พรหมลิขิตสีดำ(สนพ.อินเลิฟ)
ภาพความใกล้ชิดระหว่างบ่าวสาว คนอื่นมองคงเห็นว่าทั้งสองกำลังกระซิบกระซาบบอกรัก หยอกเย้ากันเหมือนคู่รักคนอื่น แต่ความจริงแล้ว...กลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง!
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๕.๒

พลบค่ำแล้ว ร้านอาหารริมหาดที่ตรีทศนัดแพรวาไว้เริ่มมีลูกค้าทยอยกันมาจับจองโต๊ะว่างที่เหลืออยู่หลายราย พนักงานเริ่มเดินจดตะเกียงตามโต๊ะเสริมสร้างบรรยากาศความโรแมนติก ลมทะเลหอบกลิ่นคาวเค็มพัดโชยมาแตะปลายจมูก อากาศอบอ้าวไปหน่อยจนชายหนุ่มอยากทานให้เสร็จแล้วกลับไปแช่น้ำเย็นในอ่างให้สบายตัว

แพรวานั่งละเลียดไวน์อย่างเนิบช้า ขณะส่งสายตาหยอกเย้าเขาเป็นระยะๆ วันนี้เธอสวมเสื้อสายเดี่ยวสีขาวเข้าชุดกับกระโปรงยาวกรอมเท้าสีครีมออกน้ำตาลดูละม้ายสาวชาวเกาะ เครื่องหน้างดงามถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางจาเห็นชัดเจนโดยเฉพาะลิปสติกสีแดงออกส้ม กับอายไลเนอร์ที่ดำเข้มขับเน้นดวงตาที่ค่อนข้างเล็กให้โตกว่าเดิม

แพรวานับว่าเป็นผู้หญิงสวย ผิวขาวราวน้ำนม เนียนละเอียด รูปร่างของเธออ้อนแอ้นแบบพิมพ์นิยมในสมัยนี้ ท่าทางก็ปราดเปรียว คล่องแคล่ว ไม่เหนียมอายเหมือนผู้หญิงสมัยก่อน เขายอมรับว่าเขาชอบเธอมาก แต่หากจะถามว่าชอบถึงขั้นอยากแต่งงานเลยไหม เขาตอบได้ทันทีโดยไม่ต้องหยุดตรึกตรองเลยว่าไม่

แพรวาเหมาะกับการควงไปไหนมาไหน แต่จะให้เป็นภรรยา เขาคงเหนื่อยกับเสียงเจื้อยแจ้วออดอ้อนตลอดเวลาของเธอจนเขาทนไม่ไหวในสักวัน

“ตรีคะ วันนี้เราค้างที่นี่กันนะคะ”

“ผมตั้งใจจะค้างอยู่แล้ว ที่สำคัญค่ำมืดแบบนี้ให้ขับรถกลับคงไม่ค่อยปลอดภัย”

แพรวาห่อปากจนเป็นรูปตัววี...นั่นเป็นท่าทางดีใจอันเป็นปกติของเธอ เป็นท่าทางที่เหมือนประดิษฐ์แต่เจ้าตัวก็ทำออกมาได้อย่างไม่เคอะเขิน

“ดีจังเลยค่ะตรี คืนนี้แพรจะได้ใช้เวลาอยู่กับตรีสองต่อสอง”

ถ้อยคำนั้นมีนัยอะไรหรือเปล่าตรีทศไม่ได้สนใจ เขารู้แค่ว่าจุดมุ่งหมายของการนัดแพรวามาที่นี่คือการบอกเรื่องบางอย่างที่อาจทำให้แม่เจ้าประคุณร้องกรี๊ดๆเหมือนนางร้ายในละครหลังข่าวที่เขาเคยเปิดดูแบบผ่านๆเลยกระมัง

“ผมจองโรงแรมไว้ให้แล้วนะ พอเราทานเสร็จ ไปเดินเล่นริมหาดกันสักพัก แล้วค่อยไปโรงแรม”

แพรวารับคำอย่างว่าง่าย รอยยิ้มของเธอคลี่ออกอย่างหวาดหยดย้อย ทุกอิริยาบถเธอพยายามทำให้เขาประทับใจ ตั้งแต่การพูด การเดิน การเข้าสังคม เธอพยายาม ‘พรีเซนต์’ ให้เขาเห็นเสมอว่าเธอเป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อม สมบูรณ์แบบ และเหมาะกับตำแหน่งภรรยาของนักธุรกิจหนุ่มนามว่าตรีทศ ปัจจภาคย์มากเพียงใด

แพรวาคบกับตรีทศมาเกือบปี แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ หากเธอกับเขาก็เข้ากันได้ดี ไม่ค่อยมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้ง และทำให้เธอมีความหวังมาตลอดว่าสักวันจะได้เปลี่ยนมาใช้นามสกุลของเขา

อาหารที่ร้านนี้เอร็ดอร่อยถูกปากกอปรกับบรรยากาศโรแมนติกและเพื่อนรู้ใจ ทำให้แพรวาเจริญอาหาร ทานไป คุยไป หัวเราะไปอย่างมีความสุข ใช้เวลาเพียงไม่นานอาหารที่สั่งมาก็หมดเกลี้ยง ตรีทศเรียกให้พนักงานมาเก็บเงิน เมื่อเสร็จเรียบร้อยดีแล้ว เขาก็จับจูงมือเธอเดินเล่นริมหาดบริเวณนั้น

ตะวันตกดินไปแล้ว แทนที่ด้วยพระจันทร์ดวงโต แสงจันทร์ส่องกระทบผืนน้ำก่อเกิดเป็นแสงรางๆ กระนั้นในความมืดมิด ทะเลก็ดำมืด น่าหวั่นกลัว มิได้งดงามดังเช่นแสงแดดเจิดจ้าเลยแม้แต่น้อย

“ตรีคะ เราไปดื่มต่อกันไหมคะ”

ตรีทศเหลือบมามองแล้วโปรยยิ้ม

“พรุ่งนี้ผมต้องตื่นแต่เช้า ถ้าดื่มมากไป เดี๋ยวจะตื่นไม่ไหว”

“โธ่! ตื่นไม่ไหวก็ไม่เห็นเป็นไร ก็อยู่เที่ยวหัวหินกันสักสองสามคืนก็ได้นี่คะ คุณเป็นเจ้าของบริษัท โดดงานไม่กี่วันคงไม่มีใครว่า”

ชายหนุ่มไม่ตอบโต้คำใด แต่จับจูงมือเดินไปร้านกึ่งผับกึ่งเรสเตอรองต์ที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อย

“ดื่มร้านนี้ก็แล้วกัน คนไม่เยอะดี”

เมื่อเลือกที่นั่งได้เรียบร้อย และดื่มไปห้าหกแก้ว รู้สึกมึนได้ที่ตรีทศจึงเริ่มเกริ่นเข้าเรื่อง

“แพร วันนี้ผมมีเรื่องจะบอกแพร”

“หืม?” ร่างแบบบางบดเบียดแนบชิดกายเขา มือข้างหนึ่งเอื้อมมาโอบกอดเอวเขาไว้ ก่อนเจ้าตัวจะเอนศีรษะซบลงบ่าเขา “เรื่องอะไรคะ? ดีหรือร้าย?”

คนถูกถามยกมุมปากเป็นรอยหยัน...ไม่รู้เหมือนกันว่าหยันสิ่งใด หยันสิ่งที่กำลังจะเล่า หยันตัวเอง หรือหยันเธอคนนั้น

ตรีทศระบายลมหายใจยาว หมุนแก้วในมือเล่นพร้อมกับจ้องน้ำสีอำพันในนั้นด้วยแววตาประหลาด เรืองรองด้วยโทสะในคราแรก เจ็บแค้นในวินาทีต่อมา ก่อนสุดท้ายจะอับแสงราวคืนเดือนดับ

“ไม่รู้ซิแพร จะว่าดีก็ดี จะว่าร้ายก็ร้ายล่ะมัง”

คู่สนทนาผงกศีรษะขึ้นมามอง คิ้วที่เขียนออกมาได้รูปสวยงามขมวดเข้าหากันจนบิดเบี้ยว

“อะไรคะตรี พูดอะไรไม่เห็นเข้าใจเลยสักนิด” แพรวาเอาคางเกยบนบ่าของเข่าแล้วเหลือบมองอีกฝ่ายด้วยแววตาหวาดเยิ้ม “ตกลงจะบอกแพรได้รึยังคะว่าเรื่องอะไร”

ตรีทศเบนสายตามามองสบดวงตาคู่นั้น ก่อนเอ่ยชัดถ้อยชัดคำ

“ผมจะแต่งงาน”

ดวงตาสีเข้มค่อนข้างเล็กมีแววงุนงงสงสัยในวินาทีแรกที่ได้ยิน ก่อนมันจะเบิกกว้าง แล้วเรืองรองด้วยความหวัง

“แต่งงาน?! แต่งกับใครคะ”

...แต่งกับแพรใช่ไหม! ประโยคหลังเธอตะโกนก้องในใจของตนเอง

ทว่าคำตอบที่วาดหวัง ประหนึ่งค้อนขนาดใหญ่ที่ถูกเหวี่ยงภาพสวยหรูในความคิดคำนึงให้แหลกสลายในพริบตา

“พรนภัส”

ชื่อนี้เธอเคยได้ยินเพียงไม่กี่ครั้งจากปากเขา หากก็น่าแปลกที่เธอจำได้ขึ้นใจ ไหนจะยังท่าทางเหนียมๆ สงบเสงี่ยม ออกจะขี้อายของผู้หญิงคนนั้น เธอก็ยังจำได้ติดตา

“อะไรนะคะ! ทำไมตรีต้องแต่งกับผู้หญิงคนนั้น! ไหนตรีบอกว่าไม่ชอบหน้ามันไม่ใช่หรือคะ!”

ตรีทศกระดกน้ำสีอำพันขึ้นดื่มจนหมดแก้ว ก่อนวางมันลงบนโต๊ะแล้วเอนกายพิงพนักโซฟา ทอดสายตามองคลื่นที่สาดซัดกระทบฝั่งโดยไม่ตอบคำถามของอีกฝ่าย

“ว่ายังไงคะตรี! อย่าบอกนะว่าตรีชอบมัน!”

ถ้อยคำนั้นทำให้ดวงตาสีนิลกาฬสว่างวาบ ชายหนุ่มหันขวับมามองหน้าเธอแล้วประกาศกร้าวราวกับต้องการตอกย้ำลงไปในหัวใจของตัวเองด้วย

“ไม่! ผมไม่ได้ชอบ!”

“ไม่ได้ชอบแล้วแต่งกับมันทำไม!”

“พ่อผมระบุไว้ในพินัยกรรม ถ้าผมไม่ยอมแต่ง ผมจะไม่ได้อะไรเลย ทุกอย่างที่พ่อผมสร้างมากับมือต้องตกอยู่ในมือของ...” ชายหนุ่มยกมือบีบขมับแล้วส่ายหน้า “ผมปล่อยให้ทุกอย่างที่ควรเป็นของผมตกไปอยู่ในมือผู้หญิงแบบนั้นไม่ได้ แพรคงเข้าใจ”

ตอนนี้แพรวานิ่งเงียบ...นิ่งมากเกินไป จนตรีทศเริ่มกังวล

“แพร” ชายหนุ่มจับตัวเธอเขย่าเบาๆเพื่อเรียกสติ “แพรเป็นอะไรรึเปล่า”

ต่อเมื่อถามย้ำอีกครั้ง เธอจึงผุดลุกขึ้นยืน ใบหน้าสวยหวานเหยเก เหมือนจะร้องไห้ หากกลับไม่มีน้ำตาแม้สักหยดเดียว

“แพรไม่ยอม! แพรไม่ยอมนะคะ! ตรีเป็นของแพร แพรไม่ยอมยกตรีให้ใคร!”

ตรีทศผุดลุกขึ้นยืน ดวงตากราดเกรี้ยวขึ้นมาอีกครั้ง

“ผมไม่ใช่สิ่งของ คุณไม่มีสิทธิ์ยึดผมไว้เป็นของตัวเองนะแพรวา และถ้าวันไหนผมชอบผู้หญิงคนอื่นมากกว่าคุณ ผมก็ไม่ลังเลที่จะไป คุณไม่มีทางรั้งตัวผมให้อยู่กับคุณได้ตลอดชีวิตหรอก”

“ตรี!” เธอกัดริมฝีปากจนห้อเลือด เท้าทั้งสองย้ำอยู่กับที่หลายครั้ง...ท่าทางราวกับเด็กถูกขัดใจเช่นนี้ ตรีทศเพิ่งเคยเห็น เสมือนว่าแพรวาเริ่ม ‘หลุด’ ความเป็นตัวจนที่แท้จริงออกมาแล้ว

“ถ้าคุณอยากจะโวยวายก็ไปโวยวายที่อื่นเถอะ”

คำเตือนนั้นทำให้สาวเจ้าต้องกวาดตามองรอบกาย เห็นสายตาหลายคู่จ้องมองมาก็แทบแทรกแผ่นดินหนี หญิงสาวทำท่าจะกรีดร้องแต่ตรีทศรีบวางเงินลงบนโต๊ะ ก่อนฉุดกระชากลากถูเธอออกมาเสียก่อน

เขาลากตัวเธอมาที่รถสปอร์ตสีดำราคาแพง แล้วบอกชื่อโรงแรมที่เขาจองไว้ให้ จากนั้นจึงบังคับให้เธอขึ้นรถกลับโรงแรมไปพักผ่อนโดยเร็ว

“อ้าว แล้วเราไม่ได้พักด้วยกันหรือคะ”

“ผมจองบ้านพักไว้แล้ว”

“อะไรกันคะ จองบ้านพักไว้แล้ว? แล้วทำไมไม่ให้แพรอยู่กับตรีล่ะคะ”

ตรีทศไม่ตอบคำถามนั้น แต่เน้นย้ำทุกคำว่า

“ผมจองโรงแรมไว้ให้”

“คุณอยู่กับนังพรนภัสใช่ไหมถึงได้ไม่ยอมให้แพรอยู่ด้วย” เสียงของแพรวาเริ่มสั่นเครือ ดวงตาคู่สวยเพราะการแต่งแต้มเริ่มสับสน “จริงๆแล้วคุณแต่งงานกับมันไม่ใช่เพราะแค่พินัยกรรมใช่ไหมตรี! คุณกำลังจะทิ้งแพรใช่ไหม!”

“กลับไปก่อนเถอะแพร ไว้คุยกันวันหลัง”

แพรวาไม่ยอมลดละ เธอยืนยันเสียงแข็ง

“แพรไม่ไปไหนทั้งนั้น จนกว่าเราจะพูดกันให้รู้เรื่อง”

“จะพูดอะไรอีกละแพร ผมอธิบายให้คุณฟังมาหลายรอบแล้ว คุณก็เอาแต่ตีโพยตีพาย ไม่ยอมเข้าใจเสียที!”

ตรีทศตะโกนออกมาอย่างเหลืออด ยกมือเสยผมสามสี่รอบ ก่อนซุกมันไว้ในกระเป๋ากางเกง พร้อมกับยื่นคำขาด

“ผมไม่มีอารมณ์จะคุยอะไรตอนนี้ ถ้าคุณไม่ยอมไปโรงแรมเสียที เราก็ไม่ต้องมาคุยกันอีกตลอดชีวิต”

เจอไม้นี้เข้าไป แพรวาจะทำเช่นไรได้ นอกจากยอมทำตามความต้องการของเขาแต่โดยดี

เมื่อยืนส่งแพรวาจนท้ายรถสีดำลับสายตาไปแล้ว เขาก็กลับเข้าไปนั่งร้านเดิม นั่งดื่มคนเดียวตามลำพัง ฟังเสียงคลื่นซัดสาดกระทบหาดเป็นระยะๆ

ยามอยู่เพียงลำพัง ความทรงจำบางอย่างที่เขาเฝ้าเก็บกดไว้ในก้นบึ้งของหัวใจก็ทะลักทลายออกมาราวทำนบแตก ภาพของพรนภัสชัดเจนกระจ่างในใจ โดยเฉพาะภาพที่เขาเห็นเธอเดินเข้าออกห้องนอนของบิดาแทบทุกคืน เขายืนดูอยู่ในเงามืด ด้วยความรู้สึกหลากหลาย...สงสัย ไม่แน่ใจ และกรุ่นโกรธ

ผู้หญิง! เข้าห้องผู้ชายสองต่อสองจะมีอะไร!

เขาไม่เคยคิดว่าท่านจะคิดอะไรกับเด็กสาวอย่างพรนภัส แต่เป็นเธอเองต่างหากที่ใช้เล่ย์มารยา ทำตัวใสซื่อบริสุทธิ์หลอกล่อท่าน

ตรีทศเชื่อเช่นนี้มาตลอด เขายึดมั่นในความคิดและความรู้สึกของตัวเอง จนเกิดเป็นความเกลียดชังและอคติรุนแรง ไม่ว่าพรนภัสจะทำอะไรหรือทำดีแค่ไหน เขาจะรู้สึกขวางหูขวางตาทุกครั้งไป

ยิ่งเมื่อเมธาวีประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต กำแพงระหว่างเขาและเธอก็ยิ่งสูงหนาเสียจนยากจะทำลายเสียแล้ว

ตรีทศโยนความผิดว่าเธอเป็นต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด เพราะถ้าพรนภัสไม่ประจบประแจงบิดาของเขาท่านจนมอบสร้อยราคาแพงให้ เขาคงไม่โกรธ และคงไม่จูบเธออย่างลืมตัวแบบนั้น แต่ตรีทศไม่ได้ก้มมองตัวเองแม้สักครั้งเดียวว่าต้นเหตุของเรื่องนี้ล้วนมาจากเขาเพียงผู้เดียว

ภาพของเมธาวีที่ยืนเบิกตากว้างมองเขากับพรนภัสอย่างตกตะลึงยังกระจ่างชัดในใจ นานหลายปีแล้วเขาก็ไม่อาจลืมมันได้

‘ตรี’ เธอครางเสียงแผ่วอย่างปวดร้าว เสียงนั้นสลักฝังแน่นในหัวใจเขาจนนึกถึงเมื่อไหร่ หัวใจของเขาก็แทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆเลยทีเดียว

เมื่อเห็นเมธาวีหันหลังวิ่งหนีไป เขาได้สติจึงวิ่งตาม

‘เม! รอตรีก่อน!’ วิ่งมาดักหน้าทันตรงริมสนามฟุตบอล ตอนนั้นมีนักศึกษามาเล่นกันประปราย

‘เมฟังตรีก่อน! ตรีกับ...’ ถ้อยคำที่กำลังเอื้อนเอ่ยสะดุดเล็กน้อย ‘...กับฟ้าไม่ได้มีอะไรกัน ตรีแค่...’ เขากลอกตาขึ้นฟ้า พยายามหาคำตอบที่ถูกต้องและเหมาะสมที่สุด ‘แค่โกรธจนลืมตัว ตรีไม่ได้นอกใจเมนะ เมก็รู้ว่าตรีไม่ชอบหน้าผู้หญิงคนนั้น’

เมธาวีน้ำตาไหลพราก ดวงตากลมโตแดงก่ำและเต็มไปด้วยความเสียใจ

‘ไม่...’ หญิงสาวส่ายหน้าจนผมยาวถึงกลางหลังสะบัดไปมา ‘ไม่จริงหรอกตรี เมรู้จักตรีมาตั้งแต่ม.ปลายทำไมจะไม่รู้ว่าเวลาตรีเกลียดใคร ตรีแทบไม่มองหน้าเขา ไม่เข้าใกล้ด้วยซ้ำ!’

คำพูดของคนรักทำให้ตรีทศได้แต่ยืนอึ้ง เรียกว่าใบ้รับประทานก็คงได้

‘ที่ตรีทำกับผู้หญิงคนนั้นมันไม่ใช่ความเกลียดแน่นอน เมมั่นใจ’

เมื่อเห็นชายหนุ่มยังยืนนิ่ง ราวกับกำลังประมวลความรู้สึกของตนเอง หญิงสาวก็ยกหลังมือเช็ดน้ำตาของตนเองออก ก่อนจะประกาศอย่างแน่วแน่

‘เราเลิกกันเถอะ’

นั่นเป็นคำสุดท้ายที่เธอทิ้งไว้ให้เขา ก่อนประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต

ความทรงจำนี้ยังทิ่มแทงหัวใจให้เขาเจ็บปวดมาตลอด แม่ผ่านมาหลายปี ความทุกข์ระทมจากเหตุการณ์นี้ยังตามมาหลอกหลอนไม่จบสิ้น

ตรีทศขบกรามแน่น ทอดสายตามองทะเลกว้างใหญ่อย่างไร้จุดหมาย กระดกน้ำสีอำพันเข้าปากแก้วแล้วแก้วเล่า จนเกือบค่อนคืนเขาจึงเรียกพนักงานมาเก็บเงินแล้วเดินกลับ โดยจอดรถทิ้งไว้ที่ร้านนั้น ให้ขับคงไม่ไหวเพราะแค่เดินก็ยังเซซวนแทบทรงตัวไม่อยู่แล้ว

บ้านที่เขาจองไว้อยู่เกือบสุดหาด ตรีทศต้องเดินลากขาอยู่นานพอสมควรมาจะพาตัวเองมาถึงประตูบ้าน ชายหนุ่มยืนหายใจหอบอยู่อึดใจ เพ่งมองกริ่งเล็กๆตรงหน้า พยายามเอื้อมมือไปกด แต่ภาพในคลองจักษุซ้อนทับกันจนตาลาย ตองสะบัดศีรษะแรงๆสองสามครั้งจึงกดกริ่งได้สำเร็จ

ตรีทศกดไปกี่ครั้งก็ค้านจะนับ รู้แค่ว่าเขาต้องยืนรออยู่นาน...นานมากกว่าคนในบ้านจะมาเปิดประตูให้

ชายหนุ่มเห็นใบหน้าอ่อนใสชะโงกออกมาด้อมๆมองๆอย่างกริ่งเกรง พลันที่พบว่าเป็นใคร เธอก็อุทานอย่างตกใจกับสภาพอันดูไม่ได้ของเขา

“ตายจริง!”

พรนภัสปราดเข้ามาประคอง พลางนิ่วหน้าเมื่อกลิ่นแอลกอฮอล์โชยตลบอบอวลเลยทีเดียว

“ทำไมดื่มมากขนาดนี้คะคุณตรี...แล้วนี่คุณแพรวาไปไหนล่ะคะ ไม่ได้มาด้วยกันหรอกหรือคะ”

ตรีทศไม่ตอบ หรือแม้จะอยากตอบก็คงไม่มีเรี่ยวแรงตอบกระมัง เพราะขนาดยืนยังแทบจะยืนไม่อยู่เลยด้วยซ้ำ

“ไปค่ะ เข้าบ้านก่อน”

พรนภัสยกแขนข้างหนึ่งพาดไหล่ของตัวเอง แล้วพยุงเขาเข้าไปอย่างทุลักทุเล หญิงสาวได้แต่อ่อนอกอ่อนใจด้วยไม่รู้ว่าคืนนี้เธอจะจัดการกับคนขี้เมาอย่างไรดี

---------------------------------------------------------------

จบบทที่ ๕ ค่ะ ขอบคุณทุกคนที่ติดตามค่า
เรื่องนี้มันจะหม่นหมองทั้งเรื่องมั้ยเนี่ย @__@



ศศิภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 เม.ย. 2556, 12:28:52 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 ก.ย. 2556, 12:18:57 น.

จำนวนการเข้าชม : 2059





<< บทที่ ๕.๑   บทที่ ๖ >>
Zephyr 28 เม.ย. 2556, 13:14:12 น.
เฮะ จะผิดห้องมั้ยนะ หุหุ


เคสิยาห์ 28 เม.ย. 2556, 14:07:38 น.
นานๆ อ่านที พอๆกับที่นานๆอัพที อิอิ


kaelek 28 เม.ย. 2556, 14:20:13 น.
มาอัพให้อยากอ่าน แล้วปล่อยให้ค้างอ่ะ


คิมหันตุ์ 28 เม.ย. 2556, 15:02:37 น.
กลัวจะโดนคนเมาจัดการนะสิคะ..อิอิ


แว่นใส 28 เม.ย. 2556, 15:13:24 น.
เข้าใจผิดนานมากนะเนี่ย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account