พันธนาการหวาม
ถ้าคุณชื่นชอบ เส้นทางระหว่างหัวใจ คุณก็ไม่ควรพลาดเรื่องนี้
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่5

นางเอกอาจจะดูง๊องแง๊งไปสักหน่อยนะคะ...คนเขียนจำเป็นต้องให้นางเอกมีนิสัยแบบนี้ เพราะถ้านางเอก นิสัยดี มีความเป็นผู้ใหญ่ มีความรับผิดชอบสมบูรณ์ดีแล้ว ก็คงไม่มีเรื่องราวสนุกๆ ในการดัดนิสัยนางเอกให้อยู่กับร่องกับรอยในอนาคต...

มาติดตามกันต่อไปเถอะค่ะว่า พัฒนาการในการดัดนิสัยของคุณเธอจะสำเร็จหรือไม่..และด้วยวิธีไหน...^_^




ห้องนอนที่ไม่ใหญ่โตเกินไปกว่าห้องนอนสุดหรูของโรงแรม แต่ก็ไม่เล็กจนทำให้รู้สึกอึดอัดถูกเปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่มิใช่เจ้าของที่แท้จริง...

ช่วงขายาวก้าวผ่านพ้นเข้าไปภายในด้วยความมั่นคง สายตากวาดมองไปรอบๆห้องที่ยังไม่มีความเปลี่ยนแปลงอะไรมากมายนักหลังจากการเข้ามาเยือนของเขาครั้งล่าสุดยังไม่ถึงเดือนซะด้วยซ้ำ ยกเว้นภาพโปสเตอร์ดารานักร้องชื่อดังที่ถูกสับเปลี่ยนไปตามความนิยม และความรู้สึกของผู้มาเยือนในครั้งนี้มันแตกต่างโดยสิ้นเชิง ห้องธรรมดาของผู้ชายคนหนึ่งซึ่งกำลังนอนป่วยอยู่ในโรงพยาบาลกลับสร้างความสนใจชวนให้ค้นหาในปริศนาบางสิ่งแก่เขาได้มากกว่า

เพียวเดินตรงไปยังโต๊ะทำงานที่วางชิดติดกับหน้าต่างเยื้องปลายเตียงเล็กน้อย ม่านสีขาวถูกรูดเปิดโอกาสให้แสงส่องทะลุผ่านบานกระจกใสเข้ามาภายในได้สะดวก ก่อเกิดความสว่างเพิ่มมากขึ้นโดยไม่จำเป็นต้องเปิดไฟกลางห้อง

ผนังใกล้ๆติดโปสเตอร์นักร้องวงร็อกแผ่นใหญ่ รวมไปถึงภาพถ่ายในอิริยาบถต่างๆของจอร์ซ ที่มีทั้งถ่ายเดี่ยวและถ่ายร่วมกับกลุ่มเพื่อนๆ ดวงตาคมกล้ากวาดมองสิ่งของเครื่องใช้เครื่องเขียนที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างเป็นระเบียบ มันก็คงจะสะอาดเอี่ยมตามลักษณะนิสัยของจอร์ซที่รักความเป็นระเบียบ หากไม่มีเศษกระดาษเคลือบมันที่ดูเหมือนถูกฉีกขาดตกอยู่ใกล้ๆอัลบั้มภาพถ่ายเล่มใหญ่

ไม่บอกก็รู้ว่ามันคือชิ้นส่วนรูปถ่าย เพียวหยิบเศษชิ้นส่วนนั้นขึ้นมาดู ก่อนจะกวาดตามองหาชิ้นส่วนอื่นๆ ที่อาจมีเพิ่มแต่ไม่มีให้เห็น แม้แต่ในอัลบั้มรูปตรงหน้าที่เขาหยิบขึ้นมาเปิดดูก็ไม่ปรากฏ นอกจากรูปภาพที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างจอร์ซกับครอบครัวและเพื่อนฝูง ไม่มีส่วนไหนที่ส่อให้เห็นถึงความผิดปกติ

“รูปอะไรนะ...ทำไมจอร์ซต้องฉีกทิ้ง” เพียวถามตัวเอง สมองยังพยายามครุ่นคิด เขาคงอยู่อย่างไม่เป็นสุขแน่ๆหากไม่ได้รับคำตอบ

เพียวละสายตาจากภาพถ่ายพวกนั้นลงมาที่ถังขยะใกล้ๆ คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูง หัวใจเต้นแรงขึ้นเมื่อมองเห็นที่ข้างๆนั้นมีอีกหนึ่งเศษชิ้นส่วนหล่นอยู่ เมื่อหยิบมาดูก็มั่นใจได้ว่ามันเป็นอีกหนึ่งชิ้นของภาพ ถังขยะจึงถูกเปิดออกสำรวจในทันที แล้วเขาก็ยิ้มออกเมื่อพบสิ่งที่กำลังค้นหาและน่าจะสามารถไขข้อข้องใจให้เขาได้

เพียวดึงเก้าอี้ออกมานั่งหลังเก็บเศษชิ้นส่วนภาพถ่ายหลายชิ้นมากองลงบนโต๊ะจนหมด เขามองกองกระดาษตรงหน้านิ่งเหมือนว่ากำลังรวบรวมสมาธิทั้งยังบอกตัวเองว่ายังไงก็จะต้องต่อจิ๊กซอร์พวกนี้ให้สำเร็จ แล้วเพียวก็เริ่มจับเศษกระดาษชิ้นแรกที่ใหญ่ที่สุดมาวาง ตามด้วยชิ้นต่อๆไปที่สามารถวางเข้าได้ตามเหลี่ยมลายให้กลมกลืนต่อกันอย่างใจเย็น

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดจังหวะ เพียวไม่อาจปฏิเสธที่จะรับสายนั้นได้เมื่อเบอร์ที่โชว์อยู่คือเบอร์ของป้าลิซ

“เพียว...” เสียงเรียกขานชื่อของชายหนุ่มนั้นสั่นเครือ เบาหวิว

“ครับป้าลิซ...มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“หมอตรวจพบสารบางอย่างในกระแสเลือดของจอร์ซ หมอบอกว่านั่นอาจเป็นสาเหตุของอุบัติเหตุครั้งนี้” เสียงเจือสะอื้นที่ได้ยินผ่านออกมาจากโทรศัพท์เป็นคำตอบที่ทำให้เพียวต้องหยุดมือในการคุ้ยหาชิ้นส่วนไปชั่วครู่

“สารอะไรกันครับ...”

“เขาบอกว่ามันเป็นสารเสพติด”

“ไม่น่าเชื่อ” เสียงพึมพำเบาๆหลุดออกมาจากปากอย่างเผลอไผล

“เพียว...จอร์ซไม่เสพยา เขาไม่ได้ติดยาแน่นอนป้ามั่นใจ แต่ตำรวจเขาจะเอาตัวป้าไปสอบสวน...เพียว...ป้ากลัวเหลือเกิน” เสียงสะอื้นเริ่มมีมากขึ้นอย่างคนขวัญเสีย

“ป้าลิซทำใจดีๆเอาไว้นะครับ ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้” เพียวบอกด้วยน้ำเสียงร้อนรนไม่แพ้กัน

สายตาของเขามองไปยังภาพจิ๊กซอร์ที่กำลังต่อ มันจวนเจียนจะเสร็จแล้วเหลืออีกเพียงไม่กี่ชิ้น เขาก็จะสามารถมองเห็นใบหน้าของคนในภาพได้ ความลังเลได้เกิดขึ้นในจิตใจ เขาควรจะเดินทางไปพบป้าลิซทันทีตามที่บอกท่านเอาไว้ หรือต่อชิ้นส่วนตรงหน้าให้เสร็จ แต่ด้วยความอยากรู้ เพียวจึงตัดสินใจทนทำต่อไปจนกระทั่งเศษชิ้นส่วนชิ้นสุดท้ายถูกวางลงบนพื้นที่ที่เป็นส่วนของมันทำให้การต่อจิ๊กซอร์เสร็จสมบูรณ์

ภาพที่ปรากฏให้เห็นบนเศษกระดาษลายพร้อย คือภาพชายหนุ่มคนหนึ่ง ที่ไม่ได้ทำให้เขาแปลกใจเพิ่มมากไปกว่าเดิม นอกจากความสงสัยที่มีอยู่ในหัว เขาจำได้ดีว่าเป็นคนเดียวกันกับคนในภาพถ่ายยับยู่ยี่ที่ป้าลิซให้เขาดู และยิ่งหยิบมันออกมาเทียบ ก็ยิ่งยืนยันชัดเจนว่าเป็นคนเดียวกันแน่นอน

เพียวดึงลิ้นชักโต๊ะออก เขาต้องการเทปใสสักม้วนในการต่อประสานภาพที่เพิ่งประกอบเสร็จเข้าด้วยกันตามเดิม แต่สิ่งที่สะดุดตาทันทีที่เปิดลิ้นชักก็คือสมุดเล่มหนาปกหนังสีเลือดหมู ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันคือสมุดบันทึก เขาหยิบมันขึ้นมาพินิจตามใจที่นึกอยากเปิดอ่านข้อความข้างในแต่ก็ผิดหวังเมื่อมันติดล็อกจากแม่กุญแจอันเล็กคล้องกันแน่นสนิทระหว่างปกหน้ากับปกหลัง และนั่นมันก็ยิ่งทำให้เพียวมีความอยากรู้อยากเห็นในสิ่งที่บันทึกอยู่ข้างในเพิ่มขึ้นไปอีกเท่าตัว

ลิ้นชักโต๊ะทำงานถูกรื้อค้นแทบกระจุยทุกลิ้นชักเพื่อหาลูกกุญแจเพิ่มอีกอย่างความลับที่ซ่อนอยู่จะถูกเปิดเผยอย่างแน่นอนหากเขาได้กุญแจดอกนั้นมาไข เพียวยอมเสียมารยาทในการเปิดอ่านไดอารี่ของคนอื่น เพราะเขาคงอกแตกตายเป็นแน่หากต้องตกอยู่ในสภาพของความรู้สึกกังขาเช่นนี้

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นซ้ำอีก เป็นสายของป้าลิซ เพียวจำต้องตัดใจที่จะรื้อค้นห้องของจอร์ซเพื่อหากุญแจไขสมุดบันทึกปริศนานั่น เพราะดูเหมือนว่าเวลานี้ป้าลิซกำลังต้องการเขามากที่สุด

ชายหนุ่มมองรูปที่เขาบรรจงประกอบมันขึ้นจนแล้วเสร็จก่อนจะพ่นลมออกจากปาก ร่างสูงยันกายลุกขึ้น เลื่อนเก้าอี้กลับเข้าไปชิดขอบโต๊ะเช่นเดิมแล้วหมุนตัวเดินจากมา ปล่อยให้ภาพใบนั้นวางอยู่บนโต๊ะอย่างอิสระ เพราะมันไม่ได้มีความจำเป็นกับเขาต่อไป

ไม่ใช่เรื่องยากที่เขาจะหาทางไปที่สถานีตำรวจ สถานที่อันเป็นที่รู้จักกันดีสำหรับประชาชนผู้อาศัยอยู่ในพื้นที่ โดยการใช้บริการของแท็กซี่ เขาจ่ายค่าโดยสารตามราคามิเตอร์ที่ระบุเมื่อถึงที่หมาย ก่อนจะเปิดประตูเร่งฝีเท้าก้าวขึ้นไปยังสถานที่ที่หากไม่มีความจำเป็นจริงๆคงไม่มีใครอยากจะย่างกรายเข้ามาเยือน

เพียวสอบถามพนักงานถึงสถานที่ที่ป้าของเขาถูกนำตัวมาสอบปากคำ และทันทีที่เขาเดินไปหยุดยืนที่หน้าห้อง บานประตูก็เปิดออกกว้างด้วยฝีมือนายตำรวจคนหนึ่งเพื่อเป็นช่องทางให้ป้าของเขาเดินผ่านออกมาได้สะดวก

“ตำรวจว่าไงบ้างครับป้า” เพียวเอ่ยถามทันทีที่เห็นผู้เป็นป้าเดินหน้าเศร้าออกมาจากห้องสอบสวน

“เขาถามถึงพฤติกรรมของจอร์ซ ถามถึงเพื่อนสนิทของจอร์ซ ป้าก็ตอบเขาไปตามที่ป้ารู้ แต่ดูเหมือนเขาจะยังไม่ปักใจเชื่อสักเท่าไหร่ว่าจอร์ซไม่เคยใช้ยาเสพติด ตำรวจตั้งข้อหาเสพยาเกินขนาดจนทำให้เกิดอุบัติเหตุ” ป้าลิซเอ่ยเสียงเครือ ทั้งยังใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาที่กำลังจะเอ่อล้น นางจับมือหลานชายเอาไว้แน่น ณ เวลานี้สิ่งที่นางต้องการที่สุดคงเป็นกำลังใจที่จะสามารถทำให้นางยืนหยัดต่อไปได้อีก

“ทำใจดีๆไว้เถอะครับ ผมไม่อยากเห็นป้าทำหน้าเศร้าแบบนี้เลย”

“จอร์ซเป็นลูกที่ดีของป้าเสมอ เพียวเชื่อป้าหรือเปล่า เพียวเชื่อว่าน้องไม่ใช่คนอย่างนั้นไม่ได้ทำเรื่องเลวร้ายพวกนั้นใช่ไหม” ป้าลิซถามขึ้น น้ำเสียงสั่นเครือและเร่งเร้าให้อีกฝ่ายตอบราวกับว่าคำสนับสนุนของหลานชายจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นทันตา

“ครับ...ผมเองก็เชื่อว่าจอร์ซไม่ใช่คนแบบนั้นเหมือนกัน” เพียวผ่อนลมหายใจออกจากอกเบาๆ ก่อนเข้ามาพยุงผู้เป็นป้า “เรากลับกันเถอะ ป้าลิซเหนื่อยมามากแล้ว ควรพักผ่อนเอาแรง ส่วนเรื่องของจอร์ซป้าลิซไม่ต้องห่วงนะครับผมจะจัดการเอง”

“แต่...”

ความลังเลของหญิงสูงวัยทำให้เพียวมองนิ่งไปที่ใบหน้าซีดเผือดนั้นก่อนเขาจะส่ายหน้าช้าๆเหมือนห้ามการปฏิบัติที่กำลังจะหลุดออกมาจากปากนาง

“ไม่มีแต่ครับป้า...จอร์ซคงกังวลมากถ้าเขารู้ว่าตัวเขาทำให้แม่ต้องเป็นห่วงจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ และนั่นก็จะทำให้เขาไม่มีกำลังใจพอที่จะฟื้นคืนสติกลับมา ถึงเขาจะยังไม่รู้สึกตัวแต่ตราบใดที่เขายังหายใจอยู่เราก็ยังมีความหวัง...ป้าลิซเชื่อผมนะครับ”

คำพูดนุ่มนวลกับเหตุผลที่โน้มน้าวจิตใจให้คล้อยตามได้ราวกับนักจิตวิทยา มีผลให้คนฟังพยักหน้ารับอย่างง่ายได้ และนั่นมันก็ทำให้ผู้เป็นป้าได้เห็นรอยยิ้มยินดีจากหลานชายที่นางชอบมองไม่ต่างจากรอยยิ้มของน้องชายที่เสียชีวิตไปนาน เพราะเมื่อเพียวยิ้ม ใบหน้าของเขานั้นละม้ายบิดาไม่ผิดเพี้ยน

เพียวพาป้าลิซมาส่งที่รถแท็กซี่ บอกเส้นทางกลับบ้านให้เสร็จสรรพ ในขณะที่เขาขอตัวกลับไปที่โรงพยาบาลอีกครั้งเพื่อดูอาการของน้องชาย ณ เวลานี้ความคิดของเขายังวนเวียนอยู่กับสมุดบันทึกเล่มหนาเล่มนั้น อยากรู้เหลือเกินว่าจอร์ซ เขียนอะไรเอาไว้บ้าง เขามั่นใจอย่างยิ่งว่าเรื่องราวต่างๆที่เคลือบแคลงสงสัยจะปรากฏอยู่ในสมุดเล่มนั้นอย่างแน่นอน

การมาอยู่ในถิ่นที่ไม่ใช่สถานที่ที่คุ้นเคยทำให้การที่ต้องทำอะไรต่อมิอะไรมันติดขัดไปซะหมดถึงแม้ที่นี่จะเป็นบ้านเกิดของบิดา แต่เพียวก็ไม่ได้เติบโตที่นี่ เขาคิดว่าหากมีเพื่อนคู่คิดในต่างแดนสักคนที่ไว้วางใจได้คงจะดีไม่น้อย แต่นั่นมันก็เป็นแค่เพียงความคิดที่ยากนักจะเป็นความจริงขึ้นมาได้ เพียวหยุดความคิดไว้เพียงเท่านั้น เมื่อเขาต้องขึ้นแท็กซี่เดินทางต่อไปยังโรงพยาบาล...

ถนนหนทางในรัฐฟลอริดาส่วนใหญ่จะเชื่อมโยงเป็นตาข่ายคล้ายใยแมลงมุมทำให้การเดินทางไปยังที่ไหนๆ เป็นไปได้อย่างสะดวกและไม่ต้องเสียเวลาจากเหตุรถติดมากมายเช่นกรุงเทพฯ วิวทิศทัศน์ภาพเมืองก็ดูแปลกตากว่าด้วยโครงสร้างที่เข้าสู่ความเจริญรุ่งเรืองมากกว่า ทั้งห้างร้านและผู้คนที่เดินสัญจรผ่านไปมาบนทางเดินเท้า

ชายหนุ่มปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปกับปริศนาที่เขาเองเป็นคนสร้างมันขึ้นจากสิ่งที่น่าสงสัยรายรอบตัวของน้องชายที่นอนป่วยอยู่โรงงพยาบาล ขณะที่สายตาก็ทอดมองไปยังผู้คนภายนอกรถจนกระทั่ง...

“ช่วยหยุดรถให้ผมทีครับ ผมขอลงตรงนี้” เพียวแจ้งความจำนงให้คนขับทราบด้วยน้ำเสียงรีบร้อน

เขาจ่ายค่าโดยสารโดยไม่สนใจที่จะรอรับเงินทอน ก่อนจะออกวิ่งตามบางสิ่งที่เคลื่อนผ่านพ้นไปยังมุมถนนอีกซอย เพราะมีผู้คนที่ค่อนข้างหนาตาทำให้ความเร็วในการติดตามไม่เป็นไปได้ดีเท่าที่คิด แต่ก็ยังดีที่เพียววิ่งไปได้ทันพอที่จะเห็นการเปลี่ยนทิศทางของสิ่งนั้น

“ต้องใช่แน่ๆ” ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเอง

เพียวลดฝีเท้าลงเมื่อก้าวไปหยุดอยู่ที่หน้าทางเข้าสวนสาธารณะเล็กๆกลางเมือง สถานที่ที่มอเตอร์ไซค์ฮาเล่ย์คันใหญ่วิ่งผ่านเข้าไป เขาตัดสินใจเดินตามเข้าไป กวาดสายตามองไปรอบๆเส้นทางคอนกรีตที่ทอดยาวเข้าสู่ภายใน มอเตอร์ไซค์คันใหญ่นั้นค่อนข้างสะดุดตา ไม่น่าจะมีปัญหาเล็ดรอดไปได้ และยิ่งอีกฝ่ายไม่ทันรู้ตัวว่าถูกตามเช่นนี้

มอเตอร์ไซค์ฮาเล่ย์ที่มีผู้ขับขี่เป็นบุคคลผู้มีใบหน้าละม้ายคล้ายคนในภาพถ่าย จอดนิ่งอยู่เบื้องหน้าในระยะไม่เกินสามสิบเมตร ใกล้ๆกับเก้าอี้ยาวที่วางไว้สำหรับผู้ต้องการพักผ่อนดื่มด่ำธรรมชาติ ทว่ามันกลับไม่ได้เป็นที่นั่งของเจ้าของรถจักยานยนต์คันโตอย่างที่น่าจะเป็น

เพียวเดินเข้าไปหยุดอยู่ใกล้ๆ กวาดตามองไปรอบๆอีกครั้ง มันไร้วี่แววของสิ่งมีชีวิตนอกเหนือจากต้นไม้ที่น่าจะปรากฏให้เห็นบ้าง

“ไปไหนนะ...ไวจริงๆ” เพียวบ่นกับตัวเอง

จริงๆแล้วการที่เขาต้องการพบผู้ชายคนนั้น เขามีเหตุผลอยู่หลายประการแต่ประการที่สำคัญที่สุดก็คือ เขาต้องการแน่ใจว่าบุคคลที่เขาเห็นวันนี้เป็นคนคนเดียวกับปริศนาในภาพถ่ายนั่นหรือไม่ ถ้าหากใช่ มันอาจจะเป็นช่องทางหนึ่งในการช่วยให้จอร์ซรอดพ้นจากคดีที่ทางตำรวจตั้งข้อหาเอาไว้คือเสพยาเกินขนาดจนประสบอุบัติเหตุ เพราะลางสังหรณ์บางอย่างบอกเขาว่าผู้ชายคนนี้น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องรู้เห็น

เพียวอยากจะยืนรอจนกระทั่งเจ้าของรถกลับมา แต่ทว่าเขาไม่อาจทำเช่นนั้นได้เมื่อโทรศัพท์ของเขาดังขึ้นอีกครั้งในรอบวัน

“ครับป้าลิซ...”เพียวกล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลราบเรียบ ซ่อนความผิดหวังในสิ่งที่ตั้งใจไว้ให้มิดชิด

“เผอิญผมแวะทำธุระนิดหน่อยครับ ยังไม่ถึงโรงพยาบาลเลยครับ” เพียวตอบคำถามผู้เป็นป้า แล้วหยุดฟังก่อนจะเบิกตาออกกว้างเมื่อได้ยินคำบอกเล่าที่ดังผ่านออกมาจากเครื่องรับส่งสัญญาณสื่อสารด้วยความยินดี

“เหรอครับ...จอร์ซถูกย้ายออกมาอยู่ห้องพักฟื้นแล้ว เป็นข่าวดีมากๆเลยครับ แต่...ป้าลิซพักผ่อนต่อไปเถอะครับ เรื่องจอร์ซผมจะจัดการดูแลให้เอง ป้าลิซหายกังวลได้แล้ว อย่างน้อยเราก็รู้แล้วว่าจอร์ซพ้นขีดอันตราย”

เพียวตัดสินใจหันหลังเดินจากสถานที่แห่งนั้น ทิ้งความอยากรู้อยากเห็นไว้เบื้องหลัง แต่เมื่อเขาเดินห่างมาได้ไม่เท่าไหร่ เสียงกระหึ่มของรถก็ดังขึ้น ด้วยความเร็วที่เพียวไม่ทันจะหันกลับไปมองรถก็วิ่งแซงไปข้างหน้าพร้อมร่างอันสะโอดสะองของแหม่มสาวผมทองปลิวสะบัดไปตามแรงลมในชุดเสื้อกล้ามสีชมพูกางเกงยีนขาสั้นจู๋ เผยให้เห็นผิวเนื้อขาวจั๊วะเป็นไข่ปอกที่กอดเอวคนขับเอาไว้แน่น

และแล้วเขาก็ไม่มีโอกาสได้เห็นใบหน้าของผู้ชายคนนั้นแบบชัดๆ อย่างที่ตั้งใจ แต่ช่างเถอะ ยังมีเวลาที่เขาจะค้นหาความจริงอยู่อีกหลายวัน เชื่อว่าไม่วันใดก็วันหนึ่งทุกอย่างจะต้องกระจ่างแจ้งแก่ใจของเขาในที่สุด



ในอีกซีกโลกที่มีความวุ่นวายไม่แพ้กัน...

โสภณเดินนำน้องสาวที่อยู่ในชุดพนักงานตามตำแหน่งเข้ามายังแผนกที่เธอต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยตนเอง สร้างความฮือฮาให้กับพนักงานในแผนกนั้นได้ไม่น้อยกับภาพเจ้าของโรงแรมหนุ่มรูปงามกับแม่บ้านสาวน้อยแสนสวยที่แม้จะอยู่ในชุดพนักงานของโรงแรม เธอก็ยังดูสวยกระจ่างใสตามวัยแรกแย้ม

“ผมพาพนักงานคนใหม่มาให้คุณวลัยช่วยสอนงานครับ” โสภณเอ่ยขึ้นทันทีที่เข้ามาหยุดยืนอยู่กลางห้อง

“คะ...” เจ้าของชื่อวลัยทำหน้างง ยิ่งมองเห็นคนที่เดินตามหลังเจ้านายใหญ่เข้ามาก็ยิ่งงงไปใหญ่ ก็มีใครบ้างที่จะไม่รู้ว่าสาวน้อยแสนสวยคนนี้คือใคร

“คุณวลัยจะทำหน้าที่ฝึกสอนเราให้เข้าใจกบวนการและระบบการทำงานของแผนกที่มีความสำคัญมากที่สุดอีกแผนก ตั้งใจทำให้ดีๆนะ ถ้าเจนนี่ทำดีเรียนรู้งานเร็วพี่จะย้ายเจนนี่มาฝึกงานในแผนกต่อไป” โสภณเอ่ยอย่างเป็นงานเป็นการ

“จะให้เจนนี่ทำหน้าที่อยู่แผนกนี้จริงๆหรือคะพี่ภณ เจนนี่เรียนจบบริหารมานะคะ” ผู้เป็นน้องสาวอดประท้วงไม่ได้

“ก็เพราะจบบริหารนี่แหละเราถึงต้องรู้งานทุกระบบให้เข้าใจและสิ่งที่จะทำให้เข้าใจได้อย่างลึกซึ้งก็คือการลงมือปฏิบัติด้วยตัวเอง ไม่อย่างนั้นจะไปบริหารใครเขาได้ ตั้งใจทำให้ดีก็แล้วกัน”

“พี่ภณน่ะ...ทีตอนคุณพ่อยังอยู่ไม่เห้นพี่ภณต้องลงมาทำแบบนี้เลย” โสภิตาทำหน้ามุ่ย

“ใครว่าล่ะ...เราไม่เคยมาดูพี่ทำงานแล้วจะมารู้อะไร คุณพ่อก็ให้พี่เริ่มทำงานแบบนี้เหมือนกันเพียงแต่ว่าหน้าที่ของพี่คือพนักงานต้อนรับที่ยืนไหว้อยู่หน้าประตู รอเปิดต้อนรับแขก พี่ทำหน้าที่นั้นอยู่เป็นเดือนๆ ก่อนจะไปทำแผนกดูแลสวน”

“จริงเหรอ...” โสภิตาไม่อยากเชื่อคำพูดของพี่ชายเลยสักนิด

“แน่นอนที่สุด...”

“ไม่อยากเชื่อเลยแฮะ” ผู้เป้นน้องสาวค้ออนให้

เจ้านายหนุ่มยกมือขึ้นยีผมน้องสาวอย่างเอ็นดู ด้วยรอยยิ้มให้กำลังใจ ก่อนจะหันไปพูดกับหัวหน้าพนักงานฝ่ายดูแลความเรียบร้อยและทำความสะอาดห้องพัก “ฝากด้วยนะครับคุณวลัย”

“ค่ะ...” คุณวลัยรับคำด้วยความรู้สึกเกรงๆ

ก็จะไม่ให้รู้สึกเกรงได้อย่างไรในเมื่อเด็กฝึกงานหน้าที่แม่บ้านคนใหม่ที่วลัยต้องรับผิดชอบ เป็นถึงน้องสาวเจ้าของโรงแรม และไม่ใช่แค่เป็นน้องสาวอย่างเดียว คุณเจนนี่ยังเป็นถึงหุ้นส่วนหรือจะพูดให้ชัดๆก็คือเจ้าของโรงแรมอีกคนที่ใครๆก็รู้ดีในความสำคัญข้อนี้ว่า ถ้าเกิดความเข้มงวดที่ปกติแล้ววลัยมักจะเคี่ยวเข็ญเพื่อคุณภาพงานเป็นเลิศกลับกลายเป็นที่ขัดความรู้สึกจนเกิดความไม่พอใจขึ้นมา การถูกหักเงินเดือนหรือแม้แต่ถูกไล่ออกคงมีให้มองเห็นอยู่ลางๆ

“ไม่ต้องเกรงใจอะไรทั้งนั้นนะ...เอาล่ะเริ่มงานกันได้แล้ว” โสภณสั่งก่อนจะเดินจากไป ทิ้งน้องสาวเอาไว้ให้เรียนรู้งานตามความตั้งใจเดิม

“ถ้าอย่างนั้นเราไปเริ่มเรียนรู้กันเลยนะคะคุณเจนนี่ เชิญทางนี้ค่ะ” วลัยเอ่ยชวนอย่างสุภาพ ก่อนจะเดินนำพนักงานกิตติมศักดิ์ไปยังห้องอีกห้องหนึ่งที่ใช้เป็นห้องเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาด

รถเข็นที่บรรจุสิ่งของที่ใช้ในงานจิปาถะถูกเข็นออกมาเพื่อใช้งานกับห้องพักแขกห้องหนึ่งที่ผู้รับบริการเพิ่งจะเช็คเอาท์ออกไป

“เราจะเริ่มที่การเก็บผ้าปูที่นอนปลอกหมอนพวกนี้ส่งซัก แล้วเอาผืนใหม่มาเปลี่ยนค่ะ เก็บชายผ้ายัดเข้าไปใต้ฟูก ดึงให้ตึงแบบนี้นะคะ” วลัยสอนพลางทำให้ดูไปด้วย โดยมีนักเรียนยืนกอดอกมองด้วยสีหน้าที่ยากจะเดาถึงความคิดความสนใจของเธอ

“คุณเจนนี่ลองทำดูนะคะ ไม่ยากหรอกค่ะ”วลัยเอ่ยก่อนจะดึงผ้าปูที่นอนที่ปูเรียบร้อยให้กลับมาอยู่ในสภาพก่อนปู

โสภิตาขยับเข้าไปยืนแทนที่หัวหน้าแม่บ้าน เธอพยายามทำทุกอย่างให้เหมือนที่เห็น แต่ผลที่ได้กลับไม่เป็นไปอย่างที่ต้องการ พื้นที่ปูผ้า พอดึงมุมหนึ่งมันก็ยับมุมหนึ่ง ดึงไปดึงมาก็หลุด ยิ่งออกแรงก็ยิ่งเหนื่อย ไม่น่าเชื่อว่าแค่การปูเตียงแค่นี้จะเป็นเรื่องยากสำหรับเธอ

“ไม่ใช่แบบนั้นค่ะ ต้องแบบนี้” วลัยเข้ามาช่วยจับโน่นดึงนี้ในแบบวิธีที่ถูก

“คุณวลัยคะ ฝ่ายบัญชีขอพบค่ะ” เสียงพนักงานสาวคนหนึ่งดังขึ้นที่ประตู

วลัยผละจากหน้าที่ที่เพิ่งได้รับมอบหมาย เดินมายังประตู ด้วยสีหน้าแสดงความสงสัยในเรื่องที่เธอถูกตามตัว ซึ่งไม่บ่อยนักที่จะถูกเรียกพบแบบนี้

“เรื่องอะไร”

“เห็นบอกว่าเกี่ยวกับวัสดุงานบ้านงานครัวที่สั่งซื้อไปค่ะ”

ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับการจัดซื้อของใช้สำหรับงานในแผนกมันก็สำคัญอยู่ไม่น้อย และสำคัญเกินกว่าที่จะรอไว้ทีหลังได้

“อ้อ...ขอบใจมากที่มาบอก” วลัยพยักหน้าในเชิงรับทราบและอนุญาตให้อีกฝ่ายกลับไปได้ ก่อนจะหันมาสนใจ น้องสาวเจ้านายต่อ

“คุณเจนนี่หัดทำเตียงอย่างเดียวไปก่อนก็แล้วกันนะคะวันนี้ เอาให้เนี๊ยบที่สุด เช็คโดยการโยนเหรียญลงไปนะคะถ้าเหรียญเด้งขึ้นมา ถือว่าผ่านค่ะ แล้วดิฉันจะแวะมาดูอีกที” วลัยถือโอกาสสั่งงานไว้

“เชิญคุณวลัยตามสบายเถอะ ไม่ต้องห่วงทางนี้นะคะ” โสภิตายิ้มอย่างที่พยายามปรับสีหน้าให้แสดงออกถึงความจริงใจมากที่สุด

พอพ้นร่างของวลัย โสภิตาก็ได้โอกาสถอนหายใจเฮือกใหญ่ เมื่อมองลงมายังงานตรงหน้า ความสามารถของเธอในเวลานี้ จัดว่าทำได้เพียงแค่พอให้เตียงดูเรียบร้อยขึ้นเท่านั้น ยังไม่อยู่ในระดับเนี๊ยบตามมาตรฐานที่โรงแรมพึงมี นี่แค่ปูเตียงนะยังเหลือการทำความสะอาดทั้งห้องนอนและส่วนของห้องน้ำอีก อย่างนี้จะรอดหรือเปล่าแทบไม่รู้ คิดแล้วเธอก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงกว้างแขนก่ายหน้าผากอย่างหมดแรง

เออ...แล้วคนฉลาดๆอย่างโสภิตาจะมากังวลอะไรกับไอ้งานพื้นๆพวกนี้นะ มีสมองไว้คิดมันต้องมีวิธีที่เธอสามารถผ่านงานจุดนี้ไปได้อย่างฉลุยอยู่แล้ว หากเรื่องแค่นี้เธอไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาให้ผ่านไปได้ แล้วเธอจะมีปัญญาอะไรไปคิดทำงานใหญ่กว่านี้ ร่างบางก็ดีดตัวลุกขึ้นด้วยรอยยิ้มของผู้ชนะกับหนทางรอด ก่อนจะเดินฮัมเพลงออกจากห้องไป



ทองหลาง
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 เม.ย. 2556, 13:40:34 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 เม.ย. 2556, 13:40:34 น.

จำนวนการเข้าชม : 2566





<< ตอนที่4   ตอนที่6 >>
Zephyr 22 เม.ย. 2556, 23:24:16 น.
เซ็งกะนิสัยยายเจนนี่อ่ะ
ฉลาดแกมโกงเกินไปนะค้า


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account