ดวงใจจ้าวรัตติกาล โดย ภคพร (วางแผงแล้ว)
'นางคือจันทราสว่างไสว นางคือจอมใจเมื่ออยู่เคียงขวัญ นางคือคู่แท้แห่งนิรันดร์ นางคือชีวันจ้าวรัตติกาล'
เขาไม่เคยเห็นค่าของสิ่งที่มีจวบจนวันที่เสียไป สายไปไหมหากจะวอนขอให้จันทร์จ้าวกลับมาอยู่เคียงข้าง
Tags: โรแมนติก เจ้าหญิงเจ้าชาย พระเอกขรึม นางเอกขรึมกว่า ความรัก การเมืองเล็กๆ

ตอน: บทนำ + บทที่ 1 จอมนาง

ดวงใจจ้าวรัตติกาล

‘นางคือจันทราสว่างไสว
นางคือจอมใจเมื่ออยู่เคียงขวัญ
นางคือคู่แท้แห่งนิรันดร์
นางคือชีวันจ้าวรัตติกาล’

บทนำ

แคว้นกาลัญญุถือเป็นแคว้นใหญ่หนึ่งในจักรตราทวีป เจ้าผู้ครองนครนั้นแบ่งเป็นสองฝั่งฝ่ายตามธรรมเนียมแต่โบราณ แม้จะแบ่งแยกแต่ก็ร่วมกันปกครองนครอย่างสมานฉันท์มากว่าสามร้อยปี เจ้าวังฝั่งขวาถูกขนานนามว่าจ้าวทิวา ส่วนวังฝั่งซ้ายเรียกขานกันว่าจ้าวรัตติกาล

ในปีศักราชที่สามร้อยสิบของการก่อตั้งราชอาณาจักร ยามนั้นจ้าวทิวากำลังอยู่ในวัยชราถูกรุมเร้าด้วยโรคภัยมากมาย แต่โอรสพระองค์เดียวกลับประพฤติตัวเกกมะเหรกเกเรใช้ชีวิตอย่างหาสาระไม่ได้ไปวันๆ จึงทรงมีพระบัญชาให้ส่งเจ้าทินกรไปฝึกหัดตนที่เมืองชายแดนซึ่งเป็นถิ่นทุรกันดาร ความเป็นอยู่แร้นแค้น

เจ้านิศามณีพระธิดาองค์โตจึงขอติดตามไปดูแลพระอนุชาที่เมืองชายแดนด้วย วังฝั่งขวาจึงเหลือเจ้าอยู่เพียงสองพระองค์คือจ้าวทิวาและเจ้าอรุณาพระธิดาองค์รอง

สองปีต่อมาจ้าวทิวาก็ทรงมีพระบัญชาให้พระโอรสกับพระธิดากลับพระนคร เหตุเพราะพระองค์กำลังประชวรหนัก

เมื่อเจ้าทินกรกับเจ้านิศามณีเสด็จกลับมาถึง จ้าวทิวาก็ทรงประกาศแต่งตั้งเจ้าทินกรให้ขึ้นครองราชย์แทนและประกาศการหมั้นหมายระหว่างจ้าวรัตติกาลองค์ปัจจุบันกับเจ้าอรุณาพระธิดาองค์เล็ก ส่วนพระธิดาองค์โตนั้นทรงแต่งตั้งให้ดำรงพระยศเป็นธิดาเทพ ตำแหน่งสูงสุดของสตรีในราชอาณาจักร นอกจากองค์ราชาทั้งสองแล้วจะมิมีข้าเบื้องบาทหรือเชื้อพระวงศ์องค์ใดมีอำนาจเหนือกว่าอีก

หลังผ่านพ้นพิธีแต่งตั้งไปไม่ถึงสิบวันจ้าวทิวาก็สวรรคต สร้างความเศร้าโศกเสียใจให้แก่ปวงประชาทั่วแคว้น เพื่อปลุกปลอบขวัญเหล่าชาวเมืองและเรียกความเป็นมงคลกลับสู่มหาราชวัง เมื่อเสร็จงานพระบรมศพแล้ว จึงมีการจัดเตรียมพิธีอภิเษกสมรสระหว่างจ้าวรัตติกาลและเจ้าอรุณาขึ้นอย่างเร่งด่วน

ระหว่างรอเตรียมการจัดพิธีอภิเษกสมรสนี้เองได้เกิดเหตุร้ายที่ไม่มีผู้ใดคาดคิดขึ้น เจ้าอรุณาถูกเสือโคร่งตัวหนึ่งทำร้ายขณะเสด็จประพาสป่ากับพระพี่นาง ทรงถูกเสือขย้ำร่างจนสิ้นพระชนม์ไปต่อหน้าเจ้านิศามณี สร้างความโทมนัสให้กับจ้าวรัตติกาลนัก จึงมีประกาศห้ามจัดงานพิธีแต่งงานจนกว่าจะไว้ทุกข์ให้แก่เจ้าอรุณาครบสามปี

เมื่อกาลเวลาหมุนผ่านไปจนครบกำหนด ทางราชสำนักก็ออกมาประกาศให้มีการจัดงานแต่งงานระหว่างหนุ่มสาวได้อีกหน และครานี้บ่าวสาวคู่แรกที่เข้าพิธีสมรสก็คือจ้าวรัตติกาลและเจ้านิศามณี

พิธีอภิเษกสมรสระหว่างทั้งสองสร้างความปิติยินดีให้กับชาวเมืองยิ่งนัก มีการจัดงานมหรสพติดต่อกันถึงเก้าวันเก้าคืนเพื่อเฉลิมฉลองให้แก่คู่บ่าวสาว ทั่วแคว้นสว่างไสวอบอวลด้วยบรรยากาศแห่งความสุขทั้งในกลางวันและกลางคืน ผิดกับในห้องหอที่บัดนี้มีแต่ความเงียบเย็นชา เพราะสิ่งที่ผูกมัดคนทั้งสองเอาไว้หาใช่ความรักหากแต่เป็นหน้าที่


บทที่ 1 จอมนาง

การจัดพิธีแต่งงานตามธรรมเนียมของกาลัญญุจะเริ่มขึ้นตั้งแต่เช้าตรู่ โดยคู่บ่าวสาวจะต้องไปทำพิธีทางศาสนาที่วิหาร เสร็จแล้วจึงกลับมาที่บ้านเพื่อพบปะญาติมิตรและรับคำอวยพร

ขั้นตอนนี้มักจะเสร็จสิ้นลงหลังช่วงอาหารเที่ยงไม่นาน จากนั้นเจ้าสาวจะถูกพาเข้าไปในห้องหอก่อนที่งานเลี้ยงตอนเย็นจะเริ่ม บ่าวสาวจะพบหน้ากันได้อีกครั้งก็ตอนเที่ยงคืนตรง แม้แต่ในพิธีอภิเษกสมรสของกษัตริย์เองก็ยังต้องปฏิบัติตามธรรมเนียมเก่าแก่นี้อย่างเคร่งครัด

จ้าวรัตติกาลทรงรู้ลำดับขั้นตอนดี หลังงานเลี้ยงตอนเย็นเลิกจึงเสด็จกลับไปยังตำหนักของพระองค์เพื่อสรงน้ำก่อน แล้วจึงค่อยเสด็จมายังห้องหอซึ่งจัดเตรียมเอาไว้ที่ตำหนักหลัง

ตำหนักหลังเป็นตำหนักพักร้อนซึ่งถูกปลูกสร้างเอาไว้ให้เชื้อพระวงศ์ของทั้งสองวังใช้ร่วมกัน เป็นธรรมเนียมมาแต่โบราณว่าเมื่อเชื้อพระวงศ์หรือกษัตริย์เข้าพิธีอภิเษกสมรส ในเจ็ดวันแรกจะต้องแปรพระราชฐานมาประทับที่ตำหนักนี้

แม้จะเสร็จสิ้นพิธีหลักแล้ว แต่จ้าวรัตติกาลก็ยังต้องสวมใส่ชุดตามธรรมเนียมที่คุณข้าหลวงจัดไว้ให้ ปกติโปรดแต่ฉลองพระองค์สีเข้ม มาวันนี้ได้สวมชุดเจ้าบ่าวสีขาวล้วน จึงแลดูแปลกตาแต่ก็ไม่ได้ลดทอนความสง่าเลย สีขาวดูเข้ากับพระเกศาและพระเนตรสีดำสนิทได้เป็นอย่างดี หากแย้มโอษฐ์สักนิดคงจะดูราวกับเทพบุตร ทว่าสีพระพักตร์ยามนี้กลับขับให้ดูคล้ายเทพแห่งสงครามมากกว่า

นัยน์ตาราชสีห์ของจ้าวรัตติกาลราวกับจะมีประกายไฟแล่นอยู่ ในขณะที่พระขนงหนาก็เฉียงขึ้นเพราะความเคร่งเครียด ซึ่งบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเจ้าบ่าวหมาดๆ มิได้ยินดีกับการแต่งงานครั้งแรกในชีวิตนัก

ตราบใดที่การแต่งงานยังคงเป็นหน้าที่ สำหรับพระองค์แล้วจะแต่งกับใครก็ล้วนไม่แตกต่าง ทรงเตรียมพระทัยไว้แต่แรกแล้วว่าหากไม่สู่ขอเจ้าหญิงแปลกหน้าจากต่างแคว้นมาเป็นพระชายา ก็จะต้องเลือกเชื้อพระวงศ์องค์ใดองค์หนึ่งจากวังฝั่งขวามาอภิเษกด้วย เพื่อผูกสัมพันธ์ระหว่างสองวังให้แนบแน่น

จ้าวรัตติกาลจึงทรงยกหน้าที่การเลือกคู่ครองให้กับสภาขุนนาง แล้วมติที่ประชุมก็ระบุนามผู้ที่เหมาะสมเป็นอันดับหนึ่งออกมา ซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นเจ้านิศามณี พระพี่นางของเจ้าอรุณา

นางดำรงพระยศเป็นธิดาเทพซึ่งมีอำนาจเกือบจะเทียบเคืองกษัตริย์ ความที่นางคอยหนุนหลังวังฝั่งขวาในฐานะพระพี่นางของจ้าวทิวา ทำให้อำนาจของวังฝั่งขวายิ่งเพิ่มพูน สภาขุนนางจึงลงความเห็นให้ทรงอภิเษกสมรสกับธิดาเทพเพื่อถ่วงสมดุลอำนาจให้กลับมามั่นคงดังเดิม

ในขณะที่วังฝั่งซ้ายได้ประโยชน์ เจ้านิศามณีเองก็จะได้ผลประโยชน์ต่างตอบแทนคือการได้เข้ามาปกครองฝ่ายในของวังฝั่งซ้าย เสริมฐานอำนาจของธิดาเทพให้ยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้นไปอีก นับเป็นการแลกเปลี่ยนที่สมน้ำสมเนื้อต่อกันแล้ว

ถึงกระนั้นจ้าวรัตติกาลก็ยังทรงคิดว่าเจ้านิศามณีจะปฏิเสธ เนื่องจากก่อนหน้ามีข่าวลือหนาหูว่านางกับเจ้าปัชชุนพระอนุชาของพระองค์ผูกสมัครรักใคร่กัน นางไม่ยอมรับหมั้นชายใดจนอายุล่วงมาจนยี่สิบสี่ก็เพราะรอคอยเจ้าปัชชุนมาสู่ขอ

เจ้าปัชชุนซึ่งประจำอยู่ที่แดนใต้ก็เคยขอพระองค์ไว้ว่า หากทำผลงานได้ดีพระองค์จะต้องสู่ขอธิดาเทพให้ จึงทรงมั่นใจว่าต้องได้อภิเษกกับคนอื่นแน่

ทว่าคำตอบที่ได้รับกลับเป็นตรงกันข้าม ธิดาเทพตอบรับการอภิเษกสมรสครั้งนี้อย่างไม่บ่ายเบี่ยง เจ้านิศามณีในสายพระเนตรของพระองค์จึงไม่ต่างจากหญิงมักใหญ่ใฝ่สูงกระหายอำนาจนัก

คนเช่นนี้ไว้ใจไม่ได้ ปัชชุนคิดผิดเสียแล้วที่ปลงใจรักในตัวนาง

พระองค์เองก็อยากจะดิ้นรนหนีให้พ้นจากหญิงมากเล่ห์ ทว่าทุกอย่างกลับสายไปเสียแล้ว พระองค์ไม่สามารถขัดสภาขุนนางจากทั้งสองวังได้ ทรงไปสู่ขอเจ้านิศามณีเองหากยกเลิกมิเท่ากับฉีกหน้าธิดาเทพหรือ ผลจากความกลับกลอกนี้อาจทำให้สองวังมีเหตุทำให้แตกหักกันได้ ด้วยเหตุนี้พิธีอภิเษกสมรสจึงถูกจัดเตรียมขึ้นทั้งที่เจ้าบ่าวมิใคร่จะสมัครใจนัก

เมื่อได้เวลาเข้าหอจ้าวรัตติกาลก็ทรงแหวกม่านหลากสีที่กั้นเอาไว้เข้าไปภายในตำหนัก ทุกครั้งผ่านเข้าไปในม่านกั้นแต่ละชั้น จะต้องทรงดับไฟตะเกียงที่จุดไว้ด้วย เมื่อดับครบเจ็ดชั้นแล้วก็จะเหลือเพียงห้องส่งตัวเท่านั้นที่ยังสว่างไสว

คุณข้าหลวงสูงวัยกับมหาดเล็กอาวุโสจะตามเสด็จมาส่งถึงม่านชั้นที่เจ็ดและเฝ้าอยู่หน้าห้องเพื่อทำหน้าที่พ่อสื่อแม่สื่อจนกว่าจะเช้า จ้าวรัตติกาลจึงทรงปิดบานประตูห้องหอลง เพื่อจะได้อยู่อย่างเป็นส่วนตัวขึ้น

ในห้องเจ้าสาวคนงามนั่งรอพระองค์อย่างสงบเสงี่ยมอยู่บนตั่ง เจ้านิศามณีถูกย้ำหนักหนาว่าห้ามไม่ให้ขึ้นไปประทับบนแท่นบรรทมก่อนที่พระสวามีจะพาไป เพราะถือว่าเป็นธรรมเนียมการเริ่มต้นชีวิตคู่และเป็นการแสดงความเคารพต่อพระสวามี

จ้าวรัตติกาลมิได้ทรงใส่ใจธรรมเนียมหรือมุ่งความสนใจไปในเรื่องที่คู่บ่าวสาวคู่อื่นเขาทำกัน พระองค์อยากจะพูดคุยกับนางให้เข้าใจเสียมากกว่า จึงประทับลงข้างๆ แล้วเปิดฉากสนทนา

“เจ้ากับข้าต่างก็รู้กันดีว่ามาอยู่ที่นี่ด้วยหน้าที่และผลประโยชน์ ข้าจึงไม่หวังให้เจ้ารักเทิดทูนบูชาข้า ขอแค่ภักดีด้วยอย่าได้โป้ปด ทำตัวให้สมกับเป็นพระชายา เจ้าทำได้หรือไม่”

เจ้านิศามณีทรงเงยหน้าขึ้นสบตากับพระสวามีแล้วตรัสตอบโดยไม่ลังเลว่า

“ได้เพคะ หม่อมฉันให้สัญญาว่าจะทำหน้าที่พระชายาให้ดีที่สุด”

เจ้านางอภิเษกสมรสกับจ้าวรัตติกาลก็เพื่อผลประโยชน์ดังที่กล่าว พระนางได้ให้คำมั่นกับเสด็จพ่อไว้ก่อนสิ้นพระชนม์ว่าจะเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับผู้ที่เหมาะสม แต่พระนางก็ไม่สามารถทอดทิ้งพระอนุชาไปได้ จึงทรงปฏิเสธคำสู่ขอเรื่อยมาจนอายุล่วงเลยมาป่านนี้ หากเกินยี่สิบห้าไปคงไม่มีใครมาสู่ขออีก เพื่อเสด็จพ่อและเพื่อทินกร พระนางจึงจำต้องตอบรับคำสู่ขอของจ้าวรัตติกาล

“ดี…ถ้าเช่นนั้นข้าขอถามเจ้าอีกสักเรื่อง ใจเจ้ามีใครอยู่หรือไม่ ตอบมาตามความจริงเถิด ความเท็จจะทำให้ข้าโกรธเสียยิ่งกว่า”

จ้าวรัตติกาลทรงรู้ว่าพระอนุชาของพระองค์รักนาง แต่ที่ไม่มั่นใจก็คือนางรู้สึกเช่นไรกับปัชชุน เมื่อทรงเห็นว่าเจ้านิศามณีตอบกลับมาด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า ‘ไม่มี’ จึงทรงย้ำชื่อพระอนุชาออกไปเผื่อว่าจะจับพิรุธอะไรได้บ้าง แต่แล้วก็ไม่พบสิ่งใดที่ชวนให้สงสัย จึงทรงยั่วยุเจ้านางด้วยคำพูดส่อเสียด

“แล้วที่เจ้าส่งจดหมายกับข้าวของไปให้ปัชชุนนั่นเล่าหมายความว่าอย่างไร คงไม่ต้องให้บอกกระมังว่าคนเขาติฉินหญิงแบบนี้ว่าอย่างไร”

“หม่อมฉันติดต่อกับเจ้าปัชชุนฉันมิตรเพคะ หากฝ่าบาทคิดว่าไม่ควรหม่อมฉันจะไม่ทำอีก”

พระนางรักและห่วงใยเจ้าปัชชุนดั่งพี่น้อง แม้จะรู้อยู่ว่าต้องถูกนินทาว่าร้ายบ้างแต่พระนางก็ยังทำเฉย ใครเลยจะคิดว่าจ้าวรัตติกาลจะมีพระนิสัยคิดเล็กคิดน้อยผิดคาด

“การตัดขาดกับปัชชุนสำหรับเจ้ามันคงง่ายเหมือนดับแสงเทียน” จ้าวรัตติกาลทรงใส่ลูกประชดเข้าไปอีก

ทว่าพระชายาก็ยังนิ่งและเย็นเป็นน้ำแข็งดุจเดิม นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า

“ไม่ง่ายแต่ก็ไม่ยากเกินกำลังเพคะ ในเมื่อรับปากฝ่าบาทไปแล้วว่าจะเป็นพระชายาที่ดี หม่อมฉันย่อมปฏิบัติตามนั้น”

“ขอให้จริงดังที่เจ้าว่ามาก็แล้วกัน”

พระดำรัสของจ้าวรัตติกาลแฝงไปด้วยความหงุดหงิด ทรงรู้สึกชิงชังท่าทีไม่รู้ร้อนรู้หนาวของนางยิ่งนัก จึงทรงแกล้งผุดลุกจากตั่งไปที่พระแท่นบรรทมโดยไม่จูงมือพานางไปด้วย

จ้าวรัตติกาลทรงถอดฉลองพระองค์ตัวนอกออกแล้วเอนกายลงบนฟูกนุ่ม เพื่อรอดูว่าพระชายาผู้ไร้อารมณ์ของพระองค์จะมีปฏิกิริยาอย่างไร

หญิงอื่นคงจะหันมาเตือนให้ทรงจูงมือนางไป ไม่ก็เดินมาหาโดยไม่สนใจธรรมเนียม หากแต่พระชายาของพระองค์กลับนั่งนิ่งอย่างสง่างาม ราวกับกำลังใช้ความเงียบกดดันพระองค์อยู่

‘นางคงอยากให้พระองค์รู้สึกผิด แล้วลุกขึ้นจูงมือพามาที่เตียงเป็นแน่’

ในขณะที่จ้าวรัตติกาลทรงคิดในทางลบ ในพระทัยของเจ้านิศามณีนั้นกลับมีเหตุผลในแง่ดี เจ้านางทรงคิดว่าจ้าวรัตติกาลยังคงรักพระขนิษฐาของพระนางอยู่ คงลำบากพระทัยหากต้องจูงมือหญิงอื่นไปที่เตียงซึ่งควรจะเป็นของเจ้าอรุณา ดังนั้นจึงไม่ตรัสทักท้วงออกไป

ต่างฝ่ายต่างก็นิ่งเงียบกันอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งใกล้รุ่งสาง ในขณะที่จ้าวรัตติกาลทรงพลิกพระวรกายเปลี่ยนพระอิริยาบถหลายครั้ง เจ้านิศามณีกลับไม่ยอมขยับพระวรกายเลย

จ้าวรัตติกาลทอดพระเนตรคนดื้อดึงอย่างอ่อนพระทัย ให้พระองค์อยู่เฉยสักชั่วโมงยังรู้สึกเมื่อยแล้วนางต้องอยู่เช่นนี้มาค่อนคืนเล่าจะเป็นอย่างไร ไม่แน่ว่าอาจจะอยากลุกแต่ก็ลุกไม่ไหวเพราะเหน็บกินไปทั้งตัวแล้วก็ได้

สุดท้ายจ้าวรัตติกาลก็ทรงทนความรู้สึกผิดไม่ได้ ต้องตัดสินพระทัยลุกขึ้นแล้วฉุดพระกรของเจ้านิศามณีมาที่พระแท่นบรรทม แล้วรับสั่งให้นางนอนบนฟูกส่วนพระองค์ทรงอัปเปหิตัวเองมานอนที่ตั่งแทน

คืนเข้าหอจึงไม่มีการแตะเนื้อต้องตัวกันนอกเหนือจากการจับแขนแค่เสี้ยววินาที พอรุ่งเช้าจ้าวรัตติกาลกับพระชายาก็แยกกันอยู่ทันที และพบเจอกันเท่าที่จำเป็นเท่านั้น

พระชายาหมาดๆ ยอมรับสภาพเย็นชาห่างเหินของสวามีโดยไม่ปริปากบ่น ด้วยรู้อยู่เต็มอกว่าใจของจ้าวรัตติกาลเป็นของหญิงอื่น แม้ไม่ได้ความรัก แม้จะถูกหมางเมินพระนางก็จะเป็นพระชายาที่ดีให้จงได้

‘สำหรับขัตติยะนารีแล้ว หน้าที่ย่อมอยู่เหนือหัวใจมิใช่หรือ’


ในห้องทรงพระอักษรที่วังขวา จ้าวทิวากำลังนั่งอ่านฎีกาด้วยสีพระพักตร์เคร่งเครียด ทรงพิจารณาคำร้องอย่างละเอียดก่อนจะหันไปตรัสกับราชเลขาว่า ให้ส่งคนไปจัดการเรื่องการจัดสรรน้ำที่หัวเมืองทางฝั่งตะวันออกให้เป็นไปอย่างยุติธรรม โดยยึดเอาอัตราส่วนของไร่นาในพื้นที่เป็นสำคัญ

ความอุตสาหะในการทรงงานของจ้าวทิวา ทำให้ผู้ที่ลอบมองอยู่คลี่ยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ

หากเสด็จพ่อได้มาเห็นทินกรเอาการเอางานเช่นนี้คงปลาบปลื้มใจมิใช่น้อย ยิ่งทินกรเป็นราชาที่ดีได้เท่าไร นั่นก็ยิ่งเป็นเครื่องแสดงว่าสิ่งทุกอย่างที่พระนางกับเสด็จพ่อเพียรพยายามทำมาตลอดมิได้สูญเปล่าเลย นับว่าคุ้มค่าแล้วกับความเหนื่อยยากที่ลงแรงไป

ด้วยไม่อยากรบกวนการทำงานของพระอนุชา เจ้านิศามณีจึงประทับอยู่หน้าห้องทรงพระอักษรเงียบๆ รอจนจ้าวทิวาทรงงานเสร็จแล้วจึงเสด็จเข้าไปในห้อง

ระหว่างที่รอเจ้านางทรงมีรับสั่งให้เตรียมพระสุธารสไว้ พอเสด็จเข้ามาเหล่ามหาดเล็กก็รีบกระวีกระวาดยกมาวางที่โต๊ะนั่งเล่นทางมุมขวาของห้อง

“พักก่อนเถิดน้องพี่ กินอะไรสักหน่อยแล้วค่อยไปตรวจทหาร”

ในรัชกาลก่อนการตรวจทหารของเสด็จพ่อคือการแวะไปยังกองทหารฝ่ายต่างๆ เพื่อดูการฝึกและสร้างขวัญกำลังใจให้กับเหล่าทหารหาญ แต่ในรัชสมัยของเจ้าทินกรนั้นค่อยข้างจะต่างออกไป เพราะไม่ใช่แค่นั่งชมการฝึกเท่านั้น เจ้าทินกรยังร่วมฝึกไปกับเหล่าทหารด้วย บางทีก็มีติดลมประลองฝีมือกันจนค่ำมืด เจ้านิศามณีจึงอยากจะให้เสวยอะไรรองท้องไปบ้าง

“พี่หญิง! แปลกจริงทำไมมาวันนี้ได้เล่า มิน่า…น้องถึงได้กลิ่นขนมดอกบัว ทีแรกนึกว่าหิวจนหลงคิดไปเสียอีก”

จ้าวทิวาทรงปราดเข้ามาหาผู้มาเยือนอย่างยินดี แม้จะแต่งไปอยู่วังฝั่งซ้ายแล้ว แต่พระพี่นางก็ยังแวะมาเยี่ยมเยียนวันเว้นสองวัน และมักจะทำขนมของโปรดมาให้เสมอ

“พรุ่งนี้พี่จะไปมหาวิหาร คงแวะมาหาเจ้าไม่ได้”

“มีพิธีการสำคัญอันใดฤา ราชเลขาไม่เห็นแจ้งน้องเลย” ตรัสพลางหยิบขนมดอกบัวจากถาดที่นางกำนัลถืออยู่เข้าพระโอษฐ์คำโต

“วันเกิดอรุณาไงเล่า พี่เตรียมเครื่องถวายกับของโปรดนางไว้แล้ว”

“น้องนี่แย่จริงลืมไปได้อย่างไรหนอ ถ้าเช่นนั้นพรุ่งนี้น้องจะไปด้วย”

จ้าวทิวาตรัสอย่างกระตือรือร้น แล้วหันไปสั่งราชเลขาให้ตระเตรียมของพระราชทานแก่เจ้าอรุณา

พิธีการในวันประสูติของเชื้อพระวงศ์แห่งกาลัญญุนั้น หากมิใช่ช่วงอายุที่เวียนมาครบรอบจะจัดอย่างเรียบง่าย ช่วงเช้ามีพิธีถวายเครื่องสักการะแด่ปวงเทพที่มหาวิหาร ตกเย็นจะจัดพิธีกินเลี้ยงเฉพาะในหมู่พระญาติเท่านั้น

“เอาสิ อรุณาต้องยินดีแน่ที่เราไปทำบุญให้นางกันพร้อมหน้า” พระโอษฐ์สีกลีบบัวคลี่เป็นรอยยิ้มยามตรัสถึงคนที่จากไป

“พี่หญิงจะไปแต่เช้ามืดใช่ไหม”

“ถูกแล้ว พี่จะค้างที่มหาวิหารสักคืน หากราชกิจเจ้าไม่รัดตัวมากนักก็ค้างด้วยกันสิ”

แม้เจ้าอรุณาจะสิ้นพระชนม์ไปแล้วแต่เจ้านิศามณีก็จัดงานครบรอบวันประสูติให้ทุกปี ราวกับว่าไม่ยอมรับความจริง ทรงปฏิเสธการเข้าร่วมพิธีไว้ทุกข์ ตลอดจนงานบำเพ็ญราชกุศลในวันครบรอบวันตายของเจ้าอรุณา และนี่เองคือที่มาของข่าวลือน่าระคายหูว่า ทรงชิงชังพระขนิษฐาต่างมารดาจนไม่ยอมเข้าร่วมพิธี

ที่น่าแปลกไปกว่านั้นคือจ้าวทิวาเองก็ทรงเห็นดีเห็นงามตามพระพี่นางไปด้วย ทรงมีพระบัญชามิให้นำเถ้ากระดูกของเจ้าอรุณาไปเก็บไว้ในสุสานหลวง แต่ให้นำไปเก็บไว้ที่สุสานใหม่ซึ่งสร้างแยกออกมาต่างหาก เพื่อไม่ให้พระพี่นางต้องเศร้าหมองยามทำพิธีบำเพ็ญราชกุศลที่สุสานหลวง

ทว่าคนก็ยังเอาไปตีความใหม่จนกลายเป็นข้อครหาอีก กลายเป็นเจ้านิศามณีทรงกีดกันมิให้เถ้ากระดูกของเจ้าอรุณามาทำให้สุสานราชวงศ์แปดเปื้อน เพราะพระมารดาของเจ้าอรุณาเป็นเพียงหญิงสามัญชนต่ำต้อย มิใช่สตรีสูงศักดิ์อย่างพระมารดาของเจ้านิศามณี

ใครเลยจะรู้ว่าแม้พระโอรสพระธิดาทั้งสามจะประสูติต่างพระมารดากัน แต่ก็รักใคร่กลมเกลียวกันยิ่งนัก มีหรือจะไม่เสียใจหากมีใครต้องจากไปอย่างไม่มีวันกลับ

“วันรืนนี้พี่หญิงจะเข้าประชุมประจำเดือนด้วยไหม น้องจะได้เตรียมตำหนักไว้รับรองพี่หญิงกับจ้าวรัตติกาล”

พระเนตรสีครามของจ้าวทิวาส่องประกายแวววาวดูเจ้าเล่ห์อย่างประหลาด แต่คนเป็นพี่ก็ไม่นึกสงสัย เจ้านิศามณีทรงอ่านออกว่าพระอนุชากำลังวางแผนดึงตัวพระนางไปเป็นโล่กันชนเหล่าขุนนางจากวังฝั่งซ้าย

แล้วก็จริงดังคาดเมื่อพระนางพยักหน้าตกลง สีหน้าของพระอนุชาก็แปรเปลี่ยนมาเป็นสดชื่นรื่นเริงอย่างออกนอกหน้า

ถึงจ้าวของวังทั้งสองจะร่วมกันปกครองดินแดนโดยแบ่งหน้าที่กันดูแลดินแดนเหนือและใต้อย่างอิสระ ไม่ก้าวก่ายราชกิจซึ่งกันและกัน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าทั้งสองวังจะไม่ยุ่งเกี่ยวกันเลย

ทุกเดือนจะมีการจัดการประชุมร่วมระหว่างวังทั้งสองทุกแรมสิบห้าค่ำและขึ้นสิบห้าค่ำ โดยผลัดกันเป็นเจ้าภาพเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลความเป็นไปในราชอาณาจักร ตลอดจนประชุมวางแผนงานที่ต้องทำร่วมกัน และช่วงสุดท้ายของการประชุมจะเป็นการเสนอแนะเกี่ยวกับการบริหารราชกิจของวังที่เป็นเจ้าภาพการจัดประชุม ซึ่งจ้าวทิวามักจะได้เสียงติติงมากกว่าคำชมเสมอ

หากจะโทษว่าจ้าวทิวาองค์ปัจจุบันด้อยความสามารถก็ไม่ยุติธรรมนัก เพราะเจ้าทินกรยังอ่อนประสบการณ์อยู่มาก เวลาจะตัดสินใจอะไรก็ยังทำไม่ได้รอบคอบถ้วนถี่หรือเด็ดขาดเท่าที่ควร พอมาเปรียบเทียบกับจ้าวรัตติกาลที่ได้ชื่อว่าเก่งกาจเกินคน ก็เลยกลายเป็นลูกนกหัดบินกับพญาอินทรีย์ไป

“พี่แค่ไปนั่งฟังเท่านั้น อย่าลืมว่าหน้าที่ว่าราชกิจยังเป็นของเจ้า”

คำพูดของพระพี่นางทำเอาสีพระพักตร์ของเจ้าทินกรสลดวูบ แต่พระอนุชาจอมเจ้าเล่ห์ก็ยังไม่วายยิ้มประจบ

“น้องรู้ว่าพี่หญิงไม่ใจร้ายปล่อยให้น้องรักโดนเขารุมอยู่ฝ่ายเดียวหรอก”

“ถึงเวลาเจ้าก็จะรู้เองว่าที่พี่พูดจริงหรือไม่”

คนเป็นพี่ตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มหวานๆ เย็นๆ ชวนเสียวสันหลัง คนเป็นน้องเลยได้แต่ถอนใจยาวว่าครานี้คงต้องหาทางเอาตัวรอดเองเสียแล้ว เพราะพระพี่นางผู้แสนดีบทจะใจแข็งก็แข็งเป็นหิน

อย่างตอนทำผิดสัญญานั่นประไร พระพี่นางบอกจะไม่พูดด้วยหนึ่งเดือน แล้วก็ทำตามอย่างที่ตรัส คือไม่ยอมพูดอะไรกับพระองค์เลยสักคำ ทั้งยังทำราวกับน้องรักคนนี้เป็นอากาศธาตุ พระองค์จึงยิ่งกว่าเข็ดหลาบไม่กล้าทำผิดสัญญากับพระพี่นางอีก

“พี่หญิงมาทั้งที อยู่กินอาหารค่ำกับน้องนะ กินคนเดียวน้องเหงา”

สุรเสียงออดอ้อนนี้ทำคนเป็นพี่หัวเราะเบาๆ ออกมา

“ดูทำเข้าเถิด จะยี่สิบอยู่แล้วยังไม่เลิกอ้อนพี่อีก”

เจ้านิศามณีทรงรู้สึกเอ็นดูและอ่อนใจในตัวพระอนุชาไปพร้อมๆ กัน เพราะทินกรเป็นเช่นนี้อย่างไรเล่า พระนางจึงไม่กล้าทิ้งไป

“ก็น้องมีพี่หญิงให้อ้อนอยู่คนเดียวนี่ ไม่ให้อ้อนพี่หญิงแล้วจะให้ไปอ้อนใคร”

สำหรับจ้าวทิวาแล้ว เจ้านิศามณีเปรียบเสมือนทุกสิ่งในชีวิต ทรงให้ความเคารพนับถือพระพี่นางองค์นี้เสมอเหมือนพระมารดา ด้วยทรงสำนึกต่อความรักและความกรุณาที่พระพี่นางมอบให้

แม้เป็นพระโอรสพระองค์เดียวแต่ก็มิได้ประสูติจากครรภ์พระมเหสี ทำให้ไม่ได้รับการเคารพยำเกรงเท่าที่ควร ยิ่งพอพระมารดาผู้ให้กำเนิดสิ้นไป ชีวิตก็เหมือนถูกทิ้งขว้างไร้คนเหลียวแล จะมีก็แต่พระพี่นางเท่านั้นที่คอยดูแลให้ความรัก คอยกางปีกปกป้อง มิเช่นนั้นแล้วเจ้าทินกรคงไม่รอดชีวิตเติบใหญ่มาได้จนทุกวันนี้ เนื่องจากพระมเหสีซึ่งเป็นพระมารดาของเจ้านิศามณีทรงชิงชังเจ้าทินกรเป็นอย่างยิ่ง ทรงคิดหาทางกำจัดเจ้าทินกรทุกวิถีทาง รวมถึงการคิดแผนการชั่วช้าอย่างลอบวางยาพิษขึ้นมา

หากพระพี่นางไม่ออกมาประกาศว่าจะเสวยอาหารจานเดียวถาดเดียวกับเจ้าทินกรทุกมื้อ คงมีการลอบวางยากันแบบไม่จบไม่สิ้น แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ถูกกลั่นแกล้งหรือพูดจากระทบกระเทียบให้เสียพระทัย ถูกทำร้ายจิตใจมากเข้าเจ้าทินกรเลยทำตัวเกกมะเหรกเกเรประชดชีวิต กว่าจะผ่านช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อจนมาเข้ารูปเข้ารอยได้ ก็สร้างความเดือดร้อนให้คนรอบข้างและพระพี่นางไม่น้อย ดังนั้นเมื่อกลับตัวได้เจ้าทินกรจึงทรงตั้งพระทัยไว้ว่าจะเป็นราชาที่ดีเพื่อตอบแทนพระคุณของพระพี่นาง


ค่ำนั้นเจ้านิศามณีทรงอยู่เสวยอาหารค่ำตามคำเชิญของพระอนุชา และอยู่สนทนากันต่อจนใกล้เวลาเข้าบรรทมจึงค่อยเสด็จกลับ ทบเวลาเดินทางแล้วกว่าจะกลับถึงวังฝั่งซ้ายก็ดึกดื่นเอาการ

ตำหนักของเจ้านิศามณีตั้งอยู่ติดกับตำหนักของจ้าวรัตติกาล แต่จะเรียกว่าติดก็ไม่ถูกนักเพราะถูกปลูกสร้างขึ้นให้อยู่ใต้ชายคาเดียวกัน การเข้าออกจึงจำเป็นจะต้องผ่านตำหนักของท่านจ้าวไปเสียก่อน

ยามนี้คบไฟรอบตำหนักถูกดับไปจนเกือบหมดเป็นสัญญาณว่าจ้าวรัตติกาลเข้าบรรทมแล้ว เจ้านิศามณีจึงตรัสเตือนให้เหล่านางกำนัลที่ส่งเสียงดังให้เงียบเสียงลง ด้วยเกรงว่าจะไปรบกวนจ้าวรัตติกาลเข้า

“ขออภัยเพคะ หม่อมฉันผิดไปแล้ว”

นางกำนัลตัวต้นเหตุจึงรีบย่อตัวลงหมอบกราบขออภัยพระชายาอย่างร้อนตัว ขบวนเสด็จจึงต้องหยุดชะงักลงกลางทาง

“หนนี้เราไม่ถือสา ครั้งหน้าก็ระวังกิริยาให้มากล่ะ เป็นนางใน…”

ตักเตือนไม่ทันเสร็จก็ทรงถูกขัดจังหวะ ด้วยอยู่ๆ นางกำนัลรอบตัวก็พากันย่อกายลงนั่งกับพื้น เป็นสัญญาณว่าจ้าวรัตติกาลเสด็จมา

“กลับมาแล้วรึพระชายา” สุรเสียงราบเรียบของจ้าวรัตติกาลดังมาจากระยะไม่ไกลนัก

เหลียวไปมองก็เห็นวรองค์สูงในพระภูษาสีดำเรียบง่ายประทับอยู่ห่างไปไม่มาก

จ้าวรัตติกาลทรงสาวพระบาทเข้ามาใกล้ด้วยกิริยางามสง่าน่าเกรงขาม ทำเหล่านางกำนัลนั่งตัวลีบกันทั่วหน้าด้วยความกริ่งเกรงในพระบารมี

“กลับมาแล้วเพคะ”

เจ้านิศามณีถอนสายบัวถวายความเคารพจ้าวรัตติกาล แล้วจึงเหยียดตัวตรงมองพระสวามีอย่างครุ่นคิด

สามเดือนที่แต่งเข้ามาหน้าพระนางท่านจ้าวยังไม่อยากจะมอง ประหลาดแท้ที่ทรงมาดักรออยู่หน้าตำหนักจนดึกดื่น มีเหตุเร่งร้อนอะไรกันเชียวถึงได้รอให้เช้าแล้วค่อยสนทนาไม่ได้

“พวกเจ้ากลับตำหนักไปก่อน ข้ามีเรื่องจะพูดกับพระชายา”

สิ้นเสียงรับสั่งเหล่านางกำนัลทั้งหลายก็ลุกออกไปอย่างพร้อมเพรียง เฉลียงทางเดินจึงเหลือแต่จ้าวรัตติกาลกับพระชายาประทับอยู่ตามลำพัง

“ไปไหนมา” พอปลอดคนสุรเสียงเรียบเฉยก็ดูมีอารมณ์ขึ้นทันตา

“วังฝั่งขวาเพคะ หม่อมฉันไปเยี่ยมจ้าวทิวา”

“ได้สนทนากับน้องรักคงทำให้เจ้าเบิกบานใจเสียจนลืมเวลาล่ะสิ” พระเนตรดุดันดุจนัยน์ตาราชสีห์ตวัดมองมาอย่างคาดโทษ

เจ้านิศามณีทรงลอบถอนพระทัยในทันทีเมื่อทรงถูกหาเรื่อง

นี่ทรงอดตาอดหลับขับตานอนรอเพื่อมาชวนทะเลาะอย่างนั้นหรือ พระนางเผลอไปทำอะไรให้ให้กริ้วกัน

แม้จะรู้สึกเหนื่อยพระทัยแต่พระเนตรสีน้ำผึ้งก็ยังแลดูสงบไม่ทุกข์ร้อนกับคำค่อนนั้น ทรงยิ้มละไมกลับมาให้พระสวามีด้วยรอยยิ้มหวานๆ เย็นๆ ตามแบบฉบับของพระนาง แล้วตรัสตอบไปว่า

“ถูกทีเดียวเพคะ หม่อมฉันเพลิดเพลินจนลืมเวลา”

“ฮึ! ลืมเวลาแล้วก็ลืมตนด้วยใช่หรือไม่ เป็นถึงพระชายาควรแล้วหรือที่จะมัวแต่เที่ยวเล่นจนดึกดื่นค่อนคืน”

คำตำหนิที่ค่อนข้างรุนแรงนี้อาจจะทำให้สตรีทั้งหลายหน้าม้านเอาได้ ทว่าสีพระพักตร์ของเจ้านิศามณีกลับยังเรียบสนิทราวกับผิวน้ำที่ไร้ระลอกคลื่น

“ขออภัยเพคะฝ่าบาท หม่อมฉันเหลวไหลจริงดังที่รับสั่ง ขอบพระทัยที่ทรงตักเตือนเพคะ หม่อมฉันรับรองว่าครั้งหน้าจะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อย่างเด็ดขาด”

ถึงจะยอมรับผิดอย่างง่ายดายและค้อมคำนับให้อย่างอ่อนน้อม แต่นั่นก็หาได้ทำให้จ้าวรัตติกาลพึงพอพระทัย ในสายพระเนตรของจ้าวรัตติกาล กิริยาและน้ำเสียงของพระชายายังดูเย่อหยิ่งไม่สำนึกถึงความผิดของตนเลยสักนิด แต่ในเมื่อนางเอ่ยขอโทษออกมาแล้ว จ้าวรัตติกาลก็จนแต้มนึกหาเรื่องตำหนิต่อไม่ได้ จึงทรงนิ่งไป

“ทรงมีธุระอันใดอีกหรือไม่เพคะ หากไม่มีหม่อมฉันขอทูลลา”

“ไม่มีแล้ว”

ตรัสเสร็จก็ทรงหมุนองค์กลับเข้าตำหนัก ปล่อยให้พระชายาคนงามเดินกลับไปตามเฉลียงมืดๆ เพียงลำพัง

แม้จะนึกน้อยใจที่พระสวามีเอาแต่หาเรื่องติ ทั้งยังไม่ใส่ใจจะหาคนถือตะเกียงมานำทางให้ เจ้านิศามณีก็มิเอ่ยปากท้วงติง ทรงเดินฝ่าความมืดไปกลับตำหนักโดยไม่คิดจะง้อใคร คนที่ลอบมองอยู่เลยได้แต่เม้มปากอย่างขัดใจ

“ผู้หญิงจองหอง!”

จ้าวรัตติกาลทรงเข่นเขี้ยวใส่แผ่นหลังที่หายลับไปในความมืดอย่างผิดหวัง หากวอนขอกันสักนิดพระองค์นี่แหละจะเดินถือตะเกียงไปส่งถึงตำหนักทีเดียว แต่นางก็ไม่ยอมปริปากพูดสิ่งใดออกมาเลย ทั้งยังเดินผินกายออกไปอย่างเย่อหยิ่ง ดูไม่น่ารักสมกับเป็นสตรีเลยสักนิด

ตั้งแต่พบหน้ากันในวันอภิเษกสมรสมาจนวันนี้เจ้านิศามณีมิเคยแสดงสีหน้าอื่นเลยนอกจากเรียบเฉย กับส่งยิ้มหวานๆ เย็นๆ มาให้ ใจนางคิดอย่างไรรู้สึกอย่างไรพระองค์ก็คาดเดาไม่ออก ยั่วโมโหเท่าไรนางก็ไม่เคยโกรธ ร้ายด้วยก็ไม่เคยร้องไห้ ราวกับว่านางไม่มีหัวจิตหัวใจอย่างไรอย่างนั้น

ชั่วชีวิตจ้าวรัตติกาลเคยมองคนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ไม่เคยเลยที่จะต้องมาอึดอัดใจเพราะมองใครไม่ออกเช่นนี้ จึงพานให้รู้สึกหงุดหงิดในพระทัยเหลือกำลัง

“กำผลา เจ้ารีบตามไปส่งพระชายา อย่าให้รู้ตัวล่ะ” ทรงหันมารับสั่งกับองครักษ์ส่วนพระองค์ก่อนกลับเข้าห้องบรรทม

แม้จะกริ้วปานใดจ้าวรัตติกาลก็ไม่เคยทำรุนแรง ได้ชื่อว่าเป็นคู่ครองกันแล้วถึงจะแค่ในนามก็ยังทรงปฏิบัติต่อพระชายาด้วยดีตามสมควร ถึงคราอยู่ด้วยกันลำพังจะดูร้ายกาจเย็นชาไปบ้างแต่ก็ยังแอบดูแลจากระยะไกลมิให้รู้ตัวเสมอ

“รับด้วยเกล้าพระเจ้าค่ะ” องครักษ์หนุ่มค้อมกายและหายไปในความมืดอย่างรวดเร็ว

กำผลาก้าวตามพระชายาไปอย่างระมัดระวัง ใจนึกเอนเอียงเข้าข้างพระชายามากกว่าเจ้าเหนือหัวของตนอยู่ส่วนหนึ่ง

ตัวเขานั้นมีน้องสาวที่เพิ่งออกเรือนไป หากสามีของน้องปฏิบัติตัวเย็นชาดังเช่นที่ท่านจ้าวทรงทำ เขาคงรีบไปเอาตัวน้องกลับบ้านทันที ทว่านี่เป็นเจ้านิศามณีมิใช่น้องสาวเขา ก็เลยจะโทษว่าเป็นความผิดท่านจ้าวฝ่ายเดียวไม่ได้

พระชายานี่ก็กระไร จะร้องไห้หรือโกรธสักนิดก็ไม่มี พูดจาฉอเลาะเอาใจอย่างหญิงทั่วไปรึก็ไม่ทรงทำ ท่านจ้าวก็เลยโปรดก็อยู่เรื่องเดียวคือชวนทะเลาะ

ร้อยละร้อยท่านจ้าวเป็นฝ่ายหาเรื่องก่อนแต่ก็กินกันไม่ลง ไม่ก็แพ้พระชายาทุกที เนื่องจากเจ้านิศามณีนั้นเพียบพร้อมไปเสียทุกด้าน ทรงดูแลภายในได้อย่างไร้ที่ติ ราชกิจใดที่มีส่วนร่วมก็ทรงวางองค์ได้เหมาะสม จนท่านจ้าวกลายเป็นคนไร้เหตุผลไปเลยยามต้องหาเรื่องมายั่วโมโหเจ้านาง

ตั้งแต่มาประทับอยู่วังฝั่งซ้ายเพิ่งจะมีเรื่องผิดพลาดคือเสด็จกลับค่ำกว่าปกติก็วันนี้นี่เอง พอท่านจ้าวรู้ข่าวจากมหาดเล็กว่าพระชายายังประทับอยู่ที่วังฝั่งขวาก็มีรับใส่ให้คนยกเก้าอี้มาวางหน้าตำหนัก เพื่อดักรอหาเรื่องโดยเฉพาะ

ช่วงรอนี้เองที่กำผลาเห็นว่าเสือยิ้มยากอย่างท่านจ้าวมีท่าทีกระหยิ่มใจอยู่ไม่น้อย เหมือนจะทรงมีความสุขที่ได้ตั้งหน้าตั้งแต่รอหาเรื่องเจ้านาง จะแพ้หรือชนะนั้นไม่สำคัญเพราะอย่างไรสุดท้ายก็ต้องกริ้วหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่ดี แต่ถึงจะกริ้วปานใดก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะทรงเบื่อหน่ายการหาเรื่องชวนทะเลาะกับเจ้านางสักที ช่างเป็นความสุขแบบโกรธๆ ที่ยากเกินกว่าจะทำความเข้าใจเสียจริง

นินทาเจ้าเหนือหัวในใจไปได้ระยะหนึ่งเจ้านิศามณีก็เสด็จมาถึงหน้าตำหนัก กำผลาจึงหยุดเดินแล้วแอบหลบอยู่ในมุมมืดเพื่อรอให้พระชายาผ่านบานประตูเข้าไปจนลับสายตาเสียก่อน

แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อเจ้านิศามณีผินพระพักตร์มายังมุมที่เขาหลบอยู่แล้วตรัสลอยๆ ว่า

“ขอบใจนะกำผลา”

ราชองครักษ์หนุ่มถึงกับเหงื่อแตกท่วมตัวทีเดียว ด้วยเดาไม่ออกว่าทรงขอบคุณจากใจจริงหรือคาดโทษกันแน่ แม้เขาจะเข้าออกตำหนักในได้ แต่ก็ไม่สามารถไปไหนได้ตามชอบใจนอกจากเฝ้าอยู่หน้าห้องบรรทมของท่านจ้าวเท่านั้น หากเจ้านิศามณีทรงเอาเรื่องขึ้นมา เห็นทีจะหลังลายก็คราวนี้

“เราไม่ลงโทษเจ้าหรอก ไปเถิดกำผลา เราขอบใจที่มีน้ำใจมาส่ง”

แม้ไม่ได้หันมามองแต่ก็ยังสู้อุตส่าห์รู้ว่าราชองครักษ์กำลังยืนตัวแข็งทำอะไรไม่ถูก

องครักษ์เงาผู้เลื่องชื่อด้านสะกดรอยมาถูกสตรีจับได้เช่นนี้ชวนให้รู้สึกอับอายพิลึก แต่พอนึกได้ว่านี่เป็นจอมนางแห่งกาลัญญุ สตรีผู้ถูกขนานนามว่าหลักแหลมและเลอค่ายิ่งกว่าอัญมณีใดๆ กำผลาก็ยอมศิโรราบให้โดยสดุดี

ได้ประจักษ์เช่นนี้แล้วกำผลายิ่งเข้าข้างพระชายามากกว่าท่านจ้าวเป็นเท่าตัว พนันได้เลยว่าท่านจ้าวไม่มีทางปราบพระชายาลงได้หรอก มีแต่พระชายานี่แหละที่จะปราบท่านจ้าวเสียอยู่หมัด



นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 พ.ค. 2554, 18:38:47 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 ก.พ. 2555, 14:54:12 น.

จำนวนการเข้าชม : 2476





   บทที่ 2 จอมใจ >>
แว่นใส 29 พ.ค. 2554, 20:48:41 น.
แข็งทั้งคู่คงเข้าใจกันยากเนอะ


because 29 พ.ค. 2554, 21:14:09 น.
สนุกและดำเนินเรื่องเร็ว น่าสนใจมากจ้า มาอัพบ่อยๆนะคะ
จะคอยติดตามอ่าน :)


ชอบอ่าน 29 พ.ค. 2554, 21:38:50 น.
สนุกจังอยากอ่านตอนต่อไปอีกคะ


หมูอ้วน 30 พ.ค. 2554, 03:22:35 น.
รออ่านตอนต่อไปค่ะ


นิชาภา 30 พ.ค. 2554, 11:00:24 น.
สวัสดีค่ะคุณแว่นใส คุณbecause คุณชอบอ่าน คุณหมูอ้วน ขอบคุณที่ให้การติดตามนะคะ สัญญาว่าจะอัพบ่อยๆ ค่ะ วันนี้ลงอีกสองตอน พระนางจะเป็นอย่างไรต่อไปต้องคอยติดตามชมค่า ^O^


kaze 3 มิ.ย. 2554, 10:45:04 น.
ดูโรแมนติกจัง >____<


cherryfirm 4 มิ.ย. 2554, 12:02:45 น.
เนื้อเรื่องนาติดตามดีคะ ถึงแม้จะไม่ค่อชอบแนวนี้สักเท่าไหร่ แต่พอได้อ่านแล้วถูกใจมากเลยอ่ะ เรียกว่าเป็นคู่ชกที่เหมาะสมกันดีสุดๆๆ เลยอ่ะชอบมากยังไงก็อัพตอนใหม่เร็วๆๆ ด้วยนะคะ แล้วจะคอยตามอ่านนะคะ


ChaCoCo 18 มิ.ย. 2554, 22:33:28 น.
สู้ๆน่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account