เพทายพ่ายตะวัน
เมื่อเธอคือ กุหลาบแดง แห่ง "เรือนกุหลาบ" และเขาคือ ศัลยแพทย์ ผู้มีฝีปากเชือดเฉือนยิ่งกว่ามีดผ่าตัด..ยุทธการปราบพยศครั้งนี้..มีหัวใจเป็นเดิมพัน!
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๗ สิทธิของผู้ชนะ ๒/๒

“ถ้าบอกเค้าจะเรียกเซอร์ไพรส์เหรอเพ นี่เดือนหน้าครบกำหนดแล้ว อย่าลืมของรับขวัญหลานคนแรกล่ะ”
เพทายเอานิ้วชี้จิ้มหน้าผากน้องสาว ไม่แน่ใจว่านึกหมั่นไส้หรือเอ็นดูกันแน่ “แกก็เลยหายหัวไปเกือบปี เพื่อจะได้มาเซอร์ไพรส์จัดหนักเอาตอนท้องป่องเนี่ยนะ..น่าเกลียดที่สุด” เสียงกระแอมไอดังขึ้นจากคนข้างๆ กวินเอ่ยแทรกทีเล่นทีจริง “เกลียดตัวก็อย่ากินไข่แล้วกันนะครับ..คุณพี่สะใภ้”
“อ๊ะ..ได้ไง ไข่ฟองเนี้ย ฟักเป็นตัวเมื่อไหร่ ฉันต้องได้อุ้มคนแรกนะจ๊ะ คุณพ่อต้องต่อคิว”
เสียงหัวเราะรื่นของคนทั้งสามคละเคล้าเสียงนกกระจิบที่พากันทำรังอยู่บนต้นไม้ละแวกนั้น สร้างบรรยากาศอบอุ่น สดใส ความสดชื่นโบกสะบัดมาพร้อมกับเศษใบไม้ใบหญ้า บรรยากาศของครอบครัวเริ่มกลับมาอีกครั้ง..

“พี่สะใภ้ครับ..ผมไปหาข้อมูลเรื่องการดูแลกุหลาบแต่ละสายพันธุ์มาแล้วนะ วันนี้อยากส่งการบ้านจังเลย” กวินเอ่ยด้วยเสียงกระตือรือร้นขณะเดินทอดน่องกันเข้ามาในแปลงกุหลาบ สู่เขตที่ดินที่กำลังปลูกสร้างร้านบริการสปา ในความดูแลของเขา และด้วยความเห็นชอบของเพทาย

“เลิกเรียกฉันว่าพี่สะใภ้เสียที น่ารำคาญ ฟังแล้วมันเลี่ยนๆเอียนๆยังไงไม่รู้” สาวนักวางแผนหันมาถลึงตาใส่น้องเขย รายนั้นก็เลยทำหน้าไม่ถูก ไม่เข้าใจว่าตัวเองพูดอะไรผิดตรงไหน

“พี่วินพูดไม่ผิดหรอก เพียงแต่คนโสดเค้าฟังแล้วระคายหู คันหัวใจยิกๆก็เท่านั้น” มุกดาแกล้งหยอกพี่สาว ทั้งที่สองมือยังคอยประคองให้ทรงตัวเดินได้ด้วยความเป็นห่วง เพทายยังต้องใช้ไม้ค้ำยันช่วยเดินจนกว่าจะถึงนัดถอดเฝือกกับหมอกระดูกในวันพรุ่งนี้ มุกดารู้เรื่องอุบัติเหตุของพี่สาวแบบคร่าวๆแล้ว ตั้งแต่ที่โทรมาแจ้งข่าววันนั้น หล่อนไม่ค่อยแปลกใจเรื่องบ้าดีเดือดของพี่สาวจนตัวเองต้องได้รับบาดเจ็บเข้าโรงหมอ เพราะเพทายก็เป็นคนที่ชอบหาอะไรพิเรน ทำอะไรแผลงๆเป็นกิจวัตรอยู่แล้ว อย่างเดียวที่สงสัยก็คือ ยังมีคนกล้าต่อกร เรียกให้ถูกคือกล้าเอาชีวิตมาเสี่ยงอย่างนายหมอผีเจาะปากคนนั้นอีกหรือ..หล่อนชักอยากเห็นหน้าเขาขึ้นมาติดหมัด

“ไม่ต้องมาจับ ไม่ต้องมายุ่งเลยนะ ฉันเดินเองได้..” เพทายได้ยินคำหยอกของน้องสาวถึงกับทนไม่ได้ หล่อนสะบัดตัวออกจากการประคับประคอง เชิดหน้าใส่ ทำเสียงฮึดฮัดในลำคอ

“โสดแล้วไง..ผู้หญิงเรานะ ไม่จำเป็นต้องพึ่งผู้ชายหรอกจะบอกให้ โดยเฉพาะผู้หญิงเก่ง สุดแสนเพอร์เฝ็กอย่างฉัน ไม่ต้องง้อให้ใครมาแต่งงานด้วยร้อก อยู่ตัวคนเดียวสบายใจกว่าเยอะ”
“ระวังล้มนะเพ เฝือกก็ยังไม่ถอด มีแรงมาสะบัดสะบิ้งทิ้งตัวอีก เดี๋ยวกระดูกเคลื่อนได้ผ่าตัดจริงๆก็คราวนี้”

“ไม่ต้องมาห่วงฉัน ห่วงตัวเอง ดูแลหลานของฉันให้ดีเป็นพอ คลอดออกมาถ้าไม่แข็งแรงล่ะก็ ฉันจะโทษเธอคนแรกเลยคอยดู”
“อ้าว..งี้เค้าเรียกพาลนะเพ เกี่ยวอะไรกับลูกไข่มุกด้วยล่ะ”

“เอ๊..ดอกกุหลาบซุ้มนั้นเก๋ดีนี่ครับ ใครเป็นคนออกแบบนะ” กวินพยายามเบี่ยงเบนประเด็นก่อนที่สองพี่น้องจะจูงมือกันลงสู่สนามสงครามรบอย่างเต็มตัว เหมือนคราวก่อนๆ พี่น้องอายุใกล้กันก็แบบนี้ ขยันทะเลาะกันเหลือเกิน..เขานึกบ่นในใจ
“ก็ฉันน่ะซี เก๋ๆยังงี้ใครจะคิดได้..แต่ก็นะ ฉันล่ะไม่เข้าใจเลยว่านายจะกำหนดสเป๊คมาทำไมให้เป็นกุหลาบขาวทั้งหมด จะตกแต่งด้วยสีอื่นก็ไม่ได้ ดูซิ ฉันว่ามันจืดชืดจะตาย” เบี่ยงเบนความสนใจได้ก็จริง ทว่าเพทายยังอุตส่าห์หาเรื่องติติงน้องเขยอีกตามเคย
“ผมรักของผมนี่ครับ พี่เพไม่เคยมีความรัก คงไม่เข้าใจหรอก สิ่งไหนถ้ามันเป็นตัวแทนของคนที่เรารัก เป็นสื่อความรักของเราสองคนได้ ผมว่ามันก็สวยงามกว่าอะไรทั้งหมด” ไม่พูดเปล่า กวินยังทำตาเชื่อมใส่ภรรยา ซึ่งรายนั้นก็มองตอบด้วยนัยน์ตาเสมือนมีดวงดาวนับร้อยกระพริบพราวอยู่ในนั้น เพทายเห็นแล้วอยากจะสำลักน้ำกาแฟที่เพิ่งดื่มไปหมดถ้วยออกมาทีเดียว
“หวานกันไม่ดูเวล่ำเวลาจริงๆคู่นี้ ฉันไม่เห็นเข้าใจเลยว่ากุหลาบขาวมันเกี่ยวกับตัวแทนความรักตรงไหน”
“อ้าว ก็ไข่มุกไงครับ ไข่มุกชอบกุหลาบสีขาว และเราสองคนก็มีความทรงจำที่ดีเกี่ยวกับดอกไม้ชนิดนี้”
ลมรำเพยพัดมาระลอกใหญ่ ความเมื่อยขบไม่ถึงกับเจ็บปวดเริ่มทักทายเข้ามา ณ ที่ที่หล่อนยืนทิ้งน้ำหนักโดยปราศจากการประคับประคองของน้องสาว เพทายไม่มีอารมณ์ร่วมไปกับนิยายรักของใครอีกแล้ว หล่อนโบกไม้โบกมือเป็นเชิงว่าขี้เกียจจะสนใจเรื่องส่วนตัวพรรค์นั้น
“เออ..ความทรงจำอะไรของพวกเธอฉันไม่ขอสอดรู้สอดเห็นหรอก แต่ตอนนี้ฉันว่าเราเป็นนั่งคุยกันตรงมุมนั้นดีกว่า เมื่อยจะแย่”
“ไหมล่ะ..ทำปากเก่งได้แป๊บเดียว เพเอ๊ย”
เสียงใสแจ๋วของมุกดาไล่หลังตามมา เพทายเหลียวกลับไปถลึงตาใส่น้องสาวตัวกวน ก่อนที่คนทั้งสามจะเข้าไปหลบร้อนนั่งคุยธุรกิจธุรการเรื่องร้านสปากันต่ออีกยาวเหยียดตรงม้านั่งหินอ่อนหน้าซุ้มกุหลาบขาวนั้นเอง

เช้าวันศุกร์ เพทายรีบมารับบัตรคิวที่รพ.ตั้งแต่ตีห้า หล่อนต้องการปลดพันธนาการตัวเองออกจากเฝือกแข็งๆหนาๆน่าอึดอัดที่ขาข้างขวาจะแย่อยู่แล้ว ขนาดมาเช้ามืด ก็ยังไม่วายได้ตรวจเกือบเก้าโมง หล่อนไม่แคร์ว่าจะต้องลำบากตื่น ขับรถมาเอง ไกลถึงจังหวัดสมุทรสาคร ชัดเจนไม่ได้ติดต่อออกบัตรนัดให้หล่อนเป็นกรณีพิเศษ ประเภทมาเวลาไหนก็ได้ลัดคิวตรวจก่อนคนไข้ตาดำๆคนอื่น ซึ่งข้อนี้หล่อนก็เห็นด้วย และไม่เสียใจที่เขาจัดการทุกอย่างตามระบบระเบียบ ไม่ได้ลัดคิวให้เป็นพิเศษ เปิดประตูเข้ามาในห้องตรวจ นึกว่าจะได้โล่งใจ ไม่ต้องเจอหน้าใครบางคนอีกแล้ว ทว่าเพทายคิดผิดถนัด ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งใบหน้าคมคายมีไรหนวดเขียวจางเหนือริมฝีปากคนเดิม กำลังยืนรอท่าอยู่ข้างโต๊ะนายแพทย์เฉพาะทางประจำห้องตรวจ ซึ่งหน้าตาท่าทางสุภาพเรียบร้อย ราศีหมอเจิดจรัสน่าเกรงขามกว่าเขาเป็นไหนๆ..ท่ายืนกอดอกพิงเตียงผู้ป่วยของเขา บอกชัดว่าระดับความสนิทสนมกับศัลยแพทย์กระดูกคนนี้คงจะมากพอดู ถึงไม่ต้องเกรงอกเกรงใจกันแม้แต่น้อย “เชิญนั่งก่อนครับคุณเพทาย..” ศัลยแพทย์หนุ่มผายมือเชื้อเชิญอย่างมีมารยาท เพทายยกมือไหว้สวยงาม มองเขาด้วยความนับถือและให้เกียรติ ทว่าหย่อนก้นลงนั่งพักเดียว ก็รีบหันมาเล่นงานบุคคลที่หล่อนคิดว่าเป็นส่วนเกินในห้องนั้นทันที หลังจากเอ่ยวาจาเป็นการขออภัยในความไม่สุภาพล่วงหน้ากับเจ้าของห้อง “คุณจะมาหาเรื่องฉันทำไมอีก..แค่นี้ชีวิตฉันก็วุ่นวายมากพอแล้ว”
ชัดเจนยังคงกอดอกจ้องหน้าหล่อน แววตาเขาเครียดขึ้นเมื่อเอ่ย
“ทำไมไม่โทรรายงานผมตามสัญญา?”
“ฉันไปสัญญาอะไรกับคุณตอนไหน..คุณแค่พูด ส่วนฉันก็ฟังไปตามเรื่อง ฉันบอกเหรอว่าจะทำตาม” เพทายยิ้มรวน กลอกตาอย่างคนไม่รู้ไม่ชี้
“แต่คุณก็ไม่ได้ปฏิเสธ แล้วผมก็ใช้สิทธิของผู้ชนะ” ชัดเจนยังคงเน้นย้ำเสียงเครียด ท่ามกลางความฉงนและอึดอัดใจของศัลยแพทย์หนุ่มเพื่อนร่วมงาน คราวนี้คนที่รู้สึกว่าเป็นส่วนเกินกลับเป็นเจ้าของห้องเสียเอง
“อ้อ..จริงด้วย แต่โทษทีนะ ฉันลืม แบบว่าสมองปลาทอง ความจำสั้น ขอโทษจริงจิ๊ง” เพทายแกล้งยกมือทาบอกข้างหนึ่ง อีกข้างก็ยกขึ้นปิดปาก ราวกับตกใจเสียเต็มประดา “ไว้แก้ตัวคราวหน้าละกัน คนมันลืม..ให้ทำไงได้”
“หน้าด้าน”
ชัดเจนตอกกลับเสียงเรียบ นัยน์ตามีแววสะใจที่พูดคำนี้ใส่ผู้หญิงตรงหน้า ซึ่งก็ส่งผลให้ใบหน้าลอยไปลอยมาของเพทายเปลี่ยนเป็นสีเลือดเต็มขั้นตามความคาดหมาย
“ผู้ชายอะไรปากจัด เชื่อไหมคะคุณหมอ เกิดมาลืมตาดูโลก ฉันยังไม่เคยพบเจอสิ่งมีชีวิตที่ผิดแผกแปลกพิสดารอย่างเขาเลย” เพทายหันมาหาพักพวก ซึ่งก็ได้รับยิ้มเจื่อนๆของศัลยแพทย์หนุ่มหลังโต๊ะทำงานเป็นการตอบแทน บรรยากาศในห้องเริ่มพอกพูนความอึดอัดมากเข้าไปทุกที
“แล้วนี่อะไร ฉันมาพบคุณหมอกระดูกแท้ๆ เขาเข้ามาทำไมไม่ทราบ เสียมารยาท ต่อให้สนิทกันแค่ไหนก็เถิดค่ะ ฉันสาบานได้ว่าไม่เคยล้ำเส้นกับแขกของเพื่อนอย่างเขา นี่ยิ่งแล้วใหญ่ฉันเป็นคนไข้ของคุณหมอแท้ๆ เข้ามายุ่งวุ่นวายทำไมกัน”
“ใครว่าผมเข้ามายุ่งวุ่นวาย ผู้หญิงอย่างคุณไม่มีผู้ชายคนไหนอยากคุยด้วยหรอก ผมเข้ามาคุยงานกับเพื่อนผมต่างหาก จริงไหม..” ท้ายประโยคเขาหันมาขยิบตาให้เพื่อนร่วมงาน ซึ่งรายนั้นก็ไวพอที่จะรับมุก รีบพยักหน้าเป็นการยืนยัน ทว่าก็ฉลาดพอจะยุติสงครามและไม่ทำให้เจ้าหล่อนโกรธไปมากกว่านี้ด้วยการเอ่ยเสียงเข้มกับชัดเจนอย่างต้องการตัดบท
“จริงครับ แต่ว่าตอนนี้หมดธุระแล้ว ชัด..แกออกไปทำงานทำการของแกเถอะ ฉันจะได้ตรวจคนไข้เสียที”
ชัดเจนหน้าเสียเล็กน้อย แต่เขาก็รีบพูดกลบเกลื่อน
“เออ..ฉันก็เหม็นเบื่อห้องนี้เต็มทีแล้วว่ะ มีคิวรอแน่นเอี้ยดอยู่ที่ห้องผ่าตัด”
เพทายหันมายิ้มเป็นเชิงขอบคุณหลังจากชัดเจนเดินหน้าตาบอกบุญไม่รับออกจากห้องไปแล้ว
“อย่างนี้แหละครับเพื่อนผม ปากร้ายแต่ใจดี อย่าไปถือสาเขาเลย”
ศัลยแพทย์หนุ่มยังไม่วายแก้ต่างให้เพื่อน เพทายนึกหมั่นไส้ขึ้นมาอีก
“ตรงไหนคะที่ว่าใจดี..ขอโทษจริงๆที่ฉันหาส่วนนั้นไม่เจอ”
“เดี๋ยวรบกวนคุณเพลุกขึ้นยืนให้ดูนิดนึงนะครับ ท่าทางน่าจะเอาเฝือกออกได้แล้วนะเนี่ย ดูฟิล์มวันนี้ก็ดี กระดูกเชื่อมติดกันแทบไม่เห็นรอย..” คุณหมอหนุ่มรีบเบี่ยงเบนประเด็น เพทายทำตามที่เขาแนะนำอย่างว่าง่าย ก่อนที่สายวันนั้นจะผ่านพ้นไปแบบราบรื่น สรุปคือหล่อนได้เอาเฝือกออก เป็นอิสรภาพดังใจปรารถนา

ในมุมอับ บริเวณหน้าสุขาหญิงของรพ.แห่งนั้น เสียงสะอื้นไห้จากดรุณีวัยกำดัดผู้หนึ่งดังสะดุดหูผู้ที่บังเอิญเฉียดกายผ่านไปแถวนั้นเข้าพอดี บทสนทนาไม่กี่ประโยคสะดุดหูนักวางแผนอย่างเพทาย ทำให้หล่อนต้องถึงกับหยุดฟัง
“หยุดร้องซะทีเหอะแก ฉันรำคาญว่ะ พลาดไปแล้ว กลับไปแก้ไขอะไรได้” สตรีวัยกลางคนท่าทางเจนโลกคนนั้นตบบ่าเป็นเชิงบอกให้สงบ มากกว่าจะต้องการปลอบใจ
“ตั้งสติ แล้วฟังฉัน..”
เด็กสาวคนนั้นยังไม่หยุดร่ำไห้ ปากก็พร่ำพรรณนาถึงอดีตที่ผิดพลาด
“มันหลอกหนู หนูไม่น่าเชื่อมันเลย เลวมาก เอาเงินไปหมด แถมยังทิ้งมารหัวขนไว้ให้อีก”
“ฉันบอกให้ตั้งสติ แล้วฟังฉัน..เรื่องแค่นี้ ไม่เห็นยากตรงไหน”
ผู้สูงวัยกว่าส่งเสียงปราม เด็กสาวหัวเราะเสียงขื่น
“น้าจะให้หนูไปฝากท้องตามที่หมอเค้าแนะนำหรือยังไง..เรื่องไม่ยากของน้าน่ะ”
“ใครว่าล่ะ..ฉันจะพาแกไปหาหมอศรันย์..คลินิกนั้นไงที่เคยชี้ให้แกดู”
แล้วบทสนทนาที่หล่อนได้ยินก็ถูกตัดจบเพียงเท่านั้น เพทายเห็นผู้หญิงเจนโลกก้มลงกระซิบกระซาบอะไรต่ออีกพักใหญ่ ท่าทางจะเป็นความลับอย่างยิ่งยวด
“หมอศรันย์..ชื่อคุ้นเว้ยเฮ้ย”
และหล่อนก็ค่อนข้างมั่นใจว่ามันจะคุ้นไปในทางไม่สู้ดีนัก เพทายไม่ปล่อยให้ความสงสัยลอยวนอยู่ในสมองนานนัก หล่อนเดินออกมาจากมุมนั้นไกลพอสมควร รีบต่อสายหานลัศเพื่อนสนิททันที
“คลินิกทำแท้งเถื่อนไงเพ..ที่ชอบจ่ายยาเหน็บ ยาขับเลือด แล้วส่งมาให้หมอสูติที่รพ.ขูดมดลูกต่อ”
คือคำอธิบายจากปลายสาย เพทายเลือดขึ้นหน้าทันที
“ตายๆๆๆ ตายแล้ว ปล่อยไว้ได้ยังไงตั้งนานนม ฉันชักจะทนไม่ไหวแล้วนะ”
“ทนไม่ไหวแล้วเธอจะทำยังไง..เอาตำรวจไปจับเหรอ..ใครกล้าทำงั้นก็บ้าดีเดือดเต็มทีละเพเอ๋ย”
“ไม่ใช่แต่ก็ไม่เชิง..ฉันจะหาวิธีให้ตำรวจลากคอไอ้เดนสังคมนี่เข้าตารางให้ได้”
เพทายประกาศเสียงกร้าว มีแววมุ่นมั่นมากเกินจนคนฟังต้องรีบเบรก
“หยุดเลยนะเพ..ไม่ว่าเธอกำลังคิดจะทำอะไรก็ตาม โอเคเราเชื่อว่าเธอกล้าทำแน่..แต่ถ้างานนี้เธอทำจริงเมื่อไหร่ ไม่ต้องมานับเราเป็นเพื่อนอีก!”
เพทายถึงกับคอตกเมื่อได้ยินนลัศพูดเสียงจริงจัง
“เฮ้ย..ทำไมยังงั้นล่ะ ฉันจะช่วยนายนะนัท”
เสียงพ่นลมหายใจยาวผ่านมาตามสาย
“มันอันตรายมาก..ไอ้นั่นมันอิทธิพลมืด เธอจะถูกเก็บเมื่อไหร่ก็ได้”
“ดูถูกฝีมือฉันเหรอนัท ฉันไม่โง่ให้มันเก็บหรอกน่า”
นลัศถอนหายใจยาวกว่าครั้งที่แล้ว ก่อนเอ่ยเสียงเครียด
“ไม่รู้ล่ะ..เธอเอาตัวลงไปยุ่งกับเรื่องนี้เมื่อไหร่..ความเป็นเพื่อนเราขาดกัน!”
“โอเคๆ ไม่ยุ่งก็ได้ เรื่องแค่นี้ทำเป็นเครียด”
นลัศถามย้ำเพื่อให้หล่อนตกปากรับคำอีกสองสามประโยค เพื่อความแน่ใจ ก่อนจะวางสาย เพทายแลบลิ้นใส่โทรศัพท์เครื่องจิ๋ว นัยน์ตาแพรวพราว เลือดนักวางแผนพุ่งกระฉูดถึงขีดสุด
“ไม่เอาตัวลงไปยุ่งก็ได้..ฉันจะหาตัวแทนให้นะนัท!”






ศิลาริน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 เม.ย. 2556, 20:34:42 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 เม.ย. 2556, 20:34:42 น.

จำนวนการเข้าชม : 1390





<< บทที่ ๗ สิทธิของผู้ชนะ ๑/๒   เพทายพ่ายตะวัน บทที่ ๘ เพลงพิณ ๑/๓ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account