออ่านจะทำพิษเสียแล้ว เพราะมธุรัตน์เกิดอยากจะเดินทางท่องเที่ยวคนเดียวจริงๆ ขึ้นมา น่าห่วงเสียเหลือเกินว่าเจ้าหล่อนจะไปทำอะไรพิลึกพิเรนทร์จนได้รับอันตราย เธอเลยต้องรีบห้ามปรามเป็นการด่วน

“ไม่ให้ไป...อ๊ะ!” หญิงสาวชะงักไปเพราะนึกแผนการใหม่ออก

พิมลตราแสยะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ แล้วหันไปถามเพื่อนสาวเสียงหวาน

“น้ำผึ้ง…เธออยากจะลองไปพักที่บ้านไม้อย่างในหนังสือสักเดือนสองเดือนไหม”

มธุรัตน์พยักหน้าอย่างไม่รอช้า ดวงตาของหญิงสาวเป็นประกายระยับ ท่าทางหนังสือเล่มนี้จะสร้างแรงบันดาลใจให้เป็นอย่างมาก เพราะดูเจ้าหล่อนกระตือรือร้นที่จะเดินทางท่องเที่ยวไปใช้ชีวิตในไร่เสียเหลือเกิน

“ถ้าอย่างนั้นไปพักที่ไร่พี่พลนะ เดี๋ยวเราจัดการให้เอง”

เมื่อมธุรัตน์ตอบรับ พิมลตราก็ก้มหน้าแอบหัวเราะในลำคออย่างครึ้มใจ

เนื่องจากแผนการเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน อรรณพจึงไม่ทันได้เสนอแนะอะไรเพิ่มเติม เขาเฝ้ามองคู่หมั้นและมธุรัตน์อย่างเงียบๆ ใจก็นึกสงสารพลวัตขึ้นมา การอยู่บ้านเดียวกับคนแปลกมธุรัตน์ไม่ใช่เรื่องง่าย ที่เขาอยู่ได้ก็เพราะมีพิมลตราอยู่ด้วย

เขาล่ะสงสัยจริงเชียว พลวัตจะทนมธุรัตน์ได้ถึงสามวันไหมหนอ

****************************************

เพิ่งเข้ามาเป็นสมาชิกของเว็บนี้สดๆ ร้อนๆ วันนี้เลยค่ะ
มาตามคำแนะนำของพี่สาวที่น่ารักท่านหนึ่งค่ะ
ขอฝากตัวฝากใจและฝากผลงานไว้ด้วยนะคะ ^O^



นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 พ.ค. 2554, 11:00:02 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 ก.พ. 2555, 14:30:53 น.

จำนวนการเข้าชม : 2745





   บทที่ 2 ลาก่อนความสงบสุข >>
Pat 29 พ.ค. 2554, 12:06:56 น.
เนื้อเรื่องน่าสนใจค่ะ


วรรณ 29 พ.ค. 2554, 12:34:14 น.
นู๋โน้มจ๋า พี่มาเจิมไม่ทัน ไม่คิดว่านู๋จะทำงานรวดเร็วปานนี้
ลงมากว่าวันละ 1 ตอน คงไม่ผิดกติกา
ชอบนางเอกเรื่องนี้มากค่ะ ไม่เหมือนใคร และ ไม่มีใครเหมือน โดดเด่นสุด ๆ
อ่านแล้วจะหลงรักโดยไม่รู้ตัว
ฝากไว้ในอ้อมใจเพื่อน ๆ ด้วยนะคะ (555 เป็นป๋าดันแล้วสิเรา)
รอตอนต่อไปนะจ๊ะ


นิชาภา 29 พ.ค. 2554, 12:43:21 น.
สวัสดีค่ะคุณ pat ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านนะคะ กรี๊ดกร๊าดเค้าได้เมนต์ด้วย ดีใจค่า ^O^

สวัสดีค่ะพี่วรรณ พี่อวยจนหนูขวยเขินเลย รักขาดใจค่า จุ๊บๆ


มะดัน 29 พ.ค. 2554, 15:25:40 น.
ติดตามอ่านอยู่นะ. ^_^


นิชาภา 29 พ.ค. 2554, 18:39:35 น.
สวัสดีค่ะคุณมะดัน ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ ^O^


ดารานิล 30 พ.ค. 2554, 14:01:33 น.
ต๊ายยย นางเอกนี่หลอนว่ะ กรั๊กๆ


kaze 1 มิ.ย. 2554, 11:54:25 น.
อ่านตอนแรก นางเอกก็หลอนซะ 5555
ได้ใจจังเลยค่ะ


ป้าภา 12 ก.ค. 2554, 11:32:55 น.
แค่บทนำก็ทำให้ป้าไม่สามารถละสายตาไปไหนได้ สนุกถูกใจป้าจริงๆๆ ขอป้าเป็นแฟนคลับเพิ่มอีกคนนะจ๊ะ


กระเเจะจันทร์ 20 ก.พ. 2555, 15:09:57 น.
เหมือนหนูกกะเพื่อนเลย แบบนี้เลย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account