เพทายพ่ายตะวัน
เมื่อเธอคือ กุหลาบแดง แห่ง "เรือนกุหลาบ" และเขาคือ ศัลยแพทย์ ผู้มีฝีปากเชือดเฉือนยิ่งกว่ามีดผ่าตัด..ยุทธการปราบพยศครั้งนี้..มีหัวใจเป็นเดิมพัน!
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๗ สิทธิของผู้ชนะ ๑/๒

เพทายหย่อนตัวลงบนเก้าอี้ไม้ตัวยาวกลางห้องรับรองแขก ใช้ฝ่ามือทั้งสองยันเบาะนั่งไว้ก่อน แล้วค่อยๆทิ้งน้ำหนักตัวลงไปอย่างระมัดระวังที่สุด เหลือบมองนาฬิกาเรือนสวยข้างผนังก็เห็นว่าใกล้เวลานัดเข้ามาทุกทีแล้ว

วันนี้ที่รอคอยมาถึง..วันที่หล่อนจะได้พบกับน้องสาวคนเล็ก ผู้เป็นคู่ฟัดคู่เหวี่ยงกันมาแต่อ้อนแต่ออดอีกครั้ง คิดถึงตรงนี้ก็ให้รู้สึกละเหี่ยใจ จนป่านนี้แล้วหล่อนยังประทับทรงอยู่บนคานทองนิเวศน์ได้อย่างเหนียวหนึบ พอๆกับพี่สาวคนรอง ที่มัวแต่ทำตัวเป็นคุณครูเจ้าระเบียบจนไม่มีหนุ่มคนไหนมาเหลียวแล

ส่วนพี่สาวคนโตน่ะหรือ..หล่อนไม่อยากจะนึกถึงให้เจ็บปวดหัวใจเล่นหากไม่จำเป็น มรกตหายตัวไปจาก ‘เรือนกุหลาบ’ แห่งนี้นับสิบกว่าปีแล้ว ไม่ได้ข่าวคราวอีกเลยหลังจากอุกอาจหนีออกจากบ้านคราวนั้น แต่ถึงไม่ได้อยู่ด้วยกัน เพทายก็ค่อนข้างมั่นใจ ว่าสาวห้าวทอมบอยประเภทนั้น คงไม่ทิ้งห่างคานทองอย่างหล่อนไปสักเท่าไหร่

ใครจะไปนึก..หญิงสาวบอบบาง ร่างเล็ก ผิวพรรณงามพิสุทธิ์ดั่งไข่มุก ผู้ซึ่งอายุน้อยที่สุดในบ้าน ลืมตาดูโลกช้าที่สุดในตระกูล อย่าง มุกดา น้องคนสุดท้อง จะชิงเข้าประตูวิวาห์ไปก่อนใครเพื่อน ทิ้งให้พี่ๆนอนแกร่วกันอยู่ในบ้านหลังเดิมแบบนี้ บ้านที่มีมารดา ผู้ซึ่งนับวันจะกลายเป็นผีพนันตัวยงมากขึ้นไปทุกที บ้านที่ขาดประมุขอย่างพ่อ ผู้ซึ่งทนรับนิสัยของภรรยาไม่ได้ กระทั่งต้องแยกตัวไปอยู่แดนไกล ตามประสาคนรักสันโดษ ลูกๆคนไหนคิดถึง หรือต้องการคำปรึกษา ก็หาโอกาสไปเยี่ยมกันเองเป็นครั้งคราว

เมื่อสองสามวันก่อน มุกดานัดหมายกับพี่สาวตัวแสบอย่างหล่อน ว่าช่วงสายของวันนี้จะเดินทางมากับคุณสามีสุดที่รัก ตรงดิ่งมาจากเรือนหอที่ปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธุ์ เพื่อมาเยี่ยมเยียนพี่ๆกับผู้เป็นแม่ หลังจากแต่งงานออกเรือนไปเกือบหนึ่งปีเต็ม และธุระสำคัญยิ่งกว่าการมาเยี่ยมพี่สาวจอมกวนอย่างเพทาย คือสามีของมุกดาต้องการมาดูงาน โครงการ ‘สปากุหลาบขาว’ ที่ใกล้จะสร้างเสร็จในอีกไม่ถึงเดือน
แปลงกุหลาบตรงศาลาริมน้ำ กับที่ดินสัดส่วนพอประมาณตรงนั้นเอง ที่เขาได้รับอนุมัติให้เปิดกิจการจากเพทายเสียทีหลังจากจดทะเบียนสมรสกับน้องสาวสุดหวงของหล่อน

ความคิดคำนึงเพิ่งดำเนินไปไม่ถึงไหนก็ต้องสะดุด เพทายกัดริมฝีปากตัวเองด้วยความเจ็บปวด หล่อนเผลอทิ้งฝ่าเท้าข้างขวาลงบนเบาะแรงเกินควร ขณะเปลี่ยนท่าเป็นเอนหลังพิงหมอนกับพนัก แล้วตวัดขาสองข้างขึ้นมาบนเก้าอี้ในท่าชันเข่า

มือข้างหนึ่งเอื้อมลงไปลูบคลำข้อเท้าในเฝือกหนาข้างที่ได้รับบาดเจ็บมานานแรมเดือน ความทรงจำหลากหลายอารมณ์เรียงรายเข้ามาท่ามกลางความทุกขเวทนาเป็นฉากเป็นตอน ชัดเจน..เสมือนเรื่องเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้

“โชคดีนะ..กระดูกแค่หัก แต่ไม่เคลื่อน”
ชัดเจนหันมาบอกหล่อนด้วยสีหน้าเรียบเฉย ประหนึ่งว่าเพิ่งวินิจฉัยหล่อน เป็นโรคไข้หวัดธรรมดาๆหลังจากติดแผ่นฟิล์มบนบอร์ดไฟขาว แล้วพิจารณาเงากระดูกข้อเท้าข้างขวาของหล่อนอย่างพินิจพิเคราะห์

“หา..อะไรนะ..แค่หัก?!” ผิดกับเพทายที่อ้าปากกว้างจนแทบจะกินหัวเขาได้ ใบหน้าซีดเผือดไม่มีสีเลือด “โอย..ตายๆๆ ตายแน่ๆ คุณจะบ้าหรือไง พูดว่าแค่หัก..ลองมาหักเองดูบ้างไหมล่ะ จะได้รู้สึก!”
“จะทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูมทำไมไม่ทราบ..”

เขาตอบกลับมาเสียงเรียบตามเคย ทว่าใบหน้าดูขรึมเครียดผิดปกติ หรือจะเป็นปกติที่หล่อนไม่เคยเห็นมาก่อนก็ไม่อาจทราบได้ เพทายขยับปากจะโต้กลับประสาคนบ้าดีเดือด หากแต่อะไรบางอย่างในดวงตาดุดันคู่นั้นสะกดให้หล่อนต้องเงียบฟัง ทั้งที่ไม่ได้อยากอ่อนข้อให้เขาเลยแม้แต่น้อย

“ฟังให้จบแล้วค่อยพูดได้ไหม..ผมกำลังจะบอกว่าคุณโชคดีที่กระดูกข้อเท้าหัก แต่ไม่เคลื่อน โชคดีเพราะว่าการที่กระดูกข้อเท้าหักแล้วเคลื่อน กับหักแล้วไม่เคลื่อน การรักษามันต่างกัน” ชัดเจนทิ้งจังหวะหายใจเพียงนิดเดียว ก่อนจะรีบอธิบายต่อเมื่อเห็นเจ้าหล่อนเริ่มขยับปากทำท่าจะทะลุกลางปล้องขึ้นมาอีกครั้ง “ หัก และ เคลื่อน การรักษาคือ ผ่า-ตัด ใส่เหล็กดาม แต่ถ้าไม่เคลื่อน หรือเคลื่อนไม่เกิน 2 มม. การรักษาแค่ใส่เฝือก”

ชัดเจนเน้นคำว่า ‘ผ่า-ตัด’ เป็นพิเศษและเปล่งเสียงพยัญชนะ เว้นจังหวะให้ฟังดูน่ากลัว แต่สาวเจ้าก็ยังทำทีไม่รู้สึกรู้สา อวดเก่งต่อกรกับเขาได้อีก

“ผ่าตัดแล้วไง..ใครกลัวไม่ทราบ..โด่เอ๊ย เรื่องขี้ปะติ๋วเท่านั้นเอง” เพทายกอดอกเชิดหน้า ผิดกับท่าที ‘กระต่ายตื่นตูม’ ที่เขานิยามให้ในตอนแรกโดยสิ้นเชิง

“นี่พูดแล้วอย่าหาว่าคุย..ตอนเด็กๆมีเพื่อนวิ่งมาล้มทับ ศอกหลุดไปข้าง หมอกระดูกดัดแขนกันสดๆไม่วางยาสลบ ไม่ฉีดยาแก้ปวด ก็เคยมาแล้ว นับประสาอะไรกับผ่าตัดแค่นี้ เดี๋ยวเค้าวางยาฉัน ฉันก็หลับไม่รู้เรื่อง จะเจ็บปวดกันกี่มากน้อยเชียว”

“ขอให้จริง..อย่าเก่งแต่ปาก”
ชัดเจนสวนมาแค่นั้น แล้วเขาก็ไม่เปิดโอกาสให้นักวางแผนได้เถียงกลับแน่นอน

“ขึ้นไปนั่งรอบนเตียงโน่น”

เพทายถึงกับตั้งรับไม่ถูก เมื่อเขาชี้นิ้วเป็นเชิงออกคำสั่ง หล่อนมองตามทิศทางที่เขาบอก เห็นเตียงโล่งว่างสำหรับทำแผลในห้องฉุกเฉินเพียงเตียงเดียวเท่านั้น และหล่อนก็คงไม่โชว์โง่ออกไปด้วยการถามเขาว่าเตียงไหนหรอก เพียงแต่เอ่ยถามประเด็นอื่นด้วยความไม่แน่ใจ

“ฉัน..เดินไปเอง..เหรอ?” หญิงสาวชี้นิ้วเข้าหาตัวเองประกอบคำถาม สีหน้าเจื่อนลงโดยไม่ได้ตั้งใจ “เอ้า..” ชัดเจนเลิกคิ้วพร้อมกันสองข้าง แสร้งส่งสายตาแสดงความประหลาดใจอย่างสุดขีด “ก็เก่งนักไม่ใช่หรือ..เดินขึ้นเตียงแค่นี้..เรื่องยาก?”

“ง่าย!!” เพทายสวนกลับเสียงกระแทก ไม่ใช่ว่าหล่อนอยากจะอ่อยเขาอะไรนักหนา เพียงแต่ความเจ็บปวดเป็นริ้วๆไล่มาจากข้อเท้าลามขึ้นมาทั้งขาข้างขวานั้นมาก..กระทั่งหล่อนทรงตัวยืนแทบไม่ไหว ต้องเทน้ำหนักเอียงลงไปทางฝั่งซ้ายเกือบทั้งหมด ยืมเสาข้างเคาน์เตอร์พยาบาลเป็นหลักพักพิงชั่วคราวอยู่ตั้งนาน..นี่จะให้ออกเดินด้วยตัวเองไปอีกห้าหกเมตร..มันไม่ไกลหรอก หากหล่อนไม่ได้ตกอยู่ในสภาพนี้..แต่

เอาเถิด..อย่างไรศักดิ์ศรีก็สำคัญกว่าสิ่งอื่นใดในปฐพีอยู่แล้ว เขาสบประมาทหล่อนขนาดนี้ มีหรือคนอย่างเพทายจะยอม เรื่องแค่นี้..ง่ายนิดเดียว ปีนเขา ลงห้วย โดดหอ หล่อนก็เคยมาแล้ว ประสาอะไรกับเรื่องแค่นี้..เพทายนึกปลอบตัวเอง

“เชิญ..” ชัดเจนผายมือไล่ ไม่รีรอ หน้าตาไม่มีแววแสดงความเห็นใจ หรือสงสารกันสักนิด ผู้ชายคนนี้อารมณ์มันเป็นยังไงนะ ขึ้นๆลงๆ เมื่อกี้ยังดูเหมือนจะดีต่อหล่อนเสียมากมาย หรือหมอศัลย์เป็นแบบนี้กันทุกคน..เพทายนึกค่อนขอดในใจ หล่อนพยายามย่างเท้าซ้ายออกไปเบื้องหน้า ทุกครั้งที่เท้าขวาต้องลงน้ำหนักสัมผัสพื้น เมื่อนั้นรู้สึกเหมือนตัวจะแตกเป็นเสี่ยงๆ หน้ามืด วิงเวียนอยากจะลงไปกองกับพื้นเสียตรงนั้น ทว่าก็ต้องกลั้นใจ..เหตุด้วยศักดิ์ศรีมันค้ำคอจังเบ้อเริ่ม

แล้วหญิงสาวก็ประคองร่างตัวเองมานั่งรอบนเตียงสุดมุมห้องนั้นจนได้ บรุษพยาบาล และพยาบาลสาวๆอีกหลายคนที่เคยชุลมุนวุ่นวายทำหัตถการนั่นนี่กันอยู่บริเวณสามสี่เตียงติดๆกัน กลับปลาสนาการถอยหนีไปจากตรงนั้นทันทีเมื่อ หมอชัดเจนย่างสามขุมตามหล่อนมาถึงที่หมาย ประเมินแล้ว เพทายค่อนข้างมั่นใจว่า ตาหมอผีเจาะปากคนนี้ สัมพันธภาพกับผู้ร่วมงานคงถึงขั้นโคม่า ไม่มีใครคบแล้วจริงๆ

“ขอโทษนะ..ช่วยนั่งชันเข่าข้างขวาขึ้นนิดนึง” เขาบอกเหมือนพอเป็นพิธี ไม่ได้รู้สึกเกรงใจอะไรมากมาย เมื่อเห็นหญิงสาวขยับทำตามสั่งช้าๆ แววตาหลุกหลิกไม่ไว้วางใจ มือหนาที่กำลังจัดการกับเฝือกสำเร็จรูปอันนั้นจึงหยุดชะงักลงชั่วคราว ก่อนเอ่ยเสียงเครียด “บอกก่อนว่าผมไม่ได้อยากจะสัมผัสตัวคุณ ไม่ว่าส่วนไหนของร่างกายเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่ได้มีเจตนาลามกอนาจารใดๆทั้งสิ้น แค่สงสาร หน้าตา ท่าทาง และฝีปากอย่างคุณคงไม่เคยมีผู้ชายคนไหนอยากเข้าใกล้ เอ้ย..เคยมาสัมผัสใกล้ชิด แต่คุณก็เห็นไม่ใช่หรือ ว่าคนพวกนั้น ท่าทางน่าไว้วางใจกว่าผมเสียเมื่อไหร่”

เพทายเหลือบไปมองบุรุษพยาบาลพวกนั้นแล้วลอบถอนหายใจ..จริงอย่างเขาว่า หล่อนไม่มีทางเลือก!

กระบวนการใส่เฝือกผ่านไปด้วยดี เรียบง่าย รวดเร็วกว่าที่หล่อนคิดไว้มาก ที่ตะขิดตะขวง และรำคาญใจก็มีแค่ เฝือกแข็งๆที่พันแน่นหนาขึ้นมาถึงต้นขาข้างขวา ทั้งอบทั้งอึดอัด ด้วยความไม่ชิน อีกประเด็นหนึ่งก็คือ หล่อนรู้สึกกระดากนัก ที่ต้องจำยอมให้ชัดเจนสัมผัสเนื้อตัว ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้มีท่าทีแบบคนฉวยโอกาส ทุกสัมผัสที่กระทบผิวเนื้อเนียนละเอียดบริเวณช่วงขาเป็นไปอย่างเบามือ ระมัดระวังที่สุด แต่ว่าหล่อนก็ไม่เคยถูกผู้ชายคนไหนนอกจากบิดาสัมผัสเนื้อตัวแบบนี้มาก่อน โดยเฉพาะเมื่อเป็นผู้ชายที่หล่อนไม่ถูกชะตาอย่างร้ายแรงด้วยแล้ว..หล่อนรู้สึกเสียศักดิ์ศรี จนกระทั่งไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ทุกการกระทำ ทุกการดูแลของเขา ล้วนตกอยู่ในสายตาของสาธารณชนนับสิบคู่ในห้องฉุกเฉินแห่งนั้น เอาเถิด..ถึงแม้จะมีคนนอกล่วงรู้ความน่าอับอายของหล่อน แต่หล่อนสัญญากับตัวเองนับแต่วินาทีนั้นเลยว่า จะไม่ให้คนใกล้ชิด หรือคนสนิทของหล่อนได้ล่วงรู้เด็ดขาด!

ชัดเจนแสดงท่าทีต่อหล่อนหลังจากประกอบเฝือกให้เสร็จเสมือนหล่อนเป็นชิ้นงานชิ้นหนึ่ง เมื่อทำเสร็จแล้วก็ไม่ต้องมีการเจรจาถามไถ่กันให้มากความ ชายหนุ่มหันหลัง เดินไปล้างมือที่อ่างใกล้หัวเตียง เสร็จแล้วจึงเดินดุ่มๆไปที่เคาน์เตอร์พยาบาล ทำปากขมุบขมิบเหมือนสั่งงานอะไรกับพยาบาลสาวคนนั้นพักเดียว ก่อนจะได้รับกระดาษใบเล็กๆยื่นมาให้ เขาก้มลงเขียนอะไรยุกยิก หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายคุยกับใครบางคน เวลาผ่านไปไม่ถึงสิบนาที เขาก็เดินกลับมาหาหล่อน ยื่นบัตรนัดให้พร้อมคำอธิบายเสียงเรียบเรื่อย

“ผมติดต่อเพื่อนที่เป็นศัลยแพทย์กระดูกและข้อไว้เรียบร้อยแล้ว คุณต้องใส่เฝือกอย่างนี้นานหกสัปดาห์เป็นอย่างต่ำ เดี๋ยวพยาบาลเขาจะเอาไม้ค้ำยันมาให้ แล้วก็จะสอนวิธีลงน้ำหนักโดยใช้อุปกรณ์ชนิดนี้ด้วย”

“หกสัปดาห์?” เพทายหลุดมาดกระต่ายตื่นตูมอีกครั้ง “พูดจริงพูดเล่นเนี่ยคุณ”

“เห็นผมเป็นตลกคาเฟ่หรือไง..” เสียงเขาฟังดูหงุดหงิดรำคาญใจอย่างปิดไม่มิด พยายามสะกดกลั้นอารมณ์เต็มที่ก่อนอธิบายต่อ “ผมสั่งยังไง คุณก็ทำตามนั้นแหละ ไม่ต้องเรื่องมาก”

แน่นอนว่าชัดเจนไม่เปิดโอกาสให้หล่อนสวนกลับ เขายกยิ้มมุมปากอย่างเป็นต่อพร้อมเอ่ย “ผมขอใช้สิทธิของผู้ชนะ..สั่งให้คุณโทรมารายงานความคืบหน้า เกี่ยวกับอาการบาดเจ็บของข้อเท้าทุกหนึ่งสัปดาห์ ห้ามบิดพลิ้ว ครบหกสัปดาห์มาพบหมอกระดูกที่นี่ตามนัด..”

“แล้วมันเรื่องอะไรของคุณไม่ทราบ ทำไมต้องวุ่นวาย คุณก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเพื่อนคุณจบๆกันไป” เพทายโวยวายเสียงลั่น ลืมไปว่าไม่ได้อยู่กันแค่สองคนในห้องสี่เหลี่ยมกว้างขวางแห่งนั้น กระแสตาจากคนรอบข้างที่เพ่งตรงมายังหล่อน ทำให้สาวเจ้าเพิ่งสำเหนียกได้ ใบหน้าร้อนผ่าว

“ถูกต้อง..มันไม่ใช่หน้าที่ของผม” ชัดเจนยิ้มเย็น นัยน์ตาประกาศชัยชนะเต็มที่ เพทายต้องนับหนึ่งถึงสิบ เพื่อข่มใจไม่ยกหมัดขึ้นชกหน้าเขาให้หายหมั่นไส้

“แต่มันเป็นสิทธิของผู้ชนะ..ไม่มีเงื่อนไข อยากทำอะไรก็ทำ คุณมีหน้าที่อย่างเดียวคือ..ตอบแทนทุกอย่างที่ผู้ชนะต้องการ”

เพทายมั่นใจว่าตอนนั้นเลือดในกายของหล่อนพลุ่งพล่าน โกรธสุดขีดอย่างไม่เคยโกรธใครมาก่อน “แล้วนี้ยังเล็กน้อยนะ ไม่สมราคาค่าตอบแทนเลยสักนิด..รอก่อนเถอะ ให้ผมนึกออกเมื่อไหร่ ว่าอยากได้อะไรจากคุณอีก ผมจะแจ้งให้ทราบ”

“คุณอยากได้อะไรก็รีบบอกมาให้หมด ไม่ต้องกั๊ก จะได้รีบจบๆกันไป ไม่ต้องมาเจอหน้ากันอีก ฉันเกลียดขี้หน้าคุณจะตายอยู่แล้ว รู้ตัวไว้ด้วย” นั่นคือประโยคของผู้แพ้ที่หล่อนพอจะนึกออกได้ในตอนนั้น ชัดเจนยังอุตส่าห์พูดต่อหน้าตาเฉย

“เบอร์ติดต่อผม คุณก็ถามหมอนลัศเอาแล้วกัน..อ้อ ใช้เบอร์หมอนลัศโทรมานะ เบอร์อื่นผมไม่รับ” คือประโยคยียวนสุดท้ายที่อยู่ในความทรงจำของหล่อน..

และความทรงจำอีกเรื่องหนึ่งที่ยังต่อท้ายฉากเหล่านั้นมาหลอกมาหลอนหล่อนได้อีก คือเสียงแหลมปรี๊ดแสดงความห่วงใยถึงขีดสุดของเปี่ยมรักในเย็นวันนั้น

“พี่เพ..พี่อยู่ไหน บอกฝอยทองมาเร็วๆ จะได้รีบแจ้งตำรวจ ไอ้หมอนั่นมันทำอะไรพี่ มันข่มขืนพี่รึเปล่า มันพาพี่ไปทำมิดีมิร้ายที่ไหน หนูร้อนใจแทบแย่ ทำไมพี่เพิ่งเปิดเครื่อง หนูติดต่อพี่ทั้งวันเลยรู้มั้ย ใครๆเค้าก็เป็นห่วง..นี่ถ้าเอ๋ยไม่โทรมาบอก หนูก็คงไม่รู้..”

“stop your mouth ซักทียายฝอย หูฉันจะแตก..นี่มันอะไรกันเนี่ย บ้าไปแล้วเหรอ” หล่อนยังจำได้ว่ากระแทกเสียงใส่ปลายสายด้วยความรู้สึกประดังประเด สับสนปนเปกันไปหมด ไม่รู้จะโกรธ จะขำ จะรำคาญ หรือจะสมเพชดี

“อ้าว..ก็หมอนั่นหิ้วปีกพี่ออกไปกับเขานี่ ยายเอ๋ยมันบอกหนู”
เสียงแหลมปรี๊ดของเปี่ยมรักหดดีกรีลงไปครึ่งหนึ่ง แต่ก็ยังไม่วายเชื่อมั่นในความคิดเดิม

“ยายเอ๋ยนี่ต้องตัดเงินเดือนเสียแล้ว ทำชื่อเสียงฉันย่อยยับหมด เข้าใจผิด..ผิดทั้งหมดเลย ลบล้างความคิดพวกนั้นออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะ ทุเรศ”

แล้วหล่อนก็สวดส่งใครต่อใครให้รุ่นน้องฟังอย่างถึงพริกถึงขิง ความเคืองแค้นที่มีอยู่เดิม ยิ่งมากขึ้นทบทวี..อะไรกัน..แค่คนๆเดียวเข้ามาป้วนเปี้ยนในชีวิตหล่อนไม่เท่าไหร่ นำเรื่องเสื่อมเสียน่าปวดหัวมาให้ได้ถึงเพียงนี้..

“ไม่มีวันเสียหรอก..ชาติหน้าตอนบ่ายๆสิฉันถึงจะโทรหานาย เฮอะ!”

เพทายสบถใส่ความทรงจำที่ค่อยๆเลือนหายไปพร้อมกับสายลมแสงแดดยามสายที่สาดส่องเข้ามาทางช่องหน้าต่างไม้สัก เงาร่างใครบางคนใกล้เข้ามา เสียงเล็กใสของมุกดาทลายโลกส่วนตัวของพี่สาวลงนับแต่วินาทีนั้น
“โทรหาใครหรือคะคุณเพ..ฝันกลางวันรึไง”

เสียงหัวเราะของกวินที่ตามหลังภรรยาสุดรักมาติดๆ ทำให้เพทายเห็นภาพตรงหน้ากระจ่างชัดขึ้น กลับสู่โลกแห่งความเป็นจริงที่นำเรื่องประหลาดใจมาให้ไม่แพ้กัน

มุกดา..น้องสาวคนเล็กที่มีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาแต่งตัวเนี้ยบตามสไตล์หนุ่มเจ้าสำอางโอบรัดเอวอยู่เคียงข้าง หล่อนอยู่ในชุดคลุมท้องสีฟ้าน้ำทะเล สัดส่วนอวบอัดผิดหูผิดตาไปอย่างเห็นได้ชัด ท้องกลมๆยื่นออกมาบอกระยะเวลาการตั้งครรภ์ได้ดีว่าใกล้ครบกำหนดเต็มที่

เพทายฉีกยิ้มกว้าง ท่ามกลางความวุ่นวายในชีวิต ก็ยังมีเรื่องน่ายินดีมาเป็นของขวัญให้หล่อนบ้างสิน่า..
“ยายไข่มุก..นี่ท้องตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่บอกกันบ้าง”









ศิลาริน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 เม.ย. 2556, 12:16:06 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 เม.ย. 2556, 12:16:06 น.

จำนวนการเข้าชม : 1468





<< บทที่ ๖ รางวัลตอบแทนยกที่ ๑ ๒/๒   บทที่ ๗ สิทธิของผู้ชนะ ๒/๒ >>
หมีสีชมพู 9 เม.ย. 2556, 15:08:21 น.
กลับอัพแล้วๆ รออ่านต่อค่ะ


mhengjhy 9 เม.ย. 2556, 17:28:04 น.
หายไปนานเลยทีเดียว รออ่านต่อค่า


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account