ต้องชะตารัก By ณพรชล
ความรักของมนุษย์เราจะมั่นคงสักแค่ไหนกันนะ
หากว่าคนที่เรารักที่สุดกลับจำเรื่องราวระหว่างกันไม่ได้เลยแม้แต่น้อย เราควรจะทำอย่างไรดี
ทำทุกวิถีทางให้เธอจำได้
ปล่อยให้ทุกอย่างผ่านไป
หรือ สร้างความทรงจำใหม่ให้กับเธอ
ถ้าเป็นคุณ คุณจะเลือกอะไร
"ผมไม่รู้ว่าสำหรับพี่ต้นแล้วแค่ไหนถึงจะเรียกว่าดี หรือ แค่ไหนถึงจะเรียกว่ามากพอ แต่ในความรู้สึกของผมปลายข้าวไม่ใช่แค่ความหลง ไม่ใช่แค่ความผูกพันธ์ หรือแม้แต่ความสงสารใดๆ แต่ปลายข้าวคือความรัก ชีวิต และจิตใจของผม เพียงครั้งแรกที่ผมเห็นเธอ ผมรู้ในทันทีว่าเธอคือ ‘คนที่ใช่’ สำหรับผม ถึงแม้ตอนนั้นจะไม่มีใครเชื่อเพราะคิดว่าผมยังเด็กเกินไป แต่ตอนนี้ผมก็ยังยืนยันความรู้สึกเดิมว่าปลายข้าวยังเป็น ‘คนที่ใช่’ สำหรับผม คือคนที่ผมอยากมีอนาคตร่วมกับเธอและไม่มีใครสามารถแทนที่เธอได้ ผมยอมทำทุกอย่างเพื่อที่จะให้ปลายข้าวอยู่ใกล้ๆ เคียงข้างผมได้โดยไม่ให้เธอเสียหายหรือมีใครมาครหา"
หากว่าคนที่เรารักที่สุดกลับจำเรื่องราวระหว่างกันไม่ได้เลยแม้แต่น้อย เราควรจะทำอย่างไรดี
ทำทุกวิถีทางให้เธอจำได้
ปล่อยให้ทุกอย่างผ่านไป
หรือ สร้างความทรงจำใหม่ให้กับเธอ
ถ้าเป็นคุณ คุณจะเลือกอะไร
"ผมไม่รู้ว่าสำหรับพี่ต้นแล้วแค่ไหนถึงจะเรียกว่าดี หรือ แค่ไหนถึงจะเรียกว่ามากพอ แต่ในความรู้สึกของผมปลายข้าวไม่ใช่แค่ความหลง ไม่ใช่แค่ความผูกพันธ์ หรือแม้แต่ความสงสารใดๆ แต่ปลายข้าวคือความรัก ชีวิต และจิตใจของผม เพียงครั้งแรกที่ผมเห็นเธอ ผมรู้ในทันทีว่าเธอคือ ‘คนที่ใช่’ สำหรับผม ถึงแม้ตอนนั้นจะไม่มีใครเชื่อเพราะคิดว่าผมยังเด็กเกินไป แต่ตอนนี้ผมก็ยังยืนยันความรู้สึกเดิมว่าปลายข้าวยังเป็น ‘คนที่ใช่’ สำหรับผม คือคนที่ผมอยากมีอนาคตร่วมกับเธอและไม่มีใครสามารถแทนที่เธอได้ ผมยอมทำทุกอย่างเพื่อที่จะให้ปลายข้าวอยู่ใกล้ๆ เคียงข้างผมได้โดยไม่ให้เธอเสียหายหรือมีใครมาครหา"
Tags: พี่สกาย ปลายข้าว
ตอน: ตอนที่ 15
ขอให้อ่านกันอย่างมีความสุขนะคะ
ด้วยรักและจุ๊บๆ
ณพรชล^^
“ท่านทั้งสองที่อยู่ในรูปคือ ‘พ่อกับแม่แท้ๆ’ ของพี่เองค่ะ”
คำพูดของคนตรงหน้า ทำให้เธอถึงกับพูดไม่ออกไปพักใหญ่ ไม่ใช่ว่าเธออึ้งกับคำพูดของเขา แต่เธอไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน เพราะผู้ชายที่อบอุ่น ใจดี มีครอบครัวที่แสนจะน่ารัก จนบางครั้งเธอยังเคยฝันอยากจะมีครอบครัวแบบนี้บ้าง จะมีอดีตที่แสนเจ็บปวดไม่น้อยไปกว่าที่เธอเผชิญเลย
“พ่อเจมส์ครับ แม่โยครับ วันนี้ผมพาคนพิเศษของผมมากราบพ่อกับแม่นะครับ พ่อกับแม่คงจำเรื่องของเด็กผู้หญิงที่ผมเคยเลยให้ฟังได้ใช่ไหมครับ คนที่ช่วยไม่ให้ผมโดนรถชนไงครับ วันนั้นถ้าผมไม่ได้เธอ วันนี้ผมคงไม่ได้มีโอกาสพาเธอมาหาพ่อกับแม่...” ชายหนุ่มคุกเข่าลงให้ใบหน้าอยู่ในระดับเดียวกับรูป เขานำดอกไม้ไปวางที่หน้าเจดีย์ แล้วพูดกับรูปที่อยู่หน้าเจดีย์ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนไม่ต่างจากที่พูดกับเธอ แต่ในความอ่อนโยนนั้นกลับแฝงไปด้วยความโศกเศร้าและเจ็บปวด
เธออยากเห็นแววตาที่แสนอบอุ่นของเขา หรือจะเป็นแววตาแพรวพราวยามที่เห็นเธอเขินอาย เธอไม่อยากเห็นแววตาแบบนี้ของกายนภัสนิ์เลย ไม่ว่าจะต่อหน้าหรือลับหลังเธอก็ไม่อยากเห็น มันเป็นแววตาของคนที่ต้องกล้ำกลืนความทุกข์ไว้ในอกคนเดียวโดยไม่ยอมให้ใครได้รับรู้ เธออยากเป็นคนลบแววตาและความรู้สึกนั้นออกไปจากตัวและหัวใจชายหนุ่มคนนี้ เหมือนกับที่ครั้งหนึ่งเขาได้เข้ามาช่วยปัดเป่าความทุกข์ทรมานใจของเธอ ให้ต่อสู้กับความกลัวที่เกาะกินจิตใจ จนเธอมีวันนี้...วันที่ไม่ต้องนอนหวาดผวา หรือฝันร้ายอีก
‘สวัสดีค่ะคุณพ่อเจมส์ คุณแม่โย หนูชื่อปลายข้าวนะคะ หนูดีใจนะคะ ที่ได้มีโอกาสได้มากราบคุณพ่อคุณแม่ของพี่สกาย หนูสัญญาค่ะ ว่าหนูจะไม่ให้พี่สกายต้องทุกข์อยู่คนเดียว หนูจะดูแลพี่สกายให้ดีที่สุดค่ะ ถึงแม้ว่าหนูจะยังทำได้ไม่ดีเท่าคุณพ่อคุณแม่ แต่หนูจะพยายามค่ะ’ ธัญพัชรสัญญากับรูปภาพที่อยู่หน้าเจดีย์ในใจ
“เอ่อ...พี่สกายคะ...แล้ว...คุณพ่อกับคุณแม่...” ธัญพัชรถามอย่างตะกุกตะกัก ถ้าหากว่าคุณจักรินทร์กับคุณยุพเรศ ไม่ใช่บิดามารดาที่แท้จริงแล้ว ทำไมถึงหน้าตาของกายนภัสนิ์เหมือนกับท่านทั้งคู่ราวกับพิมพ์เดียวกันขนาดนี้ ท่านทั้งสองเป็นใครกัน
“ท่านทั้งสองเป็นพี่ชายและน้องสาวฝาแฝดของพ่อแม่แท้ๆ พี่เองค่ะ”
“พี่ชายกับน้องสาวฝาแฝด!” เธออุทานอย่างตกตะลึงกับความจริงที่ปรากฎ
“ใช่ค่ะ! ความจริงแล้วพ่อแม่ที่แท้จริงของพี่คือ ‘พ่อเจมส์กับแม่โย’ ท่านทั้งสองประสบอุบัติเหตุตั้งแต่พี่อายุได้ห้าขวบ ส่วนพ่อเจกับแม่ยุ้ยเป็นเพียงแค่ ‘ลุงกับน้า’ ของพี่ พี่บังเอิญได้ยินพ่อกับแม่คุยกันแล้วหลุดเรื่องนี้ออกมา ตอนนั้นพี่...”
ร่างสูงในชุดนักเรียนมัธยมปลายถือกระดาษแผ่นหนึ่งวิ่งไปทั่วบ้าน ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มแห่งความภูมิใจ หลังจากที่ปราศจากรอยยิ้มมาหลายวัน เพราะผู้เป็นบิดาอยากให้เขาไปเรียนต่อทางบริหารที่อังกฤษ ส่วนเขากลับอยากเรียนต่อทางวิศวกรรมที่เมืองไทย เพราะชอบงานทางด้านนี้มากกว่า จึงเป็นเหตุที่ทำให้เขาทะเลาะกับบิดา แต่ตอนนี้เขาสอบเข้าคณะวิศวกรรมศาสตร์ ได้คะแนนเป็นอันดับที่หนึ่ง ในมหาวิทยาลัยชื่อดังของเมืองไทย บิดาน่าจะเห็นถึงความตั้งใจจริงและความพยายามของเขาสักที อีกเหตุผลหนึ่งที่เขาเลือกที่จะเรียนอยู่ที่เมืองไทย ก็เพราะเขาอยากจะอยู่ดูแลบิดามารดามากกว่าที่จะต้องเป็นห่วงท่านทั้งสองตลอดเวลา หากต้องไปเรียนต่อเมืองนอก
“ป้าพรฮะ เห็นพ่อกับแม่ไหมฮะ" กายนภัสนิ์เอ่ยถามแม่บ้าน เมื่อตามหาบิดามารดาทั่วชั้นล่างแต่ไม่พบวี่แววของทั้งคู่
“น่าจะอยู่ที่ห้องทำงานชั้นสองนะคะ ป้าเห็นคุณท่านกับคุณผู้หญิง...ว๊าย! คุณสกาย” สมพรยังพูดไม่ทันจบประโยค เจ้าของคำถามก็กอดร่างสมบูรณ์พร้อมทั้งหอมแก้มทั้งสองข้างของแม่บ้าน
“ขอบคุณครับ ป้าพรน่ารักที่สุดเลย” กายนภัสนิ์บอกก่อนจะวิ่งขึ้นไปชั้นที่สองของตัวบ้าน
“ถ้ารู้ว่าเจ้าสกายมันโตมาแล้ว มันจะปีกกล้าขาแข็ง กล้าแข็งข้อกับผมแบบนี้นะ ผมไม่น่าขอมันมาเลี้ยงให้ เสียใจ เสียเวลาอย่างนี้หรอก” น้ำเสียงโมโหฉุนเฉียวของสามี ทำให้คุณยุพเรศที่นั่งพักผ่อนอยู่บนโซฟาตัวใหญ่ ต้องรีบลุกขึ้นมายืนต่อหน้าคุณจักรินทร์
“ทำไมคุณถึงพูดแบบนี้ค่ะ ถ้าลูกมาได้ยิน ลูกจะเสียใจนะคะ”
“ช่างหัวมันสิ เมื่อสิบสามปีก่อน ผมไม่แส่หาเรื่องใส่ตัวเลย ไม่น่าไปต่อสู้หรือร้องขอสิทธิ์เลี้ยงดูมันมาเลย ในเมื่อมันทำอะไรไม่คิดถึงใจผมเลย แล้วทำไมผมจะต้องคิดถึงใจมันด้วย มันไม่ใช่ลูกของเราสักหน่อย จะไปสนใจมันทำไมนักหนา” น้ำเสียงของคุณจักรินทร์ยังคงไม่ลดความร้อนแรง คำพูดแต่ล่ะคำที่พูดออกมานั่น ทำให้คุณยุพเรศยกมือขึ้นทาบอกด้วยความตกใจ
“คุณเจค่ะ” คุณยุพเรศเรียกชื่อสามี ที่ตอนนี้หันหน้าหนีเธอไปแล้ว เธอยกมือทั้งสองข้างทาบบนใบหน้าของผู้เป็นสามี บังคับให้หันกลับมาสบตากับเธอ ดวงตาที่เธอเห็นช่างตรงข้ามกับน้ำเสียงและคำพูดหลุดออกมาจากปากโดยสิ้นเชิง
“คุณเจค่ะ ฉันรู้นะคะว่าสิ่งที่คุณพูด มันตรงข้ามสิ่งที่อยู่ในใจโดยสิ้นเชิง ฉันรู้นะคะว่าความจริงแล้วคุณรักสกายมากกว่ายัยหนูลูกแท้ๆ ของเราเสียอีก ฉันเองก็ไม่ได้ต่างจากคุณหรอกนะคะ”
“ผม...ผมรักสกายมากนะ รักเขามากที่สุด แต่ผมกลัวว่าลูกจะอยู่กับเราได้ไม่นาน ผมแค่ไม่อยากให้ลูกต้องเป็นแบบเจมส์ ผมไม่อยากให้ลูกต้องไปใช้ชีวิตเสี่ยงอันตรายเหมือนอย่างพ่อเขา ผมกลัวว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยเดิม ที่พ่อกับลูกจะต้องมาตายด้วยอาชีพเดียวกัน”
“โถ่! คุณค่ะ ไม่ว่าจะเป็นนักธุรกิจหรือวิศวกร ถ้าหากถึงที่ตายจริงๆ ไม่ว่าจะอาชีพไหนลูกก็หนีความตายไปไม่พ้นหรอกค่ะ ในเมื่อคุณรักสกาย คุณก็แสดงออกมาว่ารักสิคะ บอกให้แกเข้าใจ ว่าทำไมคุณถึงไม่อยากให้ลูกเรียนอย่างที่ลูกตั้งใจ แต่คุณก็ต้องรับฟังและเคารพในการตัดสินใจของลูกด้วยนะคะ ยิ่งช่วงนี้สกายอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ถ้าเขาเกิดมาได้ยินในสิ่งที่คุณพูดไม่คิดแบบเมื่อกี้ คุณคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับลูกคะ”
“นั่นสินะ...งั้นเราลงไปข้างล่างกันดีกว่า ป่านลูกคงเลิกเรียนแล้วล่ะ อีกสักพักคงกลับถึงบ้าน จะได้คุยเรื่องนี้กันสักที” น้ำเสียงและสีหน้าของคุณจักรินทร์ดูดีขึ้น ทำให้คูณยุพเรศค่อยเบาใจขึ้นหน่อย ทีนี้ก็เหลือเพียงแต่รอให้กายนภัสนิ์กลับถึงบ้าน คราวนี้พ่อลูกจะได้คุยแบบเปิดอกกันเสียที หลังจากมึนตึงกันมานานร่วมเดือน
“คุณคะ! กระดาษอะไรร่วงอยู่ตรงหน้าประตู” คุณจักรินทร์หยิบแผ่นกระดาษที่อยู่ตรงปลายเท้าขึ้นมา แต่คุณจักรินทร์อ่านไปเพียงแค่ไม่กี่บรรทัด กระดาษที่อยู่ในมือก็ร่วงลงมาอยู่ที่เก่า
“มีอะไรหรือคะคุณ เอ๊ะ! กระดาษนี่มัน” คุณยุพเรศหยิบกระดาษนั่นขึ้นมาดู ก็พบสาเหตุที่ทำให้สามีของเธอมีอาการอย่างนี้....
‘...ผลการสอบคัดเลือกเข้าศึกษาต่อ ในระดับปริญญาตรี คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัย...’
‘…อันดับที่ 1 นายกายนภัสนิ์ อัครจินดานุวัฒน์ ผลการคัดเลือก 93/100 คะแนน…’
“อ้าว! คุณท่าน อิฉันขอโทษนะคะที่ยกน้ำมาให้ช้า อิฉันเห็นว่าเมื่อครู่คุณสกายถามหาคุณท่านทั้งสอง อิฉันเลยเตรียมของว่างมาเผื่อคุณสกายด้วยค่ะ” คำพูดของสมพรที่เพิ่งเดินถือถาดของว่างขึ้นมา ก็ยิ่งตอกย้ำในสิ่งที่ทั้งคู่ไม่อยากให้เกิดขึ้น กายนภัสนิ์กลับมาถึงบ้านนานแล้วและดูเหมือนว่าผู้เป็นลูกชายจะรู้เรื่องทั้งคู่ไม่อยากให้เขารู้เสียแล้ว เสียงเอะอะดังที่ขึ้นจากชั้นล่าง เรียกสติของทั้งสองให้กลับมาอีกครั้ง
“คะ...คุณท่านครับ คุณผู้หญิงครับ เมื่อกี้จู่ๆ คุณสกายก็วิ่งออกจากบ้านไป ทั้งๆ ที่ไม่ได้ใส่รองเท้าครับ ผมเรียกเท่าไหร่ คุณสกายก็ไม่ยอมเหลียวหลังกลับมาเลยครับ” น้ำเสียงร้อนรนของนายชิดคนสวน ยิ่งทำให้หัวใจของคนทั้งคู่ร้อนราวกับมีใครโยนหัวใจเข้ากองไฟ แต่ดูเหมือนคุณยุพเรศจะได้สติก่อน จึงรีบสั่งการแม่บ้านคนสนิททันที
“สมพร! ไปบอกให้ทุกคนออกตามหาสกายด่วนเลย ไปในทุกๆ ที่ ที่คิดว่าสกายจะไป ได้เรื่องอย่างไร ให้มาบอกฉันทุกชั่วโมง ไม่สิ! ทุกครึ่งชั่วโมงเลยแล้วกัน รีบไปเร็วเข้า”
“คะ...ค่ะ! คุณผู้หญิง” แม่บ้านคนสนิทรีบทำตามคำสั่งในทันที
“ผะ...ผม ผมควรทำอย่างไรดี...ถ้าเกิดสกาย...” ไม่ใช่แค่เสียงเท่านั้นที่สั่น ร่างกายของคุณจักรินทร์สั่นเทาราวกับยืนอยู่ที่ขั้วโลก จนคุณยุพเรศกอดร่างที่สั่นเทานั้นไว้
“เราต้องหาลูกเจอค่ะ...ที่รัก” สรรพนามที่เปลี่ยนไปทำให้ร่างที่สั่นเทานั้นโอบกอดร่างเล็กของคู่ชีวิตแน่น คุณจักรินทร์ซบหน้ากับไหล่บอบบาง ปลดปล่อยทุกอย่างที่อยู่ในหัวใจออกมาจนหมดสิ้น ความเปียกชื้นตรงหัวไหล่ที่คุณยุพเรศสัมผัสได้ ทำให้เธอลูบหลังของสามีพร้อมทั้งโยกตัวไปมา ราวกับปลอบประโลม
“ที่รักต้องเข้มแข็งนะคะ...เพื่อสกาย”
ส่วนคนที่ทุกคนกำลังตามหาอยู่นั้น วิ่งออกมาอย่างไร้จุดหมาย ไม่สนใจสิ่งรอบตัวว่าจะเกิดอะไรขึ้น จนกระทั่งความเร็วของฝีเท้าค่อยๆ ผ่อนลง แต่ขาทั้งสองข้างก็ยังก้าวต่อไม่หยุด คำพูดของผู้ที่เขาคิดมาตลอดว่าเป็นบิดาผู้ให้กำเนิดยังคงดังก้องอยู่ในหัว
นี่สินะ! คือเหตุผลของท่าทีมึนตึงของพ่อที่มีต่อเขา
‘...มันไม่ใช่ลูกของเราสักหน่อย จะไปสนใจมันทำไมนักหนา...’ ประโยคสุดท้ายที่เขาได้ยินยังคงฝังลึกอยู่ในหัวสมอง ก่อนที่ตัวเขาจะวิ่งออกมาจากบ้านอย่างไร้จุดดหมาย เพราะไม่สามารถทนฟังคำพูดที่ทำให้หัวใจของเขาเต้นช้าลงจนแทบหยุดเต้นได้อีกแล้ว
เป็นไปไม่ได้! ที่เราจะไม่ใช่ลูกของพ่อกับแม่ มันไม่จริง! ที่พ่อกับแม่จะไม่ต้องการเรา ไม่จริง เป็นไปไม่ได้ ไม่จริง! ไม่!
ปิ๊นนนนน!
เสียงบีบแตรดังลั่นถนน พร้อมกับแรงดึงจากด้านหลังทำให้กายนภัสนิ์ได้สติ เขาก็พบเด็กสาวที่อยู่ในชุดเครื่องแบบนักเรียนชั้นมัธยมต้น ปักอักษรย่อชื่อโรงเรียนเดียวกันกับเขา ซึ่งเขาไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน กำลังลากเขาออกห่างจากถนนให้ได้มากที่สุด
“เดินระวังๆ หน่อยสิคะ เดี๋ยวพี่ก็โดนรถชนหรอกค่ะ” เสียงหวานๆ เอ่ยขึ้น ส่วนมือก็ยังคงดึงแขนเขาไม่หยุด
“พี่เป็นอะไรหรือเปล่าคะ แล้วทำไมพี่ถึงไม่ใส่รองเท้าล่ะคะ เดี๋ยวก็โดนเศษแก้วบาดหรอกค่ะ แล้วเกิดโดนบาดขึ้นมาจริงๆ ก็ต้องโดนฉีด...” และอีกสารพัดเรื่องที่เจ้าของเสียงหวานพูดออกมา ขณะที่กายนภัสนิ์เพิ่งสังเกตว่าตนเองวิ่งมาถึงสวนสาธารณะที่อยู่ห่างจากบ้านเขาไกลพอสมควร ในตอนที่เขาวิ่งออกมา เขาคิดเพียงอย่างเดียว คืออยากไปให้ห่างจากบ้านหลังให้มากที่สุด ไม่อยากรับรู้อะไรที่จะทำให้อวัยวะที่อยู่ในอกด้านซ้ายต้องเจ็บปวดอีก เพราะตอนนี้หัวใจของเขาก็แทบจะละเอียดเป็นฝุ่นทรายแล้ว
“พี่..พี่คะ! พี่คะ!” แรงเขย่าน้อยๆ ที่แขนขวา ทำให้เด็กหนุ่มหลุดจากภวังค์ สายตาจับจ้องไปยังสาวน้อยเสียงหวาน สาวน้อยปริศนาที่ตอนนี้พาเขาเดินมาที่ม้านั่งตัวหนึ่งในสวนสาธารณะ
“พี่เป็นอะไรหรือเปล่าคะ” สาวน้อยปริศนายังคงถามคำถามเขาต่อ เมื่อเห็นว่าเขาส่ายหน้า เธอจึงวางข้าวของที่เธอหอบหิ้วมาลงบนม้านั่ง โดยเหลือที่ให้เขาได้นั่ง
“พี่นั่งอยู่ตรงนี้ก่อนนะคะ เดี๋ยวปลายวิ่งไปซื้อรองเท้าตรงแผงลอยมาให้ เมื่อกี้ปลายเดินผ่านมา มีของขายเต็มเลย ปลายฝากกระเป๋ากับของไว้ที่พี่หน่อยนะคะ” แล้วสาวน้อยที่เขาเพิ่งรู้ว่าชื่อ ‘ปลาย’ ก็วิ่งไปยังทิศทางของร้านแผงลอยที่มีอยู่ดาษดื่น
กายนภัสนิ์ยังคงนั่งนิ่ง สายตาเลื่อนลอย ไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ทุกๆ คำพูดและน้ำเสียงของ ‘พ่อ’ ที่สื่อออกมา คำพูดที่กัดกินหัวใจเขาทุกๆ คำ มันยังคงชัดเจนอยู่ในหัวเขา
“พี่คะ! พี่คะ! เป็นอะไรหรือเปล่าค่ะ” สาวน้อยนามว่า ‘ปลาย’ โบกมือไปมาอยู่ตรงหน้าเขา ทำให้เขาผงะตัวเล็กน้อยตามสัญชาตญาณ ดวงตาที่เหม่อลอยกลับมาจับจ้องใบหน้าของสาวน้อยตรงหน้าแทน
“นี่ค่ะ! รองเท้าแตะ ปลายว่าขนาดมันน่าจะพอดีนะคะ” สาวน้อยยื่นรองเท้าแตะมาให้ ชายหนุ่มรับมาใส่อย่างงงๆ แต่ก็ยอมใส่แต่โดยดี
“ขอบใจนะ” คำพูดสั้นๆ ที่ออกมาจากปากของกายนภัสนิ์เป็นครั้งแรก เรียกรอยยิ้มจากคนตรงหน้าที่ทำให้หัวใจของเขาจากที่กำลังจะหมดแรงเต้น ค่อยๆ กลับมาเต้นใหม่อีกครั้งอย่างมีชีวิตชีวา ราวกับแผ่นดินที่แห้งแล้งได้สายฝนอันชุ่มช่ำมาล่อเลี้ยง สาวน้อยตรงหน้ายังคงพูดต่อไปโดยไม่รู้เรื่องว่ารอยยิ้มและคำพูดของเธอช่วยก่อหัวใจที่แหลกละเอียดไปแล้วของใครบางคนให้เริ่มเป็นรูปเป็นร่างเหมือนเดิม
“ไม่เป็นไรค่ะ ในที่สุดพี่ก็พูดกับปลายสักที ปลายนึกว่าวันนี้พี่จะไม่พูดกับปลายเสียแล้ว”
ชายหนุ่มเพียงแค่ยิ้มให้กับสาวน้อยข้างกาย ที่จู่ๆ ก็เข้ามาช่วยชีวิตเขาไว้แถมยังพูดเจื้อยแจ้วไปเรื่อย ทั้งๆ ที่เขาเชื่อว่าเธอกับเขาเพิ่งพบกันเพียงครั้งแรก
“งั้นเรามาเล่นเกมส์ยี่สิบคำถามกันไหมคะ คนถามตั้งคำถามมาหนึ่งข้อเกี่ยวกับคนตอบหรืออะไรก็ได้ที่อยู่รอบๆ ตัว ส่วนคนตอบก็ต้องตอบคำถามนั้นให้ได้ ห้ามตอบคำถามด้วยคำถาม ผลัดกันถาม ผลัดกันตอบ เพราะตอนนี้ปลายพูดจนเหนื่อยแล้ว พี่ขำอะไรคะ” สาวน้อยถามอย่างสงสัย อยู่ๆ ชายหนุ่มข้างกายก็หัวเราะออกมา ทั้งๆ ที่เมื่อไม่ถึงชั่วโมงที่ผ่านมายังทำหน้าแบกโลกทั้งใบไว้อยู่เลย
“พี่ก็ขำเราน่ะสิ ก็สมควรให้เหนื่อยอยู่หรอกนะ ทั้งวิ่งไปซื้อของ แถมยังพูดไม่หยุดอีก โอเค! พี่ไม่ขำก็ได้ พี่เล่นเกมส์กับเราก็ได้ งั้นเราถามพี่ก่อน” ชายหนุ่มพูดได้ยาวที่สุดตั้งแต่ที่เกิดเรื่อง อีกทั้งน้ำเสียงนุ่มทุ่มที่ยังเจือไปด้วยรอยขำขัน แต่เมื่อสบตาวาวๆ ของสาวน้อยแล้วเขาก็วกเข้าประเด็นเก่าทันที
“อืม...พี่ชื่ออะไรคะ” สาวน้อยเป็นฝ่ายเริ่มถามก่อน ทั้งที่ในใจยังอดเคืองชายหนุ่มไม่ได้
“พี่ชื่อ ‘สกาย’ ครับ ชื่อจริงชื่อ ‘กายนภัสนิ์ อัครจินดานุวัฒน์’ ครับ คราวนี้ตาพี่ถามเราบ้างนะ เราเรียนอยู่ชั้นไหนแล้ว”
“อ้าว! ทำไมพี่ไม่ถามชื่อปลายก่อนหรือคะ” สาวน้อยถามกลับอย่างุนงง เพราะปกติเวลาเธอเล่นเกมส์ยี่สิบคำถามแบบนี้ส่วนใหญ่เกือบทุกคนที่เธอเล่นด้วยมักจะถามชื่อกันก่อนนี่น่า
“ไหนกติกาบอกห้ามตอบคำถามด้วยคำถามไง” ชายหนุ่มเอ่ยท้วงอย่างกวนๆ ส่งผลให้ได้รับค้อนวงน้อยมาแทน
“อยู่ ม.3 ค่ะ แล้วทำไมพี่สกายไม่ถามชื่อปลายก่อนล่ะคะ”
“ก็พี่ได้ยินเราแทนตัวเองว่า ‘ปลาย’ ตลอด พี่ก็เลยคือว่าเราน่าจะชื่อ ‘ปลาย’ ไงล่ะ แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ตกลงปลายชื่ออะไรล่ะครับ”
“ปลายชื่อ ‘ปลายข้าว’ ค่ะ ชื่อจริงชื่อ ‘ธัญพัชร วรพงษ์พานิช’ ค่ะ พี่สกายเรียนอยู่ชั้นไหนคะ”
“พี่เรียนอยู่ชั้นสี่ครับ เอ๊ย! ไม่ใช่! พี่หมายถึงม.6 ไงครับ” ชายหนุ่มรีบเปลี่ยนคำตอบทันที เมื่อเห็นสายตาวาวๆ ของสาวน้อย “อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ พี่แค่ล้อเล่นนิดเดียวเอง คำถามต่อไปดีกว่า...”
แล้วเกมส์ยี่สิบคำถามก็ดำเนินไปเรื่อยๆ ต่างฝ่ายต่างผลัดกันถาม ผลัดกันตอบ สร้างความคุ้นเคยและเป็นการทำความรู้จักตัวตนของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี
โดยฝ่ายหญิงก็มักจะตอบโต้ด้วยสายตาวาวๆ เกือบทุกครั้งที่ฝ่ายชายตอบคำถาม จนเธอได้แต่เข็ดเขี้ยวในใจ เจอกันตอนแรกทำเป็นเงียบอย่างกับคนจิตหลุด แต่พอเริ่มพูดปุ๊บ...มันน่านัก
ส่วนฝ่ายชายก็ตอบคำถามกวนประสาทบางเป็นครั้งคราว การที่เขาได้ต่อปากต่อคำกับสาวน้อยคนนี้ทำให้เขารวมทั้งลืมเลือนสาเหตุที่ต้องมาอยู่ที่นี่ จนกระทั่ง...
“คำถามสุดท้ายของปลายแล้วนะคะ ทำไมพี่ถึงออกมาเดินทั้งที่ไม่ใส่รองเท้าล่ะคะ” พอสาวน้อยถามคำถามสุดท้ายจบ แววตาอบอุ่นที่เจือรอยขบขันอยู่เป็นนิจยามกวนประสาทเธอได้สำเร็จก็เปลี่ยนไปทันที
“พี่...” แววตาหม่อนหมองของชายหนุ่มตรงหน้า ดูเศร้าสร้อย ไร้ประกายแห่งความสุข ราวกับคนสิ้นหวังและแรงยึดเหนี่ยวจิตใจ ทำให้เธอนึกถึงตอนนั้น...ตอนที่แววตาแบบนี้เคยปรากฎอยู่บนดวงตาของเธอ ทั้งคู่เงียบกันไปหลายนาที เหมือนต้องการให้ความเงียบช่วยปลอบประโลมจิตใจ
ภาพการพูดคุยกันของเด็กทั้งสองคนไม่ได้รอดพ้นจากสายตาของผู้คนที่เดินขวักไขว่ รวมทั้งคนสวนของบ้านอัครจินดานุวัฒน์ที่กำลังตามหานายน้อยของตระกูลอยู่
“นั่น! คุณสกายนี่! ไอ้โชค! เอ็งรีบโทรรายงานคุณผู้หญิงเร็วว่าเจอคุณสกายแล้ว” นายชิดรีบบอกผู้เป็นลูกชาย ก่อนที่ตัวเองจะรีบเดินเข้าไปหาเป้าหมายอย่างรวดเร็ว
“คุณสกาย! มาอยู่ที่นี่เอง กลับบ้านกันเถอะครับ”นายชิดบอกอย่างดีใจที่เจอนายน้อยของบ้านเสียที
“กลับไปเถอะลุงชิด เราจะกลับบ้านเอง เมื่อถึงเวลา” กายนภัสนิ์บอกเสียงเรียบ
“กลับพร้อมลุงชิดเถอะนะครับคุณสกาย คุณท่านกับคุณผู้หญิงเป็นห่วงคุณสกายมากนะครับ” นายชิดอ้อนวอนนายน้อย
แต่กายนภัสนิ์ยังคงนั่งนิ่ง ไม่แม้แต่จะหันมามองนายชิดหรือธัญพัชร มีแววตาเพียงแววตาเท่านั้นที่วูบไหวไปกับคำพูดของนายชิด ซึ่งนั่นก็ไม่ได้รอดพ้นจากสายตาของเด็กสาวที่อยู่ข้างกาย
ธัญพัชรวางมือของตนเองทาบทับมือที่ใหญ่กว่าโดยไม่สนใจว่าการกระทำของเธอนั้นจะถูกหาว่าก๋ากั๋นเกินอายุไปหรือไม่ เธอบีบมือนั้นเบาๆ อย่างต้องการถ่ายทอดกำลังใจให้กับเจ้าของมือ ซึ่งก็ได้ผลเมื่อเจ้าของมือหันมามองเธออย่างแปลกใจ
“ปลายไม่รู้นะคะว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่สกาย แต่การที่คนเราจะสูญเสียบางสิ่งบางอย่างที่พี่สกายอาจคิดว่ามันสำคัญมากสำหรับพี่ แต่ก็อย่าลืมหันกลับมามองสิ่งที่ยังเหลือและให้ความสำคัญกับมันบ้างนะคะ เอาน่า! พี่ไม่เคยได้ยินเพลงที่เขาร้องกันว่า ‘ชีวิตยังมีพรุ่งนี้เสมอ’ หรือคะ ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจ ชีวิตก็ยังมีพรุ่งนี้ที่ดีกว่าเมื่อวานเสมอ สู้ๆ นะพี่ กลับไปรักษาสิ่งที่ยังเหลืออยู่ดีกว่ามานั่งคิดถึงแต่สิ่งที่เสียไปนะคะ”
ถ้อยคำของธัญพัชรเหมือนลูกธนูที่พุ่งเข้ามาปักกลางใจเขาอย่างจัง นั่นสินะ! รักษาสิ่งที่ยังเหลืออยู่ดีกว่าที่จะต้องคิดถึงแต่สิ่งที่ไม่อาจหวนกลับมาหาเขาได้อีก กลับไปรักษาความรักของพ่อกับแม่ที่แม้ท่านทั้งสองจะไม่ใช่พ่อแม่แท้ๆ แต่ที่ผ่านมาท่านทั้งคู่ก็รักและดูแลเราดีเสียยิ่งกว่าลูกในไส้ ยิ่งคิดเขายิ่งรู้สึกผิดที่ทำให้ท่านทั้งสองเป็นห่วง ไม่รู้ว่าป่านนี้ท่านทั้งสองจะเป็นอย่างไรบ้าง จะเสียใจในสิ่งที่เราทำ หรือจะโกรธจนไม่เหลือความรักความเมตตาให้กันอีก มันคงถึงเวลาที่เราต้องกลับไปเผชิญกับความจริงและรักษาสิ่งที่ยังเหลือเพียงน้อยนิดแล้วสินะ
“ขอเวลาห้านาทีครับลุงชิด” กายนภัสนิ์หันมาบอกนายชิด
“คะ...ครับๆ ได้ครับ” นายชิดรับคำอย่างยินดี ก่อนจะรีบเดินไปสมทบกับลูกชายที่ยืนอยู่ไม่ห่างทันที
กายนภัสนิ์หันมาคลี่ยิ้มบางๆ ให้กับคนที่นั่งอยู่ข้างกายพร้อมทั้งบีบมือที่กุมมือเขาไว้เหมือนรับรู้ถึงความรู้สึกที่อีกฝ่ายส่งมาให้
“ขอบใจมากนะ สำหรับกำลังใจ”
“ไม่เป็นไรค่ะ” ธัญพัชรดึงมือของตัวเองกลับช้าๆ อย่างเขินๆ เมื่อเขาคลายมือออก เธอรีบเก็บข้าวของๆ เธอก่อนที่จะลุกขึ้นตามชายหนุ่ม
“พี่ไปก่อนนะ แล้วเจอกันที่โรงเรียน” กายนภัสนิ์บอกก่อนเดินไปหานายชิดและลูกชาย
“สู้ๆ นะ คะพี่สกาย รักษาสิ่งที่เหลืออยู่เอาไว้ให้ดีนะคะ แล้วเจอกันค่ะ” ธัญพัชรตะโกนไล่หลัง ชายหนุ่มหันกลับมาพร้อมทั้งชูสองนิ้ว เหมือนบอกเธอว่า เขาพร้อมสู้อยู่แล้ว...
จากใจณพรชล 1 : สั้นๆ ง่ายๆ "ขอโทษที่หายไปนานค่ะ"
จากใจณพรชล 2 : อ่านตอนนี้กันแล้ว เศร้าไปกับผู้ชายที่แสนอบอุ่นอย่างพี่สกาย หรือเปล่าคะ
จากใจณพรชล 3 : แต่มีข่าวมาบอกเล็กน้อยถึงปานกลางว่า ตอนนี้ได้เปลี่ยนชื่อนามปาากแล้วนะคะ
จาก "ปอรินทร์" เป็น "ณพรชล" แทน ด้วยเหตุผลทางไสยศาสตร์ล้วนๆ
(ไม่เชื่ออย่าลบลู่น้าาาาาาาา เพราะมันเกิดขึ้นจริงกับตัวหนูมาแล้วสองรอบ >M< )
จริงๆน้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา
จากใจณพรชล 4 : ลองมาทายกันดูเล่นๆ ไหมคะ ว่านามปากกาใหม่ อ่านอย่างไร (ทายเล่นๆ แต่แจกของรางวัลจริงๆ)
ใครทายถูกมีรางวัลค่ะ เฉลย ตอนหน้า พร้อมของรางวัลค่ะ
>_____________<
ด้วยรักและจุ๊บๆ
ณพรชล^^
“ท่านทั้งสองที่อยู่ในรูปคือ ‘พ่อกับแม่แท้ๆ’ ของพี่เองค่ะ”
คำพูดของคนตรงหน้า ทำให้เธอถึงกับพูดไม่ออกไปพักใหญ่ ไม่ใช่ว่าเธออึ้งกับคำพูดของเขา แต่เธอไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน เพราะผู้ชายที่อบอุ่น ใจดี มีครอบครัวที่แสนจะน่ารัก จนบางครั้งเธอยังเคยฝันอยากจะมีครอบครัวแบบนี้บ้าง จะมีอดีตที่แสนเจ็บปวดไม่น้อยไปกว่าที่เธอเผชิญเลย
“พ่อเจมส์ครับ แม่โยครับ วันนี้ผมพาคนพิเศษของผมมากราบพ่อกับแม่นะครับ พ่อกับแม่คงจำเรื่องของเด็กผู้หญิงที่ผมเคยเลยให้ฟังได้ใช่ไหมครับ คนที่ช่วยไม่ให้ผมโดนรถชนไงครับ วันนั้นถ้าผมไม่ได้เธอ วันนี้ผมคงไม่ได้มีโอกาสพาเธอมาหาพ่อกับแม่...” ชายหนุ่มคุกเข่าลงให้ใบหน้าอยู่ในระดับเดียวกับรูป เขานำดอกไม้ไปวางที่หน้าเจดีย์ แล้วพูดกับรูปที่อยู่หน้าเจดีย์ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนไม่ต่างจากที่พูดกับเธอ แต่ในความอ่อนโยนนั้นกลับแฝงไปด้วยความโศกเศร้าและเจ็บปวด
เธออยากเห็นแววตาที่แสนอบอุ่นของเขา หรือจะเป็นแววตาแพรวพราวยามที่เห็นเธอเขินอาย เธอไม่อยากเห็นแววตาแบบนี้ของกายนภัสนิ์เลย ไม่ว่าจะต่อหน้าหรือลับหลังเธอก็ไม่อยากเห็น มันเป็นแววตาของคนที่ต้องกล้ำกลืนความทุกข์ไว้ในอกคนเดียวโดยไม่ยอมให้ใครได้รับรู้ เธออยากเป็นคนลบแววตาและความรู้สึกนั้นออกไปจากตัวและหัวใจชายหนุ่มคนนี้ เหมือนกับที่ครั้งหนึ่งเขาได้เข้ามาช่วยปัดเป่าความทุกข์ทรมานใจของเธอ ให้ต่อสู้กับความกลัวที่เกาะกินจิตใจ จนเธอมีวันนี้...วันที่ไม่ต้องนอนหวาดผวา หรือฝันร้ายอีก
‘สวัสดีค่ะคุณพ่อเจมส์ คุณแม่โย หนูชื่อปลายข้าวนะคะ หนูดีใจนะคะ ที่ได้มีโอกาสได้มากราบคุณพ่อคุณแม่ของพี่สกาย หนูสัญญาค่ะ ว่าหนูจะไม่ให้พี่สกายต้องทุกข์อยู่คนเดียว หนูจะดูแลพี่สกายให้ดีที่สุดค่ะ ถึงแม้ว่าหนูจะยังทำได้ไม่ดีเท่าคุณพ่อคุณแม่ แต่หนูจะพยายามค่ะ’ ธัญพัชรสัญญากับรูปภาพที่อยู่หน้าเจดีย์ในใจ
“เอ่อ...พี่สกายคะ...แล้ว...คุณพ่อกับคุณแม่...” ธัญพัชรถามอย่างตะกุกตะกัก ถ้าหากว่าคุณจักรินทร์กับคุณยุพเรศ ไม่ใช่บิดามารดาที่แท้จริงแล้ว ทำไมถึงหน้าตาของกายนภัสนิ์เหมือนกับท่านทั้งคู่ราวกับพิมพ์เดียวกันขนาดนี้ ท่านทั้งสองเป็นใครกัน
“ท่านทั้งสองเป็นพี่ชายและน้องสาวฝาแฝดของพ่อแม่แท้ๆ พี่เองค่ะ”
“พี่ชายกับน้องสาวฝาแฝด!” เธออุทานอย่างตกตะลึงกับความจริงที่ปรากฎ
“ใช่ค่ะ! ความจริงแล้วพ่อแม่ที่แท้จริงของพี่คือ ‘พ่อเจมส์กับแม่โย’ ท่านทั้งสองประสบอุบัติเหตุตั้งแต่พี่อายุได้ห้าขวบ ส่วนพ่อเจกับแม่ยุ้ยเป็นเพียงแค่ ‘ลุงกับน้า’ ของพี่ พี่บังเอิญได้ยินพ่อกับแม่คุยกันแล้วหลุดเรื่องนี้ออกมา ตอนนั้นพี่...”
ร่างสูงในชุดนักเรียนมัธยมปลายถือกระดาษแผ่นหนึ่งวิ่งไปทั่วบ้าน ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มแห่งความภูมิใจ หลังจากที่ปราศจากรอยยิ้มมาหลายวัน เพราะผู้เป็นบิดาอยากให้เขาไปเรียนต่อทางบริหารที่อังกฤษ ส่วนเขากลับอยากเรียนต่อทางวิศวกรรมที่เมืองไทย เพราะชอบงานทางด้านนี้มากกว่า จึงเป็นเหตุที่ทำให้เขาทะเลาะกับบิดา แต่ตอนนี้เขาสอบเข้าคณะวิศวกรรมศาสตร์ ได้คะแนนเป็นอันดับที่หนึ่ง ในมหาวิทยาลัยชื่อดังของเมืองไทย บิดาน่าจะเห็นถึงความตั้งใจจริงและความพยายามของเขาสักที อีกเหตุผลหนึ่งที่เขาเลือกที่จะเรียนอยู่ที่เมืองไทย ก็เพราะเขาอยากจะอยู่ดูแลบิดามารดามากกว่าที่จะต้องเป็นห่วงท่านทั้งสองตลอดเวลา หากต้องไปเรียนต่อเมืองนอก
“ป้าพรฮะ เห็นพ่อกับแม่ไหมฮะ" กายนภัสนิ์เอ่ยถามแม่บ้าน เมื่อตามหาบิดามารดาทั่วชั้นล่างแต่ไม่พบวี่แววของทั้งคู่
“น่าจะอยู่ที่ห้องทำงานชั้นสองนะคะ ป้าเห็นคุณท่านกับคุณผู้หญิง...ว๊าย! คุณสกาย” สมพรยังพูดไม่ทันจบประโยค เจ้าของคำถามก็กอดร่างสมบูรณ์พร้อมทั้งหอมแก้มทั้งสองข้างของแม่บ้าน
“ขอบคุณครับ ป้าพรน่ารักที่สุดเลย” กายนภัสนิ์บอกก่อนจะวิ่งขึ้นไปชั้นที่สองของตัวบ้าน
“ถ้ารู้ว่าเจ้าสกายมันโตมาแล้ว มันจะปีกกล้าขาแข็ง กล้าแข็งข้อกับผมแบบนี้นะ ผมไม่น่าขอมันมาเลี้ยงให้ เสียใจ เสียเวลาอย่างนี้หรอก” น้ำเสียงโมโหฉุนเฉียวของสามี ทำให้คุณยุพเรศที่นั่งพักผ่อนอยู่บนโซฟาตัวใหญ่ ต้องรีบลุกขึ้นมายืนต่อหน้าคุณจักรินทร์
“ทำไมคุณถึงพูดแบบนี้ค่ะ ถ้าลูกมาได้ยิน ลูกจะเสียใจนะคะ”
“ช่างหัวมันสิ เมื่อสิบสามปีก่อน ผมไม่แส่หาเรื่องใส่ตัวเลย ไม่น่าไปต่อสู้หรือร้องขอสิทธิ์เลี้ยงดูมันมาเลย ในเมื่อมันทำอะไรไม่คิดถึงใจผมเลย แล้วทำไมผมจะต้องคิดถึงใจมันด้วย มันไม่ใช่ลูกของเราสักหน่อย จะไปสนใจมันทำไมนักหนา” น้ำเสียงของคุณจักรินทร์ยังคงไม่ลดความร้อนแรง คำพูดแต่ล่ะคำที่พูดออกมานั่น ทำให้คุณยุพเรศยกมือขึ้นทาบอกด้วยความตกใจ
“คุณเจค่ะ” คุณยุพเรศเรียกชื่อสามี ที่ตอนนี้หันหน้าหนีเธอไปแล้ว เธอยกมือทั้งสองข้างทาบบนใบหน้าของผู้เป็นสามี บังคับให้หันกลับมาสบตากับเธอ ดวงตาที่เธอเห็นช่างตรงข้ามกับน้ำเสียงและคำพูดหลุดออกมาจากปากโดยสิ้นเชิง
“คุณเจค่ะ ฉันรู้นะคะว่าสิ่งที่คุณพูด มันตรงข้ามสิ่งที่อยู่ในใจโดยสิ้นเชิง ฉันรู้นะคะว่าความจริงแล้วคุณรักสกายมากกว่ายัยหนูลูกแท้ๆ ของเราเสียอีก ฉันเองก็ไม่ได้ต่างจากคุณหรอกนะคะ”
“ผม...ผมรักสกายมากนะ รักเขามากที่สุด แต่ผมกลัวว่าลูกจะอยู่กับเราได้ไม่นาน ผมแค่ไม่อยากให้ลูกต้องเป็นแบบเจมส์ ผมไม่อยากให้ลูกต้องไปใช้ชีวิตเสี่ยงอันตรายเหมือนอย่างพ่อเขา ผมกลัวว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยเดิม ที่พ่อกับลูกจะต้องมาตายด้วยอาชีพเดียวกัน”
“โถ่! คุณค่ะ ไม่ว่าจะเป็นนักธุรกิจหรือวิศวกร ถ้าหากถึงที่ตายจริงๆ ไม่ว่าจะอาชีพไหนลูกก็หนีความตายไปไม่พ้นหรอกค่ะ ในเมื่อคุณรักสกาย คุณก็แสดงออกมาว่ารักสิคะ บอกให้แกเข้าใจ ว่าทำไมคุณถึงไม่อยากให้ลูกเรียนอย่างที่ลูกตั้งใจ แต่คุณก็ต้องรับฟังและเคารพในการตัดสินใจของลูกด้วยนะคะ ยิ่งช่วงนี้สกายอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ถ้าเขาเกิดมาได้ยินในสิ่งที่คุณพูดไม่คิดแบบเมื่อกี้ คุณคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับลูกคะ”
“นั่นสินะ...งั้นเราลงไปข้างล่างกันดีกว่า ป่านลูกคงเลิกเรียนแล้วล่ะ อีกสักพักคงกลับถึงบ้าน จะได้คุยเรื่องนี้กันสักที” น้ำเสียงและสีหน้าของคุณจักรินทร์ดูดีขึ้น ทำให้คูณยุพเรศค่อยเบาใจขึ้นหน่อย ทีนี้ก็เหลือเพียงแต่รอให้กายนภัสนิ์กลับถึงบ้าน คราวนี้พ่อลูกจะได้คุยแบบเปิดอกกันเสียที หลังจากมึนตึงกันมานานร่วมเดือน
“คุณคะ! กระดาษอะไรร่วงอยู่ตรงหน้าประตู” คุณจักรินทร์หยิบแผ่นกระดาษที่อยู่ตรงปลายเท้าขึ้นมา แต่คุณจักรินทร์อ่านไปเพียงแค่ไม่กี่บรรทัด กระดาษที่อยู่ในมือก็ร่วงลงมาอยู่ที่เก่า
“มีอะไรหรือคะคุณ เอ๊ะ! กระดาษนี่มัน” คุณยุพเรศหยิบกระดาษนั่นขึ้นมาดู ก็พบสาเหตุที่ทำให้สามีของเธอมีอาการอย่างนี้....
‘...ผลการสอบคัดเลือกเข้าศึกษาต่อ ในระดับปริญญาตรี คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัย...’
‘…อันดับที่ 1 นายกายนภัสนิ์ อัครจินดานุวัฒน์ ผลการคัดเลือก 93/100 คะแนน…’
“อ้าว! คุณท่าน อิฉันขอโทษนะคะที่ยกน้ำมาให้ช้า อิฉันเห็นว่าเมื่อครู่คุณสกายถามหาคุณท่านทั้งสอง อิฉันเลยเตรียมของว่างมาเผื่อคุณสกายด้วยค่ะ” คำพูดของสมพรที่เพิ่งเดินถือถาดของว่างขึ้นมา ก็ยิ่งตอกย้ำในสิ่งที่ทั้งคู่ไม่อยากให้เกิดขึ้น กายนภัสนิ์กลับมาถึงบ้านนานแล้วและดูเหมือนว่าผู้เป็นลูกชายจะรู้เรื่องทั้งคู่ไม่อยากให้เขารู้เสียแล้ว เสียงเอะอะดังที่ขึ้นจากชั้นล่าง เรียกสติของทั้งสองให้กลับมาอีกครั้ง
“คะ...คุณท่านครับ คุณผู้หญิงครับ เมื่อกี้จู่ๆ คุณสกายก็วิ่งออกจากบ้านไป ทั้งๆ ที่ไม่ได้ใส่รองเท้าครับ ผมเรียกเท่าไหร่ คุณสกายก็ไม่ยอมเหลียวหลังกลับมาเลยครับ” น้ำเสียงร้อนรนของนายชิดคนสวน ยิ่งทำให้หัวใจของคนทั้งคู่ร้อนราวกับมีใครโยนหัวใจเข้ากองไฟ แต่ดูเหมือนคุณยุพเรศจะได้สติก่อน จึงรีบสั่งการแม่บ้านคนสนิททันที
“สมพร! ไปบอกให้ทุกคนออกตามหาสกายด่วนเลย ไปในทุกๆ ที่ ที่คิดว่าสกายจะไป ได้เรื่องอย่างไร ให้มาบอกฉันทุกชั่วโมง ไม่สิ! ทุกครึ่งชั่วโมงเลยแล้วกัน รีบไปเร็วเข้า”
“คะ...ค่ะ! คุณผู้หญิง” แม่บ้านคนสนิทรีบทำตามคำสั่งในทันที
“ผะ...ผม ผมควรทำอย่างไรดี...ถ้าเกิดสกาย...” ไม่ใช่แค่เสียงเท่านั้นที่สั่น ร่างกายของคุณจักรินทร์สั่นเทาราวกับยืนอยู่ที่ขั้วโลก จนคุณยุพเรศกอดร่างที่สั่นเทานั้นไว้
“เราต้องหาลูกเจอค่ะ...ที่รัก” สรรพนามที่เปลี่ยนไปทำให้ร่างที่สั่นเทานั้นโอบกอดร่างเล็กของคู่ชีวิตแน่น คุณจักรินทร์ซบหน้ากับไหล่บอบบาง ปลดปล่อยทุกอย่างที่อยู่ในหัวใจออกมาจนหมดสิ้น ความเปียกชื้นตรงหัวไหล่ที่คุณยุพเรศสัมผัสได้ ทำให้เธอลูบหลังของสามีพร้อมทั้งโยกตัวไปมา ราวกับปลอบประโลม
“ที่รักต้องเข้มแข็งนะคะ...เพื่อสกาย”
ส่วนคนที่ทุกคนกำลังตามหาอยู่นั้น วิ่งออกมาอย่างไร้จุดหมาย ไม่สนใจสิ่งรอบตัวว่าจะเกิดอะไรขึ้น จนกระทั่งความเร็วของฝีเท้าค่อยๆ ผ่อนลง แต่ขาทั้งสองข้างก็ยังก้าวต่อไม่หยุด คำพูดของผู้ที่เขาคิดมาตลอดว่าเป็นบิดาผู้ให้กำเนิดยังคงดังก้องอยู่ในหัว
นี่สินะ! คือเหตุผลของท่าทีมึนตึงของพ่อที่มีต่อเขา
‘...มันไม่ใช่ลูกของเราสักหน่อย จะไปสนใจมันทำไมนักหนา...’ ประโยคสุดท้ายที่เขาได้ยินยังคงฝังลึกอยู่ในหัวสมอง ก่อนที่ตัวเขาจะวิ่งออกมาจากบ้านอย่างไร้จุดดหมาย เพราะไม่สามารถทนฟังคำพูดที่ทำให้หัวใจของเขาเต้นช้าลงจนแทบหยุดเต้นได้อีกแล้ว
เป็นไปไม่ได้! ที่เราจะไม่ใช่ลูกของพ่อกับแม่ มันไม่จริง! ที่พ่อกับแม่จะไม่ต้องการเรา ไม่จริง เป็นไปไม่ได้ ไม่จริง! ไม่!
ปิ๊นนนนน!
เสียงบีบแตรดังลั่นถนน พร้อมกับแรงดึงจากด้านหลังทำให้กายนภัสนิ์ได้สติ เขาก็พบเด็กสาวที่อยู่ในชุดเครื่องแบบนักเรียนชั้นมัธยมต้น ปักอักษรย่อชื่อโรงเรียนเดียวกันกับเขา ซึ่งเขาไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน กำลังลากเขาออกห่างจากถนนให้ได้มากที่สุด
“เดินระวังๆ หน่อยสิคะ เดี๋ยวพี่ก็โดนรถชนหรอกค่ะ” เสียงหวานๆ เอ่ยขึ้น ส่วนมือก็ยังคงดึงแขนเขาไม่หยุด
“พี่เป็นอะไรหรือเปล่าคะ แล้วทำไมพี่ถึงไม่ใส่รองเท้าล่ะคะ เดี๋ยวก็โดนเศษแก้วบาดหรอกค่ะ แล้วเกิดโดนบาดขึ้นมาจริงๆ ก็ต้องโดนฉีด...” และอีกสารพัดเรื่องที่เจ้าของเสียงหวานพูดออกมา ขณะที่กายนภัสนิ์เพิ่งสังเกตว่าตนเองวิ่งมาถึงสวนสาธารณะที่อยู่ห่างจากบ้านเขาไกลพอสมควร ในตอนที่เขาวิ่งออกมา เขาคิดเพียงอย่างเดียว คืออยากไปให้ห่างจากบ้านหลังให้มากที่สุด ไม่อยากรับรู้อะไรที่จะทำให้อวัยวะที่อยู่ในอกด้านซ้ายต้องเจ็บปวดอีก เพราะตอนนี้หัวใจของเขาก็แทบจะละเอียดเป็นฝุ่นทรายแล้ว
“พี่..พี่คะ! พี่คะ!” แรงเขย่าน้อยๆ ที่แขนขวา ทำให้เด็กหนุ่มหลุดจากภวังค์ สายตาจับจ้องไปยังสาวน้อยเสียงหวาน สาวน้อยปริศนาที่ตอนนี้พาเขาเดินมาที่ม้านั่งตัวหนึ่งในสวนสาธารณะ
“พี่เป็นอะไรหรือเปล่าคะ” สาวน้อยปริศนายังคงถามคำถามเขาต่อ เมื่อเห็นว่าเขาส่ายหน้า เธอจึงวางข้าวของที่เธอหอบหิ้วมาลงบนม้านั่ง โดยเหลือที่ให้เขาได้นั่ง
“พี่นั่งอยู่ตรงนี้ก่อนนะคะ เดี๋ยวปลายวิ่งไปซื้อรองเท้าตรงแผงลอยมาให้ เมื่อกี้ปลายเดินผ่านมา มีของขายเต็มเลย ปลายฝากกระเป๋ากับของไว้ที่พี่หน่อยนะคะ” แล้วสาวน้อยที่เขาเพิ่งรู้ว่าชื่อ ‘ปลาย’ ก็วิ่งไปยังทิศทางของร้านแผงลอยที่มีอยู่ดาษดื่น
กายนภัสนิ์ยังคงนั่งนิ่ง สายตาเลื่อนลอย ไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ทุกๆ คำพูดและน้ำเสียงของ ‘พ่อ’ ที่สื่อออกมา คำพูดที่กัดกินหัวใจเขาทุกๆ คำ มันยังคงชัดเจนอยู่ในหัวเขา
“พี่คะ! พี่คะ! เป็นอะไรหรือเปล่าค่ะ” สาวน้อยนามว่า ‘ปลาย’ โบกมือไปมาอยู่ตรงหน้าเขา ทำให้เขาผงะตัวเล็กน้อยตามสัญชาตญาณ ดวงตาที่เหม่อลอยกลับมาจับจ้องใบหน้าของสาวน้อยตรงหน้าแทน
“นี่ค่ะ! รองเท้าแตะ ปลายว่าขนาดมันน่าจะพอดีนะคะ” สาวน้อยยื่นรองเท้าแตะมาให้ ชายหนุ่มรับมาใส่อย่างงงๆ แต่ก็ยอมใส่แต่โดยดี
“ขอบใจนะ” คำพูดสั้นๆ ที่ออกมาจากปากของกายนภัสนิ์เป็นครั้งแรก เรียกรอยยิ้มจากคนตรงหน้าที่ทำให้หัวใจของเขาจากที่กำลังจะหมดแรงเต้น ค่อยๆ กลับมาเต้นใหม่อีกครั้งอย่างมีชีวิตชีวา ราวกับแผ่นดินที่แห้งแล้งได้สายฝนอันชุ่มช่ำมาล่อเลี้ยง สาวน้อยตรงหน้ายังคงพูดต่อไปโดยไม่รู้เรื่องว่ารอยยิ้มและคำพูดของเธอช่วยก่อหัวใจที่แหลกละเอียดไปแล้วของใครบางคนให้เริ่มเป็นรูปเป็นร่างเหมือนเดิม
“ไม่เป็นไรค่ะ ในที่สุดพี่ก็พูดกับปลายสักที ปลายนึกว่าวันนี้พี่จะไม่พูดกับปลายเสียแล้ว”
ชายหนุ่มเพียงแค่ยิ้มให้กับสาวน้อยข้างกาย ที่จู่ๆ ก็เข้ามาช่วยชีวิตเขาไว้แถมยังพูดเจื้อยแจ้วไปเรื่อย ทั้งๆ ที่เขาเชื่อว่าเธอกับเขาเพิ่งพบกันเพียงครั้งแรก
“งั้นเรามาเล่นเกมส์ยี่สิบคำถามกันไหมคะ คนถามตั้งคำถามมาหนึ่งข้อเกี่ยวกับคนตอบหรืออะไรก็ได้ที่อยู่รอบๆ ตัว ส่วนคนตอบก็ต้องตอบคำถามนั้นให้ได้ ห้ามตอบคำถามด้วยคำถาม ผลัดกันถาม ผลัดกันตอบ เพราะตอนนี้ปลายพูดจนเหนื่อยแล้ว พี่ขำอะไรคะ” สาวน้อยถามอย่างสงสัย อยู่ๆ ชายหนุ่มข้างกายก็หัวเราะออกมา ทั้งๆ ที่เมื่อไม่ถึงชั่วโมงที่ผ่านมายังทำหน้าแบกโลกทั้งใบไว้อยู่เลย
“พี่ก็ขำเราน่ะสิ ก็สมควรให้เหนื่อยอยู่หรอกนะ ทั้งวิ่งไปซื้อของ แถมยังพูดไม่หยุดอีก โอเค! พี่ไม่ขำก็ได้ พี่เล่นเกมส์กับเราก็ได้ งั้นเราถามพี่ก่อน” ชายหนุ่มพูดได้ยาวที่สุดตั้งแต่ที่เกิดเรื่อง อีกทั้งน้ำเสียงนุ่มทุ่มที่ยังเจือไปด้วยรอยขำขัน แต่เมื่อสบตาวาวๆ ของสาวน้อยแล้วเขาก็วกเข้าประเด็นเก่าทันที
“อืม...พี่ชื่ออะไรคะ” สาวน้อยเป็นฝ่ายเริ่มถามก่อน ทั้งที่ในใจยังอดเคืองชายหนุ่มไม่ได้
“พี่ชื่อ ‘สกาย’ ครับ ชื่อจริงชื่อ ‘กายนภัสนิ์ อัครจินดานุวัฒน์’ ครับ คราวนี้ตาพี่ถามเราบ้างนะ เราเรียนอยู่ชั้นไหนแล้ว”
“อ้าว! ทำไมพี่ไม่ถามชื่อปลายก่อนหรือคะ” สาวน้อยถามกลับอย่างุนงง เพราะปกติเวลาเธอเล่นเกมส์ยี่สิบคำถามแบบนี้ส่วนใหญ่เกือบทุกคนที่เธอเล่นด้วยมักจะถามชื่อกันก่อนนี่น่า
“ไหนกติกาบอกห้ามตอบคำถามด้วยคำถามไง” ชายหนุ่มเอ่ยท้วงอย่างกวนๆ ส่งผลให้ได้รับค้อนวงน้อยมาแทน
“อยู่ ม.3 ค่ะ แล้วทำไมพี่สกายไม่ถามชื่อปลายก่อนล่ะคะ”
“ก็พี่ได้ยินเราแทนตัวเองว่า ‘ปลาย’ ตลอด พี่ก็เลยคือว่าเราน่าจะชื่อ ‘ปลาย’ ไงล่ะ แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ตกลงปลายชื่ออะไรล่ะครับ”
“ปลายชื่อ ‘ปลายข้าว’ ค่ะ ชื่อจริงชื่อ ‘ธัญพัชร วรพงษ์พานิช’ ค่ะ พี่สกายเรียนอยู่ชั้นไหนคะ”
“พี่เรียนอยู่ชั้นสี่ครับ เอ๊ย! ไม่ใช่! พี่หมายถึงม.6 ไงครับ” ชายหนุ่มรีบเปลี่ยนคำตอบทันที เมื่อเห็นสายตาวาวๆ ของสาวน้อย “อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ พี่แค่ล้อเล่นนิดเดียวเอง คำถามต่อไปดีกว่า...”
แล้วเกมส์ยี่สิบคำถามก็ดำเนินไปเรื่อยๆ ต่างฝ่ายต่างผลัดกันถาม ผลัดกันตอบ สร้างความคุ้นเคยและเป็นการทำความรู้จักตัวตนของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี
โดยฝ่ายหญิงก็มักจะตอบโต้ด้วยสายตาวาวๆ เกือบทุกครั้งที่ฝ่ายชายตอบคำถาม จนเธอได้แต่เข็ดเขี้ยวในใจ เจอกันตอนแรกทำเป็นเงียบอย่างกับคนจิตหลุด แต่พอเริ่มพูดปุ๊บ...มันน่านัก
ส่วนฝ่ายชายก็ตอบคำถามกวนประสาทบางเป็นครั้งคราว การที่เขาได้ต่อปากต่อคำกับสาวน้อยคนนี้ทำให้เขารวมทั้งลืมเลือนสาเหตุที่ต้องมาอยู่ที่นี่ จนกระทั่ง...
“คำถามสุดท้ายของปลายแล้วนะคะ ทำไมพี่ถึงออกมาเดินทั้งที่ไม่ใส่รองเท้าล่ะคะ” พอสาวน้อยถามคำถามสุดท้ายจบ แววตาอบอุ่นที่เจือรอยขบขันอยู่เป็นนิจยามกวนประสาทเธอได้สำเร็จก็เปลี่ยนไปทันที
“พี่...” แววตาหม่อนหมองของชายหนุ่มตรงหน้า ดูเศร้าสร้อย ไร้ประกายแห่งความสุข ราวกับคนสิ้นหวังและแรงยึดเหนี่ยวจิตใจ ทำให้เธอนึกถึงตอนนั้น...ตอนที่แววตาแบบนี้เคยปรากฎอยู่บนดวงตาของเธอ ทั้งคู่เงียบกันไปหลายนาที เหมือนต้องการให้ความเงียบช่วยปลอบประโลมจิตใจ
ภาพการพูดคุยกันของเด็กทั้งสองคนไม่ได้รอดพ้นจากสายตาของผู้คนที่เดินขวักไขว่ รวมทั้งคนสวนของบ้านอัครจินดานุวัฒน์ที่กำลังตามหานายน้อยของตระกูลอยู่
“นั่น! คุณสกายนี่! ไอ้โชค! เอ็งรีบโทรรายงานคุณผู้หญิงเร็วว่าเจอคุณสกายแล้ว” นายชิดรีบบอกผู้เป็นลูกชาย ก่อนที่ตัวเองจะรีบเดินเข้าไปหาเป้าหมายอย่างรวดเร็ว
“คุณสกาย! มาอยู่ที่นี่เอง กลับบ้านกันเถอะครับ”นายชิดบอกอย่างดีใจที่เจอนายน้อยของบ้านเสียที
“กลับไปเถอะลุงชิด เราจะกลับบ้านเอง เมื่อถึงเวลา” กายนภัสนิ์บอกเสียงเรียบ
“กลับพร้อมลุงชิดเถอะนะครับคุณสกาย คุณท่านกับคุณผู้หญิงเป็นห่วงคุณสกายมากนะครับ” นายชิดอ้อนวอนนายน้อย
แต่กายนภัสนิ์ยังคงนั่งนิ่ง ไม่แม้แต่จะหันมามองนายชิดหรือธัญพัชร มีแววตาเพียงแววตาเท่านั้นที่วูบไหวไปกับคำพูดของนายชิด ซึ่งนั่นก็ไม่ได้รอดพ้นจากสายตาของเด็กสาวที่อยู่ข้างกาย
ธัญพัชรวางมือของตนเองทาบทับมือที่ใหญ่กว่าโดยไม่สนใจว่าการกระทำของเธอนั้นจะถูกหาว่าก๋ากั๋นเกินอายุไปหรือไม่ เธอบีบมือนั้นเบาๆ อย่างต้องการถ่ายทอดกำลังใจให้กับเจ้าของมือ ซึ่งก็ได้ผลเมื่อเจ้าของมือหันมามองเธออย่างแปลกใจ
“ปลายไม่รู้นะคะว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่สกาย แต่การที่คนเราจะสูญเสียบางสิ่งบางอย่างที่พี่สกายอาจคิดว่ามันสำคัญมากสำหรับพี่ แต่ก็อย่าลืมหันกลับมามองสิ่งที่ยังเหลือและให้ความสำคัญกับมันบ้างนะคะ เอาน่า! พี่ไม่เคยได้ยินเพลงที่เขาร้องกันว่า ‘ชีวิตยังมีพรุ่งนี้เสมอ’ หรือคะ ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจ ชีวิตก็ยังมีพรุ่งนี้ที่ดีกว่าเมื่อวานเสมอ สู้ๆ นะพี่ กลับไปรักษาสิ่งที่ยังเหลืออยู่ดีกว่ามานั่งคิดถึงแต่สิ่งที่เสียไปนะคะ”
ถ้อยคำของธัญพัชรเหมือนลูกธนูที่พุ่งเข้ามาปักกลางใจเขาอย่างจัง นั่นสินะ! รักษาสิ่งที่ยังเหลืออยู่ดีกว่าที่จะต้องคิดถึงแต่สิ่งที่ไม่อาจหวนกลับมาหาเขาได้อีก กลับไปรักษาความรักของพ่อกับแม่ที่แม้ท่านทั้งสองจะไม่ใช่พ่อแม่แท้ๆ แต่ที่ผ่านมาท่านทั้งคู่ก็รักและดูแลเราดีเสียยิ่งกว่าลูกในไส้ ยิ่งคิดเขายิ่งรู้สึกผิดที่ทำให้ท่านทั้งสองเป็นห่วง ไม่รู้ว่าป่านนี้ท่านทั้งสองจะเป็นอย่างไรบ้าง จะเสียใจในสิ่งที่เราทำ หรือจะโกรธจนไม่เหลือความรักความเมตตาให้กันอีก มันคงถึงเวลาที่เราต้องกลับไปเผชิญกับความจริงและรักษาสิ่งที่ยังเหลือเพียงน้อยนิดแล้วสินะ
“ขอเวลาห้านาทีครับลุงชิด” กายนภัสนิ์หันมาบอกนายชิด
“คะ...ครับๆ ได้ครับ” นายชิดรับคำอย่างยินดี ก่อนจะรีบเดินไปสมทบกับลูกชายที่ยืนอยู่ไม่ห่างทันที
กายนภัสนิ์หันมาคลี่ยิ้มบางๆ ให้กับคนที่นั่งอยู่ข้างกายพร้อมทั้งบีบมือที่กุมมือเขาไว้เหมือนรับรู้ถึงความรู้สึกที่อีกฝ่ายส่งมาให้
“ขอบใจมากนะ สำหรับกำลังใจ”
“ไม่เป็นไรค่ะ” ธัญพัชรดึงมือของตัวเองกลับช้าๆ อย่างเขินๆ เมื่อเขาคลายมือออก เธอรีบเก็บข้าวของๆ เธอก่อนที่จะลุกขึ้นตามชายหนุ่ม
“พี่ไปก่อนนะ แล้วเจอกันที่โรงเรียน” กายนภัสนิ์บอกก่อนเดินไปหานายชิดและลูกชาย
“สู้ๆ นะ คะพี่สกาย รักษาสิ่งที่เหลืออยู่เอาไว้ให้ดีนะคะ แล้วเจอกันค่ะ” ธัญพัชรตะโกนไล่หลัง ชายหนุ่มหันกลับมาพร้อมทั้งชูสองนิ้ว เหมือนบอกเธอว่า เขาพร้อมสู้อยู่แล้ว...
จากใจณพรชล 1 : สั้นๆ ง่ายๆ "ขอโทษที่หายไปนานค่ะ"
จากใจณพรชล 2 : อ่านตอนนี้กันแล้ว เศร้าไปกับผู้ชายที่แสนอบอุ่นอย่างพี่สกาย หรือเปล่าคะ
จากใจณพรชล 3 : แต่มีข่าวมาบอกเล็กน้อยถึงปานกลางว่า ตอนนี้ได้เปลี่ยนชื่อนามปาากแล้วนะคะ
จาก "ปอรินทร์" เป็น "ณพรชล" แทน ด้วยเหตุผลทางไสยศาสตร์ล้วนๆ
(ไม่เชื่ออย่าลบลู่น้าาาาาาาา เพราะมันเกิดขึ้นจริงกับตัวหนูมาแล้วสองรอบ >M< )
จริงๆน้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา
จากใจณพรชล 4 : ลองมาทายกันดูเล่นๆ ไหมคะ ว่านามปากกาใหม่ อ่านอย่างไร (ทายเล่นๆ แต่แจกของรางวัลจริงๆ)
ใครทายถูกมีรางวัลค่ะ เฉลย ตอนหน้า พร้อมของรางวัลค่ะ
>_____________<
ปอรินทร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 เม.ย. 2556, 03:16:01 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 เม.ย. 2556, 14:41:08 น.
จำนวนการเข้าชม : 1525
<< ชะตาต้องรัก ตอนที่ 14.2 | ตอนที่ 16 >> |
sai 16 เม.ย. 2556, 09:47:59 น.
ชอบนามปากกาใหม่อ่ะ อ่านว่า นะ พร ชล ใช่ไหมอ่ะ
พี่สกายน่าสงสาร แต่หนูปลายน่าสงสารกว่า
ชอบนามปากกาใหม่อ่ะ อ่านว่า นะ พร ชล ใช่ไหมอ่ะ
พี่สกายน่าสงสาร แต่หนูปลายน่าสงสารกว่า