พันธนาการหวาม
ถ้าคุณชื่นชอบ เส้นทางระหว่างหัวใจ คุณก็ไม่ควรพลาดเรื่องนี้
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่2

พันธนาการหวาม เคยนำมาอัพแล้วครั้งหนึ่งประมาณ สิบตอน แต่อัพไม่จบค่ะ...ผู้เขียนรู้สึกว่าที่เขียนไปยังไม่เป็นที่พอใจเท่าที่ควร ก็เลย เอามาเรียบเรียงใหม่ ก็หวังจะถูกใจสำหรับท่านผู้อ่านที่ติดตามผลงานของทองหลางนะคะ...

^_^ **************



หลังจากส่งบุพการีกลับด้วยเที่ยวบินที่มุ่งสู่ภูเก็ตแต่เช้าตรู่แล้ว เพียวก็ขับรถตรงไปยังโรงแรมหรูที่เขามีธุรกิจบางอย่างที่ต้องประสานงานด้วย แทนคอนโดมิเนียมที่ซื้อไว้พัก เพราะเมื่อวานเขาเป็นฝ่ายผิดนัด วันนี้จึงต้องขอนัดใหม่เพื่อไม่ให้เสียโอกาสทางธุรกิจ

“อ้าวคุณเพียว...มาติดต่อเรื่องทัวร์หรือครับ” ผู้จัดการโรงแรมที่กำลังเดินตรวจตราความเรียบร้อยทั่วไปเอ่ยทัก เมื่อมองเห็นร่างสูงของหนุ่มลูกครึ่งผู้มีใบหน้าคมคายหล่อเหลาเป็นที่ดึงดูดสายตาของทั้งแขกผู้มาพัก และพนักงานต้อนรับสาวๆเดินผ่านประตูกระจกใสบานใหญ่เข้ามาภายในอาคาร

“สวัสดีครับคุณยงยุทธ...ผมนัดเจ้าหน้าที่ฝ่ายประสานงานกรุ๊ปทัวร์เอาไว้ครับ พอดีติดธุระนิดหน่อย เลยต้องแจ้งเลื่อนนัดมาเป็นเช้านี้ ไม่ทราบว่าคุณศักดิ์ชัยเข้ามาหรือยังครับ”

“อ๋อครับ...เชิญคุณเพียวนั่งรอสักครู่นะครับ เดี๋ยวผมโทร.เช็กให้ ถ้าเป็นนัดของคุณเพียวผมว่าคุณศักดิ์ชัยคงจะรีบมาให้ทันอยู่แล้ว” ผู้จัดการผายมือเชิญชายหนุ่มไปยังเก้าอี้ว่างริมผนังกระจกใสที่สามารถชมความสวยงามของสวนน้ำตกภายนอกอาคารได้อย่างชัดเจน

โรงแรมระดับห้าดาวแห่งนี้มีเจ้าของชื่อโสภณ กิตติไพศาล บุคคลที่เขารู้จักในฐานะเพื่อนต่างวัยของบิดาเลี้ยงชาวต่างชาติ เกี่ยวพันกันด้วยธุรกิจทัวร์จากต่างประเทศที่เริ่มต้นการเดินทาง ณ โรงแรมหรูแห่งนี้ แล้วปิดท้ายด้วยความประทับใจจากกิจกรรมท่องเที่ยวครบวงจรที่ภูเก็ต

ทุกครั้งที่มาติดต่องานเกี่ยวกับกรุ๊ปทัวร์ เพียวไม่เคยคิดที่จะให้ความสนใจเจ้าของโรงแรมแห่งนี้สักครั้ง ยิ่งเป็นผู้ชายบ้าเลือดขี้หึงไม่ไว้หน้าอินทร์หน้าพรหมอย่างนายโสภณแล้ว หลีกเลี่ยงไม่เผชิญหน้าได้เป็นดีที่สุด ใช่ว่าเขากลัว แต่เขาเกรงใจพิมพ์พลอยภรรยานายโสภณ ผู้เป็นเพื่อนคนหนึ่งของเขามากกว่า

แต่มาคราวนี้มันเป็นความรู้สึกที่แตกต่าง สาเหตุน่าจะมาจากผู้หญิงเฟอะฟะแสนสวยคนนั้น เพียวต้องการทราบว่านายโสภณ กิตติไพศาลมีความสัมพันธ์อย่างไรกับ นางสาวโสภิตา ติยานนท์ ชายหนุ่มหยิบกระเป๋าสตางค์ใบเล็กขึ้นมาเปิดดู ในนั้นมีบัตรประชาชน และรูปถ่ายใบเล็กๆที่มีทั้งภาพเดี่ยว และภาพที่เธอถ่ายคู่กับโสภณ ด้วยอากัปกิริยาที่แสดงออกให้เห็นว่าทั้งสองสนิทสนมกันมากเกินกว่าจะเรียกว่าคนรู้จัก

“ป่านนี้จะรู้ตัวหรือยังนะว่ากระเป๋าสตางค์ไม่ได้อยู่กับตัว...ฮึ... ยัยเฟอะฟะ” เพียวพึมพำกับกระเป๋าใบสวย ที่ระลึก ที่แม่จอมโวยวายคนนั้นทำหล่นไว้ ก็ถือว่าดีไม่น้อยเพราะมันให้เขาได้รับรู้ถึงประวัติบางส่วนของเธอ

“หน้าตาก็ไม่ค่อยจะคล้าย แถมยังใช้คนละนามสกุล มันน่าสงสัยเหลือเกินว่าสองคนนี้เป็นอะไรกัน ญาติใกล้ชิด หรืออย่างอื่น” นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่กระตุ้นให้เขาเกิดความอยากรู้ขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ

“ไว้ก่อนกลับจะเอาไปคืนให้ก็แล้วกัน แต่มันน่าจะมีรางวัลสำหรับพลเมืองดีสักอย่าง... เรียกร้องอะไรดีนะถึงจะคุ้ม” เพียวอดยิ้มกับตัวเองไม่ได้เมื่อคิดไปถึงริมฝีปากนุ่มๆหวานๆนั้น ถ้าได้ลิ้มรสเป็นรางวัลอีกสักครั้งคงคุ้มค่ากับการดูแลรักษาสมบัติมีค่าชิ้นนี้ไว้กับตัวเป็นอย่างดี

ชายหนุ่มเก็บกระเป๋าสตางค์ใบนั้นเข้าไว้ในกระเป๋ากางเกง เมื่อเหลือบไปเห็นบุคคลที่เขาขอพบกำลังเดินตรงมา วันนี้ต้องคุยธรกิจให้ผ่านไปก่อน หลังจากนั้นเขาก็จะมีเวลาว่างอีกสองสามวันที่จะทำอะไรก็ได้ตามแต่ใจปรารถนา

พิมพ์พลอยดูแลตระเตรียมอาหารเช้าไว้พร้อมด้วยความพิเศษที่แตกต่างจากทุกวัน นั่นคือการเพิ่มที่นั่งสำหรับคนพิเศษของสามีอีกหนึ่งที่ นั่นคือน้องสามีที่เพิ่งเรียนจบจากต่างประเทศมาหมาดๆ...

“จัดสองที่ก็พอครับที่รัก...ยัยเจนนี่คงไม่ลงมารับประทานมื้อเช้ากับเราแน่ๆ เชื่อเถอะ” โสภณเอ่ย ขณะเดินเข้ามายังห้องอาหาร เขาจูบแก้มภรรยาด้วยความรักที่แสดงออกได้ทุกเวลาและสถานที่อย่างไม่รู้เบื่อ

“ทำไมคะ...” พิมพ์พลอยถามขึ้นด้วยความสงสัย

“เวลาที่เมืองไทยต่างกันกับเวลาที่อเมริกาหลายชั่วโมง ป่านนี้คงยังนอนคุดคู้อยู่บนเตียงเป็นแมวขี้เซาอยู่แน่ๆ” โสภณตอบขณะเลื่อนเก้าอี้ให้ภรรยานั่ง ก่อนที่เขาจะกลับไปนั่งยังที่ประจำของตน

“แย่แล้วค่ะแย่แล้ว!” เสียงโวยวายดังลั่นมาทางประตูที่ใช้ผ่านเข้าออกห้องอาหาร

“เกิดอะไรขึ้น อยู่ดีๆก็วิ่งลงมาเอะอะโวยวาย โตแล้วนะเจนนี่” ผู้เป็นพี่ชายเอ็ด เมื่อเห็นน้องสาวเดินแกมวิ่งเข้ามายืนหอบอยู่ใกล้ๆสีหน้าดูยุ่งเหยิงไปหมด

“กระเป๋าสตางค์ของเจนนี่หายค่ะ เจนนี่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ” หญิงสาวฟ้อง

“กระเป๋าสตางค์หายเหรอคะ หายไปได้ยังไง มีรอยถูกกรีดกระเป๋าหรือเปล่าคะ หรือมีคนแปลกหน้าเข้ามาทักมาสะกิดอะไรไหม แล้วมีอะไรหายไปบ้าง” พิมพ์พลอยก็พลอยตกใจไปด้วยจึงยิงคำถามไปเป็นชุด

“ไม่มีรอยถูกกรีดค่ะ ปกติกระเป๋าสตางค์ใบเล็กเจนนี่จะถือไว้กับมือ เพราะจะสะดวกในการหยิบเงินมาจับจ่าย และเจนนี่ก็มั่นใจว่าไม่มีประวัติเคยหลงลืมวางทิ้งที่ไหนแน่ๆ”

“ในกระเป๋ามีอะไรสำคัญบ้าง พาสปอร์ตหายไปด้วยหรือเปล่า” พี่ชายถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง เมื่อรู้สาเหตุเสียงเอะอะของน้องสาว

“ก็มีพวกเศษเงินไม่กี่พัน บัตรเครดิต แล้วก็บัตรประชาชน” เจนนี่บอก สีหน้าของเธอยังซีดเผือด

โสภณหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าออกมากดหมายเลขติดต่อธนาคารที่เขาเปิดเครดิตให้น้องสาวใช้บัตร เพื่อทำการอายัด ซึ่งทั้งเจนนี่และพิมพ์พลอยทราบได้จากคำสนทนาของเขา โสภณเป็นคนรอบคอบและมักจะทำอะไรรวดเร็วเสมอ อันนี้พิมพ์พลอยทราบดี ถึงแม้ว่าเธอจะเคยทำงานใกล้ชิดเขาในฐานะเลขานุการของเขาเพียงไม่กี่เดือน ก่อนจะเปลี่ยนสถานะมาเป็นภรรยา

“โชคดีนะที่บัตรยังไม่มีการใช้จ่ายเพิ่มจากเดิม ทีหลังถ้ารู้ว่าบัตรหายให้รีบโทรแจ้งอายัดไว้ทันทีเข้าใจหรือเปล่า...ส่วนบัตรประชาชนคงต้องไปแจ้งความเอาลงบันทึกประจำวันเอาไว้ เกิดมิจฉาชีพเก็บได้ เอาไปใช้ในทางที่ผิดเราจะซวย” โสภณหันมาสั่งสอนน้อง ก่อนจะชี้นิ้วไปที่เก้าอี้ เพื่อบอกให้นั่ง

“ยังโชคดีนะคะพาสปอร์ตไม่หายไปด้วย” พิมพ์พลอยพูดในเชิงปลอบใจ

“เจนนี่เก็บไว้ในกระเป๋าเดินทางค่ะ” หญิงสาวบอก

เธอนั่งลงประจำเก้าอี้ที่ว่าง สมองยังครุ่นคิดย้อนเหตุการณ์ที่อาจจะมีผลให้กระเป๋าสตางค์สูญหาย และมันคงไม่มีเหตุอื่นใดอีกถ้าไม่ใช่เรื่องนั้น...

“นึกออกแล้ว...ต้องใช่แน่ๆ” โสภิตาเผลอโพล่งออกมา ขณะที่คนรับใช้กำลังตักข้าวใส่จาน ทำเอาสะดุ้งจนข้าวกระฉอกหกออกนอกจาน

“เจนนี่...!” เสียงของพี่ชายเข้มขึ้น ทั้งยังมองน้องสาวด้วยแววตาตำหนิ ซึ่งต่างจากพี่สะใภ้ที่รีบถามกลับด้วยสีหน้าสนใจใคร่รู้

“นึกอะไรออกคะ หรือว่าจำได้แล้วว่าไปลืมกระเป๋าตังค์ไว้ที่ไหน”

“เอ่อ...เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร” เจนนี่ส่งยิ้มแหยๆให้พี่สะใภ้แล้วก้มหน้ารับประทานอาหารต่อ ก็จะบอกไปได้ยังไงเล่า หากเธอพูดไปให้พี่ชายรู้ว่าเธอเฟอะฟะขึ้นรถผิด จนมีเรื่องกับไอ้บ้านั่นจนกระเป๋าตังค์หาย เธอต้องถูกด่าจนหูระเบิดแน่ แต่ยังไงก็ยังมั่นใจว่า กระเป๋าสตางค์ของเธอต้องอยู่กับนายคนนั้นอย่างแน่นอน

“ไม่มีอะไรก็แล้วไป วันนี้พี่มีประชุมต้องรีบไป เราอยู่บ้านก็อย่าหาเรื่องซนให้พี่พลอยปวดหัวล่ะ” โสภณสั่งในระหว่างรับประทานอาหาร

“ใครบอกคะว่าเจนนี่จะอยู่บ้าน...เจนนี่เตรียมตัวพร้อมแล้วค่ะ พร้อมที่จะออกไปรับงานใหม่กับพี่ภณวันนี้ด้วย” ผู้เป็นน้องสาวแย้งขึ้นมาทันที

“ออกไปรับงานใหม่กับพี่”โสภณถึงกับขมวดคิ้วเข้มของเขาจนเป็นปม

“ค่ะ...เจนนี่แต่งตัวเรียบร้อยแล้ว...สวยไหมคะพี่พลอย” หญิงสาวหันไปขอเสียงสนับสนุนจากพี่สะใภ้

“ค่ะสวยมาก คุณเจนนี่เป็นคนสวย ใส่อะไรก็สวย” พิมพ์พลอยยิ้มยืนยัน

โสภณมองชุดแต่งกายของน้องสาว ชุดเสื้อกระโปรงติดกันสีชมพูอ่อนพิมพ์ลายดอกไม้เล็กๆ กระจายไปทั้งผืน ชายกระโปรงถ้าวัดจากเอวน่าจะยาวลงไปอีกประมาณสองคืบพอจะเผยให้เห็นความเรียวสวยขาวเนียนของช่วงขา มีเข็มขัดหนังเส้นเล็กๆคาดทับเน้นเอวเล็กๆให้คอดกิ่วจนเกิดส่วนเว้านูนขึ้นอย่างลงตัว เขายอมรับว่าสวย แต่มันก็ยังไม่เหมาะที่จะเป็นชุดทำงานอยู่วันยังค่ำ ถ้าบอกว่าเป็นชุดที่จะใส่ออกไปเดินชอปปี้งฉุยฉายไปมายังพอว่า

“แต่งตัวแบบนี้หมายความว่ายังไง” โสภณเริ่มขึ้นก่อน ทั้งกวาดตามมองน้องสาวแทบจะทั้งตัวด้วยสีหน้าและแววตาแสดงออกให้เห็นชัดเจนว่าไม่เข้าใจ

“ก็อย่างที่บอกค่ะ เจนนี่พร้อมเข้าทำงานที่บริษัทวันนี้เลย” ผู้เป็นน้องสาวตอบ เธอตักอาหารไทยรสเลิศที่แสนจะคิดถึงเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ

“พร้อมทำงานวันนี้เลย?”

“ค่ะ...”

โสภณถอนหายใจเฮือกใหญ่ให้กับคำตอบของน้องสาวผู้กำลังอยู่ในภาวะร้อนวิชา แม้จะรู้สึกยินดีกับความเอาการเอางานของยัยตัวยุ่ง แต่การที่จะเข้ารับตำแหน่งทำงานเลยทั้งๆที่เพิ่งเรียนจบกลับมาแค่ข้ามวัน มันยังเร็วไป

“อย่าเลย...วันนี้ถ้าเราอยากตามพี่ไปบริษัทเราก็ไปได้ แต่ไปแค่ศึกษาดูงานในระบบต่างๆก่อน พี่ยังไม่ให้เราลงมือทำ จนกว่าจะรู้จักตัวเองว่าเหมาะที่จะทำแผนกไหน” โสภณเอ่ย

“ไม่ต้องเสียเวลาอย่างนั้นหรอกค่ะพี่ภณ เจนนี่มีตำแหน่งในฝันของเจนนี่อยู่แล้ว” หญิงสาวยิ้มด้วยแววตามุ่งมั่น

“ตำแหน่งอะไร...”

“รองประธานฝ่ายบริหารค่ะ”

ชื่อตำแหน่งที่ได้ยินจากปากน้องสาวเล่นเอาผู้เป็นพี่ชายถึงกับสำลักข้าวจนต้องรีบควานหาแก้วน้ำมาดื่มก่อนที่มันจะหลุดเข้าหลอดลมแทนหลอดอาหาร...หูเขาต้องฝาดไปแน่ๆที่ได้ยินว่าน้องสาวต้องการทำงานในตำแหน่งที่ทั้งบริษัทเป็นรองอยู่เพียงแค่เขาคนเดียวเท่านั้น

“หา...ว่าไงนะ! ตำแหน่งรองประธานฝ่ายบริหารเหรอ พี่ฟังผิดไปหรือเปล่า”

“ไม่ผิดค่ะ...เจนนี่บอกว่า...เจนนี่จะเข้ารับตำแหน่งรองประธานฝ่ายบริหาร”

“ไม่ได้!...” คำตอบที่แทรกขึ้นมาทันทีนั้นชัดเจนที่สุด

“ทำไมคะ...ก็เจนนี่จะทำ” ใบหน้าสวยๆเริ่มบูดบึ้งขึ้นตามอารมณ์ที่ถูกขัดใจ

“บอกไม่ได้ก็ไม่ได้สิ...ยังไงก็ไม่ได้” โสภณทำเสียงเข้ม

“ทำไมคะ เจนนี่ขอเหตุผล” โสภิตามองหน้าพี่ชายด้วยแววตาไม่พอใจแกมผิดหวัง แต่อย่าคิดว่าเธอจะยอมแพ้

“เราเพิ่งเรียนจบ...ยังไม่มีประสบการณ์พอที่บริหารงานในตำแหน่งที่ต้องอาศัยความรับผิดชอบมากมายอย่างนั้น ตำแหน่งนั้นมันสำคัญระดับที่เทียบเท่ามือขวาของพี่เลยนะ”

“เจนนี่จะเป็นมือขวาของพี่ภณ ยังไงก็จะเป็นให้ได้ คอยดูสิ”

แม้จะถูกปฏิเสธ แต่คิดเหรอว่าคนอย่างเธอจะยอม ในเมื่อบริษัทแห่งนี้เธอมีสิทธิ์ที่จะเข้าบริหารในฐานะที่เธอก็เป็นเจ้าของคนหนึ่ง ยังไงพี่ชายก็ไม่มีสิทธิ์ห้าม คอยดูก็แล้วกันว่าเขาจะห้ามเธอไปได้สักกี่วัน

เนื่องจากว่ากรุ๊ปทัวร์ที่จะเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศในช่วงไฮซีซั่นนี้มีอยู่หลายกรุ๊ปเพียวจึงใช้เวลาในการวางแผนลงตารางงานและระบบต่างๆที่จะทำให้การท่องเที่ยวในเมืองไทยประทับใจชาวต่างประเทศมากที่สุด การพูดคุยกันระหว่างเขากับคุณศักดิ์ชัยหัวหน้าผู้รับผิดชอบคณะทัวร์จากต่างประเทศทุกคณะจึงยาวนานด้วยเวลากว่าสามชั่วโมง

“เอาเป็นว่าตกลงตามนี้ก็แล้วกันนะครับ ทางเราจะไปจัดการตามแผนงานทางภูเก็ตให้เรียบร้อย” เพียวสรุป

“ครับ...ไว้ถ้ามีปัญหาอะไรฉุกเฉินคุณเพียวโทร.ติดต่อผมได้ทุกเมื่อนะครับ” ศักดิ์ชัยเอ่ย

“เช่นกันครับ” เพียวยิ้มด้วยความเป็นมิตร

“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวเลยก็แล้วกันครับ ผมมีนัดทานข้าวกับแฟนตอนเที่ยง ไม่ว่ากันนะครับ” ศักดิ์ชัยบอกด้วยสีหน้าเก้อเขินอยู่นิดๆ

“ตามสบายเลยครับ”

ศักดิ์ชัยเดินจากไปแล้ว แต่เพียวยังคงนั่งอยู่ที่เดิม เขารวบรวมเอกสารบนโต๊ะลงกระเป๋า เรียกบริกรมาสั่งเครื่องดื่มฉลองให้กับความก้าวหน้าธุรกิจท่องเที่ยวครบวงจรของเขา ตั้งแต่กลับมาจับงานนี้ต่อจากมิสเตอร์ไบรอัน เขาก็ค่อยๆซึมซับรับรู้ว่านี่คือสิ่งที่เขาชื่นชอบ อย่าเรียกว่าชื่นชอบเลย เรียกว่าเขาตกหลุมรักงานนี้น่าจะถูกต้องที่สุด

เครื่องดื่มเย็นเจี๊ยบกับบรรยากาศสุดหรูทัศนียภาพสุดสวยของโรงแรมระดับห้าดาวไม่ได้เรียกความสนใจของชายหนุ่มที่นั่งดื่มอยู่ตามลำพังยังเก้าอี้ตัวเดิมได้เท่าร่างโปร่งบางในชุดกระโปรงติดกันที่ก้าวผ่านประตูกระจกของโรงแรมมาพร้อมกับผู้ชายร่างสูงที่แค่เห็นก็รู้แล้วว่าเขาคือใคร

ภาพวงแขนที่เกาะเกี่ยวกันอย่างสนิทสนมนั้นมันช่างขัดกับความรู้สึกของชายหนุ่มนัก ในใจได้แต่ร่ำร้องถามไถ่ว่าเธอเป็นอะไรกับนายโสภณกันแน่ และใครบ้างที่พอจะให้คำตอบเขาได้

โทรศัพท์เครื่องจิ๋วถูกหยิบขึ้นมากดหาหมายเลขที่ต้องการ ก่อนจะยกขึ้นแนบหูเพื่อติดต่อกับคนที่เขาคิดว่าน่าจะให้คำตอบเขาได้มากที่สุด แต่...มันจะเป็นการละลาบละล้วงไปหรือเปล่านะ ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกก่อนจะตัดสัญญาณเชื่อมต่อทิ้งไป สายตายังคงมองตามร่างโปร่งบางนั้นไปแทบจะไม่คาดสายตา เธอช่างมีเสน่ห์ดึงดูดมากมายซะยิ่งกว่าแม่เหล็กต่างขั้ว

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเรียกให้เพียวตื่นจากภวังค์เขาหยิบมาดูเบอร์ที่โชว์อยู่ ก่อนจะกดรับสัญญาณ คงเพราะเขาโทรไปเมื่อครู่นี้แล้วล้มเลิกความคิด พิมพ์พลอยจึงโทรหาเขาใหม่อีกครั้ง

“คุณเพียว...”

น้ำเสียงของพิมพ์พลอยที่ดังผ่านโทรศัพท์ออกมามันฟังแปลกๆพิกล เหมือนคนที่เพิ่งผ่านการร้องไห้มา พิมพ์พลอยเป็นอะไรทำไมเธอต้องร้องไห้ หรือว่าจะเกิดเรื่องขึ้นอีก

“ทำไมเสียงคุณพลอยเป็นอย่างนั้นครับ เหมือนคุณพลอยกำลังร้องไห้ เกิดอะไรขึ้นครับคุณพลอย” เพียวกรอกเสียงถามลงได้ด้วยความเป็นห่วง ในฐานะเพื่อน

“เรื่องมันเศร้าค่ะ ขอโทษนะคะที่ทำให้เป็นห่วง ว่าแต่คุณเพียวโทรมาเมื่อครู่ มีธุระสำคัญหรือเปล่าคะ” พิมพ์พลอยบอกปัดเรื่องของตนเองก่อนจะถามกลับไปในอีกเรื่องที่เป็นประเด็นหลักในการโทรศัพท์ติดต่อ

“เรื่องของผมไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอกครับ เพียงแค่ว่าผมขึ้นมาที่กรุงเทพฯและจะอยู่ที่นี่อีกสองสามวัน ก็เลยโทรมาทักทายคุณพลอยเท่านั้นเอง แต่เรื่องของคุณพลอยนี่สิครับ มันเศร้ายังไง”

“มันเศร้ามากค่ะคุณเพียว” พิมพ์พลอยถอนสะอื้น สายตายังจ้องมองไปข้างหน้าไม่วางตา “คิดดูสิคะ ครอบครัวที่แสนจะอบอุ่น จู่ๆก็ต้องร้อนเป็นไฟเพราะผู้หญิงคนนึงที่เข้ามาประกาศตัวว่าเป็นภรรยาอีกคนของสามี แถมสามียังแสดงออกให้เห็นว่ารักและแคร์ผู้หญิงคนนั้น เป็นคุณเพียว คุณเพียวจะรู้สึกยังไง ฮือๆๆ”

“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็เศร้าอย่างที่คุณพลอยบอกล่ะ แต่คุณพลอยใจเย็นๆเอาไว้ก่อนนะครับ อย่าลืมว่าคุณพลอยยังมีผมอยู่เป็นเพื่อนเคียงข้างคุณพลอยเสมอ แค่นี้ก่อนนะครับ ผมมีบางอย่างจะต้องทำ” เพียวตัดสัญญาณไปเมื่อสายตาของเขาจ้องมองไปยังเจ้าของร่างโปร่งบางของหญิงสาวเจ้าของกระเป๋าสตางค์ใบสวยที่เขากำลังครอบครองอยู่ ในขณะที่พิมพ์พลอยนั่งซับน้ำตาปอยๆ

“คุณเพียวนี่พูดแปลกๆ พูดยังกับว่าเรากำลังเจอมรสุมครอบครัวขนานหนักซะงั้น” หญิงสาวพึมพำกับตัวเอง เธอลุกเดินไปปิดทีวี เมื่อละครเศร้าเคล้าน้ำตาจบลง

เสียงถอนหายใจดังขึ้นพร้อมรอยยิ้มขำตัวเองที่อินน์จัดถึงขนาดปล่อยน้ำตาให้ไหลพรากๆไปกับการแสดงในทีวี นี่ถ้าเรื่องราวในละครที่เธอติดงอมแงมอยู่นี่เป็นเรื่องจริง มันคงเป็นเรื่องเศร้าแสนเศร้าจนสุดหาอะไรมาเปรียบได้



ทองหลาง
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 เม.ย. 2556, 06:53:08 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 เม.ย. 2556, 06:53:08 น.

จำนวนการเข้าชม : 4053





<< ตอนที่1   ตอนที่3 >>
supayalak 18 เม.ย. 2556, 10:45:29 น.
ว่าไปนั้น แบบนี้เค้าเรียกพูดไม่ได้ศัพท์ จับไปกระเดียด รึเปล่าหนอ แต่แหมก็พอกันเลยนะทั้งคุณพลอยกะคุณเพียว เฮ้อออออ


Siang 18 เม.ย. 2556, 10:55:51 น.
แป่วววว นี่คือต้นเหตุแห่งความเข้าใจผิดรึเปล่าเนี่ย


หมูอ้วน 18 เม.ย. 2556, 13:24:49 น.
มาแย้ววว ดีใจจังเลยค่ะ ลงให้จบนะค่ะ ฮิ....


ปอรินทร์ 18 เม.ย. 2556, 14:00:57 น.
มาแย้วววววววววววววววววววว


Zephyr 18 เม.ย. 2556, 22:50:03 น.
พลอยเอ้ย จะรู้ตัวมั้ยนะว่าสร้างประเด็นมาแล้ว หึหึ


ลิลลี่ 19 เม.ย. 2556, 12:42:37 น.
บ้าป่าวคนปกติเค้าไม่พูดแบบพลอยนะ อย่างน้อยก็ต้องเริ่ใต้นด้วยคำว่า อ๋อดูหนังดูละครอยู่มันเศร้าก็ว่ากันไป


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account