เพทายพ่ายตะวัน
เมื่อเธอคือ กุหลาบแดง แห่ง "เรือนกุหลาบ" และเขาคือ ศัลยแพทย์ ผู้มีฝีปากเชือดเฉือนยิ่งกว่ามีดผ่าตัด..ยุทธการปราบพยศครั้งนี้..มีหัวใจเป็นเดิมพัน!
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่๑๐ อุบัติเหตุ ๑/๒

มยุเรศตื่นขึ้นมาตอนสายพบว่าตัวเองยังนอนอยู่คนเดียวในห้อง หล่อนไม่รู้ว่าเพทายกลับเข้าโรงแรมในยามดึก แล้วตื่นลงไปรอที่ล็อบบี้ชั้นล่าง หรือ..ยังไม่ได้กลับเข้ามาเลย หลังจากฝ่าฝืนข้อกำชับเชิงคำสั่งกรายๆของคุณหมอหนุ่มหน้าดุคนนั้น

“คืนนี้ห้ามออกไปไหนเด็ดขาด..ถ้าพวกคุณยังอยากมีชีวิตรอด” นั่นคือข้อกำชับที่มยุเรศจำได้ติดหู คุณหมอคนนั้นพาหล่อนกับเพทายมาหลบภัยชั่วคราวในโรงแรมห้าดาวแห่งหนึ่งใจกลางเมืองหลวง เขามุ่งตรงมายังที่แห่งนี้ รวดเร็ว เหมือนมีเป้าหมายแน่ชัดอยู่ก่อนแล้ว เด็กสาวเพิ่งมารู้ทีหลังว่า ชายหนุ่มรู้จักกับเจ้าของโรงแรมเป็นการส่วนตัว การจัดหาห้องพักอย่างดี และอยู่ในมุมปลอดภัยจึงเป็นไปได้ราบรื่น ไม่มีติดขัด

มยุเรศจำได้แม่นว่าเพทายพยักหน้าหงึกหงักแทนการรับคำ ไม่มีข้อค้าน ไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ผิดกับบรรยากาศในรถขณะที่เดินทางกันมาตอนกลางวัน ซึ่งมีแต่การโต้เถียงดุเดือด หล่อนยังนึกแปลกใจเลยว่าเหตุใดสาวนักวางแผนจึงได้สงบปากสงบคำมากเป็นพิเศษ เหมือนเป็นคนละคน

“พรุ่งนี้ไม่เกินเก้าโมง ลงไปรอผมที่ล็อบบี้..ทั้งสองคน”

คือคำสั่งห้วนๆประโยคสุดท้ายที่เด็กสาวจำได้แม่นยำอีกเหมือนกัน เหตุที่แม่นเพราะว่าหล่อนรู้สึกขัดหูขัดตากับน้ำเสียง วิธีพูด และสายตาที่ผู้ชายคนนี้มองมา เขาปฏิบัติตนราวกับเป็นเจ้านาย แล้วหล่อนเป็นผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา ซึ่งปกติเวลาอยู่ที่บ้านมยุเรศมักมีแต่คนคอยเอาอกเอาใจ มีแต่คนรับใช้ดูแลประหนึ่งเจ้าหญิง นี่ถ้าไม่ติดว่าเขาเป็นผู้มีพระคุณ ช่วยเหลือหล่อนกับเพทายให้พ้นเงื้อมมือมัจจุราชในวันนี้ล่ะก็ คงได้เกิดการถอนหงอกผู้ใหญ่กันไปแล้วหลายยก

หล่อนก็เป็นเด็กไม่ยอมคนเหมือนกัน ไม่ว่าจะคุณวุฒิ วัยวุฒิ สูงกว่าปานใด หากทำให้ขัดใจ หรือโกรธมากๆ หล่อนก็เคยวีนใส่ไม่ยั้งปากมาแล้ว จุดร่วมนี้กระมัง..เป็นส่วนหนึ่งซึ่งทำให้หล่อนถูกชะตากับเพทาย

“เอาโทรศัพท์มือถือเรามา...พี่จะรีบไปแจ้งตำรวจ” คล้อยหลังศัลยแพทย์หนุ่มปิดประตูห้องเดินกลับออกไปราวหนึ่งชั่วโมง เพทายก็รีบทวงหลักฐานชิ้นสำคัญจากหล่อน จำได้ทีเดียวว่าตอนนั้นมัวแต่ยืนอ้าปากเหวอ ทำหน้างงเป็นไก่ตาแตกกระทั่งพี่สาวคนเก่งต้องเอามือมาเขย่าต้นแขนทั้งสองข้างจนโคลงเคลงไปทั้งร่าง แถมยังรัวคำพูดใส่ไม่ยั้ง

“ชักช้าอยู่ทำไมล่ะยัยโง่ ขืนปล่อยไว้งี้ ไอ้หมอเจ้าของคลินิกนั่นมันเอาเราตายแน่ ยิ่งช้าเท่าไหร่ ยิ่งเสี่ยงเท่านั้น!”

“แต่พี่หมอคนนั้นเขาสั่งห้ามไม่ให้เราออกไปข้างนอกนะคะ มันอันตราย..” คือคำเตือนตะกุกตะกักที่มยุเรศพอจะนึกออกหลังจากตั้งสติได้ “ดาวว่าไม่เสี่ยงหรอกค่ะ มันไม่กล้าตามมายิงพวกเราถึงในนี้หรอก นี่มันกรุงเทพฯนะคะ ผู้คนจอแจ มันไม่กล้าแน่ๆ”

“น้อยไปสินังหนู ไม่เคยได้ยินหรือไง..ที่ที่ปลอดภัยที่สุด คือที่ที่อันตรายที่สุด ไอ้หมอนั่นมันฉลาดจะตาย พี่ว่ามันต้องติดกล้องวงจรปิดไว้คอยสอดส่อง แล้วคิดดู พี่ทำอะไรพิรุธตรงไหนยังนึกไม่ออก มันจับได้ยังไงก็ไม่รู้..เธอน่ะมันอ่อนต่อโลกเกินไปนะน้องดาว ไอ้นั่นมันต้องใช้ภาพลักษณ์ผู้คนจอแจของเมืองหลวงนี่แหละ แทรกตัวเข้ามาปิดปากเราสองคนจนได้..เชื่อพี่เถอะ”

“แล้วมันจะแทรกเข้ามายังไงเหรอคะพี่เพ?” หล่อนถามด้วยความฉงน คิดตามคำบอกของเพทายไม่ทันจริงๆ
พี่สาวนักวางแผนถอนหายใจเสียงดังทำนองระอาปนเหนื่อยหน่ายเต็มทีเมื่อได้ยินคำถามแบบนั้น

“ช่างมันเหอะน่า process จะเป็นยังไงฉันไม่รู้ รู้แต่ว่าตอนนี้พวกเราต้องระวัง outcome กันท่าเดียว ตอนนี้เรามีหลักฐานชิ้นสำคัญอยู่ในมือ สถานีตำรวจอยู่หน้าปากซอยนี่เอง ฉันแอบเห็นตอนนายหมอผีนั่นขับรถเข้ามา เราต้องรีบบุกตีเมืองให้แตกโดยด่วน..ด่วนที่สุดก่อนที่ฉันและเธอจะไม่มีชีวิตรอดได้มีโอกาสนั้น”

“หมอผี..ใครคะ?”

“เฮ้อ..ก็นายคนที่ขับรถพาเรามาหลบภัยที่นี่ไง..เหอะน่าอยู่ๆไปก็รู้เองว่าทำไมฉันถึงเรียกเขายังงั้น”เพทายรีบตัดบท ก่อนจะพุ่งเข้าประเด็นสำคัญอีกครั้ง และเสียงดังกว่าเดิม “โทรศัพท์..ขอด่วนเลย”

“แต่มันอันตรายนะพี่..ดาวว่า..”
มยุเรศไม่มีโอกาสขัดขวางนักวางแผนตัวแสบคนนี้ได้อีก เมื่อเจ้าตัวตาไวและมือไวพอจะรีบวิ่งไปฉกของสำคัญชิ้นดังกล่าวขึ้นมาจากเตียงเบาะนุ่มกลางห้อง

เพทายเหลือบดูชื่อผู้ช่วยร่นระยะเวลาปฏิบัติการตามแผนของหล่อนให้เร็วขึ้น เสียงเรียกเข้านั้นยังดังติดต่อกันอย่างไม่มีทีท่าจะหยุด

“พี่เมศ..แฟนเธอเหรอ” หญิงสาวอ่านชื่อที่ปรากฏบนจอ เงยหน้าขึ้นมาถามในเชิงไม่ต้องการคำตอบ ก่อนจะรีบตัดบท “รอก่อนละกันนะ ไว้คุยวันหลังเหอะ ตอนนี้ฉันต้องรีบไปปฏิบัติภารกิจสำคัญแห่งชาติ”

มยุเรศอยากจะรีบแก้ความเข้าใจของเพทายเสียใหม่..ว่าชื่อที่เห็นเป็นชื่อของพี่ชายหล่อน ทว่าไม่ทันการเสียแล้ว..พี่สาวนักวางแผนกระโจนออกจากห้อง ประตูปิดสนิท..ไม่เห็นเงาของเจ้าตัวอีกเลยจนกระทั่งบัดนี้

เด็กสาวตัดสินใจลุกออกจากเตียง เหลือบมองนาฬิกาบนผนัง อีกครึ่งชั่วโมงจะถึงเวลานัดเจอกันที่ล็อบบี้ มยุเรศคว้าผ้าขนหนูกับอุปกรณ์ส่วนตัวอีกสองสามอย่างแล้วรีบเดินเข้าห้องน้ำ ในยามนี้หล่อนทำได้เพียงอย่างเดียว...ภาวนาให้ลงไปเจอเพทายนั่งจิบกาแฟหรือทำอะไรก็แล้วแต่อยู่ตรงจุดนัดพบ!

“อีกคนไปไหน..?”
คือคำถามห้วนสั้นของชัดเจน เมื่อมยุเรศเปิดประตูออกมาหลังจากได้ยินเสียงเคาะกุกกักดังอยู่สองสามครั้ง ชายหนุ่มกวาดสายตามองไปยังเบื้องหลังรวดเร็ว พบความว่างเปล่า ไม่เห็นใครคนหนึ่งที่เขาคิดว่าควรจะได้พบ

“เอ่อ..” มยุเรศยืนอึ้งทำหน้าไม่ถูกในตอนแรก หล่อนเพิ่งอาบน้ำแต่งตัว ผัดหน้าแบบลวกๆเสร็จไม่กี่นาที เสื้อยืดพอดีตัวกับกางเกงยีนส์ขาเดฟ แถมด้วยมวยผมถูกขมวดตามแฟชั่นอย่างวัยรุ่น ทำให้สภาพโดยรวมที่ศัลยแพทย์หนุ่มมองหล่อน คือเด็กกะโปโลเก้งก้างคนหนึ่ง แม้ใบหน้าจะสวยจัดทว่าขัดหูขัดตาเขาเหลือเกิน

“มัวอึ้งอะไรอยู่..ผมถามคุณว่าอีกคนไปไหน?”
“หนูชื่อมยุเรศค่ะ..มีชื่อเรียก”
หล่อนอดรนทนไม่ไหวขึ้นมาในที่สุด พยายามข่มเสียงให้เรียบนิ่งเท่าที่จะทำได้ ทว่าชัดเจนก็ยังสนใจอยู่เพียงประเด็นเดียว เรียกชื่อเต็มยศของหล่อนอย่างจงใจให้ฟังดูห่างเหิน

“อีกคนไปไหน..คุณมยุเรศ”
พอนึกว่าจะต้องตอบคำถามนี้อย่างไร มยุเรศก็สะดุดไปอีก หากชัดเจนไม่ส่งสายตาเพชฌฆาตเค้นเอาคำตอบจากหล่อนอย่างในตอนนี้ เด็กสาวคงยืนอึ้งต่อไปอีกนานทีเดียว

“น่าจะลงไปรอที่ล็อบบี้แล้วล่ะค่ะ”
น้ำเสียงปราศจากความมั่นใจของหล่อนทำให้ชัดเจนชะงักไปครู่หนึ่ง แต่ด้วยไม่อยากเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ เขาจึงเดินนำออกมา บอกเด็กสาวด้วยประโยคสั้นๆ

“รีบตามลงไปแล้วกัน..เรามีเวลาไม่มาก”

ชายหนุ่มไม่ได้ยินเสียงตอบรับใดๆจากมยุเรศ ทว่าเขาก็รีบเดินมุ่งตรงไปยังลิฟท์ที่อยู่ไม่ไกลจากบริเวณนั้น ไม่สนใจจะหันกลับมามองด้วยซ้ำว่าหล่อนเดินตามเขามาหรือไม่..จิตใจมัวแต่พะวงอยู่กับ ‘อีกคน’ ซึ่งยังไม่ได้พบหน้ากันเช้านี้


“น่าตีจริงๆน้องคนนี้..ทำอะไรไม่ปรึกษาผู้ใหญ่” ไพลินติน้องสาวอย่างไม่จริงจังนัก เพทายนัดให้หล่อนมาพบในล็อบบี้ของโรงแรมชื่อดังแห่งนี้ตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า บอกมีเรื่องด่วนสำคัญระดับชาติจะเล่าให้ฟัง ทีแรกหล่อนบอกปัดเพราะมีเตรียมงานสอนนักเรียนช่วงบ่าย แต่เพราะมีเรื่องของมยุเรศ นักเรียนหญิงชั้นมัธยมสามซึ่งหล่อนเป็นครูที่ปรึกษาดูแลอยู่ มาเอี่ยวในเรื่องสำคัญนี้ด้วย คุณครูสาวจึงต้องมาพบน้องตัวแสบตามนัดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เพทายเล่าเรื่องผจญภัยบ้าระห่ำของหล่อนกับมยุเรศให้พี่สาวฟังละเอียดยิบตั้งแต่ต้นจนจบ ซึ่งก็ได้รับเสียงอุทานด้วยความตกใจ และมีคำตำหนิติติงจากพี่สาวแทรกเข้ามาเป็นระยะ แต่พอหล่อนเล่ามาจนถึงตอนสุดท้าย ที่นำหลักฐานเสียงอัดเทปในโทรศัพท์มือถือไปยื่นให้ตำรวจสถานีไม่ไกลจากโรงแรม และบังเอิญโชคดีได้พบเจ้าหน้าที่ตำรวจไฟแรง ทำงานฉับไว รีบประสานงานจัดการเข้าทลายคลินิกเถื่อนให้โดยเร็วภายในคืนนั้น ทั้งที่เป็นตำรวจนอกพื้นที่

อะไรก็ไม่สำคัญเท่า สื่อมวลชน..ทำงานรวดเร็วได้ใจหล่อนอย่างยิ่ง ไม่น่าแปลกที่หนังสือพิมพ์ทุกฉบับในเช้าวันนี้จะมีข่าวพาดหัวครึกโครมตัวใหญ่กระแทกตากระแทกใจนักวางแผนตัวยง หล่อนยิ้มกว้าง ยืดอกภาคภูมิใจ เมื่อยื่นผลงานอันทรงเกียรติให้พี่สาวได้ประจักษ์แก่สายตา..ไพลินหยุดตำหนิหล่อนด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดทันทีที่อ่านข่าวพาดหัวในหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นจบ

แฉคลินิกลวงโลก รับฝากครรภ์ แท้จริงรับทำแท้งเถื่อน นพ.ศรันย์ สุขพัฒนา อำลาวงการแพทย์ทั้งน้ำตา..

“ตอนนี้พี่ไม่ห่วงใครเท่าน้องดาว..พี่จะพาแกไปอยู่ที่เรือนกุหลาบกับเราสักระยะ..อย่างน้อยก็ในเดือนสองเดือนนี้” ไพลินเปลี่ยนน้ำเสียงกลับเป็นเคร่งขรึมกว่าเดิม เมื่อนึกถึงลูกศิษย์ในความดูแลของหล่อน

“อ้าว..แล้วพ่อแม่พี่น้องเค้าไม่ว่าเอาหรือ พาลูกเต้าเขามาอยู่กับเราน่ะ” เพทายเข้าใจเรื่องความปลอดภัยของมยุเรศที่พี่สาวหล่อนกังวล ว่าหากกลับไปอยู่บ้านเดิมซึ่งหมอศรันย์และพวกรู้จักคุ้นเคยมาก่อน อาจจะมีอันตรายเกิดขึ้น ถึงแม้เจ้าของคลินิกผู้นั้นจะติดคุกไปแล้ว แต่หล่อนก็ยังไม่วางใจอยู่ดี เขาอาจมีสมุนคอยตามล้างตามเช็ด เตรียมเอาคืนตัวการอย่างหล่อนและเด็กคนนี้อยู่ก็เป็นได้

แต่ก็นั่นแหละ..พรากลูกจากอกพ่อแม่ ใช่ว่าจะไม่มีปัญหาน่าหนักใจตามมาภายหลัง เพทายมองอย่างขอความเห็นจากพี่สาว ซึ่งแต่งตัวมาในยูนิฟอร์มสุดเชยเหมือนทุกวันราชการ เผ้าผมรวบตึงไม่มีกระดิกสักเส้น กระโปรงทรงกระสอบยาวคลุมเข้ามิดเม้น อีกทั้งรองเท้าคัชชูขึ้นเงามันวับ..

“เด็กคนนี้มีปัญหากับทางบ้าน..เป็นเด็กที่ค่อนข้างมีปม มีความเครียดสูง พ่อแม่แกเสียไปนานแล้ว เหลือแต่พี่ชาย ซึ่งไม่ได้มีเวลาดูแลใกล้ชิดเท่าที่ควร” ไพลินบอกน้องสาวด้วยความหนักใจ ทว่ายังสำรวมความสงบ สุขุมไว้ในสีหน้าได้อย่างดีเยี่ยม

“ไหนว่าบ้านรวย มีคนรับใช้เป็นสิบไม่ใช่หรือพี่ลิน จะมีเรื่องเครียดอะไรนักหนา..”
เพทายวางถ้วยกาแฟลงบนกระจกโต๊ะกลม ยื่นหน้าเข้ามาถามด้วยความข้องใจ
“เรื่องมันยาว..ไว้มีเวลาจะเล่าให้ฟัง...แต่ยังไงวันนี้พี่ต้องรับแกไปอยู่กับเราให้ได้”

เสียงกระแอมไอของใครบางคนดังแทรกเข้ามา เบนความสนใจของคนทั้งสอง บทสนทนาระหว่างพี่น้องจบลงแค่นั้น ชัดเจนกำลังมองหญิงสาวแปลกหน้าด้วยสายตาคำถาม ถัดไปเบื้องหลัง มยุเรศกำลังเดินตามมาหน้าตาบอกบุญไม่รับ

“พี่ลินก็ลองเคลียร์กับน้องเค้าเองละกัน ว่าจะโอเคมั้ย” เพทายเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นเป็นคนแรก สายตาจับจ้องประสานงากับผู้ชายตรงหน้าเป็นหลัก เอื้อมมือลงไปหยิบหนังสือพิมพ์ฉบับเดิมขึ้นมา ยกยิ้มมุมปากด้วยความสะใจลึกๆ


“ส่วนฉัน..มีผลงานชิ้นโบแดงจะอวดคนปากดี”







ศิลาริน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 เม.ย. 2556, 14:09:31 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 เม.ย. 2556, 14:09:31 น.

จำนวนการเข้าชม : 1454





<< บทที่ ๙ ธาตุแท้ ๒/๒   บทที่ ๑๐ อุบัติเหตุ ๒/๒ >>
ตถตา 20 เม.ย. 2556, 07:16:05 น.
ชอบครับ


ศิลาริน 20 เม.ย. 2556, 08:43:35 น.
@คุณตถตา ดีใจที่ชอบนะคะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ^^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account