พรหมลิขิตสีดำ(สนพ.อินเลิฟ)
ภาพความใกล้ชิดระหว่างบ่าวสาว คนอื่นมองคงเห็นว่าทั้งสองกำลังกระซิบกระซาบบอกรัก หยอกเย้ากันเหมือนคู่รักคนอื่น แต่ความจริงแล้ว...กลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง!
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๕.๑

คลื่นซัดสาดกระทบฝั่งระลอกแล้วระลอกเล่า หากนิ่งฟังอย่างเพลิดเพลินมิใช่ด้วยใจอันหม่นมัว เสียงของมันคงละม้ายคล้ายเสียงดนตรีอันไพเราะ แล้วยังสายลมที่พัดปะทะใบหน้าจนผมดำขลับสะบัดขึ้นลงเป็นจังหวะอันต่อเนื่องคงทำให้เธอสดชื่นขึ้นหากมันช่วยพัดพาความเจ็บปวดในหัวใจให้จางลงไปได้บ้าง แต่เปล่าเลย...พรนภัสยังคงจมปลักอยู่กับความดำมืดในหัวใจ ซุกซ่อน เก็บกักตัวเองอยู่ในกรงขังที่ตรีทศหยิบยื่นมาให้ อีกนานเท่าไหร่แสงสว่างจะสาดส่องมาให้เห็นทางออก หรือเมื่อไหร่ที่เธอจะกล้าพอแหกกรงขังนั้นออกไป ก็ยากจะคาดเดาได้

บางที...วันนั้นอาจไม่มีวันมาถึงเลยก็ได้กระมัง!

เช้านี้พรนภัสอยู่ในชุดเดรสเกาะอกสีขาว กะโปรงบานพลิ้วยาวเหนือเข่าขึ้นมาเล็กน้อย ผมครึ่งหนึ่งถูกรวบไว้เหนือศีรษะประดับด้วยดอกไม้สีขาว...จะเป็นดอกอะไรนั้นหญิงสาวไม่รู้ เพราะช่างแต่งตัว ช่างทำผม และช่างแต่งหน้าต่างกุลีกุจอจัดการให้ตามคำสั่งของตรีทศ โดยไม่มีใครสักคนถามความเห็นเธอเลยสักคำว่าชอบหรือไม่

แต่ก็นั่นล่ะ พรนภัสชินเสียแล้ว...ชินเหลือเกินกับการทำตามใจเขา

ชินกับการวางอำนาจ ทำตัวยิ่งใหญ่สูงส่งกว่าใคร

หญิงสาวเคยคิดอยากทำให้เขาร่วงหล่นจากที่สูง มายืนอยู่บนดินเหมือนคนธรรมดาๆทั่วไปบ้าง หากความหวังนั้นช่างริบหรี่ แทบมองไม่เห็นหนทางด้วยซ้ำ

ภวังค์ความคิดสะดุดลงแค่นั้นเมื่อเจ้าบ่าวกระชากเธอเข้าไปซุกซบอกเขา ก่อนที่มือข้างนั้นจะเลื่อนลงมากอดกระชับเอวบางไว้ตามคำสั่งของช่างภาพ

“อย่างนั้นแหละครับ ดีครับ เจ้าสาวยิ้มหน่อยครับ โอเค สวยครับ...”

พรนภัสต้องฝืนยิ้มอย่างสุดความสามารถ สองตาของเธอพร่ามัวเพราะยังไม่หายไข้ดี แถมยังต้องตื่นแต่เช้าเดินทางมายังหัวหินตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง แถมยังต้องนั่งถ่างตาแต่งหน้าทำผมอีก ถึงกระนั้นตรีทศก็ดูจะไม่สนใจ ไม่ใส่ใจด้วยซ้ำว่าเธอหายไข้หรือยัง

‘เลื่อนวันไปก่อนได้ไหมคะ คุณตรี ฉันยังไม่หายดี’

เธอขอร้องเมื่อวันก่อนด้วยหวังว่าเขาจะเห็นใจคนป่วยบ้าง แต่เปล่าเลย คำตอบที่ได้รับทำให้เธอแทบสะอึก

‘ฉันจัดตารางของฉันไว้ลงตัวแล้ว ถ้าฉันเลื่อนฉันก็ต้องเสียเวลามาจัดใหม่อีก เวลาของฉันเป็นเงินเปผ็นทองนะพรนภัส!’

เพราะความใจดำนั้นทำให้เธอต้องมาอยู่ที่นี่ในวันนี้ ฝืนยิ้มให้กับทุกคน และทำท่าทางราวกับเป็นคู่รักที่หวานชื่นอย่างน่าสมเพช

เถอะ...อีกหนึ่งปีเท่านั้น

หนึ่งปีที่เธอถือว่าเป็นการทดแทนบุญคุณของผู้มีพระคุณครั้งสุดท้าย

ครบหนึ่งปีเมื่อไหร่ เธอจะโบยบินไปจากเขา ไปใช้ชีวิตปกติธรรมดาที่ไม่มีเขามาตอกย้ำความเจ็บปวดในหัวใจอีกต่อไป

“เสร็จแล้วครับ”

เสียงนั้นราวกับเสียงสวรรค์ พรนภัสยิ้มออกมาอย่างจริงใจได้เป็นครั้งแรก เธอดึงตัวออกจากอ้อมกอดของเจ้าบ่าว หันไปขอบคุณช่างแต่งหน้า ช่างทำผม ช่างภาพ รวมถึงฝ่ายจัดการฉากและสถานที่ของรัตนาเวดดิ้งสตูดิโอทุกคน ส่วนตรีทศนั้นหลบเลี่ยงไปคุยโทรศัพท์กับใครไม่ทราบได้ ถ้าให้เดาทางปลายสายคงไม่แคล้วคนรักของเขาเป็นแน่

วันนี้ตรีทศสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวพับแขนถึงข้อศอก ปล่อยชายออกมาด้านนอก...ดูสบายกว่าทุกครั้ง

พรนภัสยืนรวบผมของตัวเอง ยืนจ้องมองแผ่นหลังของเขาอย่างลืมตัว กระทั่งชายหนุ่มคุยธุระเสร็จจึงเบนสายตามาทางเธอราวกับรู้ว่ามีคนแอบมอง เมื่อตาสบตา หญิงสาวก็ใจเต้นไม่เป็นส่ำ รีบหมุนตัวหลบสายตาโดยเร็ว ไม่ทันระวังว่าช่างภาพหนุ่มกำลังเพลิดเพลินกับการถ่ายรูปวิวริมหาดที่เงียบสงบนั้นเลยแม้แต่น้อย เธอจึงเดินชนเขาเต็มเปา ร่างบอบบางกำลังจะเซซวนล้มลงบนพื้น แต่ช่างภาพผู้นั้นเอื้อมมือมารวบเอวของเธอไว้ได้ทัน

“คุณพรนภัส! เป็นไงบ้างครับ”

พรนภัสถอนหายใจเฮือก คิดว่าตัวเองจะล้มไม่เป็นท่าอย่างน่าขายหน้าเสียแล้ว

“ขอโทษและขอบคุณนะคะ”

ช่างภาพหนุ่มหัวเราะเบาๆในลำคอ กำลังจะเอื้อนเอ่ยบางอย่าง สายตาก็เหลือบเห็นตรีทศเดินอาดๆเข้ามาพอดี ใบหน้าของเขากระด้างดุดันราวโกรธกับใครมาสักสิบชาติอย่างไรอย่างนั้น เห็นดังนั้นเขาจึงปิดปากเงียบ รีบปล่อยมือเมื่อเห็นว่าเธอยืนทรงตัวได้แล้ว

“คุณพรนภัสรีบไปเปลี่ยนชุดเถอะครับ เดี๋ยวพวกผมคงต้องรีบกลับไปทำงานต่อที่กรุงเทพแล้ว...วันนี้ขอให้เที่ยวให้สนุกนะครับ”

พูดจบก็รีบเดินจากไป พรนภัสอ้าปากค้าง คำถามกลืนหายไปในลำคอ ได้แต่มองตามหลังเขาไปเท่านั้น กระทั่งเสียงอันเคยคุ้นดังขึ้นทางด้านหลัง

“ขนาดมาถ่ายรูปพรีเวดดิ้ง เธอยังกล้าไปยั่วยวนหนุ่มๆอีกหรือ พรนภัส!”

คนถูกตำหนิหันขวับไปมองเขา ดวงตาของเธอวาววับขึ้นมาเล็กน้อย

“คุณคงมองผิดแล้วค่ะ คุณตรี...เขาแค่ช่วยฉันไม่ให้ล้มเท่านั้น”

สิ่งที่เธอได้รับ ก็เหมือนทุกครั้ง แววตาดูถูก และรอยยิ้มเหยียดหยัน

“ฉันจะพยายามเชื่อแล้วกัน” ว่าพลางยักไหล่ด้วยท่วงท่าเก๋ไก๋ ก่อนจะเอ่ยต่อว่า “ฉันจะค้างที่นี่หนึ่งคืน”

“คะ? ค้างที่นี่หรือคะ? แล้วฉันล่ะคะ”

“เธอก็ต้องค้างกับฉันซิ”

“ค้างหรือคะ? ยังไงคะ”

“ฉันจองบ้านพักไว้แล้วหลังหนึ่ง ติดหาด...ที่ที่ฉันเคยมาพักประจำนั่นล่ะ”

“แล้วฉันต้องค้าง...บ้านเดียวกับคุณ?”

เมื่อตรีทศพยักหน้า ใจของพรนภัสพลันเต้นแรงขึ้นมาทันใด

...อยู่ที่นี่กับเขาสองต่อสองคงไม่ใช่เรื่องที่ควรทำ จริงอยู่ที่ใครๆต่างรู้ว่าเธอกับเขากำลังจะแต่งงานกัน แต่...มันแค่ละครหลอกตา เธอไม่ได้จะแต่งกับเขาจริงๆสักหน่อยนี่นะ

“จะอยู่ด้วยกันสองต่อสองได้ยังไงคะ”

คนตัวโตหัวเราะร่วนราวกับสิ่งที่เธอพูดเป็นสิ่งที่น่าขันเสียเต็มประดา ผิดกับแววตาเหลือเกินที่กราดเกรี้ยวจนน่ากลัว

“ทำเหมือนว่าเธอไม่เคยค้างกับใครสองต่อสอง!...”

พรนภัสกำลังอ้าปากจะเถียง แต่ตรีทศขัดขึ้นมาเสียก่อน

“...ฉันรู้นะ ตอนปีหนึ่ง เธอไปเที่ยวกับเพื่อนๆและบรรดาพี่รหัสที่เพชรบูรณ์ แล้วค้างคืนกับเขาไม่ใช่หรือ”

ใช่...ค้างก็จริง แต่มันเป็นเหตุสุดวิสัย วันนั้นรถของพี่โมกข์...พี่รหัสเธอดันเสียกลางทาง เพื่อนกับรุ่นพี่คนอื่นๆที่ล่วงหน้าไปก่อนก็ติดต่อไม่ได้ สุดท้ายจึงต้องหาโรงแรมพัก แต่เจอเพียงแค่โมเต็ลเล็กๆซึ่งเต็มทุกห้อง เหลือเพียงห้องเดียว เพราะเหตุนี้เธอจึงจำต้องค้างกับเขา

โชคดีที่พี่โมกข์เป็นสุภาพบุรุษ เขาจึงสละเตียงให้เธอนอน ส่วนเขานอนขดตัวอยู่บนพื้นอย่างน่าสงสาร

หลังจากเหตุการณ์วันนั้น ใครต่อใครต่างเชียร์ ต่างลุ้นให้เธอกับเขาคบกัน แต่พี่โมกข์เห็นเธอเป็นเพียงน้องสาวเท่านั้น ไม่มีทางคิดเป็นอื่นได้ หนำซ้ำเขายังมีคนที่ชอบอยู่แล้ว...เป็นสาวลูกครึ่งไทย-อเมริกัน อาศัยอยู่ที่อเมริกามาตั้งแต่เด็ก ทั้งสองรู้จักกันทางสไกป์มาได้สองสามปีแล้ว

ตอนแรกที่พรนภัสรู้ เธออดสงสัยไม่ได้ว่าความรักมันเกิดได้ง่ายเพียงนี้ล่ะหรือ แค่เห็นหน้าพูดคุย ยังไม่เคยพบเจอกันจริงๆก็หลงกันจะเป็นจะตาย แต่พอหันกลับมามองตัวเอง ความสงสัยก็ยิ่งถาโถม

...แล้วเธอล่ะ รักตรีทศที่ตรงไหน ในเมื่อเขาปฏิบัติต่อเธออย่างโหดร้าย ทารุณมาเกือบตลอดชีวิต...แค่เพราะความประทับใจในวัยเด็ก ทำให้เธอรักฝังใจมาจนถึงตอนนี้เลยหรือไร

“ค้างกับคนอื่นยังค้างได้ แล้วกับฉันทำไมถึงค้างไม่ได้!”

เสียงของเขาปลุกให้เธอตื่นจากภวังค์ พรนภัสกะพริบตาปริบๆ ก่อนทอดถอนใจแล้วส่ายหน้าดิก

“ไม่ได้ค่ะ...จะค้างได้ยังไงคะ เสื้อผ้าข้าวของก็ไม่ได้เตรียมมา”

“ก็ซื้อซิ จะไปยากอะไร”

ไม่ว่าเรื่องไหน...ตรีทศมักทำเหมือนเป็นเรื่องง่ายประจำ

แม้แต่ต้องนอนค้างกับเธอสองต่อสอง...เขายังถือว่าเป็นเรื่องเล็กอีกหรือไร!

“งั้น...ฉันนั่งรถตู้กลับกรุงเทพเองก็ได้ค่ะ”

“ฉันไม่ให้กลับ”

“แต่...”

“ไม่มีแต่...วันนี้เธอต้องค้างที่นี่ แล้วพรุ่งนี้ค่อยกลับกับฉัน เข้าใจไหม!”

พรนภัสเม้มปากจนเป็นเส้นตรง ไม่เอ่ยอะไรกับเขาอีก รีบเดินไปเปลี่ยนชุดทันที เมื่อก้าวมาได้สองสามก้าว ตรีทศก็ตามมาถึงแล้วกระซิบบอกเธอว่า

“ไม่ต้องห่วงว่าฉันจะพิศวาสเธอหรอก พรนภัส...คืนนี้ฉันนัดแพรวามาเที่ยว เธอก็อยู่เฝ้าบ้านไปแล้วกัน!”

โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง....หากความรู้สึกนั้นพาดผ่านหัวใจเพียงเสี้ยววินาที ก่อนความเจ็บปวดจะเข้าจู่โจม

ตรีทศไม่เคยต้องการเธอ ไม่ว่าวันนี้หรือวันไหน เขาแค่อยากชวนแพรวามาเที่ยว และให้เธอเป็นคนเฝ้าบ้านเท่านั้นเอง!

บ้านพักที่ตรีทศจองไว้ตั้งอยู่ติดชายหาดมีกำแพงสีขาวกั้นอยู่โดยรอบ ตัวบ้านมีสองชั้นเป็นบ้านปูนฉาบสีขาวครีม เฟอร์นิเจอร์ภายในบ้านล้วนแล้วแต่มีสีขาวดูสบายตาและสะอาดสะอ้านจนพรนภัสพอจะทำลืมๆความขุ่นข้องหมองใจที่มาจับเจ่าอยู่เฝ้าบ้านขณะที่เขาออกไปเที่ยวระเริงเป็นสุขกับคู่รัก

ร่างบางยืนคว้างอยู่กลางห้องรับแขก มีโทรทัศน์เครื่องใหญ่วางชิดผนังห้องด้านหนึ่ง ฝั่งตรงข้ามเป็นชุดเก้าอี้รับแขกบุหนังสีขาว มีโซฟาที่ปรับนอนได้อยู่ใกล้ๆกับชั้นหนังสือสูงประมาณศีรษะของเธอ ผนังห้องอีกด้านหนึ่งกรุกระจกสูงจรดเพดาน เมื่อทอดสายตาออกไปจะเห็นคลื่นทะเลเคลื่อนตัวสูงต่ำตามแรงลม

พรนภัสยืนสำรวจอย่างเพลิดเพลินกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าอันคุ้นเคย เธอจึงตวัดสายตาไปมองก่อนที่เขาจะทันได้เรียกด้วยซ้ำไป

“เธอนอนห้องทางปีกซ้ายแล้วกัน ส่วนฉันจองทางขวา” ว่าพลางเดินเข้ามายื่นกุญแจบ้านให้ พร้อมกำชับเสียงเข้ม “อย่านอนผิดห้องล่ะ....”

คนฟังรับกุญแจมาถือไว้แล้วขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างสงสัย ไม่ต้องเสียเวลาถามเมื่อเขาเอ่ยต่อไปด้วยเสียงกลั้วหัวเราะว่า

“เพราะถ้าเกิดเธอเห็นอะไรที่ไม่ควรเห็น นั่นแสดงว่าเธอนอนผิดห้อง!” ชายหนุ่มกระเดาะลิ้น ยกมุมปากเยาะหยันบางอย่างก่อนเอื้อนเอ่ยประโยคที่ระคายหูของเธอเหลือเกิน “...หรือไม่ก็คง...อยากสนุกด้วย!”

ดวงตากลมโตที่มีแววเศร้าแฝงเร้นอยู่เป็นนิจสว่างวาบขึ้นมาตามโทสะอันพุ่งพล่าน พรนภัสกลืนก้อนแข็งๆในลำคอ พร้อมกับจ้องเขาเขม็ง

“ฉันคงไม่นอนผิดห้องหรอกค่ะ”

อีกฝ่ายเลิกคิ้ว แววตาสีนิลระริกไหวราวกับพอใจที่เห็นร่องรอยของความกรุ่นโกรธในดวงตาของเธอ

“แปลว่า...เธอไม่อยากสนุกกับฉันงั้นซิ”

พรนภัสสูดลมหายใจลึกยาว ดวงตากราดเกรี้ยวอ่อนแสงลงเล็กน้อย เปลือกตาหลุบลงต่ำก่อนที่ผู้เป็นเจ้าของจะโต้กลับถ้อยคำนั้น

“แล้ว...คุณตรีอยากจะสนุกกับฉันงั้นหรือคะ”

ตรีทศก้าวพรวดพราดเข้ามาหา เพียงก้าวเดียวแผ่นหลังของเธอก็แนบชิดติดกระจกบานนั้น ความเย็นวาบของมันทำให้ร่างเธอสะดุ้ง พลันสะท้านขึ้นมาเมื่อเขาก้มหน้าลงมาจนปลายจมูกแทบจะชนเข้ากับหน้าผากของเธอ

“เดี๋ยวนี้เธอกล้ายอกย้อนฉันแล้วหรือ พรนภัส”

หญิงสาวเม้มปากแน่น มิเอื้อนเอ่ยคำใดแม้สักคำ นอกจากเหลือบตามองเขาด้วยแววตาวูบไหว ดวงตาดำจัดดุดันแข็งกร้าวคู่นั้นฉุดดึงให้เธอหลงวนเข้าสู่กระแสธารเชี่ยวกรากในก้นบึ้งมหาสมุทร อดีตที่ฝังลึกอยู่ในเศษเสี้ยวของความทรงจำผุดพรายขึ้นมาให้หัวใจเธอเจ็บปวดอีกครั้ง

พรนภัสรู้สึกถึงกระแสลมเยือกเย็นในวันนั้น รอบกายเงียบสงัดราวมีเพียงเธอและเขายืนเบียดแนบชิดใกล้ ลมหายใจของเขาร้อนผะผ่าว ดวงตาคมดุร้อนแรงดั่งเพลิงกัลป์ และก่อนที่เธอจะรู้ตัว เขาก็สาดซัดความรู้สึกแปลกใหม่เข้าใส่เธอ ประหนึ่งสาดน้ำเย็นราดรดตั้งแต่ศีรษะของเธอลงมาจนจรดปลายเท้า ก่อนจะจับตัวเธอโยนลงในอ่างน้ำอุ่นจัดเกือบร้อนให้กายเธอวูบวาบจนทรงตัวไม่อยู่

นั่นคือ...ความรู้สึกของ ‘จูบแรก’

จูบที่เธอเคยจินตนาการไว้ว่าจะงดงามสวยหรู อ่อนหวาน นุ่มนวลและเต็มไปด้วย...ความรัก

หากตรีทศกลับพังทลายมันลงในพริบตาเดียว ตอกย้ำให้เธอได้รู้รสของความขมปร่าจากจูบที่มีแต่ความกรุ่นโกรธเกลียดชัง!

รสสัมผัสนั้น พรนภัสจำได้ขึ้นใจ มันฝังแน่นอยู่ในเนื้อหัวใจของเธอจนยากจะถอดถอนเสียแล้ว

แค่จูบลงทัณฑ์จูบนั้น หัวใจของเธอก็เหมือนถูกเข็มนับพันทิ่มแทงครั้งแล้วครั้งเล่าจนระบมไปหมด แต่ดูเหมือนโชคชะตาจะเล่นตลก เมื่อเมธาวี คนรักของเขาบังเอิญมาเห็นภาพบาดตาบาดใจเข้า และเพราะภาพนั้น ทำให้โลกของเธอที่หม่นมัวด้วยสีเทา กลับดำมืดเพียงชั่วข้ามคืน

ตรีทศโมโหเสียจนอยากจะฉีกทึ้งตัวเธอเป็นชิ้นๆให้สาสมกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

เขาไม่เคยก้มมองดูตัวเองเลยว่า คนที่ทำให้เมธาวีประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิตนั้น จริงๆแล้วคือใคร

...ไม่ใช่เพราะเขาหรือที่ไม่อาจควบคุมอารมณ์ของตนเองได้

...ไม่ใช่เพราะเขาหรือที่บดเบียดริมฝีปากลงมา ฝากฝังรอยจูบบนริมฝีปากเธอเพียงเพราะโทสะอันแสนไร้สาระ

พรนภัสเคยพยายามพูดกับเขาด้วยเหตุผล แต่มีหรือที่คนอย่างตรีทศจะยอมฟัง เขาไม่เคยฟังใคร เอาแต่ยึดความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ นานวันเข้าเธอก็เหนื่อยจนไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก พยายามฝังมันลงไปในความทรงจำส่วนที่ลึกที่สุด ถึงกระนั้น...มันก็ยังตามมาหลอกหลอนเธออยู่บ่อยครั้ง

เฉกเช่นตอนนี้ เวลานี้ ...ตอนที่เธอเผลอตัว ปล่อยให้กำแพงปิดกั้นความทรงจำกะเทาะออก

แล้วความทรงจำก็หลั่งไหลให้หัวใจเธอรวดร้าวอย่างหาที่เปรียบมิได้อีกตามเคย

พรนภัสกะพริบตาถี่เร็ว บังคับตัวเองให้เบือนสายตาเมินมองไปทางอื่นที่ไม่ใช่ดวงตาอันเกรี้ยวกราดที่เธอคุ้นเคยมาแสนนานของเขา

ตรีทศยังคงนิ่งเงียบ ยืนจ้องเธอเช่นนั้น โดยไม่มีแม้แต่ส่วนใดส่วนหนึ่งในกายเขาสัมผัสกายเธอเลยแม้แต่น้อย ถึงกระนั้น พรนภัสก็ยังตัวสั่นราวกับเขามีอำนาจควบคุมร่างกายและจิตใจของเธอเพียงแค่ยืนจ้องอย่างไรอย่างนั้น

“คุณตรีนัดคุณแพรวาไว้ที่ไหนล่ะคะ ป่านนี้เธอคงมารอแล้วล่ะมัง”

ในที่สุดเธอก็เค้นเสียงออกมาเพื่อทำลายความเงียบอันน่าอึดอัดจนได้

“ถ้าไม่รีบไป เธอจะโกรธเอานะคะ”

เพราะคำนั้นเขาจึงผละออกห่าง ยกมือเสยผมของตนเองจนเสียรูปทรงไปเล็กน้อย ท่าทางเช่นนี้พรนภัสเข้าใจดีว่าเขากำลังหงุดหงิด ต้นเหตุแห่งความหงุดหงิดนั้นจะเป็นใครไปได้ถ้าไม่ใช่เธอ

“ฉันออกไปแล้วก็ปิดประตูล็อคกลอนให้เรียบร้อยด้วย”

เขาสั่งห้วนสั้น แล้วผลุนผลันออกไป ทิ้งให้พรนภัสมองตามจนลับตา

เสียงเครื่องยนต์ครางกระหึ่ม ตามมาด้วยเสียงล้อรถบดถนน เพียงไม่นานความเงียบงันก็เข้าคลี่คลุมรอบกาย เสี้ยววินาทีถัดมา หญิงสาวก็ทรุดกายฮวบลงบนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง


ขอบคุณที่ติดตามค่ะ
ศศิภา




ศศิภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 เม.ย. 2556, 01:25:56 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 ก.ย. 2556, 12:18:34 น.

จำนวนการเข้าชม : 1988





<< บทที่ ๔   บทที่ ๕.๒ >>
คิมหันตุ์ 27 เม.ย. 2556, 06:24:28 น.
คืนนี้คุณทศจะเมา เข้าผิดห้องป่ะคะเนี่ย...อิอิ

มาต่อไวไว นะคะ เรื่องนี้....ก็น่าติดตามจ้า


แว่นใส 27 เม.ย. 2556, 08:10:05 น.
ใจร้ายจริงเชียว


mhengjhy 27 เม.ย. 2556, 08:20:43 น.
แหม่ คุณทศ จะใจดำไปถึงไหน


Zephyr 27 เม.ย. 2556, 17:15:30 น.
โฮ่ อ่านแล้วสงสารอ่า
รอดูจุดหักเหค่ะ
จะสมน้ำหน้าให้เต็มที่เลย


phakarat 27 เม.ย. 2556, 22:55:37 น.
สงสารนางเอกจัง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account