ดวงใจจ้าวรัตติกาล โดย ภคพร (วางแผงแล้ว)
'นางคือจันทราสว่างไสว นางคือจอมใจเมื่ออยู่เคียงขวัญ นางคือคู่แท้แห่งนิรันดร์ นางคือชีวันจ้าวรัตติกาล'
เขาไม่เคยเห็นค่าของสิ่งที่มีจวบจนวันที่เสียไป สายไปไหมหากจะวอนขอให้จันทร์จ้าวกลับมาอยู่เคียงข้าง
Tags: โรแมนติก เจ้าหญิงเจ้าชาย พระเอกขรึม นางเอกขรึมกว่า ความรัก การเมืองเล็กๆ

ตอน: บทที่ 2 จอมใจ

บทที่ 2 จอมใจ

เช้านี้ฟ้าด้านนอกยังเกลื่อนไปด้วยหมู่ดารายามที่เจ้านิศามณีตื่นบรรทม ปกติก็ทรงตื่นเช้าอยู่แล้วแต่วันนี้เห็นจะพิเศษหน่อยเพราะเป็นวันครบรอบวันประสูติของเจ้าอรุณา เหล่านางกำนัลทั้งหลายตื่นตามกันไม่ทันก็เลยต้องเร่งตระเตรียมเครื่องสำหรับสรงน้ำอย่างรีบร้อนกว่าทุกวัน น้ำวันนี้จึงเย็นกว่าปกติแต่เจ้านางก็มิได้ตำหนิเหล่านางในทั้งหลาย

สรงน้ำเสร็จก็ทรงแต่งองค์ด้วยผ้าทรงสีชมพูกลีบบัว สีนี้คือสีประจำพระองค์ของเจ้านิศามณีโดยเฉพาะ ในวังจึงไม่มีใครกล้าสวมใส่สีเดียวกัน จะมีก็แต่นางกำนัลส่วนพระองค์ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นคุณข้าหลวงเท่านั้นที่จะสวมสีโทนนี้ได้ แต่ก็ไม่เหมือนสีกลีบบัวเสียทีเดียวเพราะจะเป็นสีชมพูเข้มกว่าผ้าทรงมาก

เจ้านิศามณีประทับอยู่หน้ากระจก แล้วให้คุณข้าหลวงนามว่าวิฬาร์เป็นผู้จัดแต่งพระเกศาให้

วิฬาร์มีอายุมากกว่าเจ้านางสี่ปี มารดาได้นำมาถวายให้พระมเหสีองค์ก่อนตั้งแต่อายุได้หกขวบ รับหน้าที่คอยดูแลเป็นเพื่อนวิ่งเล่นให้เจ้านิศามณีมาตั้งแต่ทรงจำความได้ จึงจัดว่าเป็นผู้รู้ใจของเจ้านางคนหนึ่ง

“เจ้ายังมวยผมได้งามเหมือนเดิมเลยนะวิฬาร์ มวยสูงแบบนี้มีแต่เจ้าคนเดียวเท่านั้นที่ทำได้ถูกใจเรา”

เจ้านิศามณีทอดพระเนตรพระเกศาสีทองที่ถูกเกล้าขึ้นอย่างวิจิตรผ่านกระจกเงาด้วยความพอพระทัย

“คนงามทำอะไรก็งามหรอกเพคะ” วิฬาร์เอ่ยอย่างชื่นชม

ยิ่งนานวันทูนหัวของวิฬาร์ก็ยิ่งงดงามเปล่งปลั่ง ตั้งแต่เกิดมาวิฬาร์ยังไม่เคยเห็นใครงามเทียบเคียงเจ้านางได้เลยสักคน

“ไม่เบื่อรึไร ชมเราแต่เล็กยันโตอยู่ได้ทุกวี่วัน”

“หม่อมฉันมิได้ตรัสชมนะเพคะ ความจริงทั้งนั้น เจ้านางก็ทรงทราบว่าหม่อมฉันมันพวกปากตรงกับใจ หากไม่งามจริงไม่บังอาจแสร้งว่าหรอกเพคะ”

“พอเถอะแค่นี้เราก็เหลิงเพราะคำย่อเจ้าแย่แล้ว”

ตรัสแล้วก็หันไปรับสั่งกับคุณข้าหลวงอีกคนเรื่องเครื่องว่างของจ้าวรัตติกาล วันนี้อากาศค่อนข้างร้อนจึงสั่งให้เตรียมผลไม้ลอยแก้วใส่น้ำแข็งไปถวายตอนบ่าย

“เพคะ”

บุหรงตอบกลับมาด้วยสีหน้าที่ค่อนไปทางบึ้งตึง จนวิฬาร์ต้องหันมาเอ็ดข้าหลวงรุ่นน้องที่แสดงกิริยาไม่งามกับเจ้านาง

“หากยังไม่สร่างง่วงก็ไปล้างหน้าล้างตาเสีย มาถวายรับใช้ทั้งที่หน้างอหงิกได้อย่างไร”

“เหนื่อยหรือบุหรง หากง่วงนักวันนี้ไม่ต้องตามเราไปมหาวิหารหรอก เราให้เจ้าพักหนึ่งวัน”

ความกรุณาของเจ้าเหนือหัวทำให้บุหรงก้มลงกราบแทบเท้าเจ้านาง ก่อนจะเอ่ยความในที่อัดอั้นอยู่ให้ได้รับรู้

“เจ้านางของหม่อมฉันดีแสนดี สิริโฉมเป็นเลิศ น้ำใจก็งามล้ำ ทำไมหนอท่านจ้าวถึงได้ร้ายด้วยนักก็ไม่รู้ ทรงไม่แลเหลียวเจ้านางเลยสักนิด น่าจะปล่อยให้อดของอร่อยเสียให้เข็ด”

“บุหรง! นั่นปากเจ้าหรือนั่น พูดถึงท่านจ้าวอย่างสามหาวเช่นนี้ได้อย่างไร ระวังเถิดหัวจะหลุดจากบ่าไม่รู้ตัว” วิฬาร์ขึ้นเสียงสูงใส่

แม่คนนี้นี่เหลือเกินจริงเชียว ปากกล้าเกินใคร พูดจาอะไรไม่รู้จักระวังตัว

เจ้านางอาจจะไม่ถือสา แต่นางล่ะหวั่นใจว่าหากคุณข้าหลวงใหญ่หรือคนอื่นมาได้ยินเข้า เรื่องอาจจะไม่จบเพียงเท่านี้

“ก็มันจริงนี่พี่วิฬาร์ พี่รู้หรือเปล่าว่าเมื่อคืนเจ้านางเสด็จกลับตามลำพัง มืดก็มืด คนถือตะเกียงนำก็ไม่มี ทรงหกล้มคะมำไปใครจะช่วย ท่านจ้าวก็กระไรจะหาคนเดินมาส่งพระชายาหน่อยรึก็ไม่ได้ ใจร้ายเหลือเกิน” บุหรงร่ายยาวอย่างอัดอั้น

“ตายจริง! เมื่อคืนเสด็จกลับมามืดๆ อย่างนั้นหรือเพคะ” วิฬาร์เอามือทาบอกอย่างตกใจ

ทางเดินกลับตำหนักของเจ้านางนั้นอับแสงจันทร์ ตกดึกขึ้นมาหากไม่มีตะเกียงนำทางแล้วก็แทบมองอะไรไม่เห็น ใจวิฬาร์จึงเริ่มเอนเอียงหันมาตำหนิจ้าวรัตติกาลตามบุหรง แต่ก็มิได้เอ่ยคำติติงอันไม่สมควรออกมา

“ช่างเถิด…เราไม่ถือสาหรอก ก็แค่อยากลองใจคนดู ความจริงท่านจ้าวไม่ใจร้ายอย่างที่พวกเจ้าเข้าใจหรอกนะ ทรงให้คนแอบตามมาส่งเราถึงที่ แสดงว่าทรงเป็นห่วงอยู่เหมือนกัน”

ถึงจะชอบหาเรื่องชวนทะเลาะและแสดงออกอย่างชัดแจ้งว่าไม่ชอบหน้าพระนาง แต่จ้าวรัตติกาลก็ทรงทำดีลับหลังพระนางเสมอ แค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับคนไม่รักกัน

“ถึงกระนั้นหม่อมฉันก็ยังเคืองแทนอยู่ดีเพคะ ถ้าหม่อมฉันเป็นเจ้านางล่ะก็น่าดูชม” บุหรงตั้งท่าเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันประกอบคำพูด

“พอเถอะแม่นกน้อยปากกล้า เมื่อครู่เจ้านางสั่งอะไรเจ้า ทำไมไม่รีบไปทำเสีย มั่วแต่ร่ำไรอยู่นั่นจะให้เจ้านางสั่งเจ้าเฝ้าตำหนักเสียให้เข็ด”

พอถูกขู่จากคุณข้าหลวงรุ่นพี่บุหรงเลยจำต้องลุกไปทำหน้าที่ตามกระแสรับสั่งอย่างขัดเสียมิได้

เมื่อพระอาทิตย์เริ่มขึ้นจากขอบฟ้า ขบวนเสด็จของเจ้านิศามณีก็พร้อมเดินทางไปยังมหาวิหาร แล้วเคลื่อนขบวนพ้นเขตประตูวังฝั่งซ้ายไปขณะที่จ้าวรัตติกาลยังคงบรรทมอยู่


ช่วงสายและบ่ายของวันนี้จ้าวรัตติกาลไม่มีราชกิจอันใดนอกจากการอ่านสรุปฎีกา จึงทรงเปลี่ยนบรรยากาศมาทรงงานที่ศาลายกพื้นกลางอุทยานพร้อมกับบรรดาองครักษ์เงา

องครักษ์เงาเป็นตำแหน่งสูงสุดของกลาโหมเพราะมิขึ้นต่อผู้ใด ทั้งยังสามารถสั่งการกองทัพแทนพระองค์ได้ มีความสำคัญเปรียบประดุจแขนขาของจ้าวรัตติกาล ดังนั้นจึงต้องคัดสรรเลือกเฟ้นมาจากข้าเบื้องบาทที่มากสามารถและถึงพร้อมด้วยความจงรักภักดี

ในรัชสมัยของเจ้าศยเทพหรือจ้าวรัตติกาลองค์ปัจจุบัน ทรงแต่งตั้งให้มีองครักษ์เงาทั้งหมดห้าคน เรียงตามลำดับอาวุโสจากมากไปน้อยได้แก่ อสิ กริช จรี โตมรและกำผลา ทั้งหมดนับถือกันเป็นพี่น้อง ช่วยกันปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสามัคคี ไม่มีชิงดีชิงเด่น

ยามมิได้ใช้สอยงานอันได้ เหล่าราชองครักษ์ก็จะรายล้อมอยู่รอบกายเจ้าเหนือหัวมิได้ห่าง วันนี้มีองครักษ์เงาอยู่ถวายการรับใช้เพียงสองคนคือจรีกับโตมร เหตุเพราะกริชกับอสิรับหน้าที่เป็นผู้แทนพระองค์ไปตรวจการต่างเมือง ส่วนน้องเล็กอย่างกำผลาก็เข้าเวรดึกเช้านี้จึงได้พัก

จ้าวรัตติกาลทรงงานโดยมิปริปากตรัสสิ่งใดอยู่นานสองนาน เวลาที่ทรงหมกมุ่นจะเป็นเช่นนี้เสมอ สององครักษ์หนุ่มจึงพลอยนิ่งเงียบไปด้วยเพื่อมิให้ทรงเสียสมาธิ

วันนี้ท่านจ้าวทรงงานอย่างคร่ำเคร่งไม่เปลี่ยน แต่ที่เห็นจะดูแปลกไปคือทรงเงยพระพักตร์ทอดพระเนตรไปที่สระบัวบ่อยครั้งดังจะรอการมาของอะไรสักอย่าง ยิ่งใกล้เที่ยงก็ยิ่งทรงกระสับกระส่าย จรีรู้สึกสงสัยจึงลองชวนคุยเพื่อหาทางสอบถาม

“เที่ยงนี้จะให้ตั้งเครื่องที่นี่หรือเสด็จไปเสวยกับพระชายาพระเจ้าค่ะ”

ตั้งแต่คุณข้าหลวงใหญ่คนเก่าลากลับบ้านไป ก็ไม่มีใครกล้าตักเตือนเรื่องเวลาพระกระยาหารอีก หิวเมื่อไรค่อยมีรับสั่งให้เตรียมเครื่องเสวยมา บ้างวันก็เสวยเพียงมื้อเดียวกับขนมอีกเล็กน้อยเท่านั้น เริ่มจะกลับมาเสวยตรงเวลาก็ตอนพระชายาแต่งเข้ามานี่เอง นอกจากนี้ยังมีธรรมเนียมใหม่คือทุกๆ สามวันพระชายาจะต้องเสด็จมาเสวยพระกระยาหารกับท่านจ้าวมิได้ขาด และวันนี้ก็เวียนมาครบกำหนดพอดี

“เดี๋ยวก็มีคนของพระชายามาถามเอง ข้าไม่อยากตอบซ้ำ”

จ้าวรัตติกาลตรัสตอบทั้งที่สายพระเนตรยังทอดไปที่สระบัว ราชองครักษ์มองตามก็ไม่เห็นสิ่งผิดปกติอันใด จึงตัดสินใจทูลถามเพื่อความกระจ่าง

“ทอดพระเนตรสิ่งใดอยู่หรือพระเจ้าค่ะ ข้าพระองค์มองไม่เห็นนกหรืออะไรน่าสนใจเลย”

“เปล่า…ข้าก็แค่พักตา”

ถึงจะปฏิเสธแต่คนฟังก็รู้ได้ในทันทีว่าทรงปด จะคาดคั้นถามไปก็เป็นการมิบังควร ราชองครักษ์หนุ่มเลยจำต้องก้าวถอยหลังกลับมายืนข้างโตมรที่เอาแต่ยิ้มกริ่มเหมือนจะรู้อะไรดีๆ

“ท่านจ้าวมองหาอะไร” จรีกระซิบถาม

“จะใครถ้าไม่ใช่คนที่ชอบมานั่งเล่นประจำ”
ใบ้ให้นิดหนึ่งจรีก็เดาออก ที่แท้ก็ทรงมองหาพระชายานั่นเอง

ความที่เจ้านิศามณีทรงทำอะไรเป็นระเบียบแบบแผนตรงเวลาเสมอ ก็เลยคาดเดาได้ไม่ยากว่าขณะนี้ประทับอยู่ที่ใด เท่าที่สังเกตดูจะพบว่าหากวันใดเสด็จไปเยี่ยมจ้าวทิวา ตอนสายของวันรุ่งขึ้นจะทรงมานั่งเล่นที่สระบัวแห่งนี้เป็นประจำ

ทว่ารอจนเที่ยงก็ยังไม่มีวี่แววว่าพระชายาจะเสด็จมา จะมีก็แต่คุณข้าหลวงชื่อบุหรงมาทูลถามว่าจะให้ตั้งเครื่องที่ใดเท่านั้น

“ตั้งที่นี่แล้วตามพระชายาให้มากินด้วยกัน”

นี่เป็นครั้งแรกเลยทีเดียวที่จ้าวรัตติกาลทรงเรียกหาเจ้านางให้มาเสวยร่วมกัน เหตุที่รับสั่งเช่นนั้นเพราะทรงรู้สึกผิดเรื่องเมื่อคืน จึงอยากจะทำดีกับพระชายาเพื่อไถ่โทษ แต่จะให้เสด็จไปงอนง้อถึงตำหนักก็ไม่ใช่พระนิสัย และหากทำเช่นนั้นนางคงยิ่งได้ใจไปกันใหญ่ จึงแสร้งมาทรงงานในอุทยานให้เหมือนกับว่ามาเจอกันโดยบังเอิญแทน

“เจ้านางไม่ได้ประทับอยู่ในตำหนักเพคะ เสด็จไปมหาวิหารตั้งแต่เช้าแล้ว”

บุหรงก้มหน้าตอบคำถามด้วยไม่อยากจะให้ทรงเห็นใบหน้าบูดบึ้งของตน นางถูกเจ้านางสั่งให้รั้งอยู่ที่นี่ช่วยดูแลเครื่องเสวยของฝ่าบาทให้ครบสามมื้อ เพราะคุณข้าหลวงใหญ่เธอจับไข้ขึ้นมากะทันหัน ฝ่ายในจึงไม่มีคนสั่งการ คนอดเที่ยวก็เลยหน้างอและก็ยิ่งง้ำขึ้นเมื่อต้องอยู่รับใช้จ้าวรัตติกาลที่ตนตราหน้าว่าแสนใจดำ

“อะไรกัน! เมื่อวานก็เพิ่งไปวังฝั่งขวา วันนี้ไปมหาวิหารอีก หาเรื่องเที่ยวเล่นได้ไม่เว้นแต่ละวัน”

คำตำหนิทำให้ข้าผู้จงรักภักดีโกรธกรุ่นอย่างเหลือแสน

ไม่เห็นค่าเจ้านางยังพอว่า นี่มาตำหนิกันต่อหน้าองครักษ์เลยเชียวหรือ มันจะหยามเกียรติเจ้านางของบุหรงไปแล้ว งานนี้เป็นไงเป็นกันต่อให้ถูกตัดหัวนางก็จะปกป้องเกียรติของเจ้านางด้วยชีวิต

“เจ้านางมิได้เที่ยวเล่นนะเพคะ เมื่อวานทรงไปเยี่ยมจ้าวทิวาก็จริง แต่ก็ทรงไปดูแลฝ่ายในทางนั้นด้วย ส่วนวันนี้ก็วันครบรอบวันประสูติของเจ้าอรุณา ผิดหรือเพคะที่จะไปทำพิธีบุญให้พระขนิษฐา”

อาการเถียงฉอดๆ อย่างไม่กลัวของนางกำนัลสาวอาจทำให้กริ้วจนลงพระอาญาเอาได้ แต่ชื่อสุดท้ายก็ดึงความสนใจไปเสียก่อน สีพระพักตร์ของจ้าวรัตติกาลเปลี่ยนไปทันตา แม้มิได้เศร้าหมองแต่ก็เหมือนกำลังหวนระลึกถึงบางสิ่งอยู่

นิ่งไปได้อึดใจก็ทรงตวัดสายพระเนตรมาที่นางกำนัลซึ่งหมอบกราบตรงหน้า แล้วคาดคั้นถามเอาความจริง

“ใครเขาจัดงานวันเกิดให้คนตายกัน อย่ามาแสร้งทูลความเท็จเพื่อปกป้องพระชายาแบบไม่เข้าท่าเลย สารภาพความจริงออกมาก่อนข้าจะลงอาญาเจ้า”

สุรเสียงแข็งกร้าวทำเอาร่างที่หมอบอยู่รู้สึกประหวั่นในใจจนกายสั่นสะท้าน แต่ด้วยความจงรักภักดีที่มีต่อเจ้านางและความที่ไม่ได้เอ่ยเท็จ บุหรงจึงข่มความกลัวแล้วทูลตอบออกไปตามจริงอีกครั้ง

“เจ้าอรุณายังไม่สิ้นไปสักหน่อยเพคะ อย่างน้อยก็ไม่เคยตายไปจากพระทัยของเจ้านาง หากไม่ทรงเชื่อจะเรียกใครมาถามก็ได้เพคะ คนวังฝั่งขวารู้ดีกันทุกคนว่าแม้เจ้าอรุณาจะสิ้นไปแล้วแต่เจ้านางยังคงจัดงานวันครบรอบวันประสูติให้เจ้าอรุณาทุกปีมิได้ขาด”

แม้เสียงของบุหรงจะสั่นเครือแต่แววตาของนางนั้นบ่งว่ามิได้โป้ปด จ้าวรัตติกาลจึงทรงคลายความพิโรธลง แล้วมีรับสั่งให้นางไปจัดเตรียมเครื่องเสวยมาให้ที่นี่

นามของอดีตพระคู่หมั้นดึงสมาธิของจ้าวรัตติกาลไปจนสิ้น ตั้งแต่นางจากไปคนรอบตัวก็มิเคยเอ่ยนามนี้อีกเลยจนพระองค์เกือบแสร้งทำเป็นลืมนางได้แล้วจริงๆ ทว่าในส่วนลึกของพระราชหฤทัยกลับยังมีนางสถิตอยู่ มิได้เลือนหายไปตามกาลเวลาแม้เพียงเสี้ยว พอมีคนมาสะกิดให้ระลึกถึง ภาพรอยยิ้มสดใสก็ลอยเข้ามาในห้วงความคิดทันที

เหตุการณ์แรกที่นึกถึงคือครั้งที่ได้สนทนากันสมัยเจ้าอรุณายังเล็ก ครานั้นเจ้านางน้อยซุกซนแอบมาปีนต้นชมพู่ในอุทยานของพระองค์ ทั้งยังมาแบบอาจหาญไม่กลัวจะโดนลงพระอาญาเลยสักนิด พอเห็นคนเจ้านางก็ใช้ดวงตากลมโตแป๋วแหววตวัดมองลงมาแล้วทอดยิ้มกว้างขวางมาให้

เมื่อได้สบตาด้วยความเอ็นดูมันรื่นก็เข้ามาในพระอุระ กว่าจะรู้ตัวก็ทรงช่วยนางเก็บผลไม้แล้วประทับลงบนพื้นหญ้าเสวยชมพู่ที่ยังไม่ได้ล้างกับนางเสียแล้ว

‘กล้าจริงนะเจ้าที่มาเด็ดชมพู่ในอุทยานนี้’

‘จ้าวรัตติกาลไม่โปรดชมพู่ หากไม่มีรับสั่งก็ห้ามใครเด็ด ทิ้งไว้ก็เน่าเปื่อยหมด อรุณาเสียดายนี่’ เจ้าอรุณาตอบพลางกัดชมพู่หอมหวานอย่างเอร็ดอร่อย

‘แสนรู้ขนาดทราบว่าจ้าวรัตติกาลไม่โปรดอะไร แล้วมิรู้หรือว่าข้าคือใคร’

นอกจากเจ้านิศามณีที่ได้รับอนุญาตเป็นพิเศษให้เข้าร่วมประชุมระหว่างสองวังได้เป็นกรณีพิเศษแล้ว เชื้อพระวงศ์ที่ยังเล็กของวังฝั่งขวาก็แทบไม่ได้เข้าเฝ้าจ้าวรัตติกาลเลย บางทีเจ้านางน้อยองค์นี้คงหลงลืมพระพักตร์ของพระองค์ไปแล้ว แต่คำตอบที่ได้กลับผิดความคาดหมายไปอย่างสิ้นเชิง

‘อรุณารู้เพคะว่าฝ่าบาทคือจ้าวรัตติกาล ตอนอยู่บนต้นไม้ไม่ทันมองพระพักตร์เลยเผลอตัวใช้ ถ้ารู้ก่อนหน้าอรุณาก็ไม่กล้าใช้หรอกเพคะ แต่จะเด็ดเอาลงมาถวายให้ถึงพระหัตถ์เลยทีเดียว’

เจ้าอรุณาที่ขณะนั้นอายุสิบสองชันษาตอบกลับมาอย่างฉะฉาน

‘ตอนนี้รู้แล้วว่าข้าเป็นใคร แล้วไม่กลัวรึ’

จ้าวรัตติกาลครองราชย์ตั้งแต่อายุยังน้อยเลยต้องทรงวางตัวสุขุมให้ดูน่าเกรงขามตลอดเวลา จะยิ้มหรือหัวเราะก็ต้องข่มพระอาการเอาไว้ พอหลายปีเข้าก็เคยชินจนกลายเป็นนิสัย บางครั้งแต่จ้องไม่ได้คิดอะไรคนก็กลัวกันหัวหด จึงทรงคิดว่าเด็กน้อยนี่แปลกพิลึก ไม่เห็นจะมีทีท่าว่าจะกลัวเกรงพระองค์อย่างเช่นคนอื่นเลย

‘ก็กลัวบ้างเพคะ แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าฝ่าบาทใจดี ทรงช่วยอรุณาเก็บชมพู่แถมยังมานั่งเป็นเพื่อนกินอีก ไม่เหมือนทินกรรายนั้นพาลพาโล ชอบหาเรื่องกันเรื่อย’

ตรัสแล้วเจ้านางน้อยก็ทำหน้าบึ้งเพราะเพิ่งทะเลาะกับพระอนุชาที่อายุห่างกันสองชันษามาเมื่อหัววันนี่เอง

‘ทินกรใจร้ายผิดกับพี่หญิงลิบลับ พี่หญิงสิริโฉมงาม ใจดี เก่งไปหมด’

น้ำเสียงของเจ้าอรุณาบ่งว่ายกย่องพระพี่นางคนเดียวไม่น้อย

เมื่อนึกถึงพระธิดาองค์โตของจ้าวทิวา พระองค์ก็นึกคล้อยตามเจ้านางน้อยอย่างไม่มีข้อกังขา เพราะเจ้านิศามณีเพิ่งปะทะฝีปากกับเจ้ากรมวังของพระองค์ไปเมื่อแรมสิบห้าค่ำที่ผ่านมานี่เอง ผลคือตาเฒ่าวิกรมถูกถอนหงอกไปเสียหลายเส้น นี่ขนาดสิบสี่ยังร้ายถึงเพียงนี้ หากเติบใหญ่ขึ้นเห็นทีจะเป็นจอมนางที่น่าพรั่นพรึงเป็นแน่แท้

‘แล้วทำไมไม่ชวนพี่หญิงเจ้าเล่นเล่า จะได้เล่นอะไรสมเป็นหญิง ไม่ใช่ปีนป่ายต้นไม้เป็นเช่นนี้’

‘พี่หญิงไม่เล่นหรอกเพคะ ทรงงานอยู่ข้างเสด็จพ่อเกือบทั้งวัน เวลาที่เหลือก็สนใจแต่ทินกร เจียดเวลามาให้อรุณาหน่อยเดียว’

เห็นเจ้านางน้อยไม่มีเพื่อนเล่นก็ทรงสงสาร มองนางแล้วก็พานให้นึกถึงตัวเองในอดีต จ้าวรัตติกาลทรงมีพระเชษฐากับพระเชษฐภคนี แต่ก็สิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่ยังเล็ก พระอนุชาพระองค์เดียวก็มีพระชนมายุอ่อนกว่าถึงเจ็ดชันษา วังฝั่งขวาก็มีแต่เจ้านายตัวเล็กๆ ก็เลยทรงเจริญวัยมาเพียงลำพัง ไม่มีคนพูดคุยหยอกล้อด้วย เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มีพระอุปนิสัยเก็บตัวและเงียบขรึม

‘ถ้าวันใดเจ้าเบื่อข้าอนุญาตให้เจ้ามาเล่นที่อุทยานนี้ได้ จะเก็บอะไรกินก็เอาไปได้ตามชอบใจ แต่ต้องให้นายอุทยานเก็บให้เข้าใจไหม’

‘เข้าใจเพคะ’ เจ้านางน้อยรับคำแข็งขัน

ทว่าสามวันต่อมาจ้าวรัตติกาลกลับเห็นนางปีนป่ายอยู่บนต้นมะม่วง ทั้งยังมีข้ออ้างเสร็จสรรพว่าคนดูแลอุทยานมัวยุ่งอยู่กับการลงต้นไม้ นางก็เลยไม่อยากรบกวน

นับจากนั้นพระองค์ก็มีเจ้าอรุณาเป็นพระสหายตัวน้อย คอยมาเคาะประตูวังชวนไปเก็บผลไม้บ้าง ตกปลาบ้าง ไม่ก็เที่ยวซนอย่างที่สตรีไม่ควร ทว่าก็ไม่ทรงห้ามปรามเพราะนางเป็นน้องน้อยที่น่ารักเกินกว่าจะขัดใจได้ ทรงคุ้นชินกับการได้มองรอยยิ้มสดใสของนางทุกวี่วัน มีหรือจะใจร้ายคิดทำลายรอยยิ้มสว่างไสวนี้ได้ลง

แล้วคืนวันก็ล่วงเลยไปจากเด็กน้อยไร้เดียงสาเจ้าอรุณาก็เติบใหญ่ขึ้นมาเป็นหญิงงามพิสุทธิ์ นางกลายมาเป็นดวงตะวันของพระองค์ แค่มีนางอยู่ใกล้หัวใจอันหนาวเหน็บก็กลับมาอบอุ่นได้เสมอ จึงทรงอยากจะเก็บความพิสุทธิ์สดใสนี้ไว้ข้างกายตลอดไป

ดังนั้นเมื่อจ้าวทิวาองค์ก่อนทรงเสนอว่าจะยกพระธิดาให้ ก็ทรงตอบรับการหมั้นหมายด้วยความยินดี แต่แล้วแสงตะวันของพระองค์ก็ดับมืดลงด้วยเหตุที่ไม่มีผู้ใดคาดคิด คืนวันอันมืดมิดอย่างที่ไม่เคยคิดฝันได้เข้ามาเยี่ยมเยือนพระองค์ จากวันนั้นจ้าวรัตติกาลก็ทรงปิดตายหัวใจตัวเองเรื่อยมาและไม่คิดจะเปิดมันออกอีก




นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 พ.ค. 2554, 10:46:51 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 ก.พ. 2555, 14:54:15 น.

จำนวนการเข้าชม : 2062





<< บทนำ + บทที่ 1 จอมนาง   บทที่ 3 ปริศนา 1 >>
แว่นใส 31 พ.ค. 2554, 08:04:19 น.
ถึงว่าทำให้นางเอกเราเข้าใจผิดไปเลย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account