พันธนาการหวาม
ถ้าคุณชื่นชอบ เส้นทางระหว่างหัวใจ คุณก็ไม่ควรพลาดเรื่องนี้
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่3



สวนน้ำตกของโรงแรมอันสวยงามและเงียบสงบน่าจะเป็นสถานที่ที่น่าพิสมัยมากกว่าห้องประชุมที่โสภิตาทำได้เพียงนั่งฟังรายงานอันแสนจะน่าเบื่อ...

พี่ชายของเธอไม่สนใจให้ความสำคัญกับเธอในฐานะรองประธานกรรมการฝ่ายบริหารในอนาคตแม้แต่น้อย เพราะเขาแนะนำให้สมาชิกผู้เข้าร่วมประชุมได้รู้จักเธอแค่เพียงว่าเป็นน้องสาวที่เพิ่งสำเร็จการศึกษาจากต่างประเทศมาสดๆร้อนๆเท่านั้น

ความพยายามที่จะแสดงความคิดเห็นอันถือว่าเป็นประโยชน์แก่กิจการถูกสกัดกั้นเสียทุกครั้งอย่างน่าโมโห เพราะพอเธออ้าปาก ก็มีอันถูกพี่ชายพูดแทรกขึ้นมาเสียทุกครั้ง นั่นก็ยิ่งเสริมความเซ็งให้เกิดขึ้นแก่คนที่มีความกระตือรือร้นอย่างเธอมิใช่น้อย

ช่วงพักเบรกโสภิตาจึงไม่รอช้าที่จะถือโอกาสนั้นออกมาจากสถานที่ที่เธอคงไม่ต่างไปจากโต๊ะเก้าอี้หรือแจกันประดับห้องที่ไร้การได้รับความสนใจอย่างสิ้นเชิง

“จะให้เราเรียนรู้ศึกษาดูงานไปพลางๆก่อนงั้นเหรอ...คอยดูเถอะเจนนี่จะเปลี่ยนแปลงระบบระเบียบของโรงแรมนี้ให้ออกมาเพอร์เฟก อย่างที่พี่ภณคาดไม่ถึง จะได้รู้ว่าถึงเจนนี่จะเป็นเด็กใหม่ไร้ประสบการณ์เจนนี่ก็ทำได้”

หญิงสาวให้สัญญากับตัวเองทั้งพยายามคิดและมองหาสิ่งแรกที่เธอจะเริ่มต้นเปลี่ยนแปลง เธอค้นหาสมุดโน้ตเล่มเล็กในกระเป๋าถือมาจัดการจด

“เครื่องแบบพนักงานไม่ถูกใจ...เชยเกินไป อันนี้ต้องเปลี่ยน”

“สวนนี่ก็ดูเก่าไปแล้ว...ดูไม่คลาสสิกเอาซะเลย”

“แล้วก็...”

“อะแฮ่ม...”

เสียงกระแอมที่ดูดังเกินความเป็นจริงเกิดขึ้นไม่ไกลจากจุดที่โสภิตายืนอยู่ และมันคงไม่ทำให้เธอต้องหันไปมองหากไม่มีประโยคคำพูดบางประโยคแว่วเข้ามาในโสตประสาท

“ไม่คิดเลยนะครับว่าคนสวยๆอย่างคุณจะพูดคนเดียวก็เป็น คุณยังสบายดีอยู่นะครับ”

“นาย!...” เปลือกตาคู่สวยเบิกกว้างด้วยความตกใจเมื่อมองเห็นหน้าคมคายของคู่อริที่กำลังก้าวเข้ามาใกล้ได้อย่างถนัดตา

“สวัสดีครับคุณโสภิตา...รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่มีโอกาสได้พบคุณอีกครั้ง” สายตาคมเคลื่อนโฟกัสจากดวงตาคู่สวยมาหยุดลงตรงริมฝีปากอิ่มที่เผยอขึ้นด้วยความพลั้งเผลอ ทำให้อดที่จะคิดถึงความนุ่มหวานของมันไม่ได้

“นี่นายรู้จักชื่อฉันได้ไง...หรือว่า...”

คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันทั้งยังจ้องมองอีกฝ่ายเขม็งอย่างเอาเรื่อง ยิ่งเมื่อเห็นเขาหยิบกระเป๋าสตางค์ใบสวยของเธอออกมาโชว์พร้อมรอยยิ้มกวนประสาทนั่น ก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่เริ่มจะเดือดขึ้นมาทีละเท่าตัว

“นั่นมันของฉันนี่ เอาคืนมานะ” เธอพยายามที่จะคว้า แต่มันกับถูกเบี่ยงหลบแล้วชูขึ้นสูงจนพ้นมือขาวๆนั่น

“มันอยู่กับผมก็ต้องเป็นของผมสิ” เพียวว่าหน้าตาเฉย

“มั่วนิ่มหน้าด้านๆ หลักฐานก็มีในนั้นว่ามันเป็นของฉันยังคิดจะแย่ง นายนี่มันเลวจริงๆ”

“แล้วคุณล่ะ...ทั้งๆที่รู้อยู่เต็มอกว่าเขามีเจ้าของแล้ว หลักฐานก็มีให้เห็นอยู่ชัดเจนยังคิดจะแย่งเขาแบบหน้าด้านๆ” เพียวเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ ทว่าแววตาเขากลับฉายแววดุขึ้นมาวูบหนึ่งก่อนที่มันจะจางไป

“พูดอย่างนี้หมายความว่ายังไง ฉันไปแย่งอะไรใคร...คนอย่างโสภิตาไม่เคยคิดจะแย่งอะไรใครทั้งนั้น เพราะฉันมีปัญญาหามาไว้ในครอบครองเองได้” หญิงสาวเชิดหน้าเถียง แม้ไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายกล่าวหา

“อย่าเรียกว่ามีปัญญาหาเองได้เลย ถ้ามีปัญญาอย่างนั้นคงไม่คิดแย่งของคนอื่น...เลิกเถอะคุณ บาปกรรมเปล่าๆ ถ้าอดอยากปากแห้งนัก ก็มองมาทางนี้ ผมยังว่าง”

“ไอ้บ้า...นายกล้าดียังไงถึงมาพูดดูถูกฉันแบบนี้...จะบอกอะไรให้นะ ต่อให้ผู้ชายทั้งโลกเหลือนายอยู่คนเดียว ฉันก็ไม่มีวันจะหันมาสนใจผู้ชายบ้าๆ ปากเสียๆ อย่างนาย...เอาของของฉันคืนมา ไม่อย่างนั้นฉันจะเรียกยามมาจับตัวนายโยนออกไปจากโรงแรมของฉัน” โสภิตาขู่ ทั้งพยายามแย่งกระเป๋าใบเล็กในมือของคู่อริที่เบี่ยงหลบไปมา

“โอ๊ะ...โรงแรมของฉัน...ชิ...กล้าพูดนะคุณ แต่ก็อย่างว่าล่ะ ความฝันลมๆแล้งๆของผู้หญิงที่อยากจับผู้ชายรวยๆ ไม่สนว่าเขาจะโสดจะว่างหรือเปล่า ขอให้รวยเถอะมีเมียแล้วก็ไม่เกี่ยง...”

เพี๊ยะ...เสียงฝ่ามือกระทบซีกหน้าคมคายของผู้ชายบ้าๆดังกระทบแก้วหู แรงมากถึงขนาดฝ่ายนั้นหน้าหันและเจ็บชาขึ้นมาตามลำดับ โสภิตาไม่เคยคิดหรือรู้มาก่อนเลยว่าในโลกนี้จะมีผู้ชายปากจัดได้ถึงขนาดนี้ แต่พอได้มาเจอ เธอก็บอกตัวเองว่า ตบแค่นี้ยังน้อยไปกับความผิดที่เขาบังอาจมาดูถูกเธอ

แรงตบนั้นมันมีอานุภาพมากจริงๆ มากพอที่จะทำให้เขาหยุดปากที่กำลังจะพ่นคำพูดร้ายๆออกมาได้ชั่วขณะ แต่มันก็มีผลอื่นๆตามมาด้วยเช่นกัน ผลร้ายที่โสภิตาลืมคิดถึงไปเสียสนิท

“ว้าย!...นี่คิดจะทำอะไรฉัน”เสียงประท้วงดังลั่น เมื่อเอวเล็กคอดของเธอถูกเกี่ยวเข้าสู่วงแขนของเขาในทันที

“ทำคนอื่นเจ็บแล้วคิดว่าจะถูกปล่อยให้ลอยนวลหรือไง...ฝันไปเถอะ” เพียวเอ่ยเสียงต่ำ ห้วน ฟังแล้วให้เกิดอาการเย็นยะเยือกไปถึงหัวใจ

“ก็ใครใช้ให้นายปากเสีย ปากไม่ดีเล่า ก็สมควรที่จะโดนแบบนี้เล่า...ปล่อยนะไอ้บ้า ถ้าไม่ปล่อยแม่จะด่าให้ลืมทางกลับบ้านเชียว...ไอ้...อุ๊บ...”

เรียวปากนุ่มอิ่มที่กำลังจะประท้วงถูกปิดลงในทันทีด้วยริมฝีปากของอีกฝ่าย รู้สึกเจ็บและชาเมื่อมันถูกกดเบียดฟันก่อนหัวใจของเธอจะกระตุกวูบเมื่อปลายคางถูกบีบให้ปราการมุกนั้นแยกห่างออกจากกันจนปลายลิ้นนุ่มอุ่นสามารถรุกล้ำควานหาความหวานภายในปากและกระพุ้งแก้มได้สำเร็จ

กำปั้นน้อยๆพยายามทุบแรงๆที่อกกว้าง ทว่ามันกลับค่อยๆอ่อนแรงลงไปทุกที ราวกับว่าเธอกำลังถูกอีกฝ่ายสูบเรียวแรงที่มีอยู่ออกไปจากร่างกายหายไปเสียแทบจะหมดตัว...โสภิตาหน้าแดงก่ำเมื่อรับรู้ถึงแรงดึงรั้งเข้าแนบชิด อกอวบเบียดไปกับแผ่นอกกว้างตึงเขม็งไปด้วยกล้ามเนื้อ เอวและสะโพกแนบสนิทจนไม่เหลือช่องว่าง

“อืม...หวานอย่างนี้นี่เอง นายโสภณถึงได้หลงจนไม่ลืมหูลืมตา หวานซะจนผมแทบจะหลงไปอีกคน” เพียวเอ่ยเมื่อถอนริมฝีปากออกมาพิศมองใบหน้าสวยแดงก่ำของอีกฝ่ายอย่างพอใจ

“ไอ้บ้า...ไอ้เลว... คิดอกุศล” ตวาดกลับด้วยความรู้สึกทั้งโกรธและอาย

โสภิตาพยายามรวบรวมพละกำลังที่มีอยู่ดึงตัวเองให้หลุดออกจากอ้อมอกกว้างที่มันทำให้เธอสั่นไปทั้งตัว แต่ถึงตัวจะหลุดออกมาได้ ข้อมือก็ยังถูกพันธนาการไว้อย่างแน่นหนาด้วยอุ้งมือใหญ่และแข็งราวคีมเหล็ก

“แล้วมันจริงอย่างที่ว่าไหมล่ะ...”เพียวสวนกลับมาทันที

“ไม่...พี่ภณกับฉันเราเป็น...”

“กิ๊ก...ชู้ทางใจ ทางกาย หรือเมียเก็บ คุณไม่จำเป็นต้องบอกผมก็ได้นะ ภาพมันฟ้องให้เห็นอยู่แล้วเต็มสองตา”

“บ้า...”

“เสียดายจริงๆ...เสียดายหน้าสวยๆ รูปร่างดีๆอย่างคุณ สวยๆแบบนี้จะหาที่ดีกว่านายโสภณนั่นกี่ร้อยกี่พันคนยังได้ ที่เขาโสดไม่มีพันธะอะไร ทำไมถึงไม่คิดจะทำฮึ...แย่งคนอื่นเขามันมีความสุขนักเหรอ”

เพี๊ยะ...เสียงตบดังสนั่นขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง ทว่าเป็นอีกข้าง และแรงพอที่จะทำให้เขาหน้าหันได้เช่นเคย แต่คราวนี้เพียวไม่มีโอกาสได้ทำโทษคนที่ประทุษร้ายเขาได้อีก เมื่อเท้าของเขาถูกรองเท้าคัตชูคู่สวยเหยียบลงมาเต็มๆจนเขาเผลอปล่อยมือลงมากุมเท้า

“โอ้ย...อูย...”

เสียงจิ๊ปากดังขึ้นด้วยความเจ็บ ทั้งกระโดดเหย็งๆ สร้างความสะใจให้คนทำร้ายได้พอควร แต่มันก็ยังรู้สึกน้อยไปเมื่อเทียบกับการถูกข่มเหงทั้งร่างกาย คำพูดและจิตใจ

“นายมันบ้า...บ้าที่สุด” เธอตราหน้า น้ำตาคลอจนแทบจะหยด มองเขาด้วยสายตาเคียดแค้น อาฆาต ไม่เคยรู้สึกทั้งโกรธทั้งอายได้มากมายเช่นนี้มาก่อนเลยในชีวิต

“รีบไปให้ไกล ก่อนที่ฉันจะฆ่านาย” เธอตะโกนลั่น ก่อนจะหมุนตัววิ่งหนีไปให้พ้น

“เดี๋ยวคุณ...ทำผมเจ็บแล้วคิดหนีเหรอ” เพียวตะโกนตาม นึกอยากสาวเท้าตามไปจับตัวมาลงโทษอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่อาจทำอย่างที่คิดได้เมื่อมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน

ชายหนุ่มมองกระเป๋าสตางค์ในมือที่ยังไม่ได้คืนเจ้าของ ก่อนจะเก็บมันกลับลงที่เดิมแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เบอร์ที่โชว์บ่งบอกว่าเป็นสัญญาณทางไกลข้ามประเทศที่เขาไม่อาจที่จะปฏิเสธในการรับได้

“สวัสดีครับคุณป้า...ว่าไงนะครับ!...” สีหน้าระรื่นของเพียวเปลี่ยนเป็นตกใจ เมื่อหยุดฟังคำพูดของคนที่อยู่ปลายสัญญาณ “ครับๆๆ ได้ครับ...แล้วผมจะรีบไปครับ”

เพียวตัดสัญญาณโทรศัพท์หลังการสนทนาต่อไปอีกสองสามประโยคนั้นจบลง แล้วเขาก็ต่อสัญญาณใหม่อีกครั้งเพื่อติดต่อบุคคลที่สำคัญที่สุดในชีวิตเขา

“สวัสดีครับแม่...ผมอาจจะกลับบ้านช้าไปสักหน่อยนะครับ พอดีว่ามีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นกับจอร์ซ ผมจะไปเยี่ยมเขาซักหน่อย...แล้วผมจะรีบกลับนะครับ...ครับ...ผมก็รักแม่ครับ”

สีหน้าและแววตาของเพียว เคร่งเครียดลงมากแตกต่างจากเมื่อครู่ที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัด คิดถึงข่าวที่เพิ่งได้รับ มันไม่ใช่เรื่องเล็กเลยสักนิด ยังไงเขาก็ต้องรู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่องให้ได้...

ชายหนุ่มเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกงแล้วก้าวเดินไปยังทิศทางเดียวกันกับที่โสภิตาวิ่งหนีไป เขาไม่คิดที่จะตามเธอเพื่อคิดบัญชีในข้อที่ที่ทำเขาเจ็บ ทว่าส่งที่เขาต้องการคือเรื่องที่เป็นเหตุให้เขาได้มีโอกาสชิมรสหวานปานน้ำผึ้งจากริมฝีปากอิ่มนั้นต่างหาก เขาควรคืนกระเป๋าสตางค์ให้เธอเรียบร้อยเพื่อตัดข้อกังวลเล็กๆนี้ทิ้งไป เพราะมีเรื่องใหญ่ที่เขาต้องให้ความสนใจมากกว่ารออยู่

เสียงเคาะประตูระรัว แสดงให้ทราบถึงความเร่งด่วนของบุคคลที่กำลังต้องการพบบอสผู้มีอำนาจใหญ่สุดในโรงแรมดังจนชายหนุ่มที่กำลังจดจ่อกับการอ่านเอกสารเพื่อพิจารณาอนุมัติต้องเงยหน้าขึ้นเอ่ยอนุญาต

“เชิญครับ”

ประตูห้องประธานกรรมการเปิดผัวะออกในขณะที่ขาของผู้จัดการทั่วไปของโรงแรมก้าวเข้ามาหยุดยืนหายใจหอบเหงื่อซึมเต็มหน้าผาก

“มีอะไรหรือคุณยงยุทธ ดูท่าทางคุณรีบร้อนชอบกล”

“แย่แล้วครับคุณโสภณ...แย่แล้ว...”

“แย่เรื่องอะไร...” โสภณขมวดคิ้ว เขาวางปากกาลงบนโต๊ะปิดแฟ้มงานหันมาสนใจผู้จัดการที่ยืนกระวนกระวายอยู่ตรงหน้าอย่างเต็มที่

“คุณเจนนี่ครับ” น้ำเสียงของยงยุทธกุกกักจนน่าสงสัย

“ทำไม...เจนนี่ทำไม”

“คือ...คุณเจนนี่กำลังเกณฑ์พนักงานชายของโรงแรมทุกคนไปที่สวนน้ำตกครับ” ยงยุทธตัดสินใจรายงาน ทั้งๆที่ยังรู้สึกงุนงงกับตัวเองอยู่ไม่น้อย

“เจนนี่เกณฑ์พนักงานชายไปที่สวนน้ำตก...เกณฑ์ไปทำไม” สีหน้าเจ้าของโรงแรมยิ่งมองดูงุนงงไปใหญ่

“คุณเจนนี่จะทุบสวนน้ำตกทิ้งครับ”

“หา...ว่าไงนะ...เจนนี่ให้คนทุบสวนน้ำตกทิ้งงั้นเหรอ...” โสภณอุทานออกมาด้วยความตกใจก่อนเขาจะลุกจากเก้าอี้มาชะโงกมองเหตุการณ์ต่างๆยังพื้นล่าง และสิ่งที่เห็นคือความชุลมุนเล็กๆที่พอจะมองออกว่ามันคืออะไร

ชายหนุ่มไม่จำเป็นต้องถามรายละเอียดอะไรอีก เขารีบเร่งฝีเท้าพุ่งตรงออกไปภายนอก จุดหมายคือสวนน้ำตกอันเป็นจุดดึงดูดลูกค้า และเสริมความสวยงามร่มรื่นให้โรงแรมน่าใช้บริการมากยิ่งขึ้น โดยมีผู้จัดการที่เพิ่งคาบข่าวมาบอกวิ่งตามหลังไปติดๆ

ลิฟต์ดูช้าไปในการรอคอยที่จะลงไปยับยั้งการกระทำอันก่อให้เกิดความเสียหายสำหรับโรงแรมระดับห้าดาวของเขา โสภณตัดสินใจวิ่งลงบันไดแทน แค่สี่ชั้นคงไม่ทำให้เขาเหนื่อยจนขาดใจตายไปซะก่อนหรอกกระมัง...

“ทุบให้หมด...เอาให้เตียนไปเลย เร็วสิ ใครไม่ทำจะหักเงินเดือน” โสภิตาตะโกนสั่งพนักงานที่กำลังถือค้อนปอนด์ด้วยอาการที่เรียกว่าลังเล

“ได้ยินไหม ฉันสั่งให้ทุบ ใครขัดคำสั่งไล่ออก”

เสียงขู่คาดโทษที่ดูจะหนักขึ้นเรื่อยๆทำให้พนักงานต้องตัดความลังเลทิ้งไป ค้อนในมือเงื้อขึ้นสูงพร้อมที่จะเหวี่ยงลงมากระทบโขดหินจำลอง หากไม่มีเสียงเข้มทรงอำนาจของเจ้าของที่แท้จริงร้องห้ามเอาไว้

“หยุดเดี๋ยวนี้...นี่เกิดอะไรขึ้น ใครก็ได้บอกทีซิ” โสภณตะโกนถามด้วยน้ำเสียงที่น่าจะเรียกว่าตะคอกก็คงจะได้ และน้ำเสียงเช่นนี้ก็มีผลทำให้พนักงานชายถึงกับหน้าตื่นสลับซีด

“คือว่า...” พนักงานที่ถูกเกณฑ์มาต่างกลืนน้ำลายลงคอด้วยความยากลำบาก ความรู้สึกเวลานี้ไม่ต่างจากการยืนอยู่หน้าหลักประหาร

“ว่าไงเจนนี่...”

เมื่อบอสใหญ่หันไปสนใจน้องสาว เหล่าพนักงานชายต่างผ่อนลมหายใจออกจากอกไปตามๆกัน และเมื่อผู้จัดการส่งสัญญาณให้ทุกคนกลับไปทำหน้าที่ของตน พวกเขาก็รีบแยกย้ายกันไปในทันที

“เจนนี่จะทุบสวนน้ำตกทิ้ง” ผู้เป็นน้องสาวตอบเสียงห้วน ทั้งเชิดหน้า เธอไม่คิดหรอกว่าสิ่งที่เธอสั่งการนั้นเป็นเรื่องผิด นอกจากจะคิดว่ามันถูกต้องที่สุดแล้วที่ทำแบบนั้น

“ทำไม...ไหนบอกเหตุผลมาซิ”

“สวนน้ำตกที่นี่มันมีมุมอับมุมทึบที่รอดพ้นสายตาของคนภายนอก ถ้ามีคนร้ายเข้ามาทำ...เอ่อ...อะไรบางอย่าง มุมอับแบบนี้ก็ไม่มีใครเห็น” เจนนี่อธิบายเหตุผลด้วยใบหน้าแดงก่ำ เมื่อเธอคิดไปถึงเหตุร้ายที่เธอเพิ่งจะได้รับเมื่อไม่ถึงชั่วโมงที่ผ่านมา

“ที่นี่ไม่เคยมีเหตุร้ายที่เธอพูด...” โสภณเอ่ย คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันทั้งยังมองน้องสาวด้วยแววตาแสดงความสงสัย ยิ่งอีกฝ่ายหลบสายตาก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงรอยพิรุธที่มี

“มีอะไรหรือเปล่า...”

“เปล่า...แค่เจนนี่อยากให้โรงแรมเรามีมาตรฐานความปลอดภัยสูงขึ้นก็เท่านั้น” ผู้เป็นน้องสาวตอบเสียงแผ่ว ทั้งเมินมองไปทางอื่น

“แต่โรงแรมเราผ่านการประเมินเรื่องความปลอดภัยได้ระดับดีเยี่ยมแล้วนะ”

“แต่สำหรับเจนนี่มันยังไม่ดีพอ ไม่งั้นคง...” คำพูดคนเจ้าปัญหามีอันต้องหยุดลงแค่นั้น เธอไม่อาจพูดอะไรต่อจากนี้ได้อีก เพราะนั่นอาจจะทำให้เกิดเรื่องใหญ่เกินกว่าที่คิดได้

“คงอะไร...” ผู้เป็นพี่คาดคั้น

“มะไม่คงอะไรหรอกค่ะ ถ้าพี่ภณไม่ให้ทุบไอ้สวนน้ำตกอันนี้ทิ้ง เจนนี่ก็ขอจ้าง รปภ.เพิ่ม”

“จ้าง รปภ.เพิ่ม!”

“ค่ะ...เจนนี่จะให้กระจาย รปภ.ให้ทั่วทุกจุดทั้งโรงแรม”

“แต่เรามี รปภ.มากพอแล้ว” ผู้เป็นพี่ชายค้าน

“เจนนี่จะเปิดให้พนักงานหญิงทุกคนได้ฝึกหัดวิชาป้องกันตัว จะไม่ยอมให้ผู้ชายหน้าไหนมารังแกผู้หญิงอย่างเราได้ เจนนี่จะให้พวกผู้ชายคิดและเข้าใจใหม่ว่า ผู้หญิงไม่ใช่เพศอ่อนแอที่ใครจะมารังแกได้ตามอำเภอใจคอยดูสิ อันนี้พี่ภณห้ามปฏิเสธ แล้วก็เรื่องชุดพนักงานต้อนรับก็เหมือนกัน ต้องเปลี่ยนให้รัดกุมมากที่สุด”

“เจนนี่!”

“เจนนี่จะทำ และจะทำให้ได้ พี่ภณไม่ต้องเสียเวลาห้ามเจนนี่” หญิงสาวประกาศก้อง เธอหมุนตัวเร่งฝีเท้าเดินหนีพี่ชาย

“เจนนี่กลับมาเดี๋ยวนี้นะ นั่นจะไปไหน...เจนนี่ เจนนี่”

โสภิตาไม่คิดที่จะกลับมาตามคำเรียกของพี่ชาย ยังไงเธอก็ยังไม่อยากได้ยินคำปฏิเสธในเวลานี้ อย่างนี้ช่วงเวลาที่เธอเดินหนีมา ก็น่าจะเป็นช่วงเวลาที่พี่ชายมีโอกาสได้คิดทบทวนและไตร่ตรองให้รอบคอบ เพื่อเห็นว่าสิ่งที่เธอเสนอไปเมื่อครู่นั้นมันมีแต่ประโยชน์ล้วนๆ

“อ้าวคุณเจนนี่กลับมาแล้วเหรอคะ แล้วคุณภณ...” พิมพ์พลอยเอ่ยถามเมื่อเห็นน้องสามีเดินหน้างอเข้ามาในบ้าน

“พี่ภณอยู่ที่โรงแรมค่ะ” คำตอบที่ให้ไปนั้นแสนห้วนตามอารมณ์

“อ้าว...แล้วใครมาส่งคุณเจนคะ แล้วนี่โมโหใครมา ทำหน้าตูมเชียว” พิมพ์พลอยถามขณะเดินตามน้องสามีเข้ามายังห้องโถงหน้าบันไดขึ้นชั้นสอง

“โมโหผู้ชายทั้งโลก รวมไปถึงสามีพี่พลอยด้วย...เจนนี่จะขึ้นไปสงบสติอารมณ์ข้างบนนะคะ พี่พลอยบอกเด็กทุกคนด้วยว่าห้ามกวน”

พิมพ์พลอยมองตามหลังร่างบางที่วิ่งขึ้นบันไดไปชั้นบนด้วยความรู้สึกงุนงง คำขอแกมสั่งของเจนนี่นั้นคงไม่ได้หมายถึงเฉพาะเด็กรับใช้ในบ้านแน่ๆ นั่นคงจะหมายรวมมาถึงเธอ ดีไม่ดีน่าจะมีโสภณผู้เป็นพี่ชายอยู่ในรายชื่อที่ถูกห้ามด้วย

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นนะ” เธอถามตัวเอง ก่อนจะถอนใจเมื่อคิดถึงคนที่น่าจะให้คำตอบแก่เธอได้ดีที่สุด ก็คงไม่พ้นต้องรอจนกว่าสามีจะกลับมาบ้านในช่วงเย็น

แต่พิมพ์พลอยก็ไม่ได้รอนานเกินไปจนถึงช่วงเวลานั้น เพราะเพียงไม่กี่ชั่วโมงเธอก็ได้ยินเสียงรถแล่นเข้ามาจอดในบริเวณบ้าน

“เจนนี่อยู่ไหนคุณพลอย”

เป็นคำถามแรกที่โสภณเอ่ยถามเธอด้วยสีหน้ายุ่งเหยิงดังขึ้นทันทีที่เขาก้าวเข้าสู่ห้องโถงแล้วพบเธอเดินออกมาทางประตูห้องด้านหลัง

“เก็บตัวอยู่ในห้องตั้งแต่มาถึงแล้วค่ะ สั่งไว้ว่าห้ามใครรบกวน ท่าทางคุณเจนนี่อารมณ์ไม่ดีเลย พลอยจะให้เด็กเรียกลงมาทานข้าว ทานของว่างก็ไม่กล้า กลัวเธอจะอารมณ์เสียมากกว่าเดิม...ว่าแต่...เกิดอะไรขึ้นคะ” ตบท้ายด้วยคำถามที่พิมพ์พลอยจ้องเขม็งมาที่สามีเหมือนจะบอกว่าเขาห้ามบ่ายเบี่ยงที่จะตอบคำถามนี้ของเธอ

“เรื่องมันยาวครับไว้ผมจะเล่าให้ฟังทีหลัง แต่ตอนนี้ขอขึ้นไปดูยัยตัวป่วนก่อน” โสภณผลัดก่อนจะก้าวเท้ายาวๆเดินสวนภรรยาตรงขึ้นไปยังห้องส่วนตัวของน้องสาว ผู้ที่เกือบทำให้เขาต้องสูญเสียสวนน้ำตกแสนสวยที่เก่าแก่อยู่คู่โรงแรมมาเนิ่นนานนั้นไปเสียแล้ว

ห้องของโสภิตาอยู่ทางปีกซ้ายด้านในสุดของตึกคนละฝั่งกับห้องของโสภณที่อยู่ทางปีกขวา แต่ระยะทางเดินจากบันไดไปถึงหน้าห้องก็ใช่ว่าจะไกลเพราะมีห้องพักแขกคั่นอยู่เพียงห้องเดียวเท่านั้น

“เจนนี่ทำอะไรอยู่ เปิดประตูให้พี่ที” โสภณเคาะประตูเสียงระรัว พลางตะโกนเรียกบุคคลที่เขามั่นใจว่าเธอยังอยู่ภายในห้อง แต่ก็เงียบ ไม่มีเสียงตอบรับหรือแม้แต่เลียงลูกปิดประตูที่ขยับ

“ถ้าเธอไม่เปิด พี่จะเอากุญแจสำรองเปิดเข้าไปนะ และถ้าพี่เข้าไปได้ โครงการที่เธอเสนอพี่เมื่อตอนกลางวัน มันจะไม่ถูกหยิบยกมาพิจารณาสักเรื่อง” เขาขู่ต่อ “ว่าไงเจนนี่”

แล้วมันก็ได้ผล เพราะเพียงไม่ถึงนาทีบานประตูที่ปิดสนิทอยู่ตรงหน้าก็ค่อยๆเปิดออกเป็นช่องทางให้ชายหนุ่มได้มีโอกาสแทรกตัวแล้วเดินตามร่างน้องสาวเข้าไปภายใน

ชายหนุ่มเข้ามายืนกอดอกขมวดคิ้วมองน้องสาวที่โถมตัวลงนอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียง ทำเหมือนไม่สนใจแม้มีเขาผู้เป็นพี่ชายยืนอยู่ด้วย ชุดของเธอเปลี่ยนไปแล้วเป็นชุดอยู่กับบ้านแบบสบายๆ ท่าทางของเธอยังบอกให้ทราบได้ชัดเจนว่าอารมณ์ไม่ค่อยจะปกติซักเท่าไหร่ แต่ก็น่าจะดีขึ้นกว่าเมื่อตอนที่เธอเดินหนีขึ้นรถของโรงแรมให้พามาส่งบ้าน

“เจนนี่ หันมาพูดกับพี่...” ชายหนุ่มสั่ง

“มีอะไรก็พูดไปสิคะ หูเจนนี่ยังใช้งานได้” เธอตอบเสียงอู้อี้อยู่กับหมอน

“มีคนฝากกระเป๋าสตางค์มาให้เรา...พี่อยากรู้ว่าไอ้กระเป๋าสตางค์ที่เธอทำหายไปเนี่ยมันมาอยู่ที่โรงแรมได้ยังไง”

คำพูดของพี่ชายมีผลให้ร่างโปร่งบางถึงกับหันขวับมามอง พอเห็นสิ่งที่อยู่ในมือพี่ชาย เธอก็พลิกตัวลุกขึ้นนั่งทันที ไม่น่าเชื่อว่าไอ้วายร้ายนั่นจะคืนกระเป๋าให้เธอง่ายๆหรือว่ามันจะคืนมาแค่กระเป๋าเปล่าๆ มือขาวเนียนจนเห็นเส้นเลือดจางๆยื่นเข้าไปดึงกระเป๋าสตางค์มาเปิดสำรวจว่ามีอะไรหายไปบ้าง แล้วเธอก็พบว่าทุกอย่างอยู่ครบยกเว้นรูปถ่ายหนึ่งใบ เป็นภาพถ่ายเดี่ยวตอนที่เธอยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัย

“พี่อยากรู้ว่ากระเป๋าใบนี้มันไปอยู่ที่โรงแรมได้ยังไง” โสภณคาดคั้น

“ก็พี่บอกเองนี่คะว่ามีคนเอามาคืน แล้วจะมาถามเจนนี่ทำไม” เจนนี่ตอบขณะยัดสิ่งต่างๆที่รื้อออกมาจากกระเป๋ากลับเข้าที่เดิม

“แล้วเขารู้ได้ยังไง”

“ก็อาจจะดูจากที่อยู่”

“ในบัตรของเธอระบุที่อยู่ที่บ้าน ไม่ใช่ที่โรงแรม หรือว่าคนที่เอากระเป๋ามาคืนเขาจะรู้จักกับเธอ” โสภณมองหน้าน้องสาวเขม็งด้วยความสงสัยที่แล่นลิ่วอยู่เต็มหัว “หรือไอ้ที่ทำให้เธออารมณ์เสียจนลุกขึ้นมาสั่งคนทุบสวนน้ำตกจะเป็นคนนี้ เขาเป็นใคร”

“ใครจะไปรู้ล่ะ เจนนี่ไม่รู้ ทำไมพี่ภณไม่ถามพนักงานของโรงแรมล่ะว่าใครเอากระเป๋ามาคืน เจนนี่ก็อยากรู้เหมือนกันว่านายนั่นเป็นใคร”

“ก็ถาม...แต่เขาไม่รู้จัก คนที่ส่งกระเป๋าคืนเขาไม่บอกชื่อ บอกแค่ว่าให้คืนกระเป๋ากับพี่...แต่เอ๊ะ...แล้วเจนนี่รู้ได้ยังไงว่าเขาเป็นผู้ชาย พี่ยังไม่ได้บอกสักหน่อย”

“เจนนี่ไม่รู้หรอกค่ะ ไม่รู้อะไรทั้งนั้น ก็แค่เดาเอา แล้วเจนนี่ก็ไม่เข้าใจว่าพี่ภณจะสนใจเรื่องนี้ทำไมนักหนา ได้คืนก็ดีแล้วไม่ใช่หรือคะ...ว่าแต่เรื่องโครงการที่เจนนี่เสนอไปน่ะ เจนนี่จะทำ...เมื่อครู่พี่ภณรับปากแล้วนะว่าจะพิจารณา” หญิงสาวถือโอกาสใช้เรื่องโครงการเบี่ยงเบนความสนใจของพี่ชาย

“จัดทำร่างโครงการมา พี่จะเอาไปเสนอที่ประชุม ถ้าเขาเห็นชอบด้วย ก็ค่อยว่ากัน”

“ทุกโครงการที่เจนนี่อยากให้มีหรือเปล่าคะ” เมื่ออีกฝ่ายยอมรับฟังข้อเสนอของเธอ ใบหน้าสวยๆก็เริ่มมีรอยยิ้มที่สดใสขึ้น

“ทุกโครงการ...แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะได้รับการอนุมัติทั้งหมดนะ ยังไงก็ต้องผ่านที่ประชุม”

“ถ้าอย่างนั้นเจนนี่จะเขียนโครงการให้สุดฝีมือไปเลยค่ะ” หญิงสาวยิ้มแก้มปริ อารมณ์ที่เคยขุ่นมัวดูเหมือนจะลดหายไปซะกว่าครึ่ง

และแล้วต่อไปนี้เธอก็จะได้เป็นหนึ่งในทีมผู้บริหารตามที่ได้วาดฝันไว้ เป็นมือขวาของพี่ชายที่เขาจะต้องทึ่งในความสามารถของเธอ ผู้หญิงตัวเล็กๆถึงแม้จะอ่อนประสบการณ์ก็ใช่ว่าจะทำอะไรไม่ได้ ยิ่งการบริหารด้วยแล้ว ยิ่งง่ายกว่าปลอกกล้วยเข้าปาก ก็แค่ใช้สมองคิด ปากสั่งการ ไม่ได้ลงมือทำ คนอย่างโสภิตาทำได้อยู่แล้ว หญิงสาวคิดอย่างกระหยิ่ม...

***************

ขอกำลังใจให้กันมั่งนะฮาฟฟฟฟฟ



ทองหลาง
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 เม.ย. 2556, 08:21:04 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 เม.ย. 2556, 08:21:04 น.

จำนวนการเข้าชม : 3249





<< ตอนที่2   ตอนที่4 >>
Siang 19 เม.ย. 2556, 09:17:47 น.
เจนนี่มั่นใจตัวเองเกินไปรึเปล่า


Sukhumvit66 19 เม.ย. 2556, 10:13:45 น.
ทำไมนางเอกงุ้งงิ้งจัง


Zephyr 19 เม.ย. 2556, 12:04:05 น.
ดูจะหลงตัวเองอย่างมาก
ส่งไปให้นายเพียวจัดการ


ลิลลี่ 19 เม.ย. 2556, 12:55:09 น.
ไม่ชอบนิสัยนางเอก ดูเหมือนจะสดใสร่าเริงแต่แฝงไว้ด้วยความเอาแต่ใจตัวเองเหมือนขาดสติ มีความเป็นเด็กมนตัวมากแต่ไม่ใช่ว่าเป็นเด็กไม่ดี แต่เจนนี่ดูเป็นเด็กทีีไม่ค่อยมีเหตุผล รวมๆแล้วถ้าอ่านเฉพาะ2-3ตอนนี้ไม่ค่อยชอบนิสัยแบบนี้55555


หมูอ้วน 19 เม.ย. 2556, 13:28:33 น.
เอากำลังใจมาให้ค่ะ สู้ ๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account