พันธนาการหวาม
ถ้าคุณชื่นชอบ เส้นทางระหว่างหัวใจ คุณก็ไม่ควรพลาดเรื่องนี้
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่8



แล้วปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้น...

หลังจากนั้นไม่กี่วันจอร์ซก็ฟื้นขึ้นมาในภาวะที่เรียกว่าพ้นขีดอันตราย ถึงแม้ว่าเขายังให้การอะไรกับตำรวจไม่ได้ และยังไม่สามารถให้ความกระจ่างแก่เขาผู้เป็นพี่ชาย ด้วยสภาพร่างกายและจิตใจที่ยังต้องได้รับการเยียวยาไปอีกสักระยะ แต่เขาก็พอใจกับความปลอดภัยของจอร์ซก็ถือได้ว่าเป็นความกรุณาของพระเจ้าอย่างที่สุดแล้ว เพราะนี่ทำให้เพียวสามารถเดินทางกลับเมืองไทยได้อย่างเบาใจและคลายกังวลไปได้อีกเปลาะ

เครื่องบินของสายการบินระหว่างประเทศอเมริกาสู่เมืองไทยลงจอดอย่างปลอดภัยแล้ว เพียวก็ตรงไปยังช่องทางที่เขาจะต้องต่อเที่ยวบินสู่ภูเก็ต การเดินทางกลับครั้งนี้เขาไม่ได้โทรศัพท์บอกใครได้ทราบล่วงหน้าเพราะต้องการให้เป็นเรื่องเซอร์ไพรส์แก่มารดา

ซื้อตั๋วแล้วยังพอมีเวลาอยู่บ้างกว่าเครื่องจะออก ชายหนุ่มจึงใช้โอกาสนี้นั่งดื่มกาแฟแกล้มครัวซองเป็นอาหารมื้อเช้าสำหระหว่างนั้นก็ปรับเวลาใหม่ให้เป็นเวลาที่ใช้ในประเทศไทย ทั้งฆ่าเวลาด้วยการนั่งมองผู้คนมากมายที่เดินขวักไขว่ผ่านไปมาตามความรีบเร่ง ในการเดินทาง

ชายหนุ่มใช่เวลาในการนั่งดื่มจนคุ้มก่อนจะลุกขึ้นเดินไปยังช่องทางขึ้นเครื่องตามที่ตั๋วระบุ แม้จะเป็นเวลาเช้า แต่ผู้โดยสารเครื่องบินเที่ยวเดียวกันกับเขาก็มีไม่น้อย ทว่าเขาไม่ได้ห่วงกับการที่ต้องเบียดเสียดยัดเยียดในชั้นประหยัด เมื่อครั้งนี้ เขาซื้อตั๋วชั้นนักธุรกิจเพื่อที่จะให้การเดินทางของเขาสบายขึ้นบ้าง แม้จะเป็นช่วงเวลาเล็กน้อยก็ตาม

เพียวเดินหาที่นั่งของตัวเองตามหมายเลขที่ระบุ น่าเสียดายที่มันไม่ใช่ที่นั่งติดหน้าต่างอย่างที่เขาชอบ แต่คิดว่าน่าจะไม่มีปัญหาหากเขาจะขยับเข้าไปนั่งด้านในสุด เพราะปกติแล้วผู้โดยสารชั้นนี้จะมีไม่มากมายอะไรนักและคิดว่าแถวที่เขานั่งคงไม่มีใครอีก

ผู้คนเริ่มทยอยเข้ามานั่งประจำที่ แต่เพียวกลับสนใจสิ่งต่างๆภายในนิตยสารเล่มใหญ่ที่ซื้อติดมือมาด้วยนั้นมากกว่า ปกติเขาเป็นคนชอบอ่านหนังสือ อ่านได้ทุกอย่างทุกประเภท เพราะหนังสือคือเพื่อนคลายเหงาได้ดีเยี่ยม ทว่า...ตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นกับน้องชาย วันนี้ก็เพิ่งจะเป็นวันแรกที่เขามีโอกาสได้หยิบนิตยสารมาอ่านอย่างจริงจัง จนกระทั่ง...

“ขอโทษค่ะ นั่นมันที่นั่งของฉัน”

เสียงใสๆดังขึ้นใกล้ๆ เรียกให้ชายหนุ่มลดหนังสือเล่มใหญ่ที่บังใบหน้าจนมิดนั้นลงก่อนจะหันกลับมามอง แล้วคิ้วเข้มก็ต้องเลิกขึ้นสูงเมื่อเห็นชัดเจนว่าคนที่ยืนทำหน้าเคร่งอยู่ตรงหน้าคือใคร

“อ๋อ...ครับๆๆๆ ขอโทษด้วยครับ” เพียวลุกขึ้น ขยับเดินออกมายืนอยู่ช่องทางเดิน เพื่อให้คนที่เขาคาดไม่ถึงว่าจะเจอ แทรกเข้าไปนั่งยังที่นั่งของเธอ โดยไม่สนใจที่จะเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขาเลยแม้แต่น้อย

ยัยนี่ใช่ย่อยแฮะ...จองที่นั่งระดับนี้ได้ คงอ้อนคนจ่ายค่าตั๋วมาหลายยกล่ะสิท่า ว่าแต่เธอจะไปภูเก็ตทำไม ไปกับใคร หรือนายโสภณนั่นจะไปด้วย ความคิดนั้นทำให้เพียวชะเง้อคอมองไปยังทางเข้าก็ไม่พบคนที่เขาคิดว่าไม่น่าจะปล่อยให้กิ๊กสาวแสนสวยเดินทางไปไหนโดยลำพัง

“ขอโทษนะคะ เชิญนั่งที่ได้แล้ว เครื่องบินกำลังจะเคลื่อนเข้ารันเวย์แล้วค่ะ”

เสียงแอร์โอสเตสดังขึ้น เพียวหันมาสบตาแล้วยิ้มตอบพนักงานประจำเครื่องคนสวย ก่อนจะแทรกเข้าไปยังที่นั่งของเขาที่อยู่ติดกับที่นั่งของคนที่เพิ่งทวงคืนเมื่อครู่ อดขำไม่ได้กับความบังเอิญที่เกิดขึ้นอย่างเหลือเชื่อ

เสียงหัวเราะของเขาคงสร้างความสงสัยให้คนหน้าสวยที่นั่งติดหน้าต่างคนนั้น เมื่อเธอหันกลับมาสบตาเขา ก่อนคิ้วเรียวจะขมวดเข้าหากัน...เธอคงจำเขาได้แล้ว ณ เวลานี้

“นี่คุณ มั่วหรือเปล่า” คำถามเหยียดๆดังขึ้น

“มั่วอะไรครับ”

“ที่นั่งไง อย่างคุณมันต้องโน่น ชั้นประหยัดโน่น”

“ทีคุณยังนั่งชั้นนี้ได้ แล้วทำไมอย่างผมจะนั่งไม่ได้ ว่าแต่ใส่ลูกอ้อนไปกี่ยกล่ะ” เพียวถามกลับไปพร้อมแววตาพร่างพรายไวระริก ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นระอา “เฮ้อ...นี่ล่ะนะผู้หญิง ทำได้ทุกอย่างเพื่อแลกกับความสบาย”

“พูดให้ดีๆนะ...ถ้าสมองที่คิดแต่เรื่องเลวๆของนายสั่งให้ปากพูดเรื่องดีๆไม่ได้ก็สั่งให้มันหุบซะ” โสภิตากัดฟันกรอด ใจพยายามระงับโทสะที่กำลังจะเพิ่มดีกรีสูงขึ้นไปทีละลำดับ

ความรู้สึกเซ็งกะชีวิตเกิดขึ้น ทำไมวันนี้ถึงเธอซวยนักนะที่ต้องมาเจอไอ้ผู้ชายปากเสียไร้ความเป็นสุภาพบุรุษแต่เช้า ทั้งๆที่เมื่อคืนออกจะฝันดี...ฝันว่าได้เดินเที่ยวเล่นบนหาดทรายขาว บรรยากาศงดงาม จับจูงมือไปพร้อมกันกับชายในฝัน ที่ถึงแม้เธอจะมองไม่เห็นหน้าเขาก็ตาม...ความฝันมันเชื่อไม่ได้จริงๆ

ไม่อยากต่อปากต่อคำให้เสียอารมณ์แต่คงทำไม่ได้แน่หากยังต้องมานั่งติดแหมะอยู่อย่างนี้กับผู้ชายที่แสนจะเกลียดขี้หน้า เธอจึงเริ่มมองหาที่นั่งใหม่ ก่อนจะลุกขึ้นยืน เพื่อขอเปลี่ยน

“จะไปไหนล่ะคุณ นั่งลงรัดเข็มขัดให้เรียบร้อย เครื่องกำลังจะขึ้น อย่าพยายามสร้างความยุ่งยากให้คนอื่นจะได้มั๊ย” เพียวดึงร่างบางนั้นให้นั่งลงที่เดิม แถมยังเอื้อมมือดึงเข็มขัดนิรภัยมารัดที่เอวให้เรียบร้อย

“เอ๊ะ...”

“เอาน่า ทนเหม็นหน้าผมอีกแค่ไม่ถึงชั่วโมง ถึงที่หมายแล้วก็ทางใครทางมัน” เพียวเอ่ย ก่อนจะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้หลับตานิ่ง ทำเหมือนว่าจะเลิกยุ่งเลิกสนใจผู้หญิงสวยๆที่พอเขาหันไปมองที่ไรชวนให้คิดถึงริมฝีปากนุ่มๆหวานๆนั่นซะทุกที

โสภิตามองใบหน้าคมคายของคนที่นั่งพิงพนักหลับตานิ่งด้วยความรู้สึกกรุ่นๆของความระอุในอก หากเขาจะไม่ยุ่งกับเธออย่างที่บอก คงไม่ใช่เรื่องยากที่เธอจะทำเป็นไม่ใส่ใจ โดยพยายามดึงความสนใจไปยังทิวทัศน์ม่านเมฆภายนอกหน้าต่าง แต่มีความรู้สึกบางอย่างภายในจิตใจที่บีบบังคับให้เธอหันกลับมาสำรวจคนข้างๆอีกจนได้

ไม่น่าเชื่อว่าผู้ชายปากจัดคนนี้จะมีความสามารถนั่งเครื่องบินระดับเดียวกันกับเธอ แล้วเรื่องรถเบนซ์ราคานับล้านคันนั้นอีก แม้เวลานี้เธอก็ยังไม่เชื่อว่านั่นเป็นรถของเขาอย่างที่บอก จะว่านี่คือความคิดที่เรียกว่าดูถูกก็ยอมรับล่ะ ก็ดูการแต่งตัวของเขาสิ...หญิงสาวกวาดสายตาไปตามช่วงคอเสื้อยืดแบบธรรมดา ที่มีแจ็กเก็ตหนังสีเข้มสวมทับอยู่ชั้นนอก กางเกงยีนสีซีดๆ และคงจะมองเลยลงไปดูถุงเท้ารองเท้าหากทำได้ ก่อนจะมองย้อนกับไปบนใบหน้าที่ดูเหมือนจะต่างจากที่เคยเจอครั้งที่แล้วก็ตรงที่มันรกครึ้มด้วยเคราเขียวๆ ไม่ได้มีมาดของนักธุรกิจให้เห็นเลยแม้แต่น้อย คงจะมีก็เพียงแค่หน้าตาที่เธอปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขาหล่อเหลาจนยากจะหาใครเทียบได้ก็เถอะ

“หายคิดถึงผมหรือยังครับ”

เสียงทุ้มๆของคนที่นั่งหลับตากอดอกนิ่งอยู่เมื่อครู่ดังขึ้นเบาๆ แต่มันก็มีผลทำเอาแก้มใสๆแดงระเรื่อขึ้นอย่างบังคับไม่อยู่ กับการถถูกจับได้ว่าแอบมองก่อนจะถลึงตาเขียวปัดใส่คนปากดี

“บ้า...ใครคิดถึงนายยะ...”

เพียวลืมตาขึ้นทั้งหันไปมองคนปากแข็ง สีหน้าไม่ได้บ่งบอกเลยว่าเพิ่งตื่น เขายิ้มแฉ่งให้เธออย่างเปิดเผย ไม่ได้สนใจสักนิดว่าอีกฝ่ายจะแปรเจตนาการยิ้มของเขาไปในแง่บวกหรือลบ

“ถ้าคุณไม่คิดถึงผม คุณคงไม่มองผมนานๆชนิดที่เรียกว่าประทับตราตรึงไว้ในหัวใจแบบนี้หรอกจริงไหมครับ”

“บ้า...มั่วนิ่ม หลงตัวเอง” โสภิตาเปล่งเสียงผ่านไรฟันออกมาก่อนจะเมินหน้ากลับไปมองนอกเครื่องบินอย่างที่ตั้งใจเอาไว้เช่นเดิม

“ไม่ได้หลงตัวเองสักหน่อย ก็ผมรู้สึกได้นี่ว่าคุณมองผมอยู่”

โสภิตาเงียบ เธอไม่อยากจะต่อปากต่อคำกับผู้ชายคนนี้สักเท่าไหร่นัก เพราะเท่าที่ผ่านมา ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร สุดท้ายเธอก็เป็นฝ่ายเสียเปรียบเสมอ และนั่นมันก็เป็นบทเรียนให้รู้ว่า การวางเฉยให้คนบ้าที่นั่งอยู่ข้างๆมีสถานะไม่ต่างกับอากาศธาตุ คือหนทางแห่งความสงบที่ดีที่สุด

“นี่คุณ...มันอาจจะดูเหมือนเป็นเรื่องใจร้ายอยู่สักหน่อย แต่มันก็ถือว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ผมต้องห้ามคุณเอาไว้ก่อน”

มุมปากของชายหนุ่มยกขึ้นเล็กน้อย ประกายตาวาววับอย่างที่ไม่ค่อยจะมีใครได้เห็นบ่อยนักเมื่อคนที่พยายามหลบหน้าหลบตาหันมาเหลือบตามอง ก่อนจะเมินกลับ

“อย่ามองผม ไม่ว่าจะด้วยความรู้สึกไหนก็ตาม เพราะสายตาของคุณมันไม่มีอิทธิพลต่อผมเลยแม้แต่น้อย ต่อให้มันจะหยาดเยิ้มแว่วหวานพอๆกับจูบของคุณก็เถอะ ยังไงมันก็ไม่ต่างกับขนม ที่ชิมแล้วก็หมดไปไม่ได้มีประโยชน์มากมายพอที่จะขาดไม่ได้เหมือนอาหาร”

“ไอ้บ้า...”

ความร้อนระอุในอกมันเพิ่มดีกรีขึ้นจวนเจียนจะถึงจุดสูงสุด เพื่อเจอน้ำมันที่ราดลดลงมาในหัวใจด้วยลมปากของผู้ชายที่หาความเป็นสุภาพบุรุษไม่เจอเลยแม้สักนิด เธอคงจะบ้าตายก่อนถึงภูเก็ต หากยังต้องมาเผชิญหน้าอยู่กับไอ้ผู้ชายเส็งเคร็งคนนี้

แล้วทุกอย่างก็มีอันหยุดชะงักเมื่อพนักงานของเครื่องเข็นรถผ่านมาถึง...และนั่นก็เหมือนระฆังพักยกเพื่อให้โอกาสแก่สมองสุดไบร์สของเธอได้คิดหาทางออกไปให้พ้นๆ

“รับอะไรดีคะ น้ำผลไม้หรือกาแฟ” แอร์โอสเตสเสียงหวานเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มไมตรี

“ฉันขอเปลี่ยนที่นั่งค่ะ...ตรงนี้ภูมิทัศน์ไม่ดี แถมมีกลิ่นอะไรไม่รู้เหม็นๆอยู่ใกล้ๆ” หญิงสาวเหลือบสายตาไปยังจุดหนึ่งที่น่าจะเป็นต้นกำเนิดของความเหม็น “ขอเปลี่ยนไปนั่งตรงนั้นนะคะ”

“เอ่อ...”

โสภิตาไม่รอให้พนักงานเอ่ยปากอนุญาตหรือถามความคิดเห็น เธอลุกขึ้นเบี่ยงตัวแทรกผ่านคนที่นั่งอยู่ถัดกันออกมา ก่อนจะเดินไปนั่งยังอีกเบาะที่ว่างอยู่ เธอยิ้มให้เด็กหญิงเล็กๆที่นั่งอยู่ติดหน้าต่าง และสภาพสตรีที่หันมามองด้วยความแปลกใจ

“ขอนั่งด้วยคนนะคะ...คือดิฉันสงสัยว่าผู้ชายที่นั่งเบาะติดกับฉันคนนั้นเขาจะเป็นโรคจิตค่ะ” เธอบอกทั้งส่งยิ้มแหยๆไปให้

“โรคจิตเหรอคะ” สุภาพสตรีที่นั่งอยู่ก่อนชะเง้อมองไปยังเบาะนั่งที่ผู้มาใหม่เอ่ยถึง ก่อนจะหันมาสบตาหญิงสาวด้วยแววตาที่พออ่านได้ว่าไม่อยากเชื่อ

“ค่ะ...คือ...เขาแอบลูบต้นขาของฉันค่ะ” เจนนี่อ้าง ทั้งๆที่ในใจก็คิดว่าไม่จำเป็นที่เธอต้องมานั่งแจงรายละเอียดอะไรให้คนตรงหน้าฟังเลยสักนิด แต่เพราะอยากให้ไอ้บ้าคนนั้นมีคนเกลียดเพิ่มขึ้นอีกคน เธอจึงไม่รั้งรอที่จะเติมเชื้อไฟลงไป

“ตายจริง... น่ากลัวนะคะ ผู้หญิงเดินทางคนเดียวแบบนี้ ดีแล้วล่ะค่ะที่ลุกออกมาซะได้ ตามสบายเถอะค่ะ...”

“ขอบคุณค่ะ” โสภิตายิ้มตอบก่อนจะหลับตาลงบ้างเมื่อเพื่อนร่วมแถวที่นั่งคนใหม่หันไปสนใจตอบคำถามลูกสาวของเธอ

ไม่ใช่เรื่องแปลกที่โสภิตาจะเปลี่ยนที่นั่งกะทันหันได้ตามต้องการหากในชั้นนั้นยังมีที่ว่างเหลืออยู่ ในเมื่อเธอคือลูกค้าระดับวีไอพี เพราะฉะนั้นความต้องการของเธอย่อมสำคัญที่สุด หากมันไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใคร อย่างน้อยเธอก็เบาใจได้ว่าไอ้ผู้ชายปากเสีย บ้ากามคนนั้นจะไม่ตามรังควานเธออีกแน่ๆ

เพียวสะพายเป้เดินออกมาตามช่องทางออกสายตาของเขาไม่ได้ละไปจากแผ่นหลังของสาวสวยรูปร่างโปร่งบางที่แค่มองเห็นเพียงริมฝีปากขยับขึ้นลงของเธอเท่านั้นก็ทำให้เขาแทบจะลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับน้องชาย ถึงในสมุดบันทึกนั่นจะไม่พูดถึงโสภิตา ติยานนท์ แต่ยังไงเขาก็ยังเชื่อว่าเธอต้องมีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่เช่นนั้นเธอคงไม่ถูกนายจอร์ซขีดเส้นแดงทับรูปอันบ่งบอกว่าเธอคือศัตรูแน่

เพียวเดินตามไปโดยไม่จำเป็นต้องเร่งรีบเหมือนคนตรงหน้า เพราะรูปร่างสูงเพรียวช่วงขายาวทำให้การก้าวเท้าเพียงหนึ่งก้าวของเขานั้นเทียบเท่ากับสองก้าวของอีกคน

แผ่นป้ายกระดาษจากคนที่มารอรับผู้มาเยือนหลายใบชูหลาดึงดูดให้สายตาหลายๆคู่จับจ้องมองดูป้ายที่เขียนข้อความเกี่ยวข้องกับตน ไม่เว้นแม้แต่เพียว ทว่าแตกต่างกันก็เพียงแค่เขาต้องการทราบเท่านั้นว่าผู้หญิงตรงหน้านี้มาภูเก็ตทำไม เธอมาพบใคร หรือเธอเพียงแค่มาท่องเที่ยวเท่านั้น ซึ่งมันย่อมเป็นเรื่องที่น่าแปลกหากเธอจะมาเที่ยวภูเก็ตตามลำพังโดยปราศจากสปอนเซอร์ใหญ่อย่างโสภณ

“ใช่คุณโสภิตา ติยานนท์หรือเปล่าคะ” เสียงหนึ่งร้องถามดังพอที่จะได้ยินมาถึงชายหนุ่มที่กำลังเดินตามอยู่ห่างๆและมันก็ทำให้เขาหยุดเดิน

“ค่ะ...คุณคงเป็นคนของบริษัททัวร์ท่องทะเลใช่ไหมคะ” โสภิตาตอบรับด้วยรอยยิ้มแสดงความเป็นมิตร

“ใช่ค่ะ พี่ชื่อวดาค่ะ มิสเตอร์ไบรอันให้พี่มารับคุณ” สาวใหญ่ผู้มีวัยสูงกว่าถือวิสาสะตั้งตัวเป็นพี่สาวทันทีสมกับที่กล่าวที่ว่า เมืองไทยนอกจากจะเป็นสยามเมืองยิ้มแล้วยังเป็นญาติมิตรกันทั้งประเทศ

“ดีทีเดียวค่ะ เจนนี่นึกว่าจะต้องได้รอ...เจนนี่ยิ่งไม่ชอบรอใครนานๆอยู่ด้วย มันทำให้รู้สึกหงุดหงิดทุกครั้ง” เมื่ออีกฝ่ายแสดงความเป็นมิตรที่สนิทสนมมา เธอก็ส่งความเป็นมิตรตอบกลับไปเท่าเทียมกัน

“ถ้าอย่างนั้นเราเดินทางกันเถอะค่ะ น้องเจนนี่จะได้พักผ่อน ตามมาทางนี้ค่ะพี่จอดรถเอาไว้ตรงโน้น มาเถอะพี่ช่วย” วดาคว้ากระเป๋าเดินทางใบใหญ่ของว่าที่เพื่อนร่วมงานมาถือไว้ซะเอง ก่อนจะหมุนตัวลากกระเป๋าเดินนำไปยังทิศทางที่เธอบอก

คำสนทนาของสองสาวดังเข้าหูเพียวเพียงแว่วๆ ทว่านั่นก็พอจะทำให้เขาจับใจความได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่สิ่งหนึ่งที่แว้บเข้ามาในความคิดก็คือ สิ่งที่เขาถามตัวเองมาตลอด และคำตอบที่ได้ในเวลาที่ก็น่าจะชัดเจนแล้วว่า ผู้หญิงแสนสวยขี้โวยวายคนนี้มาภูเก็ตเพื่อท่องเที่ยวกับบริษัททัวร์ของเขา

“เส้นใหญ่จริงนะ คงใช้เส้นของนายโสภณซื้อทัวร์มาเที่ยวแบบเดี่ยวๆล่ะสิ...เหอะ...งานนี้ได้สนุกกันล่ะ” เพียวเอ่ยกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะรีบสาวเท้าตามหญิงสาวทั้งสองไปให้ทัน

“พี่วดาอย่าเพิ่งไปครับ รอผมด้วย”

เสียงเรียกที่ดังไกลออกไปทางด้านหลังทำให้สองสาวหันกลับไปมองพร้อมกัน ก่อนที่เจ้าของชื่อจะยิ้มกว้าง ด้วยสีหน้าบ่งบอกถึงความรู้สึกดีใจ ซึ่งนั่นมันก็ผิดกับอีกหนึ่งสีหน้าที่แตกต่างออกไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลายจนแยกไม่ออก

“คุณเพียว...นั่นคุณเพียวจริงๆด้วย”

“ครับพี่วดา ผมเอง...ดีใจจัง นี่กำลังคิดอยู่เชียวว่าจะกลับบ้านยังไง”

บ้านเหรอ...นายคนบ้าเนี่ยอยู่ภูเก็ตหรอกเหรอ แล้วเขาไปทำบ้าอะไรอยู่ที่กรุงเทพฯ โสภิตาคิดด้วยความรู้สึกที่ไม่ค่อยจะชอบใจนักเมื่อเห็น วดาหญิงสาวชาวภูเก็ตคนแรกที่เธอรู้จัก แสดงความสนิทสนมกับศัตรูหมายเลขหนึ่งของเธอ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้เธอพอใจอยู่บ้างนั่นก็คือการได้รู้จักชื่อของศัตรูที่ถูกเรียกว่า เพียว

“กลับมาทำไมไม่บอกล่ะคะ นี่โชคดีนะที่มาเที่ยวบินเดียวกันกับคุณเจนนี่ ว่าแต่คุณสองคนคงยังไม่รู้จักกันใช่ไหมเอ่ย...เดี๋ยวพี่จะแนะนำให้...คุณเพียวคะ นี่คุณเจนนี่ที่จะมาศึกษาระบบงานบริษัททัวร์ของเราค่ะ”

“มาศึกษาระบบงานบริษัททัวร์ของเรา!” เพียวถึงกลับหันไปมองหน้าหวานๆที่เชิดขึ้นอย่างถือดีนั้นอีกครั้ง

“ค่ะ...เธอเป็นน้องสาวของคุณโสภณ” วดาแจงรายละเอียดประวัติของหญิงสาวเพิ่ม

“เป็นน้องของคุณโสภณหรอกเหรอ...เป็นผู้หญิง...ไม่ใช่ผู้ชาย” เพียวถามขึ้นทันทีที่พนักงานของเขาแนะนำอีกฝ่ายเรียบร้อย

“ใช่...พี่โสภณเป็นพี่ชายของฉัน พี่ชายแท้ๆ สายเลือดเดียวกัน” โสภิตารู้สึกสะใจเมื่อเห็นสีหน้าเจื่อนไปของคนที่เคยกล่าวร้ายให้เธอต้องได้รับความเสียหายอับอาย

“แล้วทำไมถึงคนละนามสกุล...แอบอ้างสวมรอยมาหรือเปล่ามิทราบ”

“ฉันไม่จำเป็นต้องมาสาธยายเหตุผลเกี่ยวกับครอบครัวให้คนอื่นฟัง โดยเฉพาะนาย...”

“เอ่อ...แล้วนี่คุณเพียวค่ะคุณเจนนี่...คุณเพียวเป็น...” แม้จะรู้สึกแปลกๆกับท่าทีของคนทั้งสองที่ทำเหมือนคนเคยบาดหมาง แต่เธอก็อยากจะแนะนำเจ้านายของเธอให้หญิงสาวได้รู้จัก เผื่อว่าความรู้สึกอึดอัดแบบแปลกๆจะสูญสลายลงบ้าง แต่คนเป็นเจ้านายกลับพูดแทรกขึ้น ตัดโอกาสนั้นทิ้งไปในทันที

“เอ่อ พี่วดาครับ ผมว่าเราเดินทางกลับกันเถอะ ผมรู้สึกเหนื่อยๆเพลียๆยังไงไม่รู้ อยากพักเต็มทีแล้ว รถจอดอยู่ทางโน้นใช่ไหมครับ” เพียวพูดแทรกแล้วออกเดินนำไปก่อน

“ถ้าอย่างนั้นก็...ไปกันเถอะค่ะ พี่คิดว่าคุณเจนนี่ก็คงเหนื่อยอยากจะพักผ่อนด้วยเหมือนกัน” วดาลากกระเป๋าเดินทางของว่าที่เพื่อนร่วมงานตามเจ้านายหนุ่มไปติดๆ

โสภิตามองตามคนทั้งสองนิ่งก่อนจะก้าวตามไปด้วยความรู้สึกติดขัดและไม่เข้าใจ สุดท้ายเธอก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับนายบ้านั่นอีกตามเคยยกเว้นชื่อ จะยังไงก็แล้วแต่เธอขอภาวนาเพียงแค่ว่านายเพียวคนนี้จะขออาศัยรถกลับบ้านของเขาเท่านั้น และเมื่อถึงบ้านแล้ว เธอกับเขาคงไม่ต้องมาพบเจอะเจอกันอีกต่อไป

ทันทีที่เพียวเดินไปจนเกือบจะถึงรถโสภิตาก็สังเกตเห็นว่าคนขับที่ยืนเตร่อยู่ใกล้รถตู้คันใหญ่นั้นตรงรี่เข้ามารับเป้เดินทางอย่างรู้หน้าที่ นั่นก็หมายความว่า ไม่ใช่เพียงแค่ความคุ้นเคยระหว่างเขากับพนักงานสาวใหญ่ที่เรียกตัวเองว่าวดาเท่านั้น แต่มันรวมไปถึงพนักงานขับรถผู้กำลังอยู่ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ในการมารับเธอก็ยังรู้จักมักคุ้นกับเขาอีกเช่นกัน

“เชิญค่ะคุณเจนนี่ เดี๋ยวพี่จะพาไปพบมิสเตอร์ไบรอันก่อน เราค่อยไปที่พักกัน” วดาเอ่ยเมื่อเปิดประตูรถออกกว้างทั้งเชื้อเชิญอย่างสุภาพ

โสภิตามองไปยังผู้โดยสารที่ไม่ได้รับเชิญอีกคน เธอคิดว่าเขาน่าจะนั่งด้านหน้าข้างๆคนขับ เพราะพวกเขายังยืนคุยอะไรบางอย่างกันอยู่ เมื่อคิดเช่นนั้นมันก็สร้างความสบายใจขึ้น แต่ทว่ามันกลับไม่ได้เป็นอย่างที่คิด เมื่อเธอก้าวขึ้นนั่งยังเก้าอี้แถวที่ตรงกับประตู เพียวก็ก้าวขึ้นตาม

“เอ๊ะ...คุณ”

เพียวทำท่าจะนั่งลงบนตักนุ่มๆ จนโสภิตาต้องรีบขยับเข้าไปชิดติดหน้าต่าง ก่อนจะหันมาทำตาเขียวมองคนที่ชอบก่อกวนไม่เลือกสถานที่และเวลา ไม่อยากพูดจาเอะอะให้บุคคลที่สามรู้ถึงความบาดหมางระหว่างกันให้เป็นที่สนอกสนใจของใครอื่นแต่มันก็อดไม่ได้จริงๆ

“ก็ขยับไปสิ...เบาะออกจะกว้าง ก้นคุณก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไร นั่งกินที่อยู่ได้”

โสภิตากัดฟันกรอด นึกสงสัยว่าไอ้ผู้ชายปากจัดคนนี้เป็นผู้ชายเต็มร้อยหรือเปล่า ทำไมถึงได้มีปากเป็นกรรไกรที่คอยแต่จะตัดจะหนีบคำเจ็บๆให้คนอื่นได้ไม่ขาดช่วงแบบนี้

คิดแล้วก็อดไม่ได้ที่จะส่งสายตาเหลือบไปมองใบหน้าคมคายหล่อเหลาตามแบบฉบับหนุ่มลูกครึ่ง ด้วยเครื่องหน้าที่ประกอบกันอย่างลงตัวไม่ว่าจะเป็นดวงตาคมกล้าคู่นั้น จมูกโด่งได้รูปรวมไปถึงริมฝีปากหยักลึกที่มันทำให้เธอถึงกับร้อนไปทั้งหน้าทันทีที่คิดถึงคราวที่มันประทับลงบนเรียวปากนุ่มของเธออย่างดูดดื่ม ผู้ชายที่เป็นเกย์จะสามารถจูบผู้หญิงให้ได้รสชาติแบบนั้นได้ไหมนะ...แล้วเธอก็สลัดความคิดนั้นออกไปด้วยความอายที่ปรากฏชัดเจนบนสองข้างแก้ม

“เป็นอะไร...ไข้ขึ้นหรือไง อยู่ดีๆก็หน้าแดง ไหนดูซิ” เพียวเอื้อมมือไปแตะแก้มอีกฝ่ายทันที แต่มือเขาก็ถูกปัดออกไปโดยอัตโนมัติ

“อย่ามายุ่ง ไม่เกี่ยวกับนาย”

“เรียบร้อยกันแล้วใช่ไหมคะ...ลุงอ่ำออกรถได้เลยค่ะ” วดาที่ปีนขึ้นนั่งเบาะข้างคนขับหันไปถามความเรียบร้อย ก่อนจะกลับมาสั่งคนขับให้เคลื่อนรถ โดยไม่ได้สังเกตความผิดปกติของผู้โดยสารทั้งคู่เลยแม้แต่น้อย

พอรถแล่นไปได้สักพัก วดาก็ค่อยมองเห็นความเปลี่ยนแปลงที่อยู่ตรงหน้า เมื่อเส้นทางที่รถแล่นไปนั้นไม่ใช่เส้นทางไปบ้านของเจ้านายหนุ่มตามที่เธอวางโปรแกรมเอาไว้ในตอนต้น

“ลุงอ่ำ... เราจะไปบ้านบอสนะทำไมขับมาทางนี้” วดาอดที่จะหันไปถามคนขับไม่ได้

“เราจะไปท่าเรือครับพี่วดา” คนตอบคือเจ้านายน้อยที่นั่งอยู่เบาะผู้โดยสาร

“ไปท่าเรือ...ไปทำไมคะ” วดาทำหน้างงกับคำตอบ

“ก็พาเด็กฝึกงานไปทำงานบนเกาะสิครับ ดูท่าทางคุณโสภิตาจะเก่งภาษาอยู่ไม่น้อย ไปทำงานฝ่ายฝึกสอนดำน้ำที่เกาะเป็นงานแรกน่าจะเวิร์กที่สุด ผมโทร.สั่งให้เขาเตรียมเรือเอาไว้แล้ว” เพียวเฉลยเหตุผลในสิ่งที่เขาสั่งการ

“แล้วจะไม่ไปพบคุณแม่ก่อนเหรอคะ”

“ยังก่อน ไว้จัดการธุระเสร็จค่อยกลับมาก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร เดี๋ยวผมส่งพี่วดาตรงซอยบ้านพี่วดาข้างหน้านี้ก็แล้วกัน จะได้ไม่ต้องเสียเวลาย้อนกลับมาอีก ผมอนุญาตให้พี่เลิกงานก่อนเวลา ไม่ต้องห่วงเรื่องของคุณโสภิตา ผมจะรับผิดชอบจัดการเองทุกอย่าง” พูดจบแววตาคมกล้าก็หันมาสบเข้ากับคนข้างๆในความหมายบางอย่างที่ยากจะหยั่งรู้ แต่มันก็ทำให้คนถูกมองรู้สึกได้ถึงอาการเสียวสันหลัง

“อ๋อได้ค่ะ...คุณเพียว” วดายิ้มอย่างพอใจ

“นี่มันอะไรกันคะพี่วดา ทำไมนายคนนี้ถึง...” โสภิตาชี้มือมาที่ผู้ชายข้าง ด้วยคำถามที่ไม่สามารถหลุดมามาเป็นคำพูดได้

“ขอโทษทีค่ะคุณเจนนี่ พี่ว่าจะแนะนำ พี่ก็ลืมซะสนิท คือว่า...คุณเพียวเป็นเจ้านายของพี่เองค่ะ เป็นบุตรชายของมิสเตอร์ไบรอันค่ะ ตอนนี้คุณเพียวเข้ารับตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดในการควบคุมดูแลงานบริการท่องเที่ยวทุกแผนก”

“ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าเจนนี่ต้องทำงานตามคำสั่งของเขาสิคะ” หญิงสาวทำตาโต รู้สึกได้ถึงอาการเต้นแรงของหัวใจด้วยความหวาดหวั่นที่เกิดขึ้น

“ถูกต้องแล้วครับผม” คนตอบก็ยังคงใส่อารมณ์ก่อกวนลงในน้ำเสียง

“พี่ไปก่อนนะคะ ไว้ค่อยเจอกันใหม่” วดาหันมาพูดกับสมาชิกที่นั่งอยู่ในรถทั้งหมด ก่อนจะเปิดประตูก้าวลงไป เมื่อรถจอดสนิท และเมื่อประตูปิดลง รถก็เคลื่อนต่อไปตามเส้นทางที่มีรถราวิ่งขวักไขว่เต็มท้องถนน

“ทำไมนายไม่บอกฉันตั้งแต่อยู่ที่สนามบิน ว่านายเป็นใคร”

“ถ้าบอก คุณก็หนีกลับกรุงเทพสิ เรื่องอะไรผมจะบอกให้โง่”

“แล้วคิดว่าขับรถมาจนถึงตรงนี้แล้วฉันจะกลับกรุงเทพไม่ได้หรือไง”

“ถ้าคิดว่าได้ก็ลองดู...แต่โปรดอย่าลืมนะว่า ที่นี่...ถิ่นผม” น้ำเสียงที่เปล่งออกมาไม่มีแววบอกว่าล้อเล่นแม้แต่น้อย

“ฉันจะโทรบอกพี่ชายมารับกลับเดี๋ยวนี้เลย”

โสภิตาเปิดประเป๋าถือ ทั้งควานหาเครื่องสื่อสารที่ซุกอยู่ในนั้นออกมาถือไว้ในมือ แต่ยังไม่ทันที่เธอจะทำอะไรกับมัน โทรศัพท์เครื่องจิ๋วนั้นก็ถูกแย่งไปซะก่อน

“เอาคืนมานะ” เธอพยายามไขว่คว้าแต่ก็ไม่เป็นผล มิหนำซ้ำเอวเล็กๆของเธอยังถูกอีกฝ่ายกอดเกี่ยวเอาไว้เต็มวงแขน

“หยุดดื้อ หยุดดิ้น หยุดโวยวาย ก่อนที่ผมจะทำโทษคุณเหมือนอย่างที่เคยทำทุกครั้ง” เพียวขู่เสียงต่ำ ข้างใบหูที่เริ่มจะมีสีแดงระเรื่อ “ส่วนโทรศัพท์เครื่องนี้ขออนุญาตเก็บไว้ก่อน แล้วจะคืนให้ทีหลังเมื่อถึงเกาะ”

“ปล่อย...” ฝ่ามือทั้งสองข้างพยายามผลักอกกว้างให้ห่างออกไป

“ก็อย่างที่บอก ถ้าไม่ดื้อ ไม่ดิ้น ไม่โวยวายก็จะปล่อย...อ้ออีกอย่าง ยกเลิกความคิดที่จะหนีไปได้เลย เพราะถ้าคุณหนีแล้วผมจับได้ล่ะก็...หึหึหึ” เพียวหัวเราะเบาๆ ก่อนจะค่อยๆปล่อยร่างที่ดูเหมือนบอบบาง แต่แท้จริงแล้ว อวบอิ่มผิวเนื้อนุ่มหอมกรุ่นไปทั้งตัว

โสภิตาถอยฉากจนกระทั่งตัวเบียดอยู่กับหน้าต่างรถ เธอหันไปมองคนขับที่ให้ความสนใจอยู่กับเส้นทางตรงหน้า ปากเผยอขึ้นเหมือนจะร้องบอกให้เขาหยุดรถ ทว่าต้องหุบลงเมื่อเห็นคนข้างๆ ยกหัวแม่มือของเขาเองขึ้นมาจูบโชว์ทั้งยังชี้นิ้วมายังเธอ อันมีความหมายว่า หากเธอโวยวายขึ้น ผลสุดท้ายจะเป็นยังไง

“นายมันบ้า...เลว...ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษ...แย่ที่สุด” โสภิตาโพล่งขึ้นอย่างเหลืออด ก่อนจะเมินมองไปนอกหน้าต่างรถเพื่อระงับสติอารมณ์ แต่ไม่มีทางที่เธอจะล้มเลิกความพยายามที่จะหนี

“ด่าเจ็บๆปากจัดๆแบบนี้ เห็นทีต้องส่งไปปล่อยเกาะ ไปอยู่กับลิงค่างบ่างชะนี จะได้รู้สักทีว่าภาษาคนเขาพูดกันยังไง”

เพียวพิจดูใบหน้าหวานซึ้ง สบตากลมโตที่มีแววดุ ทว่าเขากลับรู้สึกได้ถึงความมีเสน่ห์ลึกลับชวนค้นหา นี่คงเป็นเครื่องหน้าชิ้นเดียวกระมังที่ถอดแบบนายโสภณมาไม่ผิดเพี้ยน ถ้าไม่นับนิสัยโวยวายพร้อมพุ่งชนในทุกเรื่องหากถูกขัดใจ นับจากนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้างเขาไม่อาจคาดเดา แต่ที่แน่ๆ แม่ลูกแมวน้อยได้เข้ามาอยู่ในอุ้มมือเขาแล้ว นั่นก็หมายความว่าเขาจะมีอำนาจเหนือเธอไม่ว่าเธอจะอยู่ในอารมณ์ลูกแมวหรือเป็นนางแมวป่าที่ต้องได้รับการดัดนิสัย และเขานี่แหละจะทำให้เธอเชื่องด้วยมือของเขาเอง



ทองหลาง
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 เม.ย. 2556, 08:41:48 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 เม.ย. 2556, 08:41:48 น.

จำนวนการเข้าชม : 2353





<< ตอนที่7   ตอนที่9 >>
Siang 25 เม.ย. 2556, 14:29:17 น.
ตอนนี้ยาวได้ใจมากค่ะ


Zephyr 28 เม.ย. 2556, 13:00:27 น.
เสร็จล่ะ เจนนี่ หึหึ


silverraindrop 29 เม.ย. 2556, 09:05:30 น.
สู้ สู้ 555


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account