มธุรัตน์เสน่หา โดย ภคพร (วางแผงแล้ว)
เมื่อนักเขียนสาวจิตป่วนโคจรมาพบกับหนุ่มเจ้าของไร่เจ้าระเบียบ ความหื่นฮารั่วจึงบังเกิดขึ้น:"รสจูบมันเป็นยังไง" เจ้าหล่อนไม่ถามเปล่าแต่กระชากคอเขามาจูบด้วย แถมยังจดโน้ตหน้าตาเฉยว่า'รสจูบ = กาแฟ' โอ้ยยย! อยากบ้า!
Tags: หนุ่มชาวไร่ สาวนักเขียน โรแมนติก คอเมดี้ นางเอกแปลก ฮา รั่ว อ่านสบายคลายเครียด

ตอน: บทที่ 2 ลาก่อนความสงบสุข

บทที่ 2 ลาก่อนความสงบสุข

ณ บ้านไม้สไตล์คันทรีกลางผืนไร่กว้าง เจ้าของสถานที่กำลังลุกขึ้นจากเตียงมาล้างหน้ารับยามเช้าอย่างไม่รีบร้อน เมื่อสดชื่นดีแล้วชายหนุ่มก็เดินลงมารดน้ำต้นไม้รอบบริเวณบ้านอย่างสุขใจ

พลวัตบรรจงให้น้ำสร้อยอินทนิลที่ห้อยระย้าลงมาจากซุ้มทางเข้าหน้าบ้านเป็นพิเศษ สร้อยอินทนิลเป็นไม้กลางแจ้ง ชอบน้ำปานกลาง จึงต้องระวังไม่ให้เผลอรดน้ำมากเกินไป

ชายหนุ่มรดน้ำต้นไม้ไปพลางฮัมเพลงไปพลางอย่างนี้ทุกเช้า จากนั้นจึงค่อยเข้าครัวไปกินอาหารที่แม่บ้านวัยห้าสิบเศษเตรียมเอาไว้ให้ อิ่มแล้วจึงค่อยอาบน้ำเตรียมตัวออกไปทำงานในไร่

พลวัตเป็นเจ้าของไร่ขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในจังหวัดสระบุรี เขาลงทุนลงแรงปลูกองุ่นกับทำฟาร์มโคนมด้วยตัวเองเกือบทุกขั้นตอน เลยพูดได้อย่างเต็มปากว่าเขาเป็นชาวไร่ไม่ใช่นายทุน

เขารักวิถีของชีวิตชาวไร่ และภูมิใจกับอาชีพการเกษตรที่ผลิตอาหารเลี้ยงผู้คน ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงไม่เคยท้อหรือถอดใจเลย ยามที่พบเจอกับอุปสรรค

ชีวิตบ้านไร่เริ่มต้นขึ้นแต่เช้าตรู่ก่อนดวงอาทิตย์จะทอแสง และจบลงเมื่อตะวันลับขอบฟ้า บางคนอาจจะรู้สึกเปลี่ยวเหงากับค่ำคืนที่ยาวนาน แต่เมื่อได้ทำงานหนัก พลวัตก็จะหลับไปโดยไม่เคยรู้สึกเหงาหรือมีความต้องการอยากได้ใครสักคนมาเคียงข้าง

ชายหนุ่มอยากใช้ชีวิตอย่างคนโสด ที่ทุ่มเทให้กับงานไปตลอดชีวิต และไม่ปรารถนาให้ใครเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของเขา แต่แล้วความวุ่นวายที่เขาไม่ต้องการก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อเขาได้รับโทรศัพท์จากน้องสาวคนเล็กในตอนสายของวัน

“พี่พลคะ ห้องที่บ้านพี่ยังว่างอยู่หรือเปล่า”

ห้องที่พิมลตราเอ่ยถึงคือห้องนอนสำหรับแขกที่อยู่ชั้นสองของบ้านเขา ทีแรกพลวัตจะสร้างบ้านหลังไม่ใหญ่มาก แต่เมื่อนึกถึงญาติพี่น้องที่อยากมาพัก เขาจึงเพิ่มห้องนอนเข้าไปในตัวบ้านอีกหนึ่งห้อง

“ว่างสิ จะมาเที่ยวกับเอี้ยหรือไง”

“ไม่ใช่ค่ะ เพื่อนพิมเขาอยากมาเที่ยว ให้เขาพักด้วยสักระยะได้หรือเปล่าคะพี่”

“ก็ได้อยู่หรอก ว่าแต่ใครล่ะที่จะมาล่ะ”

“น้ำผึ้งค่ะ”

พอได้ยินชื่อนี้ชายหนุ่มก็ร้องเสียงหลงบอกว่าไม่เอาเด็ดขาด เพราะเขาไม่ถูกโรคกับเพื่อนสนิทของน้องสาวคนนี้เลย

“พี่พลล่ะก็ น้ำผึ้งเขาไม่ได้จะจับพี่กินเสียหน่อย”

“ไม่แน่นะ ใครจะรู้ว่าตอนดึกๆ ยัยพันธุรัตน์นั่นอาจจะแปลงร่างก็ได้” ชายหนุ่มเถียงกลับ

พอนึกถึงร่างอ้วนกลมกับดวงตาขวางๆ ของหญิงสาว พลวัตก็อดรู้สึกขนลุกไม่ได้ เจอกับเจ้าหล่อนทีไรเขาเป็นต้องมีความรู้สึกเหมือนโดนวิญญาณอาฆาตจ้องอยู่ทุกที

“เพื่อนพิมชื่อมธุรัตน์ต่างหากล่ะคะ” หญิงสาวแก้

จากนั้นก็บ่นพี่ชายยาวเหยียดว่าไม่ควรจะเรียกสุภาพสตรีแบบนั้น

“โอเคๆ พี่ผิดไปแล้ว คราวหลังจะพยายามเรียกให้มันถูกก็แล้วกัน” ชายหนุ่มยอมลงให้ก่อนตามความเคยชิน

ครอบครัวเขามีกันทั้งหมดสี่พี่น้อง บิดายังมีชีวิตอยู่แต่มารดาเสียชีวิตไปนานแล้ว ความที่พิมลตราเป็นลูกสาวคนเดียวและอายุห่างจากเขาครึ่งรอบ ชายหนุ่มจึงยอมลงให้กับน้องสาวเสมอ

“แล้วสรุปพี่จะให้น้ำผึ้งมาพักไหมคะ” น้องสาวคนดีถามกลับเสียงเข้ม

เป็นที่รู้กันว่านี่ไม่ใช่ประโยคคำถาม แต่เป็นประโยคคำสั่ง ให้พลวัตเปิดบ้านต้อนรับเพื่อนสนิทของเจ้าหล่อนอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง

“ให้พักรีสอร์ทได้ไหม พี่ออกเงินให้ก็ได้” พลวัตต่อรอง

“ไม่ได้ค่ะ พี่ก็รู้นี่นาว่าคนอย่างน้ำผึ้งเป็นยังไง ถ้าไม่มีคนดูแลต้องแย่แน่”

‘ก็รู้น่ะสิว่าเป็นคนยังไง ถึงไม่อยากให้มาพักด้วยไงเล่า’

พลวัตเถียงในใจแต่ก็ไม่กล้าพูดออกมา เพราะเดี๋ยวแม่น้องสาวขี้บ่นจะร่ายยาวอีกรอบ ชายหนุ่มถอนใจยาวเหยียด ปลอบใจตัวเองว่าคงแค่ไม่กี่วัน เมื่อคิดได้แบบนั้นจึงกลั้นใจรับปากน้องสาวไป

“บอกไว้ก่อนนะว่าพี่ทำงานทั้งวัน อาจจะไม่มีเวลาพาเขาเที่ยว”

“รู้แล้วค่ะ เรื่องนั้นไม่เป็นไรหรอก”

“เพื่อนพิมเขาจะมาอยู่กี่วัน”

“ไม่นานหรอกค่ะ แค่ 49 วันเอง ฝากพี่พลช่วยดูแลด้วยนะคะ”

พูดจบแม่น้องสาวตัวดีก็ตัดสายทิ้งไปเลย ทำเอาคนเป็นพี่อึ้งไปหลายนาที

“แค่ 49 วันอะไรกันเล่า เกือบสองเดือนเลยละนั่น” ชายหนุ่มโวยใส่โทรศัพท์ทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายตัดสายไปแล้ว

พลวัตบ่นอุบอีกยาวเหยียด ก่อนจะสะกิดใจสงสัยขึ้นมาว่าทำไมมธุรัตน์ต้องมาพักที่นี่ 49 วันด้วย ตัวเลขตัวนี้มันแปลกๆ อย่างไรอยู่

พอนึกขึ้นมาได้ว่ามันเป็นตัวเลขของวันที่วิญญาณคนที่ตายไปแล้วจะถูกปล่อยตัวจากนรกให้กลับมาล่ำลาลูกหลานที่บ้าน ชายหนุ่มก็กุมขมับ

“ตัวเลขมงคลฉิบ ซวยแน่งานนี้” ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเอง แล้วไปนั่งทำใจเตรียมรับหายนะที่จะมาเยือนในไม่ช้า

พลวัตไม่มีทางรู้เลยว่าถึงจะเตรียมตัวดีอย่างไร เขาก็ไม่มีทางคาดเดาได้ล่วงหน้าว่าแขกสาวคนนี้จะขยันสร้างเรื่องที่เขาคิดไม่ถึงได้ตลอดเวลา เพราะถ้ารู้ล่วงหน้าเขาจะไม่มีวันให้เธอมาพักร่วมชายคาเดียวกันแน่นอน


ในวันก่อนเดินทาง พิมลตราก็เดินกระย่องกระแย่ง ลากเอากระเป๋าเดินทางใบใหญ่มาวางไว้ตรงหน้ามธุรัตน์ แล้วขนเอาเสื้อผ้าที่ซื้อมาใหม่กับเสื้อผ้าของตัวเองที่คิดว่าเหมาะกับเพื่อนเอามาให้เลือก

“ไปอยู่ตั้งเกือบสองเดือนต้องเตรียมของไปให้ครบนะ เราให้ยืมกระเป๋าเดินทางอีกใบ จะได้ใส่พวกอุปกรณ์ปฐมพยาบาลกับรองเท้าแล้วก็กระเป๋าถือ”

สำหรับผู้หญิงชอบแต่งตัวอย่างพิมลตรา กระเป๋าเดินทางใบเดียวย่อมไม่พอให้ใส่ข้าวของ ทว่ามธุรัตน์กลับหยิบเสื้อผ้าไปไม่เท่าไร แล้วก็ปิดกระเป๋าเลย แถมยังทำท่าจะบอกว่าไม่จำเป็นจะต้องใช้กระเป๋าอีกใบอีกต่างหาก

“อ๊ายยย! ไม่ได้นะ ต้องเอาของไปให้ครบ พวกหยูกยา รองเท้าก็ต้องมีเปลี่ยน” หญิงสาวร้องเสียงหลง

สุดท้ายก็อดรนทนไม่ไหวต้องมานั่งจัดกระเป๋าให้เพื่อนสาวด้วยตัวเอง

“น้ำผึ้งไปตัดผมไป ไปร้านที่เราไปประจำนะ” พิมลตราออกคำสั่ง

หญิงสาวฝากความหวังเอาไว้กับช่างประจำ เพราะตอนนี้ข้อเท้าเธอยังเจ็บอยู่มาก แค่ยืนนิ่งๆ ยังปวด แล้วนับประสาอะไรกับเดินออกจากห้อง

ร้านประจำของพิมลตราตั้งอยู่ด้านล่างคอนโดมิเนียมนี่เอง เจ้าของเป็นเกย์หนุ่มหน้าตาหล่อเหลา ส่วนฝีมือการตัดผมก็ไม่ด้อยไปกว่าหน้าตาเลย เรียกว่าสมกับราคาที่ค่อนข้างแพงทีเดียว หญิงสาวจึงวางใจว่าเขาจะแปลงโฉมเพื่อนสาวให้ได้

แค่เดินลงไปตัดผมไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ทว่าวันนี้ฟ้ากลับไม่เป็นใจให้มธุรัตน์ได้แปลงโฉม เพราะหน้าร้านประจำของพิมลตรามีป้ายแปะหราว่าปิด ส่วนร้านข้างกันลูกค้าก็มีลูกค้าแน่นเต็มร้าน มธุรัตน์เลยเดินออกไปนอกคอนโดมิเนียม เพราะจำได้ว่าละแวกนี้มีร้านตัดผมอยู่

หญิงสาวเจอร้านเล็กๆ ร้านหนึ่งเปิดอยู่ พอเข้าไปเด็กในร้านก็หันมาบอกว่าช่างที่ตัดผมได้อาหารเป็นพิษ เพิ่งออกไปหาหมอเมื่อสักครู่นี่เอง ตัวเธอทำได้แค่สระไดร์กับทำสีผมเท่านั้น ส่วนร้านอื่นในละแวกนี้ก็มีแต่ร้านตัดผมผู้ชาย หญิงสาวจึงตัดสินใจเรียกแท็กซี่ให้ไปส่งที่ห้างสรรพสินค้า

คราวนี้เธอเจอร้านที่ไม่ค่อยมีคน แถมยังมีช่างอยู่เต็มร้าน หญิงสาวสั่งว่าให้ตัดตามใจช่างขอแค่ให้ออกมาดูดีก็พอ กำลังจะได้ตัดอยู่แล้วเชียว อยู่ๆ กรรไกรก็พังไปต่อหน้าต่อตา แล้วก็ไม่ใช่แค่อันเดียวด้วยแต่เป็นทั้งร้าน พอจะลุกไปร้านอื่นเขาก็ปิดกันหมดแล้ว มธุรัตน์ก็เลยต้องกลับบ้านในสภาพเดิม

หญิงสาวไม่ค่อยได้ออกกำลังกายก็เลยเหนื่อยง่ายกว่าปรกติ เธอหาวแล้วหาวอีกตลอดทางที่นั่งรถแท็กซี่กลับ พอมาถึงห้องเธอเลยตะโกนบอกเพื่อนสาวเพื่อรายงานตัว แล้วล้างมือล้างเท้าเตรียมเข้านอน

“ราตรีสวัสดิ์พิม” หญิงสาวตะโกนบอกอีกครั้ง ก่อนล้มตัวลงนอน

“ราตรีสวัสดิ์จ้ะ อย่าลืมปิดไฟก่อนอนนะ” พิมลตราตอบกลับโดยไม่เงยหน้าขึ้นมามอง

เธอมัวง่วนอยู่กับการจัดของก็เลยไม่ได้ตรวจเช็กทรงผมทรงใหม่ของเพื่อน ความที่ไว้ใจช่างก็เลยมั่นอกมั่นใจว่ามันต้องออกมาดูดี ที่ไหนได้ผมขอมธุรัตน์ยังไม่ถูกตัดเลยสักเส้น

พิมลตรายังคงจัดกระเป๋าต่อไปอย่างตั้งใจ เธอเสียเวลาจัดของนานเพราะรักพี่เสียดายน้อง กระเป๋าใบใหญ่สองใบยัดอย่างไรก็ยังล้น เลยต้องจัดใหม่เสียหลายรอบ กว่ากระเป๋าเดินทางจะเป็นที่พออกพอใจของพิมลตราก็เลยเวลาเที่ยงคืนมามากแล้ว

หญิงสาวลุกขึ้นมาบิดตัวแก้เมื่อย ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียง แล้วคิดในใจอย่างมาดมั่นว่าพรุ่งนี้จะตื่นมาจับเพื่อนสาวแต่งตัวแต่เช้า

มธุรัตน์มีผิวขาวซีดจึงไม่เหมาะกับเสื้อผ้าสีอ่อน เธอเลยเตรียมชุดเดรสสีเขียวมะกอกเอาไว้ให้ จับใส่คอนแทคเลนส์กับแต่งหน้าให้มีสีสันสักหน่อยก็ดูดีแล้ว ส่วนทรงผมเธอมั่นใจว่ายังเป็นผมยาวอยู่ เพราะช่างที่ร้านประจำเคยบอกว่ามธุรัตน์เหมาะกับผมยาว ดังนั้นคงไม่ตัดสั้นให้แน่ แค่หนีบผมจับจัดทรงอีกหน่อยก็สวยแล้ว รับรองว่าพี่พลจะต้องอ้าปากค้างแน่ ถ้าได้เจอนางผีเสื้อสมุทรตอนแปลงร่างเป็นนางอัปสร

พิมลตรามัวแต่นอนฝันหวานจนลืมเวลา รู้สึกตัวตื่นมาอีกทีก็สายโด่งแล้ว พอลุกขึ้นมาเธอก็เห็นโน้ตแผ่นหนึ่งทิ้งติดเอาไว้ข้างเตียง

‘เราไปแล้วนะ หายเร็วๆ ล่ะ’

เห็นข้อความแล้วหญิงสาวก็แทบกรี๊ดอย่างผิดหวังที่ไม่ได้แต่งตัวให้เพื่อน แล้วก็ต้องกรี๊ดจริงๆ เมื่อกระเป๋าเสื้อผ้าที่เธอเตรียมไว้ให้หายไปหนึ่งใบ ส่วนข้าวของถูกเทออกมาหมด ดูเหมือนว่ามธุรัตน์คงจะเห็นว่ามันเกินจำเป็นก็เลยจัดกระเป๋าตามแบบฉบับของตัวเองไปแทน

พิมลตรารีบคว้าโทรศัพท์โทรหาคู่หมั้น พอเขากดรับสาย เธอก็รัวคำพูดใส่ชนิดที่เรียกว่าฟังแทบไม่ทัน

“น้ำผึ้งไม่ยอมเอากระเป๋าที่พิมจัดให้ไปค่ะพี่เอี้ย เช็กในตู้มีเสื้อผ้าก็หายไปแค่ไม่กี่ชุดเอง มือถือก็ไม่เอาไป โอ๊ย! พิมอยากบ้า นี่รถไฟเที่ยวที่น้ำผึ้งจะไปก็กำลังจะออกแล้วด้วย ทำยังไงดีคะ”

มธุรัตน์เลือกเดินทางโดยรถไฟเพราะอยากจะชมทิวทัศน์ข้างทาง และส่วนหนึ่งที่เลือกวิธีนั้นก็เพราะได้รับแรงบันดาลใจมาจากหนังสือที่อ่าน

“ใจเย็นๆ พิม สูดหายใจลึกๆ ก่อน เรื่องเสื้อผ้าไม่ต้องห่วงหรอก ส่งไปกับรถทัวร์หรือรถไฟก็ได้นี่” อรรณพปลอบ

พิมลตราเป็นต้องสติแตกทุกทีเวลามีเรื่องเกี่ยวกับมธุรัตน์ ท่าทางชาติก่อนคงจะเป็นแม่ลูกกันจริงๆ กระมัง ก็เลยนึกรักนึกห่วงกันได้ขนาดนี้

“พิมลืมคิดไปเลย ขอบคุณนะคะพี่เอี้ย พี่เอี้ยรีบขึ้นมาเลยนะคะ หากล่องใบใหญ่ๆ ให้พิมด้วย พิมขอไปหาข้อมูลก่อนว่าส่งทางไหนดี” หญิงสาวสั่งเร็วจี๋ แล้วเปิดคอมพิวเตอร์หาข้อมูลการส่งของเป็นการด่วน

พอตัดสินใจเลือกได้ว่าจะส่งทางรถไฟ หญิงสาวก็โทรศัพท์ไปสอบถามเจ้าหน้าที่ เพื่อจะได้ฝากของไปให้เร็วที่สุด

เจ้าหน้าที่แนะนำให้เธอฝากของไปกับขบวนพิเศษที่จะออกในอีกสองชั่วโมงข้างหน้า ได้รายละเอียดแล้วเธอก็รีบเก็บของลงกล่อง จัดหีบห่ออย่างดี พออรรณพเอาของไปส่งที่สถานีเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวก็โทรศัพท์บอกพี่ชายให้รอรับของด้วย

พอจัดการทุกอย่างเสร็จ หญิงสาวก็ถอนใจแรงๆ อย่างโล่งอก โดยไม่รู้เลยว่าได้มีเหตุผิดพลาดบางอย่างเกิดขึ้น


พิมลตราไม่เคยบอกพี่ชายเลย เรื่องที่เพื่อนรักของเธอน้ำหนักลดลงสามสิบกว่ากิโลฯ พลวัตจึงยังติดภาพมธุรัตน์ที่อ้วนเป็นโอ่งมังกรอยู่

ชายหนุ่มไม่ว่างไปรับหญิงด้วยตัวเอง ก็เลยให้คนงานไปแทน แต่ไม่มีใครรู้จักมธุรัตน์ เขาจึงเปิดลิ้นชักหารูปหญิงสาวเอามาให้ใช้อ้างอิง

พลวัตไม่ได้พิศวาสเพื่อนน้องสาวถึงขนาดมีรูปเก็บไว้ แต่ที่มีเพราะสองคนนี้ชอบทำตัวเป็นปาท่องโก๋ไม่ยอมพรากจากกันไปไหน เวลาถ่ายรูปเลยออกมาจึงเป็นอย่างที่เห็น

หนึ่งในรูปถ่ายหลายใบที่เขาเก็บเอาไว้ เป็นรูปของน้องสาวกับมธุรัตน์สมัยประถม มองแล้วก็อดนึกถึงครั้งแรกที่เขาพบเธอไม่ได้

วันนั้นเขาขับรถไปรับน้องสาวที่โรงเรียนแทนบิดา เพราะว่าพ่อติดงานด่วน ตอนนั้นพิมลตราเพิ่งจะสิบขวบเท่านั้น พอเห็นพี่ชายมารับก็วิ่งเข้ามาหาเขาอย่างยินดี แล้วก็วิ่งหายไปจูงมือสาวน้อยร่างอวบมาหาเขา

‘นี่เพื่อนสนิทพิมชื่อน้ำผึ้ง’

มธุรัตน์ตัดผมสั้นเต่อจนเห็นติ่งหู แล้วก็ไว้หน้าม้า ทำให้ใบหน้ากลมๆ ยิ่งดูกลมเข้าไปใหญ่ พวงแก้มยุ้ยๆ ของเธอ ทำให้เขาคันมืออยากจะหยิกแก้มเล่น ชายหนุ่มเลยย่อตัวลงเพื่อทำความรู้จัก แนะนำตัวเสร็จ เขาก็คว้าหมับเข้าที่แก้มของเด็กหญิงอย่างมันเขี้ยว

มธุรัตน์ไม่ร้องไห้ ไม่โวยวาย แต่จ้องเขาตาขวาง ทำเอาพลวัตต้องถอยกรูดออกมาด้วยความตกใจ กับสายตาที่เหมือนกับถูกผีเข้าของเธอ

นับจากวันนั้นเวลาเจอเขาทีไร เธอจะต้องมองเขาด้วยสายตาแบบนี้ตลอด มันทำให้พลวัตรู้สึกผวา และเริ่มจะไม่ถูกโรคกับเพื่อนสนิทของน้องสาวคนนี้ ชายหนุ่มจึงเป็นคนเดียวในครอบครัว ที่ไม่เคยเข้าไปเหยียบห้องที่น้องสาวอยู่กับมธุรัตน์เลยสักครั้ง

ชายหนุ่มหยิบรูปที่ซุกไว้ออกมาวางเรียงกัน แล้วเลือกใบที่ดูใหม่ที่สุดส่งให้คนงาน

“หน้าตาอย่างในรูปนี่แหละ อ้วนๆ ตาขวางๆ หาไม่ยากหรอก”

สั่งเสร็จเขาก็เดินออกไปทำงานในไร่ต่อ และไม่ได้ใส่ใจจะนึกถึงเรื่องของมธุรัตน์อีก


มธุรัตน์เดินทางออกจากกรุงเทพฯ ที่สถานีรถไฟบางซื่อ โดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่สถานีรถไฟมวกเหล็ก ขบวนรถที่เธอนั่งมาออกจากสถานีเวลาประมาณเก้าโมงครึ่งและมาถึงที่หมายปลายทางประมาณบ่ายสองโมง

เสียงอึกทึกของผู้คนบริเวณสถานีรถไฟดังจนหญิงสาวแสบแก้วหู มธุรัตน์เกลียดความวุ่นวายเข้ากระแสเลือด ก็เลยหลบมุมออกมาให้ไกลจากลำโพงและผู้คนมากที่สุด

หญิงสาวใช้กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ต่างเก้าอี้ แล้วหยิบนวนิยายที่เอาติดตัวมาด้วยขึ้นมาอ่านรอเวลาให้คนมารับ

มธุรัตน์อ่านนวนิยายไปเรื่อยๆ โดยไม่สังเกตสิ่งรอบตัว เธอจึงไม่รู้ว่าผู้ชายที่อยู่เยื้องกันไม่ไกลกัน สวมเสื้อยืดที่เขียนคำว่าไร่นายพฤกษ์ และกำลังชะเง้อมองหาใครบางคนอยู่ หากได้สังเกตพฤติกรรมของเขา หญิงสาวต้องเดาได้ในทันทีว่าเขามารับเธอ แต่มธุรัตน์ก็ไม่ได้เงยหน้าขึ้นจากหนังสือเลย

เธออ่านหนังสือไปพลางรอไปพลางอยู่ที่สถานีจนกระทั่งห้าโมงเย็น ก็ยังไม่เห็นมีวี่แววว่าจะมีใครมารับหรือประกาศหาตัวเธอ หญิงสาวจึงตัดสินใจเดินออกมาด้านนอก เพื่อหารถไปที่ไร่เอง

ไร่ของพลวัตอยู่คิดกับไร่ที่เป็นสถานที่ตั้งรีสอร์ทมีชื่อ พอบอกคนขับรถสองแถวเขาก็รู้จักทันที แต่เนื่องจากมันอยู่นอกเส้นทาง ถ้าจะไปหญิงสาวจะต้องจ่ายเงินเพิ่ม จำนวนเงินที่อีกฝ่ายเรียกไม่ได้ขูดรีดจนน่าเกลียด หญิงสาวจึงตอบตกลงในทันที

มธุรัตน์สะพายเป้ใบย่อมขึ้นบ่า แล้วลากกระเป๋าเดินทางใบเขื่อง ขึ้นรถสองแถวไปกับผู้โดยสารคนอื่นๆ ในขณะที่คนที่ถูกส่งมารับเธอ ยังคงชะเง้อรอรับหญิงสาวอยู่ที่สถานี


ทางด้านพลวัต ชายหนุ่มกำลังปวดหัว เพราะน้องสาวโทรมาถามแทบจะทุกสิบนาทีว่า เพื่อนรักสุดสวาทขาดทรวงของเจ้าหล่อนไปหรือยัง เนื่องจากรู้ว่ามธุรัตน์คลาดกันกับลูกน้องของเขา

“พี่พลบ้าที่สุดเลย! พิมย้ำแล้วนะว่าให้พี่ไปรอรับเอง ถ้าน้ำผึ้งเป็นอะไรไป ทั้งหมดเป็นความผิดของพี่พลคนเดียว”

“อ้าว! ว่าพี่ได้ยังไง เพื่อนเราต่างหากที่เดินหายไปเอง จะโทษพี่หรือคนของพี่ไม่ได้นะ อีกอย่างไม่มีใครเขาทำอะไรยัยยักษ์ขมูขีนั่นหรอกน่า” ชายหนุ่มเถียงกลับเพราะเริ่มจะรำคาญแม่น้องสาวจอมจู้จี้ขึ้นมา

ถ้ามธุรัตน์เป็นเด็กเล็กๆ อายุไม่กี่ขวบก็ว่าไปอย่าง แต่นี่อีกไม่กี่ปีก็จะเป็นป้าอายุสามสิบแล้ว เขาเลยคิดว่าพิมลตราตื่นตูมไปกว่าเหตุ ทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่

“ไม่รู้ล่ะ พี่พลรีบไปตามหาตัวน้ำผึ้งเลยนะ ถ้าไม่เจอได้เห็นดีกันแน่”

ออกคำสั่งเสร็จแม่น้องสาวตัวดีก็กดสายทิ้งอย่างมีอารมณ์

งานนี้พลวัตไม่เพียงแต่เคืองน้องสาว แต่ยังพาลโกรธมธุรัตน์ที่ไม่อยู่รอคนของเขาด้วย ถ้ายังเป็นเด็กอยู่เจอหน้าเมื่อไรเขาคงจะจับมาฟาดก้นให้สำนึก

ชายหนุ่มออกไปตามหาหญิงสาวด้วยอารมณ์หงุดหงิด ก่อนไปเขาสั่งป้ามะลิ แม่บ้านร่างอวบ ให้คอยอยู่ที่นี่ก่อน เผื่อว่ามธุรัตน์จะมาถึงตอนที่เขาออกไป เธอจะได้เข้าบ้านได้

บ้านของชายหนุ่มหาไม่ยากเพราะตั้งอยู่กลางไร่ รอบบริเวณไม่มีอะไรมาบังสายตา อีกทั้งหน้าบ้านยังแปะป้ายหราว่าบ้านเจ้าของไร่ มีวงเล็บชื่อนามสกุลให้พร้อม ถ้ามธุรัตน์ไม่ตาบอดหรือเซ่อสุดขีดก็น่าจะมาเองถูก

ชายหนุ่มกระโดดขึ้นรถกระบะคู่ใจ แล้วขับออกไปตามถนน สายตาก็สอดส่ายหามธุรัตน์ไปด้วย ระหว่างทางเขาเห็นผู้หญิงผมยาวคนหนึ่งกำลังลากกระเป๋าไปที่บ้านพักของคนงาน ชายหนุ่มชะลอรถมอง พอเห็นว่าเธอมีรูปร่างผอมบาง เขาก็ขับรถผ่านไป แล้วบอกตัวเองว่าไม่น่าจะใช่

พลวัตขับรถเที่ยวตามหามธุรัตน์จนกระทั่งค่ำมืด แต่หาเท่าไรก็หาไม่พบ ในจังหวะนั้นพิมลตราก็ติดต่อมาหาเขาอีกครั้ง

เธอย้ำว่ารู้นิสัยของเพื่อนดี มธุรัตน์ไม่มีทางเถลไถลไปเที่ยวที่อื่นอย่างเด็ดขาด เพราะสัญญากันเอาไว้แล้วว่าจะมาที่ไร่เลย ที่ยังไปไม่ถึงจะต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่ ความหงุดหงิดในใจของพลวัต จึงเริ่มแปรเปลี่ยนไปเป็นความวิตกกังวล

“พี่พลหาดีแล้วแน่นะคะ บุคลิกน้ำผึ้งเด่นสะดุดตาจะตาย ชอบเดินก้มหน้าแล้วพูดพึมพำคนเดียว ผมยาวๆ ท่าทางหลอนๆ น่ะค่ะ” พิมลตราพยายามอธิบายเพิ่ม

“พี่หาคนอย่างที่เราว่าจนตาถลนแล้วเนี่ย มีแต่คนผอม ไม่มีคนอ้วนเลยสักคน” ชายหนุ่มตอบกลับด้วยน้ำเสียงค่อนข้างเครียด

“เพื่อนพิมไม่ได้อ้วนนะพี่พล ตอนนี้น้ำผึ้งเบากว่าพิมอีก หนักไม่ถึงห้าสิบกิโลฯ ด้วยซ้ำ”

คำพูดของน้องสาวทำให้ชายหนุ่มนึกถึงผู้หญิงผมยาวที่เขาขับรถสวนไปเมื่อยี่สิบนาทีก่อน

“พี่ว่าพี่รู้แล้วว่าเพื่อนเราอยู่ที่ไหน แค่นี้ก่อนนะ” พลวัตตัดสายแล้วรีบย้อนกลับไปที่บ้านพักคนงานทันที

บ้านพักของคนงานเป็นบ้านอิฐหลังคามุมกระเบื้อง ก่อสร้างอย่างดีให้คงทนแข็งแรง แยกเป็นหลังให้อยู่กันเป็นครอบครัว ชายหนุ่มทุ่มทุนสร้างบ้านพักให้อยู่สบาย มีน้ำไฟ สาธารณูปโภคครบครัน ก็เพราะอยากให้คนงานได้พักผ่อนกันเต็มที่จะได้มีแรงทำงาน และเป็นการซื้อใจคนงานอย่างหนึ่ง

ลุงพฤกษ์ เจ้าของไร่คนก่อน ซึ่งล่วงลับไปแล้วสอนเสมอ ให้ทำดีกับพวกคนงานให้มาก อย่าคิดว่าเขาเป็นแค่ลูกจ้าง ให้คิดว่าเป็นเพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง จะเป็นนายคนต้องหันใช้พระเดชพระคุณให้เป็น งานจึงจะเดินหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ชายหนุ่มปฏิบัติตามคำสอนข้อนี้อย่างเคร่งครัด คนงานในไร่เขาส่วนใหญ่จึงเป็นคนงานประจำ ไม่ใช่แรงงานต่างด้าวที่จ้างมาชั่วครั้งชั่วคราวอย่างไร่อื่น

พลวัตบริหารจัดการเป็น จึงมีงานป้อนให้คนงานทำไม่ได้ขาด ฤดูไหนงานชุกก็ค่อยจ้างคนเพิ่มเอา ทุกคนจึงสมัครใจที่จะทำงานกับเขา แม้ว่าช่วงไหนงานน้อยจะได้ค่าแรงน้อยตาม แต่ก็ไม่มีใครคิดลาออก เพราะยังมีที่พักกับอาหารเป็นสวัสดิการให้

พลวัตจอดรถเข้ามาเทียบที่โรงอาหาร ซึ่งมีพวกคนงานล้อมวงดื่มเหล้ากันอยู่ แล้วไขกระจกรถลงมาถามหาผู้หญิงผมยาว ที่มีกระเป๋าล้อลากสีแดงใบใหญ่

“อ๋อ! เห็นครับเห็น เขามาถามทางไปบ้านคุณพลเมื่อครู่นี่เอง” คนงานคนหนึ่งบอก

พลวัตเลยตบหน้าขาตัวเองฉาดใหญ่ ที่ได้เบาะแสของเธอในที่สุด

“ขอบใจมาก” ชายหนุ่มตะโกนบอก แล้วบึ่งรถกลับไปยังที่พักในทันที


ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังออกรถ มธุรัตน์ก็เดินมาใกล้ถึงบ้านของเขาแล้ว อีกเพียงห้าสิบเมตรเท่านั้นก็จะถึงที่หมาย แต่หญิงสาวกลับถูกฟ้ากลั่นแกล้ง ด้วยการเสกสายฝนให้ตกลงมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

สองแขนสองขาของเธอเริ่มล้าเพราะเดินลากกระเป๋าหนักอึ้งมาไกล แต่กระนั้นเธอไม่ก็ย่อท้อ มธุรัตน์ไม่ชอบโอดครวญหรือบ่นพึมในโชคชะตา เธอคิดว่าการทำแบบนั้นเป็นอะไรที่ไร้ประโยชน์สิ้นดี สู้เอาเวลาไปทำอย่างอื่นให้ชีวิตตัวเองดีขึ้นดีกว่า

หญิงสาวกลั้นใจลากกระเป๋า ฝ่าสายฝนที่ตกลงมาหนาเม็ดไปยังที่หมาย ด้วยพลังทั้งหมดที่เหลืออยู่

ในที่สุดเธอก็มาถึงที่พัก แสงไฟสีส้มที่สาดส่องออกมาทางหน้า ทำให้ร่างกายที่กำลังสั่นสะท้านเพราะความหนาวรู้สึกดีขึ้นมาก

มธุรัตน์เดินแหวกม่านสร้อยอินทนิลที่ทิ้งตัวลงมา แล้วมองหากริ่งเพื่อกดเรียกคนในบ้าน กวาดตาอยู่ครู่หนึ่งเธอก็พบว่าที่นี่ไม่มีกริ่ง ก็เลยเคาะประตูเรียกแทน ทว่าก็ไม่มีเสียงตอบรับ

เธอเดาเอาว่าเสียงสายฝนที่ตกลงมาคงจะดังกลบเสียงเคาะประตู หญิงสาวจึงทิ้งกระเป๋าสะพายกับกระเป๋าล้อลากไว้หน้าบ้าน แล้วเดินอ้อมไปที่หน้าต่างบริเวณข้างบ้าน เพื่อเคาะกระจกเรียกแทน

นางมะลิกำลังสาละวนจัดโต๊ะอาหารอยู่ในห้องครัว ตอนที่มธุรัตน์กำลังมองผ่านกระจกเข้ามา

แม่บ้านสูงวัยรู้ว่าจะมีแขกมาแต่ไม่รู้เวลาแน่นอน ก็เลยตั้งอาหารไว้บนเตาก่อน จะได้อุ่นให้รับประทานกันร้อนๆ

ในจังหวะที่กำลังเปิดลิ้นชักหยิบช้อนส้อม นางมะลิก็เหลือบไปเห็นเงาสลัวบริเวณหน้าต่าง

“ใครน่ะ มาด้อมๆ มองๆ อะไรตรงนั้น”

เจ้าของเงาสลัวตอบแกกลับมาด้วยเสียงแผ่วเบาเสียจนแทบไม่ได้ยิน นางมะลิจึงเดินเข้าไปเอียงหูฟังใกล้ๆ

“ว่าอะไรนะ มีธุระอะไร”

“นะ...หนาว เปิดประตู...ที”

เสียงยานคางเย็นยะเยือกที่ดังเข้าแว่วเข้ามาในโสตประสาท ทำเอาขนลุกเกรียว นางมะลิผละออกมาจากกระจก แล้วตวัดสายตาขึ้นมองใบหน้าที่เคลื่อนเข้ามาใกล้ สิ่งที่เห็นคือดวงหน้าสีเขียวคล้ำของหญิงสาวแปลกหน้าคนหนึ่ง

“กรี๊ดดดด!” นางมะลิร้องเสียงดังสนั่นด้วยความตกใจ

สภาพของมธุรัตน์ในตอนนี้ มองเผินๆ ไม่ต่างจากสภาพศพของคนเพิ่งจมน้ำตายเลย เธอเป็นคนขี้หนาว แถมผิวยังขาวจัด พอเจออากาศเย็นเข้าหน่อยร่างกายจึงเขียวไปทั้งตัว

“ผะ...ผีหลอก” นางมะลิถอยร่นออกมาด้วยความหวาดกลัว

หญิงสาวอยากจะชี้แจงว่าเธอไม่ใช่ผี แต่หนาวสั่นเกินกว่าจะเปล่งคำพูดออกมาได้ เธอก็เลยเคาะกระจกเรียกแทน เพื่อพิสูจน์ว่าตัวเองเป็นคน สามารถจับต้องสิ่งของได้

ทว่าบทพิสูจน์ของมธุรัตน์กลับทำให้อีกฝ่ายผวาหนักเป็นเท่าตัว ดวงตาของนางมะลิเบิกค้าง แล้วเริ่มหอบหายใจอย่างลำบาก อยู่ๆ อาการปวดแปลบที่หน้าอกก็เข้ามาจู่โจม ใบหน้าของนางมะลิบิดเบี้ยวอย่างทรมาน ก่อนจะทรุดลงกับพื้นหมดสติไปต่อหน้าต่อตามธุรัตน์

ในจังหวะที่นางมะลิกรีดร้อง พลวัตกำลังลงจากรถมาพอดี เขาจึงรีบวิ่งไปดูว่าอะไรขึ้น แล้วก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อเห็นกระเป๋าสีแดงใบใหญ่ กับรอยรองเท้าเปียกชุ่มเดินอ้อมไปด้านหลังบ้าน

พลวัตเข้าใจในทันทีว่าป้ามะลิตกใจเรื่องอะไร เขาเลยเดินไปตามมธุรัตน์ที่หลังบ้าน แต่หญิงสาวเดินมาหาเสียก่อน สภาพของเธอท่ามกลางความสลัวทำให้เขาเกือบจะแหกปากร้องตามป้ามะลิไปอีกคน ยังดีที่เขาจำดวงตาขวางๆ ของเธอได้แม่น ก็เลยตั้งสติเอาไว้ได้

“ป้าที่อยู่ในบ้านเป็นลมไปแล้ว เหมือนจะเป็นโรคหัวใจกำเริบ” มธุรัตน์รีบบอก

เธอเดาว่าเป็นโรคหัวใจเพราะเห็นป้าแกเอามือกุมหน้าอก นักเขียนนวนิยายแนวฆาตกรรมอย่างเธอ เขียนฉากคนหัวใจวายตามานักต่อนักแล้ว ก็เลยศึกษาจากภาพยนตร์ แล้วซักถามจากคนที่เป็นโรคหัวใจมาพอสมควร

นางมะลิมีโรคประจำตัวคือโรคหัวใจ เป็นไปได้สูงว่าอาจจะตกใจแล้วช็อกไปจริงๆ พลวัตจึงรีบไขกุญแจเปิดประตูเข้าไปในบ้าน

ชายหนุ่มตรงเข้าใจจับชีพจรของคนที่นอนแน่นิ่งอยู่ หัวใจของนางมะลิยังเต้น แต่ชีพจรเต้นอ่อนมากจนน่าเป็นห่วง เรียกอย่างไรก็ไม่ได้สติ ชายหนุ่มจึงก้มลงช้อนร่างของนางมะลิขึ้นมา แล้วสั่งให้มธุรัตน์ช่วยเปิดประตูรถให้

“ผมจะไปโรงพยาบาล ฝากเฝ้าบ้านด้วย” ชายหนุ่มหันมาสั่ง แล้วออกรถในทันที

พลวัตพานางมะลิไปส่งที่โรงพยาบาลประจำอำเภอ จากนั้นจึงค่อยติดต่อไปยังญาติของนางมะลิ ลูกชายแกเป็นช่างในไร่ ส่วนลูกสาวทำงานเป็นผู้ช่วยพยาบาลอยู่ที่โรงพยาบาลมวกเหล็กพอดี ชายหนุ่มจึงได้พบลูกสาวของนางมะลิก่อน

อรอุมากำลังจะออกเวรพอดี ตอนได้ข่าวว่าแม่เข้าโรงพยาบาล หญิงสาวกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาหาพลวัตด้วยสีหน้าซีดเซียว ด้านหลังมีสามีที่ทำงานในโรงพยาบาลเหมือนกันเดินตามมาด้วย

“แม่เป็นอะไรไปคะคุณพล” หญิงสาวเอ่ยถามเสียงสั่น

“น่าจะโรคหัวใจกำเริบ ผมเองก็ไม่รู้ว่าอาการหนักแค่ไหน”

ชายหนุ่มอธิบายอย่างย่อว่าพบนางมะลิหมดสติอยู่ เลยรีบพามาที่โรงพยาบาล ส่วนรายละเอียดเรื่องที่แกตกใจจนหัวใจวายเพราะมธุรัตน์ ชายหนุ่มข้ามไปไม่เอ่ยถึง เนื่องจากเกรงว่าจะมีปัญหาตามมา

ธรรมชาติของคนที่นี่มีน้ำใจแต่ว่าอ่อนไหวมาก บ่อยครั้งที่เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่เพราะคำพูดปากต่อปาก ชายหนุ่มจึงถือคติพูดให้น้อยเข้าไว้เป็นการดีที่สุด

“เรื่องค่าใช้จ่ายไม่ต้องห่วงนะ ผมจะรับผิดชอบเอง ถ้าพ้นขีดอันตรายแล้วก็ให้นอนห้องพิเศษได้เลย ถ้าห้องไม่ว่างจะย้ายไปโรงพยาบาลเอกชนก็ได้”

“ขอบคุณมากค่ะคุณพล”

อรอุมายกมือไหว้ ในขณะที่สามีค้อมศีรษะให้

จากนั้นพยาบาลก็นำเอกสารมาให้กรอกประวัติผู้ป่วยอย่างละเอียด เกี่ยวกับโรคประจำตัวและประวัติการแพ้ยา

นางมะลิป่วยเป็นโรคหัวใจมาเจ็ดปีแล้ว เมื่อก่อนแกทำงานเป็นแม่บ้านในบริษัทค้าไม้ที่อำเภอปากช่อง ซึ่งอยู่ติดกับอำเภอมวกเหล็ก ความที่ยังแข็งแรงแกก็เลยอยู่คนเดียว เพราะมีบ้านอยู่ที่นั่น จนกระทั่งโรคหัวใจกำเริบหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาล ลูกชายที่ยังโสดก็เลยรับมาอยู่ด้วยกันที่ไร่ แกอยู่ว่างๆ ก็เบื่อ จึงรับทำหน้าที่เป็นแม่บ้านให้กับพลวัตเรื่อยมา

รออยู่อีกราวครึ่งชั่วโมง อดิเรก ลูกชายคนเล็กของนางมะลิก็มาถึง ชายหนุ่มเป็นช่างซ่อมบำรุงประจำไร่ คราบน้ำมันที่ติดอยู่ตามเสื้อผ้าบ่งว่าเขารีบรุดมาทันทีที่ได้ข่าว จึงยังไม่ทันได้ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า

พอได้พบหน้าพี่สาว อดิเรกก็เจอบ่นยาวใส่ชุดใหญ่ โทษฐานไม่ดูแลแม่ให้ดี ปล่อยให้ลืมกินยาจนอาการป่วยกำเริบ

“อย่าบ่นน่าพี่อ้อย มาเป็นฉันบ้างพี่สิ แล้วพี่จะรู้สึก แม่แกดื้ออย่างกับอะไร บอกว่ากินแล้วบางทีไม่ยอมกินก็มี” อดิเรกแก้ต่าง

“ก็บอกแล้วไงว่าให้ดูแลเรื่องยาให้ดี ถ้าแม่เป็นอะไรไปนะ ฉันจะจุดธูปบอกพ่อว่าแม่ตายเพราะแก” อรอุมาแว้ดใส่น้องชายอย่างมีอารมณ์

เธออยากจะรับแม่ให้มาอยู่ด้วยกันนานแล้ว แต่แม่ก็ขี้เกรงใจ เห็นว่าเธอมีสามีกับลูกเล็กที่ต้องดูแล แล้วตัวแกก็ยังแข็งแรงเลี้ยงตัวเองได้ ก็เลยสมัครใจไปอยู่กับลูกชายคนเล็กมากกว่า

“อ้าวพี่อ้อย! ทำไมแช่งแม่อย่างนั้นล่ะ” คนเป็นน้องโต้กลับด้วยเสียงดังพอกัน

ยังไม่ทันที่สามีของอรอุมาซึ่งเป็นคนกลางจะเช้ามาห้ามทัพ พยาบาลในห้องฉุกเฉินก็เดินมาบอกเสียก่อนว่าคนไข้พ้นขีดอันตรายแล้ว ตอนนี้มีสติดีสามารถพูดคุยได้ แต่ต้องอยู่รักษาตัวในห้องไอซียูเพื่อรอดูอาการสักระยะ

“แม่ผมจะต้องอยู่โรงพยาบาลนานไหมครับคุณพยาบาล” อดิเรกถาม

“มันก็ขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วยค่ะ พรุ่งนี้เช้าคุณหมอจะมาตรวจประเมินอาการอีกที ให้ญาติมาฟังด้วยนะคะ”

พลวัตนั่งฟังการสนทนาอยู่เงียบๆ สรุปแล้วอาการของนางมะลิไม่ได้รุนแรงมาก แต่ตอนนี้ยังเข้าเยี่ยมไม่ได้ จึงต้องแยกย้ายกันกลับไปก่อน พรุ่งนี้เช้าอรอุมาจะเป็นคนมาเยี่ยมแม่เพื่อรับทราบอาการจากหมอ ส่วนตอนเย็นอดิเรกค่อยมาเยี่ยมจะได้ไม่เสียงาน

“พรุ่งนี้ผมให้หยุดได้ จะไม่หักวันลาด้วย มาอยู่ดูแลแม่เถอะ” พลวัตหันไปพูดกับลูกน้อง

เขาเข้าใจดีกว่าอดิเรกรักและเป็นห่วงแม่มาก แต่ก็เกรงใจเขาที่เป็นนายจ้าง ช่วงนี้มีงานซ่อมบำรุงเยอะ อดิเรกจึงไม่กล้าขอลางาน

เมื่อตกลงกันได้แล้ว ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไปกลับบ้าน อดิเรกจะไปค้างที่บ้านของพี่สาว พลวัตจึงขับรถกลับไปที่ไร่ตามลำพัง


ทางด้านมธุรัตน์ เมื่อถูกสั่งให้เฝ้าบ้านหญิงสาวก็ทำหน้าที่เป็นอย่างดี เธอล็อกประตูบ้าน แล้วหยิบผ้าเช็ดตัวมาเช็ดผมกับผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว เสร็จแล้วก็มานั่งรอฟังข่าวอาการของนางมะลิอยู่ที่มุมห้อง

ทว่านั่งอยู่ดีๆ ไฟฟ้าในบ้านก็ดับ มธุรัตน์ไม่รู้ว่าสาเหตุเกิดจากอะไร และก็ไม่คิดจะจัดการแก้ไขด้วย เพราะไม่คุ้นกับสถานที่ ทั้งยังมืดมากจนมองไม่เห็นแม้แต่มือของตัวเอง

หญิงสาวเลยทำได้เพียงนั่งกอดเข่า แล้วคิดอะไรเรื่อยเปื่อย เพื่อรอเวลาให้พลวัตกลับมาถึง

แม้จะได้เห็นหน้าเขาแค่ไม่กี่อึดใจ แต่มธุรัตน์ก็สังเกตได้ว่าเขาเปลี่ยนไปมาก ชายหนุ่มนักศึกษาตัวสูงเก้งก้างในความทรงจำของเธอ กลายเป็นชายร่างบึกบึน ดูเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ผิวเขาคล้ำลงมากกว่าที่จำได้ พอผสมเข้ากับรูปร่างที่มีมัดกล้ามอย่างนักกีฬา เขาก็ดูเข้มสมเป็นชายชาตรี เรียกว่าเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นมากทีเดียว

สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนไปเลยคือเครื่องหน้าของเขา ชายหนุ่มยังคงมีใบหน้าเรียวได้รูป และจมูกที่โด่งจัดจนน่าอิจฉา ริมฝีปากเขาหยักเป็นกระจับสวย ถ้าไม่มีดวงตาคมเหมือนนัยน์ตาพยัคฆ์กับไรหนวดที่สันกรามมาคานเอาไว้ เขาจะเป็นผู้ชายที่หน้าหวานคนหนึ่งทีเดียว

หญิงสาวรออยู่หลายชั่วโมงกว่าพลวัตจะกลับมาถึง ชายหนุ่มเห็นในบ้านและรอบบริเวณมืดสนิท ก็รู้ทันทีว่าระบบไฟฟ้าขัดข้อง ไร่เขามีโรงปั่นไฟไว้ใช้เอง นานทีปีหนมันจะมีปัญหาสักครั้ง และคนที่รับผิดชอบดูแลแก้ไขเรื่องไฟฟ้านี้ก็คืออดิเรก ซึ่งเขาเพิ่งอนุญาตให้ลางานไปดูแลแม่

“ซวยจริงๆ ให้ตายเถอะ” ชายหนุ่มบ่นอุบ แล้วคว้าไฟฉายในรถ ออกมาใช้นำทาง

ตอนนี้ฝนหยุดตกแล้วแต่ก็ยังมีฟ้าแลบแปลบปลาบให้ได้เห็นบ้าง บ้านไม้กลางไร่ที่มืดสนิทจึงดูวังเวงวิเวกกว่าทุกคราว

ชายหนุ่มกลับก้าวเท้าเข้าไปในตัวบ้านอย่างระมัดระวัง แล้วสาดไฟฉายไปทั่วห้องก่อนก้าวเข้าไปเพราะกลัวว่ามธุรัตน์จะโผล่หน้าขาวๆ มาทำให้เขาตกใจ

“คุณอยู่....เฮ้ย!”

เรียกได้เท่านี่พลวัตก็ต้องสะดุ้งเฮือกสุดตัว เขากระโดดถอยออกมาเสียหลายก้าว เพราะตกใจที่อยู่ๆ มธุรัตน์ก็เอาเมือเย็นเจี๊ยบของเธอมาแตะที่แขนเขา

“ป้าคนนั้นเป็นยังไงบ้าง” มธุรัตน์หันมาถามชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“พ้นขีดอันตรายแล้ว แต่ยังต้องอยู่โรงพยาบาลอีกสักพัก”

ชายหนุ่มเกือบจะเอ่ยโทษมธุรัตน์ ที่เธอเป็นสาเหตุที่ทำให้ป้ามะลิต้องเข้าโรงพยาบาล แต่ก็หยุดปากเอาไว้ทัน

หากจะกล่าวโทษเธอก็คงไม่ยุติธรรมนัก เพราะมธุรัตน์ไม่ได้แกล้งหลอกผีนางมะลิ เธอแค่เข้าบ้านไม่ได้แล้วไปเคาะเรียกทางหน้าต่างเท่านั้น ถ้าเป็นเขา เขาก็คงทำแบบนี้เหมือนกัน

“ดีจัง” มธุรัตน์พึมพำกลับมาด้วยน้ำเสียงโทนเดิม

หญิงสาวเป็นคนพูดเสียงเบา พูดช้าและใช้น้ำเสียงโทนเดียวกันทั้งประโยค อีกทั้งไม่ชอบแสดงอารมณ์ออกมาทางสีหน้าหรือน้ำเสียง มธุรัตน์เลยดูเหมือนเป็นคนแข็งทื่อไร้ชีวิตจิตใจ พลวัตรู้ดีว่าเธอเป็นคนอย่างไร จึงพยายามไม่ถือสาท่าทีเฉยชาของเธอ

“รออยู่นี่ก่อนนะ ผมขอไปดูคัทเอาท์ก่อน”

พลวัตเดินไปในห้องบันได สักพักหนึ่งก็เดินออกมา สภาพบ้านตอนนี้ยังคงมืดสนิท แสดงว่าปัญหาอยู่ที่โรงปั่นไฟจริงๆ

“ทำใจนะคุณ ท่าทางเครื่องปั่นไฟจะเสีย ช่างคนดูแลก็ไม่อยู่ด้วย คงไม่มีไฟฟ้าใช้อีกวันสองวัน”

เมื่อเห็นว่ามธุรัตน์ไม่พูดอะไร พลวัตเลยตรงเข้าไปยกกระเป๋าลากหนักอึ้งของหญิงสาวขึ้นมา แล้วเดินนำขึ้นไปชั้นบน ความหนักของมันทำให้แขนเขาเริ่มสั่น เลยต้องยกมันด้วยสองมือ

พอยกมันขึ้นมาที่ห้องได้ เขาก็นึกนับถือที่ผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างเธอลากกระเป๋าหนักอึ้ง เดินเข้ามาในไร่ได้ตั้งไกล

“พวกผ้าเช็ดตัวหรือของในห้องใช้ได้ตามสบายเลยนะ ด้านบนนี้มีแต่ห้องอาบน้ำ ส่วนห้องส้วมอยู่ที่ชั้นล่าง”

ห้องที่พลวัตจัดไว้ให้เป็นห้องขนาดกลาง มีเตียงห้าฟุตตั้งอยู่ มุมขวาของห้องจัดเป็นมุมนั่งเล่นเอาไว้

พลวัตวางของของหญิงสาวไว้ที่ปลายเตียง แล้วขอตัวไปหาเทียนมาให้ สักอึดใจต่อมา ชายหนุ่มก็เอาเชิงเทียนไปวางที่โต๊ะ จากนั้นจึงหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าเสื้อยื่นให้มธุรัตน์

“โทรหายัยพิมหน่อยสิ จะได้ไม่เป็นห่วง”

ตอนอยู่โรงพยาบาล เขาบอกพิมลตราไปรอบหนึ่งแล้วว่ามธุรัตน์มาถึงอย่างปลอดภัย แต่แม่น้องสาวตัวดีก็ยังอดห่วงไม่ได้ เขาจึงต้องสัญญาว่าถ้ากลับถึงบ้านจะให้มธุรัตน์โทรหาอีกครั้ง

“ขอบคุณ”

มธุรัตน์รับมาแล้วกดหมายเลขสิบหลักอย่างคล่องมือ เพราะมันเป็นเบอร์โทรศัพท์เพียงเบอร์เดียวในโลก ที่เธอจำได้ขึ้นใจ

“คุยเสร็จแล้วตามลงมาข้างล่างนะ จะได้กินข้าวกัน” พลวัตบอกก่อนจะเดินฝ่าความมืดลงมา

เขาเป็นเจ้าของสถานที่ จึงคลำทางในความมืดได้ไม่ยาก ก็เลยเสียสละไฟฉายติดรถเอาไว้ให้เธอใช้ เผื่อเธออยากลงมาเข้าห้องน้ำ จะได้ไม่ต้องห่วงว่าเทียนที่ถือมาจะดับ

ชายหนุ่มลงมาอุ่นอาหารอย่างเก้ๆ กังๆ เพราะไม่ถนัดงานครัวนัก ครั้งสุดท้ายที่เขาจับกระทะคงเป็นช่วงที่ไปเดินป่าเมื่อหกเจ็ดปีก่อนกระมัง

วันนี้นางมะลิทำสตูเนื้อ ไก่บาร์บีคิวและสลัดไว้ให้ เอามาอุ่นนิดหน่อยก็ส่งกลิ่นหอมน่ารับประทาน

พลวัตมองอาหารฝีมือแม่บ้าน แล้วถอนใจยาว เขาอาจจะต้องหาแม่บ้านคนใหม่ ถ้าลูกสาวนางมะลิรับแม่ไปอยู่ด้วย แต่ถึงนางมะลิจะกลับมาทำงานต่อ เขาก็ยังต้องเดือนร้อนอยู่ดี เพราะคงอีกนานกว่านางมะลิจะกลับมาทำงานได้ดังเดิม

ชายหนุ่มจัดจานไปพลาง คิดหาทางออกเรื่องปากท้องของตัวเองไปพลาง ระหว่างนั้นมธุรัตน์บังเอิญลงมาพอดี ชายหนุ่มเหลือบมองหญิงสาวอย่างคาดหวัง อย่างน้อยเธอก็เป็นผู้หญิงอาจจะทำอาหารเก่งผิดกับหน้าตาท่าทางก็ได้

พอเธอนั่งลงที่โต๊ะเรียบร้อยแล้ว เขาก็เลยเริ่มเกริ่นเรื่องที่แม่บ้านเข้าโรงพยาบาล และจะไม่มีคนทำอาหารให้ในระหว่างที่หญิงสาวมาพักที่นี่

“ฉันไม่ทำอาหารเด็ดขาด” หญิงสาวปฏิเสธในทันที ราวกับจะอ่านใจเขาออก

พลวัตเลยได้รู้ในวินาทีนั้นว่า เขาคิดผิดอย่ามหันต์ที่หวังพึ่งเจ้าหล่อน แต่ก็ยังอดย้อนไม่ได้

“ผมทำอาหารไม่เป็น ถ้าคุณไม่ทำ แล้วเราจะกินอะไรกัน”

“ไร่นี้มีโรงอาหาร”

ระหว่างทางที่เธอเดินเข้ามาเธอเห็นอยู่ว่าในไร่มีโรงอาหารของคนงานตั้งอยู่ ห่างไปแค่หนึ่งกิโลเมตรเท่านั้น

“นั่นมันเฉพาะมื้อเช้ากับมื้อเที่ยง มื้อเย็นถ้าไม่ทำงานนอกเวลาก็จะไม่มีเลี้ยง”

มื้อเช้าพลวัตพอจะทำอะไรง่ายๆ กินเองได้ ส่วนมื้อเที่ยงก็กินกับพวกคนงานเป็นประจำอยู่แล้ว ปัญหาจึงตกอยู่ที่มื้อเย็น พลวัตถือว่าการได้รับประทานอาหารแสนอร่อยแกล้มกับไวน์ เป็นความสุขอย่างหนึ่งในชีวิต ชายหนุ่มจึงค่อนข้างเดือดร้อนในเรื่องนี้

“ก็ไม่ต้องกินสิ” หญิงสาวตอบง่ายๆ แล้วรวบช้อนส้อมก่อนจะลุกไปจากโต๊ะ

พลวัตเพิ่งกินไปได้หน่อยเดียว แต่เจ้าหล่อนกินเกลี้ยงไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้

‘คนหรือเครื่องดูดเนี่ย’ ชายหนุ่มแอบนินทาในใจ

พอเธอเดินลับไปแล้ว พลวัตก็นึกขึ้นได้ว่าเขาจะต้องเป็นคนเก็บล้างจานมื้อนี้ ชายหนุ่มเจ้าระเบียบรักสะอาด แต่ก็เป็นเหมือนผู้ชายส่วนใหญ่คือเกลียดการทำงานบ้าน แต่จะปล่อยกองไว้ก็ไม่ใช่วิสัยของเขา ชายหนุ่มก็เลยต้องกลั้นใจเก็บล้างจานชามเอง

มาถึงวันแรกแม่บ้านก็หัวใจวาย ไฟดับ แถมเขายังต้องมานั่งล้างจานอีก เยี่ยมจริงๆ

“กรรมอะไรของกูวะเนี่ย” ชายหนุ่มแหงนหน้าขึ้นมองฟ้าเพื่อทวงถามคำตอบกับใครสักคน

สิ่งที่เขาได้กลับมาก็คือความเงียบ ความเงียบสามารถตีความได้หลายอย่างทั้งการปฏิเสธ การตอบรับและปลอบโยน

ไม่รู้ว่าพลวัตอุปมาไปเองหรือเปล่า แต่ความเงียบที่ได้มานี้ทำให้เขาคิดต่อได้เป็นตุเป็นตะเชียวล่ะว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์หรืออะไรสักอย่างที่ดลบันดาลให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น บอกให้เขาทนต่อไปอย่าได้บ่น เพราะนี่เป็นเพียงแค่น้ำจิ้มเท่านั้น

ก็ได้แต่หวังล่ะว่าลางสังหรณ์ครั้งนี้ของเขาจะไม่เป็นความจริง




นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 พ.ค. 2554, 10:57:25 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 ก.พ. 2555, 14:31:22 น.

จำนวนการเข้าชม : 2446





<< บทนำ + บทที่ 1 ความปรารถนาดีของเพื่อน   บทที่ 3 รสจูบ >>
Pat 30 พ.ค. 2554, 13:52:56 น.
^^55555


ดารานิล 30 พ.ค. 2554, 14:29:57 น.
น่าสงสารพระเอกอ่ะ


kaze 1 มิ.ย. 2554, 12:06:49 น.
ปวดท้อง...ขำมากไป 555555


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account