ปาริชาตซ่อนรัก
Tags: ปาริชาตซ่อนรัก สุรเสกข์ ปาริชาต บุษบาฮาวาย
ตอน: ตอนที่ 6
ตอนที่ 6
การได้เห็นปาริชาตตั้งหน้าตั้งตาทำงาน หลังจากถูกเขาออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเข้มงวด ทำให้คนที่รู้ว่าไม่ควรปล่อยให้เรื่องส่วนตัวมามีอิทธิพลเหนือจิตใจและการทำงาน เริ่มรู้สึกผิด
ดังนั้นเมื่อเห็นว่าคุณสุพล ได้เดินเข้ามาในห้องทำงานของเขาในเวลาใกล้เที่ยงวัน สุรเสกข์จึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากชวนให้ทุกคนไปรับประทานอาหารพร้อมหน้าพร้อมตา แม้จะยังคาใจกับการรู้จักกันของทั้งคู่ก็ตาม
“ใกล้เที่ยงแล้ว วันนี้ต้อนรับพนักงานใหม่ด้วยการไปทานข้าวข้างนอกกันไหมครับพ่อ”
คุณสุพลซึ่งเปิดประตูเข้ามาด้วยความรู้สึกหวั่นใจ เพราะรับรู้มาจากนภษรว่าปาริชาตที่ถูกตนไหว้วานให้นำแฟ้มงานไปเสนอแก่สุรเสกข์ ได้หายเงียบเข้ามาในนี้จนเวลาล่วงเลยไปร่วมชั่วโมง ทำให้ใจเขาถึงกับคิดไปต่าง ๆ นานา ครั้นได้เห็นหญิงสาวนั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างตั้งใจ ความวิตกกังวลของเขาก็คลายลง
“ทำอะไรกันอยู่”
“อ๋อ...ผมให้คุณปาริชาตจัดไฟล์งานในเครื่องคอมฯให้ใหม่ครับ แล้วเรื่องที่ผมชวน พ่อว่าไงครับ”
“ดี ๆ เพราะตั้งใจจะมาชวนอยู่เหมือนกัน”
การตอบรับพร้อมกับพยักหน้าหงึก ๆ ของคุณสุพล ทำให้สุรเสกข์ต้องยกมุมปากขึ้นยิ้ม ด้วยสิ่งที่ได้ยินนั้นไม่ต่างจากที่คาดเอาไว้ในใจเลยแม้แต่น้อย นี่พ่อของเขากำลังทำท่าเหมือนจะหลงเด็กสาวคนหนึ่งเหรอ...
แม้สุรเสกข์จะเพิ่งกลับจากเรียนต่อในระดับปริญญาโทที่ต่างประเทศและมาเริ่มต้นทำงาน หากแต่เขาก็คลุกคลีอยู่กับธุรกิจนี้ของครอบครัวมานาน ฉะนั้นเมื่อต้องมาช่วยผู้เป็นพ่อเต็มตัว จึงดูเหมือนจะไม่มีอะไรให้ต้องปรับเปลี่ยนมากมายเหมือนเช่นบัณฑิตสาวหมาด ๆ คนนี้
“ป่านทำงานใกล้จะเสร็จหรือยัง”
เสียงของคุณสุพลดังขึ้น ขณะหันไปหาหญิงสาวที่ยังจดจ่ออยู่กับงานบนหน้าจอคอมพิวเตอร์
“ยังค่ะ”
“มันใกล้เที่ยงแล้ว พักไว้ก่อนก็ได้ ทานข้าวกลับมาค่อยทำต่อ”
“พ่อครับ ผมจะคุยเรื่องแรลลี่”
เมื่อเห็นว่าผู้เป็นพ่อให้ความสนใจอยู่แต่กับปาริชาต ทั้ง ๆ ที่ยังยืนอยู่ในห้องทำงานของเขา แถมเจ้าของห้องก็นั่งหัวโด่อยู่ไม่ไกล สุรเสกข์จึงเรียกให้คุณสุพลหันมาหาบ้าง
“ทำไมเหรอ มีปัญหาอะไร”
“ถ้าคุณษรไม่ว่าง เราไปด้วยกันไหมครับ”
“เฮ้ย...ไม่ไป พ่อไปมาเยอะแล้วตั้งแต่หนุ่มยันแก่ เบื่อ...”
“งั้นผมว่าเราไม่ต้องไปดีกว่า”
“อ้าว...เค้าอุตส่าห์เชิญ ไปฟรีด้วยนะ คนอื่น ๆ เค้าต้องเสียเงินเสียทองด้วยซ้ำกว่าจะได้ไป”
เมื่อได้ยินลูกชายบอกว่าจะไม่เข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้ คุณสุพลก็ค้านออกมาทันใด กิจกรรมแรลลี่ที่จัดขึ้นในแต่ละครั้ง ผู้ที่ประสงค์จะส่งทีมเข้าร่วมการแข่งขันต้องมีค่าใช้จ่าย แต่นี่คงเป็นเพราะบริษัทวินเนอร์ ออโต้พาร์ท คือลูกค้ารายใหญ่ที่มียอดสั่งซื้อยางรถยนต์ปีละหลายล้านบาท ทางบริษัทผู้ผลิตจึงเป็นฝ่ายเชิญให้เข้าร่วมกิจกรรมและฟรีค่าใช้จ่ายในทุกรายการ
“แล้วพ่อจะให้ผมไปกับใคร”
“ป่านไง น่าจะไปได้นี่”
“คะ?”
แล้วปาริชาตก็ต้องได้หันขวับไปมองคุณสุพล พลางเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ก่อนจะหน้าตึงขึ้นมานิด ๆ เมื่อได้ยินคำพูดของสุรเสกข์ที่กล่าวแก้ผู้เป็นพ่อแล้วเลยมากระทบกระเทือนถึงตัวเธอด้วย
“เค้าไม่เคยไป ไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่ากิจกรรมแรลลี่มันเป็นยังไง แบบนี้จะไปด้วยกันไหวเหรอครับ”
“เฮ้ย...เอาน่า มีใครทำอะไรเป็นมาตั้งแต่เกิดบ้างล่ะ”
สุดท้าย คำพูดของผู้เป็นพ่อ ที่ยังไง ๆ ก็เอนเอียงไปทางการเอาอกเอาใจปาริชาตอยู่ดี ทำให้สุรเสกข์ถึงกับชักสีหน้าไม่พอใจ
“ป่านล่ะ มีปัญหาอะไรหรือเปล่าถ้าต้องไปแรลลี่”
“คือ...เหมือนที่คุณสุรเสกข์ว่ามาค่ะ ป่านไม่มีความรู้อะไรเลย ไม่เคยผ่านกิจกรรมพวกนี้มาก่อนด้วย เกรงว่าถ้าไปแล้วจะกลายเป็นตัวถ่วง”
“ไม่ต้องคิดมากหรอก เค้าให้ไปสนุกด้วยกัน อย่าซีเรียส”
“แต่ถ้าไปกับคุณนภษร โอกาสคว้าถ้วยรางวัลก็น่าจะมีเยอะกว่า”
สุรเสกข์ว่ามาพลางแสดงท่าทีเหนื่อยหน่าย เพราะถ้าต้องไปร่วมกิจกรรมแรลลี่ครั้งนี้ โดยมีปาริชาตเป็นเนวิเกเตอร์ พวกเขาคงเข้าเส้นชัยเป็นทีมสุดท้ายแน่ ๆ
ดูเหมือนคุณสุพลเองก็นึกขัดใจกับคำพูดตรง ๆ ของลูกชายอยู่ไม่น้อย ดังนั้นพอเหลือบไปเห็นปาริชาตมีสีหน้าไม่สู้ดี เขาจึงพยายามไกล่เกลี่ย
“เอาน่า ต้องลองก่อนสิ ไม่ลองแล้วจะรู้เหรอ”
“แต่...คุณสุพลคะ ป่านคิดว่าตัวเองคงไม่มีความสามารถพอค่ะ ให้พนักงานคนอื่นที่เค้าสมัครใจ ไปดีกว่า”
“เอางั้นเหรอ”
“เป็นแค่ข้อเสนอของป่านค่ะ คนที่เค้าเต็มใจไป เค้าน่าจะสนุกและทำได้ดีกว่า”
“งั้นก็จะลองแจ้งข่าวให้ฝ่ายขายของเราดูก็แล้วกัน”
คุณสุพลรับปาก และนั่นก็ทำให้สุรเสกข์ยิ่งรู้สึกขัดใจ เพราะผู้เป็นพ่อช่างเลือกที่จะเชื่อในคำพูดของปาริชาตอย่างง่ายดาย ในขณะที่เหตุผลทั้งหลายซึ่งถูกเขาหยิบยกขึ้นมากล่าวอ้าง กลับไม่มีน้ำหนักเอาเสียเลย
“รับสมัครคู่เลยนะครับพ่อ คนขับกับเนฯ”
“จุ๊...เอาเข้าไป พอแล้วหยุดพูดเรื่องนี้ดีกว่า แล้วพ่อจะตัดสินใจเอง ตอนนี้ไปหาข้าวกินกันเถอะ”
ในที่สุดหนุ่มหน้างอกับสาวหน้าตึงก็ต้องได้เดินตามหลังคุณสุพลออกไปจากห้องทำงาน และไม่ได้เอ่ยปากถึงกิจกรรมแรลลี่อีกเลยตั้งแต่นั้น
ร้านอาหารที่สุรเสกข์ทำหน้าที่ขับรถพาสมาชิกทั้งหมด 4 คนรวมทั้งตัวเขาเองไปในวันนี้ มีลูกค้าค่อนข้างบางตา เจ้าของร้านเป็นหญิงวัย 40 ปีเศษอัธยาศัยดี วันนี้เธอก็นำเสนอเมนูอาหารพิเศษของร้าน และแน่นอน...คุณสุพลยกหน้าที่ในการสั่งอาหารเป็นของนภษรกับปาริชาต
“จะทานอะไรก็สั่งมาเลยนะคุณษร ป่านช่วยเลือกด้วยสิ อ้อ...ห่อหมกทะเลร้านนี้อร่อยนะ”
“ค่ะ”
สุรเสกข์ยกแก้วน้ำเย็นขึ้นจิบ ขณะสองตาแอบเหลือบมองหญิงสาวคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ นภษร แม้จะรู้สึกแปลกหูในคำพูดของผู้เป็นพ่อ ที่ทำราวคุ้นเคยกับปาริชาตมานานวัน แต่ที่เขาเห็นคือเธอพูดน้อยและสงบเสงี่ยมเจียมตัว ถ้าเป็นอีหนูที่ตั้งใจจำแลงกายมาเพื่อจับอาเสี่ยแก่ ๆ สักคนหนึ่ง ปาริชาตก็คงแสดงละครได้เก่งมาก ๆ
ในขณะที่กำลังนั่งรอให้อาหารที่สั่งไปถูกเสิร์ฟลงโต๊ะ สุรเสกข์ก็เหลือบไปเห็นคนคู่หนึ่ง ที่สำคัญภาพนั้นทำให้เขาถึงกับอึ้ง
“อ้าว หลานชาย มาทานข้าวเหมือนกันเรอะ”
“สวัสดีครับ”
เสียงที่ร้องทักมา ทำให้สุรเสกข์ต้องลุกจากเก้าอี้แล้วยกมือขึ้นไหว้ทำความเคารพ นัยน์ตาคมพยายามจับอยู่เพียงใบหน้าของคู่สนทนา โดยไม่คิดจะเหลือบแลไปยังใครอีกคนที่ยืนอยู่เคียงข้าง แต่เขาก็ไม่อาจทำได้เช่นที่คิด เพราะเสี่ยพงษ์พัฒน์ได้เอ่ยปากแนะนำเธอกับเขาให้ได้รู้จักกัน
“ลูกตาลนี่คุณสุรเสกข์เป็นเพื่อนกับนายชิต”
“สวัสดีค่ะ”
เสียงใสคุ้นหูเอ่ยทักพลางพยายามทำทุกวิถีทางไม่ให้สายตาทุกคู่รับรู้ถึงความตกใจของเธอ แต่ก็คงใช้ไม่ได้ผลกับสุรเสกข์ เพราะเธอสังเกตเห็นความกระอักกระอ่วนใจที่เขามีและนั่นก็ยิ่งทำให้รู้สึกเจ็บที่ใจ
“ไปนั่งด้วยกันไหม” เสี่ยพงษ์พัฒน์เอ่ยปากชวน
“ไม่เป็นไรครับ เชิญตามสบาย”
แม้สุรเสกข์จะไม่ได้แนะนำให้ทุกคนได้รู้จักกับเสี่ยพงษ์พัฒน์และหญิงสาวคนนั้น หากแต่คุณสุพลที่พอจะรู้เรื่องราวระหว่างสุรเสกข์กับใครบางคนที่ถูกเสี่ยพงษ์พัฒน์ควงคู่มาด้วยกันนั้นอยู่บ้างก็นึกเห็นอกเห็นใจคนเป็นลูกชาย แต่ก็อดนึกชื่นชมไม่ได้ว่าเขาสามารถควบคุมสติของตนเองได้ดีไม่น้อยทีเดียว
“งั้นไปก่อนนะ”
“ครับ ฝากความคิดถึงให้นายชิตด้วยนะครับ”
“ได้เลย แล้วจะบอกมันให้”
เสี่ยพงษ์พัฒน์รับคำก่อนจะส่งมือซ้ายประคองแผ่นหลังบางของหญิงสาวคนนั้นเดินจากไป สุรเสกข์เผลอกัดกรามตัวเองแน่น ก่อนอารมณ์ขุ่นมัวจะกลับพุ่งขึ้นมาอีก เมื่อเหลือบไปเห็นตาโตของปาริชาตซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามมองตามคนทั้งคู่อย่างพิจารณา
“เอ้า...นั่งลงสักทีสิเสกข์ เด็กจะได้เอาอาหารลงโต๊ะ”
คุณสุพลว่าขณะทำเป็นไม่สนใจในอากัปกิริยาของลูกชาย ราวกับต้องการให้เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยและกำลังจะผ่านไปโดยไม่ทิ้งร่อยรอยแหลกราญเอาไว้
“อ้าว เสิร์ฟอาหารแล้วไม่ตักข้าว แปลกจริง”
คุณสุพลเอ่ยขึ้นอีกเมื่อเห็นว่าพนักงานเสิร์ฟคนดังกล่าวได้เดินกลับเข้าไปหลังร้าน ภายหลังจากยกอาหารมาวางบนโต๊ะได้เพียง 2 อย่าง ปาริชาตที่เห็นนภษรกำลังขยับตัว เธอจึงรีบขันอาสาเสียเอง
“ป่านช่วยตักข้าวให้นะคะ”
เธอว่าพลางเลื่อนโถข้าวสวยที่ยังอุ่น ๆ ร้อน ๆ นั้นมาตรงหน้าด้วยความระมัดระวัง ก่อนจะเปิดฝาแล้วลุกขึ้นเดินอ้อมโต๊ะไปตักใส่จานให้คุณสุพลเป็นคนแรก ตามด้วยสุรเสกข์และนภษร ปิดท้ายด้วยจานของเธอเอง
“เสี่ยพงษ์พัฒน์คนนี้คือพ่อของเพื่อนคนที่เรียนด้วยกันใช่หรือเปล่า”
“ครับ พ่อรู้จักด้วยเหรอครับ”
“ไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัวหรอก รู้จักกันผ่านทางหน้าหนังสือมากกว่า เต็นท์ใหญ่เอาการอยู่นี่”
คุณสุพลเอ่ยออกมาตามจริง เพราะปกติเต๊นท์รถยนต์มือสองมักใช้วิธีโปรโมทยานยนต์ในธุรกิจของตนด้วยการรวมกลุ่มแล้วพิมพ์นิตยสารออกจำหน่ายเป็นรายเดือน ซึ่งตัวเขาเองก็เคยผ่านตามาแล้ว ทำให้พอจะทราบข้อมูลของฝ่ายนั้นอยู่พอสมควร
“ครับ”
“ทานเยอะ ๆ นะคุณษร ป่าน”
“เยอะยังไงก็ได้แค่อิ่มค่ะบอส ษรน้ำหนักจวนจะเกินมาตรฐานอยู่แล้ว แต่อย่างป่านสิยังเพิ่มได้อีกหลายโล”
“ป่านก็กินไม่ค่อยจุเหมือนกันค่ะ”
ในขณะที่ทั้ง 3 คนพากันพูดคุยกันและละเลียดทานข้าวกันไปช้า ๆ สุรเสกข์ที่รู้สึกว่าตนเองอารมณ์ขุ่นมัวก็ตักข้าวเข้าปากโดยไม่คิดจะเสวนากับใคร และเมื่อเวลาผ่านไปเพียงครู่ เขาก็เป็นคนแรกที่รวบช้อนแล้วยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม
“คุณเสกข์อิ่มแล้วเหรอคะ”
นภษรเอ่ยถามเมื่อเห็นเขาวางแก้วน้ำที่พร่องลงไปเกินครึ่งนั้นลงบนโต๊ะ
“ครับ”
“จะรับกาแฟร้อนสักถ้วยไหมคะ ษรจะเรียกเด็กให้”
เธอขันอาสาด้วยเคยเห็นคุณสุพลมักเรียกหากาแฟร้อนภายหลังอาหารมื้อเที่ยงอยู่เสมอ ๆ และคิดว่าเขาน่าจะต้องการด้วย
“ไม่แล้วครับ ให้ถึงช่วงบ่ายก่อนค่อยว่ากัน ผมขอตัวออกไปข้างนอก”
คุณสุพลพยักหน้า และเมื่อเห็นว่าในกระเป๋าเสื้อของลูกชายมีซองบุหรี่ซุกอยู่ เขาก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“เดี๋ยวนี้เอากับเขาด้วยเรอะ”
คำถามและสายตาของคนเป็นพ่อทำให้สุรเสกข์ต้องยกมุมปากขึ้นยิ้ม รู้ว่านั่นไม่ใช่การสนับสนุนหรือเห็นดีเห็นงาม เพียงแต่เอ่ยถามตามประสาคนเคยผ่านโลกมามากกว่าเท่านั้น
“แค่ให้หมดซองนี้แล้วก็จะเลิกแล้วครับ”
“อย่าไปใกล้แม่เราเชียว เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน”
คุณสุพลว่าพลางหัวเราะหึ ๆ เขารู้ดีว่าภรรยาไม่เคยทนต่อกลิ่นบุหรี่ได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วเขาจึงไม่คิดอยากจะสูบ และครั้งนี้ก็นับว่าเป็นครั้งแรกที่เห็นลูกชายพกบุหรี่ติดมาด้วย
การได้ยินผู้เป็นพ่อเอ่ยปากถึงภรรยา ซึ่งก็คือแม่บังเกิดเกล้าของเขาด้วยน้ำเสียงราวกับเอ็นดูระคนเหนื่อยใจ สุรเสกข์ที่ตั้งใจว่าต้องรู้ถึงที่มาที่ไปของปาริชาตให้ได้ก็เหลือบสายตาคู่คมไปยังคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ทว่านอกจากการตั้งหน้าตั้งตารับประทานอาหารโดยไม่ได้แสดงอาการสะดุ้งสะเทือนใด ๆ แล้ว เขาก็แทบไม่สังเกตเห็นความผิดปกติใด ๆ อีกเลย
ร่างสูงลุกจากเก้าอี้แล้วเดินลัดเลาะไปยังมุมโล่งด้านข้างของร้านอันมีป้ายติดไว้ว่าสามารถสูบบุหรี่ได้ หากแต่ยังไม่ทันที่เขาจะควักออกมา น้ำเสียงคุ้นหูของใครบางคนก็ดังขึ้น
“พี่เสกข์ กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ”
คนถูกถามหันขวับไปมองยังต้นเสียงทันที ก่อนจะหยัดกายยืนตรงแล้วตอบออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ปราศจากแววตื่นเต้นเหมือนที่ได้ยินจากอีกฝ่าย
“4 – 5 วันแล้วครับ”
“ลูกตาลดีใจจังค่ะที่ได้เจอพี่เสกข์ที่นี่”
สุรเสกข์อยากจะบอกออกไปเหลือเกินว่าเขาไม่ได้รู้สึกดีใจเลยแม้แต่น้อยที่เห็นเธอควงคู่มากับคนแก่วัยคราวพ่อ ที่สำคัญเป็นพ่อของเพื่อนเขาอีกต่างหาก ทว่าสิ่งที่พอจะทำได้คือปิดปากเงียบ
แม้จะยอมรับว่าการขาดการติดต่อของหญิงสาว เคยทำให้ใจของเขากระวนกระวาย และรู้สึกราวกับโลกทั้งใบหม่นเศร้า ทว่าก็ยังน้อยกว่าการได้เจอหน้ากันจัง ๆ แบบไม่ได้ตั้งตัวเช่นในขณะนี้
“พี่เสกข์สบายดีหรือเปล่าคะ รู้ไหมว่าลูกตาลยังคิดถึง...”
“หยุดเถอะ คุณก็รู้ตัวดีอยู่แล้วว่าอะไรเป็นอะไร อย่าพูดแบบนี้ ถ้าเกิดเสี่ยพงษ์พัฒน์มาได้ยิน คุณนั่นแหละที่จะเสียใจ”
สุรเสกข์ปรามเสียงขุ่น นึกเกลียดท่าทีและน้ำเสียงแบบนี้เพราะมันคอยแต่จะทำให้ใจของเขาร้อนรน
“คุณควรจะกลับไปนั่งที่โต๊ะเสีย ทิ้งมาแบบนี้มันดูไม่ค่อยดี”
“ลูกตาลยอมรับว่าผิดที่เป็นฝ่ายขาดการติดต่อกับพี่เสกข์ก่อน แต่รู้ไหมคะว่าลูกตาลก็ไม่เคยลืมพี่”
ร่างบางสาวเท้ามาจนประชิด ขณะกระซิบบอกหวังให้เขาได้ล่วงรู้ถึงความนึกคิดของเธอ สุรเสกข์หลุบตาลงมองนิดหนึ่ง ก่อนจะเบือนหน้าหนีให้พ้นสายตาอ้อนวอน
“จะพูดแบบนี้ไปเพื่อให้มันได้อะไรขึ้นมา ตอนนี้คุณมีหน้าที่ต้องทำในฐานะคนของเสี่ยพงษ์พัฒน์แล้ว อย่าลืมสิ”
“พี่เสกข์รู้?”
แม้จะไม่มีคำตอบใด ๆ ดังมาจากสุรเสกข์ หากแต่ท่าทีของเขาก็เหมือนจะย้ำว่าเธอไม่ควรโกหกหรือกล่าวคำเท็จใด ๆ ออกมา หากต้องการจะรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างกันเอาไว้
“สิ่งที่พี่เสกข์เห็นเมื่อกี้ ลูกตาลอธิบายได้นะคะ คือ...เอ่อ...ลูกตาลมีความจำเป็นต้องทำแบบนี้ พี่เสกข์รู้ไหมคะว่าลูกตาลจำเป็น”
น้ำเสียงสั่นเครือของหญิงสาวที่ดังมาให้ได้ยิน ทำให้ใจของสุรเสกข์ยิ่งร้อนเร่า ใบหน้าคมที่เบือนหนีอยู่เมื่อครู่หันขวับมา ก่อนจะก้มลงมองอย่างค้นหา
“เรื่องเงินรึ?”
“เปล่าค่ะ ลูกตาลไม่ได้เป็นฝ่ายต้องการให้เป็นแบบนี้ แต่...เขามอมยาลูกตาล”
สุรเสกข์กัดฟันกรอดกับสิ่งที่ได้ยิน บัดนี้พริตตี้สาวสวยที่เคยทำให้เขายอมควักใจออกมาวางให้ กลายเป็นดอกไม้งามที่ถูกกระชากจากกอไปดอมดมเสียแล้ว
แม้จะใจหล่นวูบกับสิ่งที่ได้ยิน แต่ก็ไม่อาจย้อนเวลากลับไปแก้ไขได้อีกแล้ว ฉะนั้นแทนที่เขาจะเอ่ยคำประณามหยามเหยียดในสิ่งที่หญิงสาวถูกกระทำ สุรเสกข์กลับทำเพียงปลอบใจ
“แต่เสี่ยพงษ์พัฒน์ก็ดูแลคุณเป็นอย่างดีไม่ใช่หรือ”
หญิงสาวไม่เถียงว่าภายหลังตื่นมาเผชิญโลกแห่งความเป็นจริงอันโหดร้าย เสี่ยพงษ์พัฒน์ก็ไม่ได้ใจดำ เขาขอโทษขอโพยและยินดีทำทุกอย่างตามที่เธอต้องการ ที่สำคัญ...เขาประสงค์ครอบครองเพราะมีจิตพิศวาส แถมยังยินดีเลี้ยงดูโดยไม่คิดทิ้งขว้างภายหลังอีกด้วย
“แต่ลูกตาลก็อยากบอกให้พี่เสกข์รู้ไว้ ลูกตาลไม่ได้ยินดีเลยที่เป็นแบบนี้...ลูกตาลเสียใจ”
น้ำเสียงเจือสะอื้นที่ดังขึ้นนั้น ทำให้สุรเสกข์กลัดกลุ้มถึงขั้นต้องลอบระบายลมหายใจออกมา ตั้งแต่ได้เห็นหญิงสาวเดินเฉิดฉายเข้าไปในเต้นท์รถของเสี่ยพงษ์พัฒน์ในวันนั้นแล้ว สิ่งเดียวที่เฝ้าบอกตัวเองคือเขาต้องลืมเธอให้เร็วที่สุด ทว่าพอได้เจอหน้ากันจัง ๆ เช่นวันนี้ ใจเขาก็ดูเหมือนจะวนเวียนไปใกล้ระดับ 0 อีกครั้ง
“มันเปล่าประโยชน์ที่จะมาคร่ำครวญ ในเมื่อเลือกไม่ได้ คุณก็ควรจะอยู่กับปัจจุบันให้มีความสุขที่สุด”
เป็นคำพูดที่สุรเสกข์คิดว่าฟังดูดีและมีเหตุมีผลมากที่สุดแล้ว ยามนี้แม้แต่จะยกมือขึ้นกรีดน้ำตาให้เธอ หรือสวมกอดร่างบางที่ไหวระริกไปกับเสียงสะอื้น เขาก็ไม่ควรทำแม้สักนิด
“หยุดร้องไห้เสียเถอะ เอาเป็นว่าผมเข้าใจ ไม่ต้องคิดมาก”
“รู้อย่างนี้แล้ว พี่เสกข์อย่ารังเกียจลูกตาลนะคะ ขอร้อง...”
แม้จะเคยบอกตัวเองว่าจากนี้ไปเขาและเธอคงเป็นเพียงเส้นขนาน หากแต่พอได้ยินน้ำเสียงสั่นเครือร้องขอบวกกับมือเรียวที่ส่งมาเขย่าท่อนแขนของเขาอย่างเร่งเร้า ใจที่เคยบังคับให้แข็งแกร่งกลับอ่อนแรงดั่งขี้ผึ้งถูกไฟลน
“คุณควรดูแลตัวเองให้ดี มากกว่าจะมาสนใจความรู้สึกผมนะ เพราะยังไงเราก็เป็นเหมือนเดิมไม่ได้อีก”
“แต่...”
“ว้าย.../โอ๊ะ...”
ในขณะที่สุรเสกข์กับหญิงสาวยังคงยืนคุยกัน เสียงอุทานของคนสองคนก็ดังแทรกขึ้นมา ปลุกให้สายตาคู่คมของสุรเสกข์ต้องกวาดไปมองอย่างรวดเร็ว ซึ่งสิ่งที่ได้เห็นก็ทำให้เขาถึงกับหน้าตึง ปาริชาตยกมือขึ้นกุมหัวไหล่แล้วทำหน้าเหยเกเดาได้ว่าคงเจ็บปวดมากกว่าอย่างอื่น ส่วนคู่กรณีซึ่งเป็นชายแปลกหน้าทำเพียงยืนมอง
“คุณกลับไปนั่งที่โต๊ะเสียเถอะ หายออกมานานแบบนี้เดี๋ยวเสี่ยพงษ์พัฒน์จะเป็นห่วง”
“ค่ะ”
หญิงสาวกระพริบตาปริบ ๆ ไล่หยาดน้ำที่นองเอ่อขณะรับคำเขา ก่อนจะยอมเดินกลับเข้าไปด้านในอย่างว่าง่าย ซึ่งพอคล้อยหลังเธอ ขายาว ๆ ของสุรเสกข์ก็พาเขาตรงดิ่งไปยังเจ้าของเสียงร้องครางด้วยความเจ็บปวดเมื่อครู่ทันที เขาทันได้ยินเสียงปาริชาตขอโทษขอโพย ก่อนที่ชายแปลกหน้าคู่กรณีจะแยกย้ายจากไป
“เดี๋ยว ยังไปไหนไม่ได้”
ร่างบางที่เพิ่งลดมือลงจากไหล่ตนเองขณะรีบสาวเท้าให้พ้นจากสถานที่นั้นมีอันต้องสะดุดกึกไปในทันทีที่ได้ยินเสียงเข้มของสุรเสกข์ดังมา ก่อนเจ้าของจะก้าวอาด ๆ มาขวางหน้าเอาไว้อีก
“ฉันจะกลับไปนั่งที่โต๊ะแล้วค่ะ”
“จะรีบกลับไปทำไมตอนนี้ บอกมาซะดี ๆ ว่ามาทำอะไรแถวนี้”
“ฉันมาเข้าห้องน้ำ”
“แน่รึ?”
สุรเสกข์เอ่ยถามเสียงขุ่น ด้วยนึกขัดใจในท่าทีใสซื่อของปาริชาต ที่สำคัญเธอก็ไม่เงยหน้าขึ้นมองเลยสักนิดว่าบริเวณที่ยืนอยู่ในขณะนี้หาใช่หน้าห้องน้ำหญิงไม่
“ค่ะ”
“คุณเข้าห้องน้ำผู้ชายเหรอ”
“คะ? เอ่อ...”
ใบหน้าเรียวที่จืดเจื่อนไปถนัดตาขณะเจ้าของเงยหน้าขึ้นเห็นป้ายที่ตั้งอยู่นั้น ไม่อาจเรียกคะแนนสงสารจากสุรเสกข์ได้เลย หนำซ้ำยังเป็นชนวนให้เขาต้องเค้นเอาความจริงจากเธอให้ได้ว่าสรุปแล้ว...เธอกำลังคิดจะทำอะไรกันแน่
“มานี่...”
เสียงเข้มดังขึ้นพร้อมกับฝ่ามือใหญ่ก็ฉุดข้อมือของปาริชาตแล้วเดินนำไป ท่ามกลางกิริยาขัดขืนที่หญิงสาวพยายามงัดออกมาใช้ ทว่าไม่สามารถหยุดอีกฝ่ายได้
“บอกความจริงมาซะดี ๆ ว่าคุณมาทำอะไรตรงนั้น รึว่ามาแอบดูอะไร”
ร่างบางถูกผลักไปชิดผนังหลังพุ่มไม้พร้อมกับคำถามคาดคั้น นาทีนี้แม้ข้อมือของปาริชาตจะหลุดพ้นจากพันธนาการแล้ว หากแต่เธอก็ไม่สามารถหลบหนีไปแห่งใดได้อีก ด้วยถูกสองแขนของเขาเท้าผนังกักไว้
“ก็ฉันบอกแล้วไงว่า...”
“อย่าพูดออกมาอีกแม้แต่หนเดียวนะว่ามาเข้าห้องน้ำ เพราะห้องน้ำผู้หญิงมันอยู่ฝั่งโน้น”
“...”
การถูกสุรเสกข์ดักคอทันควัน ทำให้หญิงสาวต้องกัดริมฝีปากตัวเองเอาไว้จนแน่น นึกอยากจะโกรธตัวเองที่ไม่ยอมมองซ้ายมองขวาให้ดีจนเดินชนกับคนอื่น ที่สำคัญชายร่างยักษ์คนนั้นก็ชนเธอมาเสียเต็มแรงจนกระดูกกระเดี้ยวแทบหัก ร้องโอดโอยแค่นี้ยังน่าจะน้อยไปด้วยซ้ำ
“แต่ถ้าบอกมาคำเดียวว่านิยมการเข้าห้องน้ำผู้ชาย ผมก็จะยอมเชื่อ เพราะวันก่อนก็เห็นมากับตาแล้ว สองหนติด ๆ กันนี่ผมถือว่าไม่ธรรมดา”
จากที่ทำเพียงอ้ำอึ้ง พอถูกเขาสะกิดปมความอับอายขึ้นมา ปาริชาตก็เริ่มไม่พอใจ หญิงสาวตวัดตาคู่โตมองเขาก่อนจะเปล่งเสียงสะท้านด้วยกำลังพยายามระงับโทสะ
“ใช่ค่ะ ฉันไม่ได้มาเข้าห้องน้ำ”
“แล้วคุณมาทำไมตรงนั้น”
“ฉันมาแอบดูเพราะเห็นผู้หญิงคนนั้นเดินตามคุณออกมา”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณไม่ทราบ”
การยอมรับออกมาตามตรงของปาริชาต ทำให้คนที่คิดว่าตนเองกำลังถูกล่วงละเมิดความเป็นส่วนตัว ขมวดคิ้วหนาเข้าหากันอย่างขัดใจ การไม่เคารพสิทธิของผู้อื่นเป็นสิ่งที่สุรเสกข์ต่อต้านมาตลอด และยิ่งมาเจอเข้ากับตัวเอง ต่อให้เหตุผลนั้นจะฟังดูดีแค่ไหน เขาก็ยังคงไม่รู้สึกยินดี
“ก็...”
น้ำเสียงที่ฟังดูก็รู้ว่ากำลังถูกเขาตำหนิ ทำให้ปาริชาตร้อนผ่าวไปทั้งหน้า หากย้อนเวลากลับไปได้ รับรองว่าเธอจะไม่ปล่อยให้ความอยากรู้อยากเห็นครอบงำจิตใจเหมือนเช่นเมื่อครู่แน่ ๆ
“ก็...คุณบอกว่าเธอตายไปแล้วนี่คะ ฉันก็อยากรู้น่ะสิว่าตายจริง ๆ หรือเปล่า”
ปาริชาตเอ่ยบอกก่อนจะระบายลมหายใจออกมาคล้ายเหนื่อยหอบ ก่อนความกลัวจะจู่โจมเข้าเกาะกุมจิตใจ เมื่อเห็นสีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเป็นบึ้งตึง
“ผมถามอีกครั้งว่ามันเกี่ยวอะไรกับคุณ”
คำถามเดิมที่ถูกย้ำอีกหนอย่างชัดถ้อยชัดคำทำให้ปาริชาตนึกอยากร้องไห้เป็นที่สุด ยามนี้นอกจากน้ำเสียงนั้นจะฟังดูแข็งกร้าวแล้วนัยน์ตาคู่คมที่จ้องมาเขม็งรอคอยคำตอบก็ยังวาวโรจน์ไปด้วยความขุ่นเคืองอีกด้วย
“ก็ตอนที่ฉันเห็นรูปบนจอคอมพิวเตอร์ ฉันถามนิดเดียวแต่คุณกลับตะคอกฉันนี่ ปล่อยค่ะ”
ขาดคำร่างบางก็ผลักท่อนแขนข้างที่เท้ากับฝาผนังออกเต็มแรงเพื่อช่วยให้ตัวเองหลุดพ้นจากการถูกกักขัง พลางบอกตัวเองว่าให้สาวเท้าจากไปจากบริเวณนี้ให้เร็วที่สุด แต่ทว่าฝ่ามือใหญ่ของเขาก็ฉกมาคว้าแขนของเธอเอาไว้ได้อีกหน
“ยังไปไม่ได้ มาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน”
ปาริชาตต้องถูกเขากักเอาไว้อีกหน แถมคราวนี้ใบหน้าคมของเขายังโน้มเข้ามาใกล้กว่าเดิมอีกด้วย
“แค้นมากใช่ไหม”
“...”
ระยะทางที่ห่างเพียงคืบขณะเขาเค้นถาม ทำให้ปาริชาตได้แต่ยืนนิ่ง ตาโตหลุบมองแค่อกเสื้อของเขา
“ผมไม่ชอบให้ใครมาละเมิดเรื่องส่วนตัว วันนี้ถือว่าบอกแล้ว แต่ถ้าคราวหน้ายังขืนทำแบบนี้อีก ผมจะลงโทษคุณ”
ไม่ว่าประโยคนั้นจะเรียกว่าเป็นคำขู่หรือการคาดโทษ ปาริชาตก็ไม่มีเวลาจะใส่ใจอีกแล้ว เธอรีบจ้ำพรวด ๆ แบบไม่เหลียวหลังพลางนึกในใจไปจนตลอดทางว่าเธอจะไม่ขออยู่ใกล้กับสุรเสกข์อีกเลยนับแต่นาทีนี้เป็นต้นไป
การได้เห็นปาริชาตตั้งหน้าตั้งตาทำงาน หลังจากถูกเขาออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเข้มงวด ทำให้คนที่รู้ว่าไม่ควรปล่อยให้เรื่องส่วนตัวมามีอิทธิพลเหนือจิตใจและการทำงาน เริ่มรู้สึกผิด
ดังนั้นเมื่อเห็นว่าคุณสุพล ได้เดินเข้ามาในห้องทำงานของเขาในเวลาใกล้เที่ยงวัน สุรเสกข์จึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากชวนให้ทุกคนไปรับประทานอาหารพร้อมหน้าพร้อมตา แม้จะยังคาใจกับการรู้จักกันของทั้งคู่ก็ตาม
“ใกล้เที่ยงแล้ว วันนี้ต้อนรับพนักงานใหม่ด้วยการไปทานข้าวข้างนอกกันไหมครับพ่อ”
คุณสุพลซึ่งเปิดประตูเข้ามาด้วยความรู้สึกหวั่นใจ เพราะรับรู้มาจากนภษรว่าปาริชาตที่ถูกตนไหว้วานให้นำแฟ้มงานไปเสนอแก่สุรเสกข์ ได้หายเงียบเข้ามาในนี้จนเวลาล่วงเลยไปร่วมชั่วโมง ทำให้ใจเขาถึงกับคิดไปต่าง ๆ นานา ครั้นได้เห็นหญิงสาวนั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างตั้งใจ ความวิตกกังวลของเขาก็คลายลง
“ทำอะไรกันอยู่”
“อ๋อ...ผมให้คุณปาริชาตจัดไฟล์งานในเครื่องคอมฯให้ใหม่ครับ แล้วเรื่องที่ผมชวน พ่อว่าไงครับ”
“ดี ๆ เพราะตั้งใจจะมาชวนอยู่เหมือนกัน”
การตอบรับพร้อมกับพยักหน้าหงึก ๆ ของคุณสุพล ทำให้สุรเสกข์ต้องยกมุมปากขึ้นยิ้ม ด้วยสิ่งที่ได้ยินนั้นไม่ต่างจากที่คาดเอาไว้ในใจเลยแม้แต่น้อย นี่พ่อของเขากำลังทำท่าเหมือนจะหลงเด็กสาวคนหนึ่งเหรอ...
แม้สุรเสกข์จะเพิ่งกลับจากเรียนต่อในระดับปริญญาโทที่ต่างประเทศและมาเริ่มต้นทำงาน หากแต่เขาก็คลุกคลีอยู่กับธุรกิจนี้ของครอบครัวมานาน ฉะนั้นเมื่อต้องมาช่วยผู้เป็นพ่อเต็มตัว จึงดูเหมือนจะไม่มีอะไรให้ต้องปรับเปลี่ยนมากมายเหมือนเช่นบัณฑิตสาวหมาด ๆ คนนี้
“ป่านทำงานใกล้จะเสร็จหรือยัง”
เสียงของคุณสุพลดังขึ้น ขณะหันไปหาหญิงสาวที่ยังจดจ่ออยู่กับงานบนหน้าจอคอมพิวเตอร์
“ยังค่ะ”
“มันใกล้เที่ยงแล้ว พักไว้ก่อนก็ได้ ทานข้าวกลับมาค่อยทำต่อ”
“พ่อครับ ผมจะคุยเรื่องแรลลี่”
เมื่อเห็นว่าผู้เป็นพ่อให้ความสนใจอยู่แต่กับปาริชาต ทั้ง ๆ ที่ยังยืนอยู่ในห้องทำงานของเขา แถมเจ้าของห้องก็นั่งหัวโด่อยู่ไม่ไกล สุรเสกข์จึงเรียกให้คุณสุพลหันมาหาบ้าง
“ทำไมเหรอ มีปัญหาอะไร”
“ถ้าคุณษรไม่ว่าง เราไปด้วยกันไหมครับ”
“เฮ้ย...ไม่ไป พ่อไปมาเยอะแล้วตั้งแต่หนุ่มยันแก่ เบื่อ...”
“งั้นผมว่าเราไม่ต้องไปดีกว่า”
“อ้าว...เค้าอุตส่าห์เชิญ ไปฟรีด้วยนะ คนอื่น ๆ เค้าต้องเสียเงินเสียทองด้วยซ้ำกว่าจะได้ไป”
เมื่อได้ยินลูกชายบอกว่าจะไม่เข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้ คุณสุพลก็ค้านออกมาทันใด กิจกรรมแรลลี่ที่จัดขึ้นในแต่ละครั้ง ผู้ที่ประสงค์จะส่งทีมเข้าร่วมการแข่งขันต้องมีค่าใช้จ่าย แต่นี่คงเป็นเพราะบริษัทวินเนอร์ ออโต้พาร์ท คือลูกค้ารายใหญ่ที่มียอดสั่งซื้อยางรถยนต์ปีละหลายล้านบาท ทางบริษัทผู้ผลิตจึงเป็นฝ่ายเชิญให้เข้าร่วมกิจกรรมและฟรีค่าใช้จ่ายในทุกรายการ
“แล้วพ่อจะให้ผมไปกับใคร”
“ป่านไง น่าจะไปได้นี่”
“คะ?”
แล้วปาริชาตก็ต้องได้หันขวับไปมองคุณสุพล พลางเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ก่อนจะหน้าตึงขึ้นมานิด ๆ เมื่อได้ยินคำพูดของสุรเสกข์ที่กล่าวแก้ผู้เป็นพ่อแล้วเลยมากระทบกระเทือนถึงตัวเธอด้วย
“เค้าไม่เคยไป ไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่ากิจกรรมแรลลี่มันเป็นยังไง แบบนี้จะไปด้วยกันไหวเหรอครับ”
“เฮ้ย...เอาน่า มีใครทำอะไรเป็นมาตั้งแต่เกิดบ้างล่ะ”
สุดท้าย คำพูดของผู้เป็นพ่อ ที่ยังไง ๆ ก็เอนเอียงไปทางการเอาอกเอาใจปาริชาตอยู่ดี ทำให้สุรเสกข์ถึงกับชักสีหน้าไม่พอใจ
“ป่านล่ะ มีปัญหาอะไรหรือเปล่าถ้าต้องไปแรลลี่”
“คือ...เหมือนที่คุณสุรเสกข์ว่ามาค่ะ ป่านไม่มีความรู้อะไรเลย ไม่เคยผ่านกิจกรรมพวกนี้มาก่อนด้วย เกรงว่าถ้าไปแล้วจะกลายเป็นตัวถ่วง”
“ไม่ต้องคิดมากหรอก เค้าให้ไปสนุกด้วยกัน อย่าซีเรียส”
“แต่ถ้าไปกับคุณนภษร โอกาสคว้าถ้วยรางวัลก็น่าจะมีเยอะกว่า”
สุรเสกข์ว่ามาพลางแสดงท่าทีเหนื่อยหน่าย เพราะถ้าต้องไปร่วมกิจกรรมแรลลี่ครั้งนี้ โดยมีปาริชาตเป็นเนวิเกเตอร์ พวกเขาคงเข้าเส้นชัยเป็นทีมสุดท้ายแน่ ๆ
ดูเหมือนคุณสุพลเองก็นึกขัดใจกับคำพูดตรง ๆ ของลูกชายอยู่ไม่น้อย ดังนั้นพอเหลือบไปเห็นปาริชาตมีสีหน้าไม่สู้ดี เขาจึงพยายามไกล่เกลี่ย
“เอาน่า ต้องลองก่อนสิ ไม่ลองแล้วจะรู้เหรอ”
“แต่...คุณสุพลคะ ป่านคิดว่าตัวเองคงไม่มีความสามารถพอค่ะ ให้พนักงานคนอื่นที่เค้าสมัครใจ ไปดีกว่า”
“เอางั้นเหรอ”
“เป็นแค่ข้อเสนอของป่านค่ะ คนที่เค้าเต็มใจไป เค้าน่าจะสนุกและทำได้ดีกว่า”
“งั้นก็จะลองแจ้งข่าวให้ฝ่ายขายของเราดูก็แล้วกัน”
คุณสุพลรับปาก และนั่นก็ทำให้สุรเสกข์ยิ่งรู้สึกขัดใจ เพราะผู้เป็นพ่อช่างเลือกที่จะเชื่อในคำพูดของปาริชาตอย่างง่ายดาย ในขณะที่เหตุผลทั้งหลายซึ่งถูกเขาหยิบยกขึ้นมากล่าวอ้าง กลับไม่มีน้ำหนักเอาเสียเลย
“รับสมัครคู่เลยนะครับพ่อ คนขับกับเนฯ”
“จุ๊...เอาเข้าไป พอแล้วหยุดพูดเรื่องนี้ดีกว่า แล้วพ่อจะตัดสินใจเอง ตอนนี้ไปหาข้าวกินกันเถอะ”
ในที่สุดหนุ่มหน้างอกับสาวหน้าตึงก็ต้องได้เดินตามหลังคุณสุพลออกไปจากห้องทำงาน และไม่ได้เอ่ยปากถึงกิจกรรมแรลลี่อีกเลยตั้งแต่นั้น
ร้านอาหารที่สุรเสกข์ทำหน้าที่ขับรถพาสมาชิกทั้งหมด 4 คนรวมทั้งตัวเขาเองไปในวันนี้ มีลูกค้าค่อนข้างบางตา เจ้าของร้านเป็นหญิงวัย 40 ปีเศษอัธยาศัยดี วันนี้เธอก็นำเสนอเมนูอาหารพิเศษของร้าน และแน่นอน...คุณสุพลยกหน้าที่ในการสั่งอาหารเป็นของนภษรกับปาริชาต
“จะทานอะไรก็สั่งมาเลยนะคุณษร ป่านช่วยเลือกด้วยสิ อ้อ...ห่อหมกทะเลร้านนี้อร่อยนะ”
“ค่ะ”
สุรเสกข์ยกแก้วน้ำเย็นขึ้นจิบ ขณะสองตาแอบเหลือบมองหญิงสาวคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ นภษร แม้จะรู้สึกแปลกหูในคำพูดของผู้เป็นพ่อ ที่ทำราวคุ้นเคยกับปาริชาตมานานวัน แต่ที่เขาเห็นคือเธอพูดน้อยและสงบเสงี่ยมเจียมตัว ถ้าเป็นอีหนูที่ตั้งใจจำแลงกายมาเพื่อจับอาเสี่ยแก่ ๆ สักคนหนึ่ง ปาริชาตก็คงแสดงละครได้เก่งมาก ๆ
ในขณะที่กำลังนั่งรอให้อาหารที่สั่งไปถูกเสิร์ฟลงโต๊ะ สุรเสกข์ก็เหลือบไปเห็นคนคู่หนึ่ง ที่สำคัญภาพนั้นทำให้เขาถึงกับอึ้ง
“อ้าว หลานชาย มาทานข้าวเหมือนกันเรอะ”
“สวัสดีครับ”
เสียงที่ร้องทักมา ทำให้สุรเสกข์ต้องลุกจากเก้าอี้แล้วยกมือขึ้นไหว้ทำความเคารพ นัยน์ตาคมพยายามจับอยู่เพียงใบหน้าของคู่สนทนา โดยไม่คิดจะเหลือบแลไปยังใครอีกคนที่ยืนอยู่เคียงข้าง แต่เขาก็ไม่อาจทำได้เช่นที่คิด เพราะเสี่ยพงษ์พัฒน์ได้เอ่ยปากแนะนำเธอกับเขาให้ได้รู้จักกัน
“ลูกตาลนี่คุณสุรเสกข์เป็นเพื่อนกับนายชิต”
“สวัสดีค่ะ”
เสียงใสคุ้นหูเอ่ยทักพลางพยายามทำทุกวิถีทางไม่ให้สายตาทุกคู่รับรู้ถึงความตกใจของเธอ แต่ก็คงใช้ไม่ได้ผลกับสุรเสกข์ เพราะเธอสังเกตเห็นความกระอักกระอ่วนใจที่เขามีและนั่นก็ยิ่งทำให้รู้สึกเจ็บที่ใจ
“ไปนั่งด้วยกันไหม” เสี่ยพงษ์พัฒน์เอ่ยปากชวน
“ไม่เป็นไรครับ เชิญตามสบาย”
แม้สุรเสกข์จะไม่ได้แนะนำให้ทุกคนได้รู้จักกับเสี่ยพงษ์พัฒน์และหญิงสาวคนนั้น หากแต่คุณสุพลที่พอจะรู้เรื่องราวระหว่างสุรเสกข์กับใครบางคนที่ถูกเสี่ยพงษ์พัฒน์ควงคู่มาด้วยกันนั้นอยู่บ้างก็นึกเห็นอกเห็นใจคนเป็นลูกชาย แต่ก็อดนึกชื่นชมไม่ได้ว่าเขาสามารถควบคุมสติของตนเองได้ดีไม่น้อยทีเดียว
“งั้นไปก่อนนะ”
“ครับ ฝากความคิดถึงให้นายชิตด้วยนะครับ”
“ได้เลย แล้วจะบอกมันให้”
เสี่ยพงษ์พัฒน์รับคำก่อนจะส่งมือซ้ายประคองแผ่นหลังบางของหญิงสาวคนนั้นเดินจากไป สุรเสกข์เผลอกัดกรามตัวเองแน่น ก่อนอารมณ์ขุ่นมัวจะกลับพุ่งขึ้นมาอีก เมื่อเหลือบไปเห็นตาโตของปาริชาตซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามมองตามคนทั้งคู่อย่างพิจารณา
“เอ้า...นั่งลงสักทีสิเสกข์ เด็กจะได้เอาอาหารลงโต๊ะ”
คุณสุพลว่าขณะทำเป็นไม่สนใจในอากัปกิริยาของลูกชาย ราวกับต้องการให้เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยและกำลังจะผ่านไปโดยไม่ทิ้งร่อยรอยแหลกราญเอาไว้
“อ้าว เสิร์ฟอาหารแล้วไม่ตักข้าว แปลกจริง”
คุณสุพลเอ่ยขึ้นอีกเมื่อเห็นว่าพนักงานเสิร์ฟคนดังกล่าวได้เดินกลับเข้าไปหลังร้าน ภายหลังจากยกอาหารมาวางบนโต๊ะได้เพียง 2 อย่าง ปาริชาตที่เห็นนภษรกำลังขยับตัว เธอจึงรีบขันอาสาเสียเอง
“ป่านช่วยตักข้าวให้นะคะ”
เธอว่าพลางเลื่อนโถข้าวสวยที่ยังอุ่น ๆ ร้อน ๆ นั้นมาตรงหน้าด้วยความระมัดระวัง ก่อนจะเปิดฝาแล้วลุกขึ้นเดินอ้อมโต๊ะไปตักใส่จานให้คุณสุพลเป็นคนแรก ตามด้วยสุรเสกข์และนภษร ปิดท้ายด้วยจานของเธอเอง
“เสี่ยพงษ์พัฒน์คนนี้คือพ่อของเพื่อนคนที่เรียนด้วยกันใช่หรือเปล่า”
“ครับ พ่อรู้จักด้วยเหรอครับ”
“ไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัวหรอก รู้จักกันผ่านทางหน้าหนังสือมากกว่า เต็นท์ใหญ่เอาการอยู่นี่”
คุณสุพลเอ่ยออกมาตามจริง เพราะปกติเต๊นท์รถยนต์มือสองมักใช้วิธีโปรโมทยานยนต์ในธุรกิจของตนด้วยการรวมกลุ่มแล้วพิมพ์นิตยสารออกจำหน่ายเป็นรายเดือน ซึ่งตัวเขาเองก็เคยผ่านตามาแล้ว ทำให้พอจะทราบข้อมูลของฝ่ายนั้นอยู่พอสมควร
“ครับ”
“ทานเยอะ ๆ นะคุณษร ป่าน”
“เยอะยังไงก็ได้แค่อิ่มค่ะบอส ษรน้ำหนักจวนจะเกินมาตรฐานอยู่แล้ว แต่อย่างป่านสิยังเพิ่มได้อีกหลายโล”
“ป่านก็กินไม่ค่อยจุเหมือนกันค่ะ”
ในขณะที่ทั้ง 3 คนพากันพูดคุยกันและละเลียดทานข้าวกันไปช้า ๆ สุรเสกข์ที่รู้สึกว่าตนเองอารมณ์ขุ่นมัวก็ตักข้าวเข้าปากโดยไม่คิดจะเสวนากับใคร และเมื่อเวลาผ่านไปเพียงครู่ เขาก็เป็นคนแรกที่รวบช้อนแล้วยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม
“คุณเสกข์อิ่มแล้วเหรอคะ”
นภษรเอ่ยถามเมื่อเห็นเขาวางแก้วน้ำที่พร่องลงไปเกินครึ่งนั้นลงบนโต๊ะ
“ครับ”
“จะรับกาแฟร้อนสักถ้วยไหมคะ ษรจะเรียกเด็กให้”
เธอขันอาสาด้วยเคยเห็นคุณสุพลมักเรียกหากาแฟร้อนภายหลังอาหารมื้อเที่ยงอยู่เสมอ ๆ และคิดว่าเขาน่าจะต้องการด้วย
“ไม่แล้วครับ ให้ถึงช่วงบ่ายก่อนค่อยว่ากัน ผมขอตัวออกไปข้างนอก”
คุณสุพลพยักหน้า และเมื่อเห็นว่าในกระเป๋าเสื้อของลูกชายมีซองบุหรี่ซุกอยู่ เขาก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“เดี๋ยวนี้เอากับเขาด้วยเรอะ”
คำถามและสายตาของคนเป็นพ่อทำให้สุรเสกข์ต้องยกมุมปากขึ้นยิ้ม รู้ว่านั่นไม่ใช่การสนับสนุนหรือเห็นดีเห็นงาม เพียงแต่เอ่ยถามตามประสาคนเคยผ่านโลกมามากกว่าเท่านั้น
“แค่ให้หมดซองนี้แล้วก็จะเลิกแล้วครับ”
“อย่าไปใกล้แม่เราเชียว เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน”
คุณสุพลว่าพลางหัวเราะหึ ๆ เขารู้ดีว่าภรรยาไม่เคยทนต่อกลิ่นบุหรี่ได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วเขาจึงไม่คิดอยากจะสูบ และครั้งนี้ก็นับว่าเป็นครั้งแรกที่เห็นลูกชายพกบุหรี่ติดมาด้วย
การได้ยินผู้เป็นพ่อเอ่ยปากถึงภรรยา ซึ่งก็คือแม่บังเกิดเกล้าของเขาด้วยน้ำเสียงราวกับเอ็นดูระคนเหนื่อยใจ สุรเสกข์ที่ตั้งใจว่าต้องรู้ถึงที่มาที่ไปของปาริชาตให้ได้ก็เหลือบสายตาคู่คมไปยังคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ทว่านอกจากการตั้งหน้าตั้งตารับประทานอาหารโดยไม่ได้แสดงอาการสะดุ้งสะเทือนใด ๆ แล้ว เขาก็แทบไม่สังเกตเห็นความผิดปกติใด ๆ อีกเลย
ร่างสูงลุกจากเก้าอี้แล้วเดินลัดเลาะไปยังมุมโล่งด้านข้างของร้านอันมีป้ายติดไว้ว่าสามารถสูบบุหรี่ได้ หากแต่ยังไม่ทันที่เขาจะควักออกมา น้ำเสียงคุ้นหูของใครบางคนก็ดังขึ้น
“พี่เสกข์ กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ”
คนถูกถามหันขวับไปมองยังต้นเสียงทันที ก่อนจะหยัดกายยืนตรงแล้วตอบออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ปราศจากแววตื่นเต้นเหมือนที่ได้ยินจากอีกฝ่าย
“4 – 5 วันแล้วครับ”
“ลูกตาลดีใจจังค่ะที่ได้เจอพี่เสกข์ที่นี่”
สุรเสกข์อยากจะบอกออกไปเหลือเกินว่าเขาไม่ได้รู้สึกดีใจเลยแม้แต่น้อยที่เห็นเธอควงคู่มากับคนแก่วัยคราวพ่อ ที่สำคัญเป็นพ่อของเพื่อนเขาอีกต่างหาก ทว่าสิ่งที่พอจะทำได้คือปิดปากเงียบ
แม้จะยอมรับว่าการขาดการติดต่อของหญิงสาว เคยทำให้ใจของเขากระวนกระวาย และรู้สึกราวกับโลกทั้งใบหม่นเศร้า ทว่าก็ยังน้อยกว่าการได้เจอหน้ากันจัง ๆ แบบไม่ได้ตั้งตัวเช่นในขณะนี้
“พี่เสกข์สบายดีหรือเปล่าคะ รู้ไหมว่าลูกตาลยังคิดถึง...”
“หยุดเถอะ คุณก็รู้ตัวดีอยู่แล้วว่าอะไรเป็นอะไร อย่าพูดแบบนี้ ถ้าเกิดเสี่ยพงษ์พัฒน์มาได้ยิน คุณนั่นแหละที่จะเสียใจ”
สุรเสกข์ปรามเสียงขุ่น นึกเกลียดท่าทีและน้ำเสียงแบบนี้เพราะมันคอยแต่จะทำให้ใจของเขาร้อนรน
“คุณควรจะกลับไปนั่งที่โต๊ะเสีย ทิ้งมาแบบนี้มันดูไม่ค่อยดี”
“ลูกตาลยอมรับว่าผิดที่เป็นฝ่ายขาดการติดต่อกับพี่เสกข์ก่อน แต่รู้ไหมคะว่าลูกตาลก็ไม่เคยลืมพี่”
ร่างบางสาวเท้ามาจนประชิด ขณะกระซิบบอกหวังให้เขาได้ล่วงรู้ถึงความนึกคิดของเธอ สุรเสกข์หลุบตาลงมองนิดหนึ่ง ก่อนจะเบือนหน้าหนีให้พ้นสายตาอ้อนวอน
“จะพูดแบบนี้ไปเพื่อให้มันได้อะไรขึ้นมา ตอนนี้คุณมีหน้าที่ต้องทำในฐานะคนของเสี่ยพงษ์พัฒน์แล้ว อย่าลืมสิ”
“พี่เสกข์รู้?”
แม้จะไม่มีคำตอบใด ๆ ดังมาจากสุรเสกข์ หากแต่ท่าทีของเขาก็เหมือนจะย้ำว่าเธอไม่ควรโกหกหรือกล่าวคำเท็จใด ๆ ออกมา หากต้องการจะรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างกันเอาไว้
“สิ่งที่พี่เสกข์เห็นเมื่อกี้ ลูกตาลอธิบายได้นะคะ คือ...เอ่อ...ลูกตาลมีความจำเป็นต้องทำแบบนี้ พี่เสกข์รู้ไหมคะว่าลูกตาลจำเป็น”
น้ำเสียงสั่นเครือของหญิงสาวที่ดังมาให้ได้ยิน ทำให้ใจของสุรเสกข์ยิ่งร้อนเร่า ใบหน้าคมที่เบือนหนีอยู่เมื่อครู่หันขวับมา ก่อนจะก้มลงมองอย่างค้นหา
“เรื่องเงินรึ?”
“เปล่าค่ะ ลูกตาลไม่ได้เป็นฝ่ายต้องการให้เป็นแบบนี้ แต่...เขามอมยาลูกตาล”
สุรเสกข์กัดฟันกรอดกับสิ่งที่ได้ยิน บัดนี้พริตตี้สาวสวยที่เคยทำให้เขายอมควักใจออกมาวางให้ กลายเป็นดอกไม้งามที่ถูกกระชากจากกอไปดอมดมเสียแล้ว
แม้จะใจหล่นวูบกับสิ่งที่ได้ยิน แต่ก็ไม่อาจย้อนเวลากลับไปแก้ไขได้อีกแล้ว ฉะนั้นแทนที่เขาจะเอ่ยคำประณามหยามเหยียดในสิ่งที่หญิงสาวถูกกระทำ สุรเสกข์กลับทำเพียงปลอบใจ
“แต่เสี่ยพงษ์พัฒน์ก็ดูแลคุณเป็นอย่างดีไม่ใช่หรือ”
หญิงสาวไม่เถียงว่าภายหลังตื่นมาเผชิญโลกแห่งความเป็นจริงอันโหดร้าย เสี่ยพงษ์พัฒน์ก็ไม่ได้ใจดำ เขาขอโทษขอโพยและยินดีทำทุกอย่างตามที่เธอต้องการ ที่สำคัญ...เขาประสงค์ครอบครองเพราะมีจิตพิศวาส แถมยังยินดีเลี้ยงดูโดยไม่คิดทิ้งขว้างภายหลังอีกด้วย
“แต่ลูกตาลก็อยากบอกให้พี่เสกข์รู้ไว้ ลูกตาลไม่ได้ยินดีเลยที่เป็นแบบนี้...ลูกตาลเสียใจ”
น้ำเสียงเจือสะอื้นที่ดังขึ้นนั้น ทำให้สุรเสกข์กลัดกลุ้มถึงขั้นต้องลอบระบายลมหายใจออกมา ตั้งแต่ได้เห็นหญิงสาวเดินเฉิดฉายเข้าไปในเต้นท์รถของเสี่ยพงษ์พัฒน์ในวันนั้นแล้ว สิ่งเดียวที่เฝ้าบอกตัวเองคือเขาต้องลืมเธอให้เร็วที่สุด ทว่าพอได้เจอหน้ากันจัง ๆ เช่นวันนี้ ใจเขาก็ดูเหมือนจะวนเวียนไปใกล้ระดับ 0 อีกครั้ง
“มันเปล่าประโยชน์ที่จะมาคร่ำครวญ ในเมื่อเลือกไม่ได้ คุณก็ควรจะอยู่กับปัจจุบันให้มีความสุขที่สุด”
เป็นคำพูดที่สุรเสกข์คิดว่าฟังดูดีและมีเหตุมีผลมากที่สุดแล้ว ยามนี้แม้แต่จะยกมือขึ้นกรีดน้ำตาให้เธอ หรือสวมกอดร่างบางที่ไหวระริกไปกับเสียงสะอื้น เขาก็ไม่ควรทำแม้สักนิด
“หยุดร้องไห้เสียเถอะ เอาเป็นว่าผมเข้าใจ ไม่ต้องคิดมาก”
“รู้อย่างนี้แล้ว พี่เสกข์อย่ารังเกียจลูกตาลนะคะ ขอร้อง...”
แม้จะเคยบอกตัวเองว่าจากนี้ไปเขาและเธอคงเป็นเพียงเส้นขนาน หากแต่พอได้ยินน้ำเสียงสั่นเครือร้องขอบวกกับมือเรียวที่ส่งมาเขย่าท่อนแขนของเขาอย่างเร่งเร้า ใจที่เคยบังคับให้แข็งแกร่งกลับอ่อนแรงดั่งขี้ผึ้งถูกไฟลน
“คุณควรดูแลตัวเองให้ดี มากกว่าจะมาสนใจความรู้สึกผมนะ เพราะยังไงเราก็เป็นเหมือนเดิมไม่ได้อีก”
“แต่...”
“ว้าย.../โอ๊ะ...”
ในขณะที่สุรเสกข์กับหญิงสาวยังคงยืนคุยกัน เสียงอุทานของคนสองคนก็ดังแทรกขึ้นมา ปลุกให้สายตาคู่คมของสุรเสกข์ต้องกวาดไปมองอย่างรวดเร็ว ซึ่งสิ่งที่ได้เห็นก็ทำให้เขาถึงกับหน้าตึง ปาริชาตยกมือขึ้นกุมหัวไหล่แล้วทำหน้าเหยเกเดาได้ว่าคงเจ็บปวดมากกว่าอย่างอื่น ส่วนคู่กรณีซึ่งเป็นชายแปลกหน้าทำเพียงยืนมอง
“คุณกลับไปนั่งที่โต๊ะเสียเถอะ หายออกมานานแบบนี้เดี๋ยวเสี่ยพงษ์พัฒน์จะเป็นห่วง”
“ค่ะ”
หญิงสาวกระพริบตาปริบ ๆ ไล่หยาดน้ำที่นองเอ่อขณะรับคำเขา ก่อนจะยอมเดินกลับเข้าไปด้านในอย่างว่าง่าย ซึ่งพอคล้อยหลังเธอ ขายาว ๆ ของสุรเสกข์ก็พาเขาตรงดิ่งไปยังเจ้าของเสียงร้องครางด้วยความเจ็บปวดเมื่อครู่ทันที เขาทันได้ยินเสียงปาริชาตขอโทษขอโพย ก่อนที่ชายแปลกหน้าคู่กรณีจะแยกย้ายจากไป
“เดี๋ยว ยังไปไหนไม่ได้”
ร่างบางที่เพิ่งลดมือลงจากไหล่ตนเองขณะรีบสาวเท้าให้พ้นจากสถานที่นั้นมีอันต้องสะดุดกึกไปในทันทีที่ได้ยินเสียงเข้มของสุรเสกข์ดังมา ก่อนเจ้าของจะก้าวอาด ๆ มาขวางหน้าเอาไว้อีก
“ฉันจะกลับไปนั่งที่โต๊ะแล้วค่ะ”
“จะรีบกลับไปทำไมตอนนี้ บอกมาซะดี ๆ ว่ามาทำอะไรแถวนี้”
“ฉันมาเข้าห้องน้ำ”
“แน่รึ?”
สุรเสกข์เอ่ยถามเสียงขุ่น ด้วยนึกขัดใจในท่าทีใสซื่อของปาริชาต ที่สำคัญเธอก็ไม่เงยหน้าขึ้นมองเลยสักนิดว่าบริเวณที่ยืนอยู่ในขณะนี้หาใช่หน้าห้องน้ำหญิงไม่
“ค่ะ”
“คุณเข้าห้องน้ำผู้ชายเหรอ”
“คะ? เอ่อ...”
ใบหน้าเรียวที่จืดเจื่อนไปถนัดตาขณะเจ้าของเงยหน้าขึ้นเห็นป้ายที่ตั้งอยู่นั้น ไม่อาจเรียกคะแนนสงสารจากสุรเสกข์ได้เลย หนำซ้ำยังเป็นชนวนให้เขาต้องเค้นเอาความจริงจากเธอให้ได้ว่าสรุปแล้ว...เธอกำลังคิดจะทำอะไรกันแน่
“มานี่...”
เสียงเข้มดังขึ้นพร้อมกับฝ่ามือใหญ่ก็ฉุดข้อมือของปาริชาตแล้วเดินนำไป ท่ามกลางกิริยาขัดขืนที่หญิงสาวพยายามงัดออกมาใช้ ทว่าไม่สามารถหยุดอีกฝ่ายได้
“บอกความจริงมาซะดี ๆ ว่าคุณมาทำอะไรตรงนั้น รึว่ามาแอบดูอะไร”
ร่างบางถูกผลักไปชิดผนังหลังพุ่มไม้พร้อมกับคำถามคาดคั้น นาทีนี้แม้ข้อมือของปาริชาตจะหลุดพ้นจากพันธนาการแล้ว หากแต่เธอก็ไม่สามารถหลบหนีไปแห่งใดได้อีก ด้วยถูกสองแขนของเขาเท้าผนังกักไว้
“ก็ฉันบอกแล้วไงว่า...”
“อย่าพูดออกมาอีกแม้แต่หนเดียวนะว่ามาเข้าห้องน้ำ เพราะห้องน้ำผู้หญิงมันอยู่ฝั่งโน้น”
“...”
การถูกสุรเสกข์ดักคอทันควัน ทำให้หญิงสาวต้องกัดริมฝีปากตัวเองเอาไว้จนแน่น นึกอยากจะโกรธตัวเองที่ไม่ยอมมองซ้ายมองขวาให้ดีจนเดินชนกับคนอื่น ที่สำคัญชายร่างยักษ์คนนั้นก็ชนเธอมาเสียเต็มแรงจนกระดูกกระเดี้ยวแทบหัก ร้องโอดโอยแค่นี้ยังน่าจะน้อยไปด้วยซ้ำ
“แต่ถ้าบอกมาคำเดียวว่านิยมการเข้าห้องน้ำผู้ชาย ผมก็จะยอมเชื่อ เพราะวันก่อนก็เห็นมากับตาแล้ว สองหนติด ๆ กันนี่ผมถือว่าไม่ธรรมดา”
จากที่ทำเพียงอ้ำอึ้ง พอถูกเขาสะกิดปมความอับอายขึ้นมา ปาริชาตก็เริ่มไม่พอใจ หญิงสาวตวัดตาคู่โตมองเขาก่อนจะเปล่งเสียงสะท้านด้วยกำลังพยายามระงับโทสะ
“ใช่ค่ะ ฉันไม่ได้มาเข้าห้องน้ำ”
“แล้วคุณมาทำไมตรงนั้น”
“ฉันมาแอบดูเพราะเห็นผู้หญิงคนนั้นเดินตามคุณออกมา”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณไม่ทราบ”
การยอมรับออกมาตามตรงของปาริชาต ทำให้คนที่คิดว่าตนเองกำลังถูกล่วงละเมิดความเป็นส่วนตัว ขมวดคิ้วหนาเข้าหากันอย่างขัดใจ การไม่เคารพสิทธิของผู้อื่นเป็นสิ่งที่สุรเสกข์ต่อต้านมาตลอด และยิ่งมาเจอเข้ากับตัวเอง ต่อให้เหตุผลนั้นจะฟังดูดีแค่ไหน เขาก็ยังคงไม่รู้สึกยินดี
“ก็...”
น้ำเสียงที่ฟังดูก็รู้ว่ากำลังถูกเขาตำหนิ ทำให้ปาริชาตร้อนผ่าวไปทั้งหน้า หากย้อนเวลากลับไปได้ รับรองว่าเธอจะไม่ปล่อยให้ความอยากรู้อยากเห็นครอบงำจิตใจเหมือนเช่นเมื่อครู่แน่ ๆ
“ก็...คุณบอกว่าเธอตายไปแล้วนี่คะ ฉันก็อยากรู้น่ะสิว่าตายจริง ๆ หรือเปล่า”
ปาริชาตเอ่ยบอกก่อนจะระบายลมหายใจออกมาคล้ายเหนื่อยหอบ ก่อนความกลัวจะจู่โจมเข้าเกาะกุมจิตใจ เมื่อเห็นสีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเป็นบึ้งตึง
“ผมถามอีกครั้งว่ามันเกี่ยวอะไรกับคุณ”
คำถามเดิมที่ถูกย้ำอีกหนอย่างชัดถ้อยชัดคำทำให้ปาริชาตนึกอยากร้องไห้เป็นที่สุด ยามนี้นอกจากน้ำเสียงนั้นจะฟังดูแข็งกร้าวแล้วนัยน์ตาคู่คมที่จ้องมาเขม็งรอคอยคำตอบก็ยังวาวโรจน์ไปด้วยความขุ่นเคืองอีกด้วย
“ก็ตอนที่ฉันเห็นรูปบนจอคอมพิวเตอร์ ฉันถามนิดเดียวแต่คุณกลับตะคอกฉันนี่ ปล่อยค่ะ”
ขาดคำร่างบางก็ผลักท่อนแขนข้างที่เท้ากับฝาผนังออกเต็มแรงเพื่อช่วยให้ตัวเองหลุดพ้นจากการถูกกักขัง พลางบอกตัวเองว่าให้สาวเท้าจากไปจากบริเวณนี้ให้เร็วที่สุด แต่ทว่าฝ่ามือใหญ่ของเขาก็ฉกมาคว้าแขนของเธอเอาไว้ได้อีกหน
“ยังไปไม่ได้ มาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน”
ปาริชาตต้องถูกเขากักเอาไว้อีกหน แถมคราวนี้ใบหน้าคมของเขายังโน้มเข้ามาใกล้กว่าเดิมอีกด้วย
“แค้นมากใช่ไหม”
“...”
ระยะทางที่ห่างเพียงคืบขณะเขาเค้นถาม ทำให้ปาริชาตได้แต่ยืนนิ่ง ตาโตหลุบมองแค่อกเสื้อของเขา
“ผมไม่ชอบให้ใครมาละเมิดเรื่องส่วนตัว วันนี้ถือว่าบอกแล้ว แต่ถ้าคราวหน้ายังขืนทำแบบนี้อีก ผมจะลงโทษคุณ”
ไม่ว่าประโยคนั้นจะเรียกว่าเป็นคำขู่หรือการคาดโทษ ปาริชาตก็ไม่มีเวลาจะใส่ใจอีกแล้ว เธอรีบจ้ำพรวด ๆ แบบไม่เหลียวหลังพลางนึกในใจไปจนตลอดทางว่าเธอจะไม่ขออยู่ใกล้กับสุรเสกข์อีกเลยนับแต่นาทีนี้เป็นต้นไป

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 เม.ย. 2556, 21:16:00 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 เม.ย. 2556, 21:17:42 น.
จำนวนการเข้าชม : 1696
<< ตอนที่ 5 | ตอนที่ 7 >> |

ผักหวาน 5 เม.ย. 2556, 13:04:42 น.
ที่แท้ สาวในรูปที่หนูป่านเห็น ก็แค่ตายไปจากหัวใจของคุณสุรเสกข์แค่นั้นเอง
ที่แท้ สาวในรูปที่หนูป่านเห็น ก็แค่ตายไปจากหัวใจของคุณสุรเสกข์แค่นั้นเอง

วนัน 9 เม.ย. 2556, 13:49:19 น.
มารอคะ
มารอคะ