เล่ห์รักเล่ห์เสน่หา
เล่ห์เหลี่ยมมีไว้ใช้กับคนรอบกาย
แต่หัวใจ...ใช้เพียงเล่ห์รักเท่านั้น
Tags: พฤกษ์ หทัยภัทร บุษบาฮาวาย

ตอน: ตอนที่ 17

ตอนที่ 17

เมื่อเห็นมาลีนำเสื้อผ้าที่เพิ่งซักเสร็จไปตากยังราวเชือกด้านหลังห้องพักให้จนเรียบร้อย คนที่ถูกพฤกษ์กำชับแกมขู่ว่าให้อยู่แต่เพียงในห้องสี่เหลี่ยมแห่งนั้นก็เดินเป็นชะมดติดจั่นหาอะไรทำ โชคยังดีที่มีหนังสืออ่านเล่นเก่า ๆ วางอยู่ 2 – 3 เล่ม หทัยภัทรจึงพอจะใช้มันเป็นเครื่องฆ่าเวลา

กระทั่งได้ยินเสียงกริ่งดังเตือนแหวกขึ้นท่ามกลางความเงียบ หทัยภัทรซึ่งจดจ่ออยู่กับนิตยสารตกแต่งอาคารบ้านเรือน ถึงกับผวาลุกจากเก้าอี้แล้วเดินไปเมียงมองผ่านช่องกระจกข้างประตู เธอคิดว่าอาจมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น ทว่าพอยืนมองอยู่ครู่หนึ่งและได้เห็นคนงานทั้งหลายต่างพากันเดินออกจากสถานที่ก่อสร้างราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอจึงละสายตาจากไป

ก๊อก ๆ ๆ

เสียงเคาะประตูดังขึ้น ภายหลังจากหทัยภัทรกลับไปนั่งจับเจ่าที่เก้าอี้ตัวเดิมได้พักหนึ่ง ซึ่งก็คงไม่ใช่ใครนอกจากคนที่ทิ้งวาจาข่มขู่เอาไว้ก่อนออกไปดูงานก่อสร้าง

“ไปทานข้าวกันเถอะ เที่ยงแล้ว”

ในทันทีที่หทัยภัทรแง้มประตูออกคนที่ยืนคอยอยู่ก็เอ่ยชวน สีหน้าท่าทางของเขาที่ดูไม่เคร่งเครียดแต่อย่างใด ทำให้หทัยภัทรซึ่งยังคาใจกับเสียงกริ่งชวนตกอกตกใจเมื่อครู่นึกสงสัยขึ้นมา

“เมื่อกี้มีเสียงกริ่งดังขึ้น มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ”

“ก็กริ่งบอกเวลาพักเที่ยงไง ทำไม...ไม่เคยได้ยินเหรอ”

หญิงสาวส่ายหน้า ก่อนจะทอดสายตามองออกไปยังลานกว้างอันมีกลุ่มคนงานพากันแยกย้ายออกจากสถานที่ก่อสร้างเพื่อพักรับประทานอาหารกลางวัน

“มันจะดังวันละ 3 เวลา คือเช้าก่อนเริ่มงาน พักเที่ยงและเลิกงาน เดี๋ยวอยู่นาน ๆ ก็ชินไปเอง”

ดูเหมือนคำพูดในตอนท้ายของประโยค ดูจะไม่เป็นที่ชอบใจของหทัยภัทรนัก เพราะเธอไม่ได้คิดว่าจะต้องมาติดแหง็กอยู่ที่นี่กับเขาเป็นเวลานานจนเกิดความเคยชินเช่นที่ว่ามา

“ไปทานข้าวกันเถอะ ผมหิวแล้ว”

จู่ ๆ คนที่ยืนคาประตูพลางยื่นหน้าเข้ามาหาก็เปลี่ยนเรื่องพูด ก่อนจะลงท้ายด้วยการเพิ่มความน่าเห็นใจให้ตนเอง โดยไม่ถามแม้สักนิดว่าคนฟังปรารถนาจะไปด้วยกันหรือไม่

“ฉันยังไม่หิวค่ะ”

“ที่นี่ไม่เหมือนในกรุงเทพนะ ถ้าถึงเวลากินก็ต้องกิน หมดเวลาแล้วแม่ครัวเค้าจะได้เก็บ ไม่มีใครคอยยกมาเสิร์ฟทั้งวันเหมือนในโรงแรมหรอก”

“แต่ว่า...”

“ไปเถอะ อย่างน้อยก็จะได้ทำความรู้จักกับคนอื่นบ้าง เพราะเราต้องอยู่ที่นี่ไปอีกนาน”

“ไม่เห็นจะเกี่ยวกับฉันสักหน่อย ฉันจะยอมอยู่กับคุณแค่อาทิตย์เดียวเหมือนที่บอกกับแม่เอาไว้เท่านั้น”

คำพูดของหทัยภัทรทำให้คนฟังถึงกับหน้าตึงไม่สบอารมณ์ อุตส่าห์ลงทุนยัดเยียดตำแหน่ง ‘เมีย’ ให้ เธอก็ยังคิดจะตีปีกบินจรทุกเมื่อที่มีโอกาสอีก

ขายาว ๆ ที่จากเดิมเจ้าของทำเพียงยืนรออยู่ตรงประตูจึงก้าวเข้าไปในห้อง หทัยภัทรเห็นท่าไม่ดีรีบถอยกรูดไปตั้งหลักให้ห่างจากเขามากที่สุด

“คุณคงไม่ลืมนะว่าเราเป็นอะไรกัน ฉะนั้นผมอยู่ที่ไหน คุณก็ต้องอยู่ที่นั่นด้วย”

น้ำเสียงของพฤกษ์ฟังดูเข้มและเด็ดขาด เขาลงทุนทำเพื่อเธอมาถึงขนาดนี้แล้ว หากยอมปล่อยให้กลับไปใช้ชีวิตแบบเดิม มีหวังไม่พ้นเงื้อมมือพี่ชาย ดูอย่างตอนที่จะได้ตัวเธอมานี่สิ ฝ่ายนั้นยังทำลงไปได้แม้กระทั่งมอมยาน้องสาวร่วมสายเลือด ที่สำคัญตัวเขาก็ไม่อยากสูญเสียไม่ว่าจะเสียเงิน เสียคนหรือเสียใจ

“ฉันไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องอยู่กับคุณนี่”

“ทำไมจะไม่มี อ๋อ...หรือว่าลืม ไม่เป็นไร ผมชอบที่จะทวนความจำให้คุณ...ยิ่งบ่อยยิ่งดี”

การได้เห็นหญิงสาวส่งสายตาวาววับ ประหนึ่งกำลังนึกขุ่นเคืองทว่าทำอะไรไม่ได้ พฤกษ์ที่ยังเข้าใจว่าตนเองจะสามารถกำราบอีกฝ่ายได้อยู่หมัด จึงเปลี่ยนจากอารมณ์เคียดขึ้งที่เริ่มก่อตัวเป็นยิ้มยกที่มุมปากแถมทำสายตาเจ้าเล่ห์

“นี่...อย่าเข้ามานะ”

เสียงใสเอ่ยบอกอย่างร้อนรนเมื่อเห็นคนตัวสูงตั้งท่าสาวเท้าเข้ามาหาและเธอก็ไม่อาจวางใจในความปลอดภัยของตนเองได้ตราบเท่าที่พฤกษ์ยังไม่ยอมหยุด ยิ่งได้เห็นสายตาไม่น่าไว้วางใจ หทัยภัทรก็แทบอยากกระโจนหนีไปให้ไกล แต่เมื่อห้องในกล่องสี่เหลี่ยมนี้แสนจะคับแคบ เธอจะทำอย่างไรได้นอกจากคอยก้าวเท้าหนีพร้อม ๆ กับคอยปรามให้เขาหยุด

“ผมยังไม่ได้ทำโทษที่คุณขัดคำสั่งเมื่อตอนสาย ๆ เลย ทีแรกตั้งใจว่าจะไม่พูดถึงแล้วนะ แต่ไหน ๆ ก็ต้องทวนความจำให้คุณแล้ว รวบยอดเสียทีเดียวก็ดีเหมือนกัน”

“คะ?”

หทัยภัทรเบิกตาโต เมื่อได้ยินคำพูดของคนที่ยังเคลื่อนกายตามเธอมา ที่สำคัญการเอาแต่จับจ้องดูความเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายแล้วถอยกรูดไปเรื่อย ๆ ก็ทำให้หทัยภัทรต้องจนมุมในที่สุด

“หยุดอยู่ตรงนั้นนะ”

แม้แผ่นหลังบอบบางจะชิดฝาทว่าเจ้าของกลับยังไม่ยอมหยุดออกคำสั่ง พฤกษ์ยิ้มกริ่มมองท่าทีลนลานของเธออย่างชอบใจ

“ก็บอกให้หยุดไง”

เสียงใสเอ่ยบอกท่ามกลางกิริยาตื่นตระหนกจากเจ้าของ พฤกษ์สาวเท้าไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าช้า ๆ ก่อนจะยกมือข้างขวาขึ้นเท้าผนังกักคนที่ยืนทำตาวาว ๆ นั้นเอาไว้

“ทำเป็นไม่เคยไปได้”

เขาเอ่ยออกมาเบา ๆ พลางมองหทัยภัทรอย่างนึกขำ ก่อนจะทำเป็นยกมือซ้ายที่ว่างอยู่ขึ้นแตะปลายคางเรียวประหนึ่งจงใจจะยั่วประสาทเธอ

“ฉัน...ฉันหิวแล้ว”

เรียวปากอิ่มคลี่ออกบอกเขาตะกุกตะกักหายใจไม่ทั่วท้องด้วยต้องคอยเบือนหน้าหนีคนที่ลดข้อศอกลงเท้าผนังจนพาให้ใบหน้าของเขาลอยอยู่แทบชิด ขณะความหวั่นใจก็ก่อตัวขึ้นจนเต็มอก

“หิวอะไร หิวข้าวหรือหิวผม”

“ฉัน...หมายถึงหิวข้าว”

เสียงหัวเราะลงลูกคอที่ดังมาให้ได้ยินจากเจ้าของร่างหนาซึ่งยืนกักเธอเอาไว้ ทำให้หทัยภัทรต้องรีบเฉลยอย่างเคือง ๆ

“นึกว่าหิวผม บอกก่อนว่ายินดีให้กินทุกเมื่อ ไม่ต้องเกรงใจ”

คนฟังหน้าร้อนฉ่าไปกับคำพูดที่อีกฝ่ายจงใจกระซิบเสียงแผ่วข้างหู ก่อนจะทำได้เพียงร้อง ‘อื้อ’ ออกมาเมื่อเจ้าของร่างสูงที่จงใจโน้มใบหน้าลงไปหาแถมเอ่ยวาจาชวนให้ใจเตลิด ฉกปลายจมูกลงบนพวงแก้มของเธอแล้วสูดหายใจดัง ‘ฟอด’

เสียงหัวเราะหึ ๆ ดังมาอย่างชอบใจที่เห็นกิริยาตะลึงงันของหทัยภัทร อันเกิดขึ้นเนื่องจากถูกรุกล้ำแบบไม่ทันได้ตั้งตัว และทั้ง ๆ ที่มีโอกาสจะทำอย่างไรก็ได้กับร่างบางหอมกรุ่นซึ่งอยู่ห่างเพียงคืบ หากแต่พฤกษ์กลับเกรงว่าจะหยุดตัวเองไม่อยู่ ดังนั้นเมื่อเห็นหทัยภัทรค่อย ๆ เบี่ยงกายออกห่าง เขาจึงยอมลดฝ่ามือที่เท้าผนังเอาไว้นั้นลงและคืนอิสรภาพให้เธอแต่โดยดี



การรับประทานอาหารมื้อกลางวันผ่านพ้นไปพร้อมกับที่หทัยภัทรก็ได้รับการแนะนำให้รู้จักกับคนอีกหลายต่อหลายคนซึ่งล้วนมีบทบาทสำคัญในการก่อสร้างอาคารคลังสินค้าแห่งนั้น ตั้งแต่ทีมวิศวกรและสถาปนิกของบริษัท ไล่เรื่อยไปจนถึงหัวหน้าคนงานหลายแผนก

หทัยภัทรจำชื่อผู้คนเหล่านั้นได้บ้างไม่ได้บ้างด้วยเจ้าตัวคิดเพียงแค่ว่าชีวิตคงเกี่ยวพันกับที่นี่เพียง 1 สัปดาห์ และไม่มีความจำเป็นต้องจดจำ ไม่ว่าสายตาหลายต่อหลายคู่ที่มองมาจะมีทั้งชื่นชม เอ็นดูหรือหิวกระหาย เธอก็ไม่คิดจะเก็บมาใส่ใจและคิดว่าพฤกษ์เองก็คงมองไม่เห็นด้วยซ้ำ แต่...หทัยภัทรก็คิดผิด เพราะภายหลังเสียงกริ่งบอกเวลาเลิกงานและแยกกันกับดิษฐ์ เขาก็เกิดเปลี่ยนใจเรื่องที่พัก

“เบื่อหรือยัง”

พฤกษ์เอ่ยถามขึ้นในทันทีที่โผล่หน้ามาให้เห็น หทัยภัทรที่เคยโฉบไปมาประหนึ่งนกน้อยที่บินปร๋ออยู่บนท้องฟ้าทว่าต้องถูกเขาพาตัวมาและจำกัดอาณาเขตแค่ห้องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ จึงได้แต่ย้อนถาม

“แล้วคุณเคยอยู่ในกล่องสี่เหลี่ยมนี้ได้ทั้งวันบ้างหรือเปล่าล่ะ”

“ก็ผมมีงานต้องทำนี่ จะให้อยู่แต่ในนี้ได้ยังไง คุณไม่ต้องทำอะไร อยู่แต่ในนี้ก็ถูกต้องแล้ว”

พฤกษ์ว่ามาหน้าตาเฉย เขารู้ว่าหทัยภัทรไม่พอใจ แต่จะให้ทำอย่างไรได้ในเมื่อที่นี่เต็มไปด้วยผู้ชาย ที่สำคัญไม่มีอะไรเป็นหลักประกันได้ว่าเธอจะปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์หากออกไปเดินเพ่นพ่านด้านนอก

“งั้นคุณก็โปรดรู้เอาไว้ด้วยว่าฉันเบื่อมาก”

เธอลากเสียงยาวและเน้นที่คำว่าเบื่ออย่างชัดเจน ใบหน้าเรียวที่เคยโปรยยิ้มชื่นตาคนมองขณะทำงานอยู่ที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ของโรงแรมบัดนี้บูดบึ้ง

“ออกไปข้างนอกกันเถอะ”

การได้เห็นคนชวนเดินผ่านหน้าไปยังกระเป๋าเสื้อผ้าซึ่งยังวางอยู่ที่เดิมตั้งแต่ตอนมาถึงแล้วหยิบมันขึ้นถือไว้ ทำให้หทัยภัทรได้แต่มองด้วยความสงสัย

“ไปกินข้าวเย็นแล้วก็นอนโรงแรมในเมือง”

“คะ?”

แม้จะแปลกใจแต่หทัยภัทรก็ไม่เถียงว่าความรู้สึกโล่งใจมีมากกว่า ด้วยภาระหน้าที่และบุคลิกทำให้เธอไม่เคยอยู่นิ่ง ๆ ในสถานที่คับแคบได้นานถึง 24 ชั่วโมงเลยแม้สักครั้ง

“ผมให้คนจองโรงแรมไว้ให้แล้ว เสื้อผ้าของคุณที่ซักไว้ล่ะ คนงานเก็บมาให้หรือยัง”

เครื่องแต่งกายเนื้อบางที่ผ่านการซักเมื่อตอนสายและเก็บมาให้เมื่อตอนบ่ายถูกพับลงถุงผ้าอย่างเป็นระเบียบ ซึ่งพอเห็นหทัยภัทรพยักหน้ารับ พฤกษ์ก็หันไปมองด้วยสีหน้าพึงพอใจ กระเป๋าของเขาใส่ของจนมีที่ว่างเหลืออยู่ไม่มาก โชคดีที่ร้านค้าให้ถุงผ้าลดโลกร้อนใบใหญ่สมนาคุณเนื่องจากควักเงินซื้อเสื้อผ้าในร้านไปหลายชิ้น หทัยภัทรจึงพ้นจากสภาวะ ‘หอบผ้าหอบผ่อน’ ไปได้อย่างหวุดหวิด

“งั้นก็ไปกันเถอะ”

“จะไม่พักที่นี่แล้วเหรอคะ”

“ก็คุณบอกว่าเบื่อห้องนี้มากไม่ใช่เหรอ”

พฤกษ์ว่าพลางเปิดยิ้มน้อย ๆ นึกขำที่หทัยภัทรเชื่ออย่างจริงจังว่าทั้งเขาและเธอจะต้องนอนค้างกันในกล่องสี่เหลี่ยมนี้ แต่อย่างไรก็ตาม การทำให้เธอรู้สึกว่ามีความสำคัญก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรงที่พฤกษ์จะทำ เผื่อวันหน้ามันอาจส่งผลดีต่อจิตใจของเธอบ้างไม่มากก็น้อย

“ดีค่ะ เพราะฉันก็นึกอยากจะไปหาซื้ออะไรบางอย่างอยู่เหมือนกัน”

คำยืนยันตลอดจนท่าทีของพฤกษ์ทำให้หทัยภัทรยอมเชื่ออย่างสนิทใจ ใบหน้าที่งอง้ำเริ่มเบ่งบานด้วยสิ่งที่หมายมาดเอาไว้ในใจจะสมปรารถนา

ย้อนเวลาไปเมื่อราวเกือบ 1 ชั่วโมงก่อนหน้า เสียงเด็ก ๆ ที่ดังเซ็งแซ่แทรกผ่านเข้ามาให้ได้ยิน ทำให้คนที่นอนเกลือกกลิ้งอยู่ท่ามกลางกองนิตยสารอ่านเล่นต้องผุดลุกไปเมียงมอง พอดีกับที่มาลีเก็บเอาเสื้อผ้าทั้งหลายมาให้ เธอจึงสบโอกาสสอบถามที่มาที่ไปของเด็ก ๆ เหล่านั้นจนได้ทราบว่าเป็นบรรดาลูกของคนงานพม่าที่เพิ่งกลับจากโรงเรียน

“ซื้ออะไร คอนดอมหรือผ้าอนามัย”

เรียวปากอิ่มที่คลี่ยิ้มชะงักค้าง พร้อมกับที่ความร้อนก็เริ่มแผ่ซ่านไปทั่วใบหน้าเมื่อได้ยินคำพูดของพฤกษ์ และในขณะที่เธอกำลังสมองหมุนด้วยนึกถึงคำตอบโต้ไม่ทัน คนที่ยืนทำตาเจ้าเล่ห์ก็กระซิบบอกเบา ๆ

“ถ้าเป็นอย่างแรกก็ไม่จำเป็นต้องซื้อเพราะเมื่อคืนที่ผ่านมา เราก็ไม่ได้ใช้ แต่ถ้าเป็นอย่างหลัง...ผมคงเศร้าน่าดู”

“ถ้าจะกรุณา...ก็ช่วยพูดอะไรให้มันไกลจากเรื่องพวกนี้หน่อยได้ไหม ฉันไม่ชอบ”

“ไม่ชอบเหรอ อย่าทำเป็นพวกปากไม่ตรงกับใจหน่อยเลย”

เสียงหัวเราะหึ ๆ พร้อมคำพูดในเชิงกล่าวหา ทำให้คนฟังถึงกับอารมณ์พุ่งปรี้ด

“คะ?”

“ทีเมื่อคืนไม่เห็นจะเป็นแบบนี้เลย แต่โอเค...ผมจะพยายามปรับความเข้าใจเสียใหม่ ต่อไปนี้ถ้าคุณพูดว่าโนก็แปลว่าเยส ถ้าพูดว่าเยสก็แปลว่าโน อย่างเมื่อกี้บอกว่าไม่ชอบแต่จริง ๆ น่ะชอบใช่ไหมล่ะ”

“ไม่นะ”

“นั่นไง โนแปลว่าเยส”

“นี่...”

ร่างบางเต้นเร่า ๆ เพราะทำอะไรไม่ได้กับการพูดจาตีขลุมเข้าข้างตัวเอง แม้เสียงหัวเราะลงลูกคออย่างชอบใจของพฤกษ์จะเป็นไปเพียงต้องการหยอกเย้าและล้อเลียนโดยไม่หวังผลใด ๆ ด้วยเจ้าของรู้ดีแก่ใจว่าในกอไผ่รกทึบนั้นไม่มีอะไรแฝงตัวอยู่สักหน่อย แต่คนฟังอย่างหทัยภัทรก็อดเคืองไม่ได้อยู่ดี

“ว่าไง บอกผมให้ได้รู้หน่อยสิว่าคุณอยากจะซื้ออะไร”

“มันไม่เกี่ยวกับคุณหรอกค่ะ”

“ไม่เกี่ยวได้ยังไง ในเมื่อผมต้องเป็นคนขับรถพาคุณไปซื้อ”

จนแล้วจนรอดหทัยภัทรก็ไม่ยอมเปิดปากบอกว่าเธอต้องการซื้อหาสินค้าใด พฤกษ์ซึ่งยืนคอยคำตอบอยู่ครู่หนึ่งและมั่นใจว่าหญิงสาวคงไม่ยอมบอกจริง ๆ จึงเปลี่ยนเรื่องพูด

“งั้นก็ไม่ต้องมาทำตาไข่ห่านมองผม เชิญเดินออกไปขึ้นรถได้แล้ว”

ขาดคำเจ้าของร่างสูงก็หิ้วกระเป๋าสัมภาระทั้งสองมือเดินนำหน้าคนที่ยังขุ่นใจกับคำพูดตลอดจนท่าทีของเขาออกไปจนถึงรถ แถมยอมยุติการเย้าแหย่เธอไปโดยปริยาย



พฤกษ์และหทัยภัทรเดินทางถึงโรงแรมที่พักโดยใช้เวลาราว ๆ ครึ่งชั่วโมง โรงแรมขนาด 3 ดาวสไตล์รีสอร์ทและบรรยากาศน่าสบายทำให้หทัยภัทรอดไม่ได้ที่จะนึกไปถึงที่ทำงานของตนเอง ในใจหดหู่ลงเมื่อรู้ว่าเธออาจจะไม่มีโอกาสได้กลับเข้าไปทำงานในนั้นอีกเพราะจู่ ๆ ก็จากมาโดยไม่ได้บอกกล่าวใครและป่านนี้คงวุ่นวายกันน่าดู ต่อให้จิรกรจะอ้าแขนพร้อมรับทุกเมื่อแต่ใจเธอก็คงไม่กล้าพอ

“คนของคุณจองไว้กี่ห้องคะ”

มือเรียวสะกิดที่ข้อศอกของพฤกษ์พร้อมเสียงใสของหทัยภัทรก็ดังขึ้นแม้จะแผ่วเบาจนแทบเรียกได้ว่ากระซิบ แต่มันก็ซ่อนความใคร่รู้และเร่งร้อนเอาไว้จนคนฟังรู้สึก

“ผมให้จองแค่ห้องเดียว”

“ถ้างั้นฉันขอเปิดอีกห้อง”

คราวนี้คนตัวสูงที่มุ่งหน้าไปยังเคาน์เตอร์ก็ชะงักเท้า ก่อนจะขมวดคิ้วหนาเข้าหากัน เมื่อได้ยินคำพูดของหทัยภัทร ที่สำคัญเธอจงใจฝ่าฝืนคำสั่งของเขาที่ว่าให้นั่งรออย่างสงบด้วยการเดินตามอย่างร้อนรนเสียด้วย

“ฉันจ่ายของฉันเองก็ได้ ไม่รบกวนคุณหรอก”

“ไปนั่งรอผมก่อน”

เสียงทุ้มเอ่ยบอกสั้น ๆ ทว่าแฝงเอาไว้ด้วยความจริงจัง หทัยภัทรมองแล้วใจแป้วเพราะดูเหมือนสิ่งที่เธอพยายามจะทำกำลังขัดความตั้งใจบางอย่างของเขาเข้า

“งั้นคุณก็เปิดห้องเพิ่มอีก 1 ห้องนะคะ”

“เดี๋ยวผมจัดการเอง”

การพยักหน้ารับของพฤกษ์ทว่าปราศจากรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เหมือนเคย ทำให้หทัยภัทรยอมวางใจว่าเขาจะตกลงทำตามที่เธอร้องขอ กว่าจะรู้ว่าที่พูดไปทั้งหมดนั้นเปล่าประโยชน์ ก็ต่อเมื่อพนักงานของโรงแรมหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าทั้งในส่วนของเขาและเธอเข้าไปในห้องเดียวกัน

“แล้วห้องของฉันล่ะคะ”

พอคล้อยหลังจากพนักงานของโรงแรมซึ่งค้อมศีรษะรับทิปไปจากมือของพฤกษ์แถมปิดประตูห้องให้อย่างเรียบร้อย หทัยภัทรก็เอ่ยถามออกมาด้วยความไม่เข้าใจ

“ห้องนี้แหละ”

“แล้วคุณล่ะคะ”

“ก็ห้องนี้เหมือนกัน”

“อ้าว...ก็ไหนคุณยอมตกลงให้ฉันเปิดห้องอีกห้องหนึ่งแล้วไง”

เสียงใสพ้อออกมาด้วยความผิดหวัง เพราะทั้ง ๆ ที่ยอมตัดใจควักเงินจ่ายค่าห้องพักเองโดยไม่คิดจะรบกวนใคร พฤกษ์ก็ยังไม่ยอม

“ใครบอกคุณว่าผมตกลง”

“ก็คุณพยักหน้ารับแล้วบอกว่าจะจัดการเอง การพยักหน้ารับมีความหมายว่าปฏิเสธเหรอคะ”

“นี่แหละคือวิธีจัดการของผม”

หทัยภัทรมองเตียงกว้างขาวสะอาดตาที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางห้องแล้วตวัดสายตามองคนที่น้อมรับทุกอย่างหน้าตาเฉยด้วยความรู้สึกผิดหวัง ที่ผ่านไปแล้วบนสติที่ไม่ครบบริบูรณ์น่ะไม่ว่า แต่วันนี้ยามนี้เธอกำลังอยู่ในสภาวะตรงกันข้าม จะให้นอนอยู่บนเตียงเดียวกับเขาได้อย่างไร

“ไม่ต้องมาทำเป็นเชือดเฉือนผมทางสายตานะ คิดบ้างสิว่าผัวเมียกัน มาด้วยกันแล้วจู่ ๆ ก็เกิดจะแยกห้องนอน พนักงานของโรงแรมเค้าจะมองยังไง แค่คุณมากระตุกแขนผมแล้วสั่งให้เปิดห้องเพิ่มอีกห้อง คนก็มองแปลก ๆ แล้ว”

หทัยภัทรแอบเบะปากเมื่อพฤกษ์พูดถึงความหน้าบางของตนเอง อยากจะค้านว่าไม่เห็นเขาจะสนใจสายตาใครต่อใครเลยดูจากตอนรับประทานอาหารมื้อเที่ยงร่วมกับคนอื่น ๆ ที่ไซด์งานสิ ทั้ง ๆ ที่เป็นคนกันเองเขายังไม่แคร์แล้วจะมาแคร์อะไรกับสายตาของพนักงานโรงแรม

“เตียงมันออกจะกว้างขวางขนาดนั้น คุณนอนแผ่ได้เลยเต็มที่ ไม่ต้องห่วงผมหรอก”

พฤกษ์พูดอย่างไม่ยี่หระต่อสายตาค้อนควักของหญิงสาว ขณะก้มหน้าก้มตาหยิบเสื้อผ้าออกจากกระเป๋าเตรียมอาบน้ำชะล้างเหงื่อไคลที่ไหลท่วมตัวขณะอยู่ไซด์งาน

“ผมขอตัวอาบน้ำก่อนนะ อีกเดี๋ยวค่อยออกไปหาอะไรทานกัน”

พฤกษ์เอ่ยทิ้งท้ายก่อนจะหายลับเข้าห้องน้ำ หทัยภัทรมองตามก่อนจะทรุดตัวลงนั่งปลายเตียงอย่างอ่อนใจ สมองคิดไปต่าง ๆ นานาทั้งเป็นห่วงมารดาและเกรงใจเพื่อนร่วมงานเพราะเธอหายหน้าหายตาโดยไม่บอกไม่กล่าว คิดได้ถึงตอนนี้เธอก็อดไม่ได้ที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อติดต่อกับจิรกร

กระทั่งได้ยินจากเจ้านายว่าวิภาตได้โทร.มาแจ้งเรื่องลาพักร้อนให้ได้ทราบแล้ว สมองที่ว้าวุ่นเพราะต้องนึกหาเหตุผลเพื่อนำไปกล่าวอ้างถึงการขาดงานจึงค่อยคลายลง

หทัยภัทรไม่รู้ว่าเธอนั่งจับเจ่าอยู่ที่เดิมนานเท่าใด เพราะกว่าจะรู้สึกตัว พฤกษ์ก็เดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่และใบหน้าที่ดูสดชื่นแล้ว

“ยังติดใจเรื่องห้องพักไม่หายอีกเหรอคุณ”

คำถามพร้อมกิริยายิ้มยั่วของพฤกษ์ ทำให้หทัยภัทรเริ่มฉุน เขามาทำท่าเยาะเย้ยในขณะที่เธอนั่งหน้านิ่วแก้ปัญหาไม่ตกอยู่แบบนี้ได้อย่างไร

แต่ป่วยการที่หทัยภัทรจะกล่าวหาเขา เพราะถึงอย่างไรพฤกษ์ก็คงสามารถหาข้ออ้างบนความมั่นใจในตนเองของเขาได้เหมือนทุกครั้งอยู่ดี ฉะนั้นเธอจึงทำเพียงนั่งเงียบไม่พูดไม่จา

“อุ๊ย...”

จู่ ๆ พฤกษ์ก็ล้มตัวลงบนเตียงข้าง ๆ กับที่หทัยภัทรนั่งหน้าง้ำอยู่ เขาไม่ชอบที่เธอทำราวกับคำถามของเขาเป็นเพียงอากาศธาตุ ดังนั้นหากจะมีหนทางใดที่ทำให้เธอยอมเปิดปากพูดด้วย เขาก็ยินดีจะงัดมาทำ

ท่อนแขนแข็งแรงเกี่ยวร่างบางที่นั่งทำหูทวนลมไม่สนใจตอบคำถามของเขาให้ล้มลงไปด้วยกัน หทัยภัทรตกใจกับการจู่โจมแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยของพฤกษ์จนถึงกับอุทานออกมา ที่สำคัญตอนนี้เธอก็หงายหลังลงบนเตียงแถมถูกกักตัวไว้เป็นที่เรียบร้อย

“ปล่อยนะ”

เสียงร้องบอกพร้อมกิริยาพยายามยกแขนข้างที่รั้งตัวเธอเอาไว้นั้นออก ไม่ได้ทำให้พฤกษ์สะทกสะท้าน และแทนที่เขาจะยอมทำตามที่หทัยภัทรต้องการ ตรงข้ามเขากลับเท้าข้อศอกยันกายขึ้นมอง

“ยอมพูดแล้วเหรอ นึกว่าเครียดเรื่องห้องพักจนกลายเป็นใบ้”

“ก็ฉันไม่อยาก...”

“นอนเตียงเดียวกับผม”

พฤกษ์ต่อให้ด้วยรู้ในความต้องการของหทัยภัทรเป็นอย่างดี เขาเชื่อแล้วล่ะว่านอกจากจะสวยแล้ว หทัยภัทรยังมีดีที่ความดื้ออีกด้วย

“ฉันมั่นใจว่าเราไม่ได้เป็นอะไรกัน คุณไม่ต้องมาแกล้งอำ”

“อีกแล้ว พูดแบบนี้อีกแล้ว คุณจะบีบให้ผมฉายหนังเรื่องเมื่อคืนให้คุณดูอีกรอบงั้นเหรอ ได้นะ ถ้าคุณต้องการ”

พฤกษ์ว่าพลางพ่นลมหายใจออกทางปากเฮือกใหญ่ เขาไม่ได้อ่อนใจกับความเชื่อของเธอ หากแต่ยังไม่ได้คิดอยากจะทำเหมือนเช่นที่ว่ามาในเวลานี้ต่างหาก จะให้บอกออกไปได้อย่างไรว่าสภาพของเธอที่ปรากฏต่อหน้าเมื่อค่ำวานนี้ มันชวนให้สงสารและเห็นใจมากกว่าจะจุดอารมณ์พิศวาสให้ลุกโชน

“ไม่ใช่ ฉันไม่ได้ต้องการอย่างนั้น แต่ฉันรู้ก็แล้วกันว่าคุณโกหก หรือว่าคุณต้องการเงินคืน ถ้าต้องการแบบนั้นก็บอกฉันมาดี ๆ สิคะ ไม่เห็นต้องบีบบังคับใจกันแบบนี้เลย”

คิ้วหนาของพฤกษ์ขมวดมุ่นเข้าหากันด้วยความขัดใจในทันทีที่ได้ยินคำถามนั้นจากปากคนที่ถูกกักไว้ในอ้อมแขน พูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ

“ฉันไม่ใช่สมบัติของใคร พี่วินไม่มีสิทธิในชีวิตฉัน พอ ๆ กับคุณที่ก็ไม่มีสิทธิมากักขังจองจำฉันเหมือนกัน”

เสียงใสที่ต่อว่าต่อขานเขาอยู่เหย็ง ๆ เปลี่ยนเป็นสั่นเครือพร้อมนัยน์ตาคู่โตที่ช้อนขึ้นมองก็กำลังกลอกกลิ้งไปด้วยน้ำใสฉ่ำพราวจนคนมองเริ่มใจอ่อน

“ฉันไม่ใช่สมบัติของคุณ ไม่ใช่ผู้หญิงของคุณ ฮือ...”

หทัยภัทรดีดดิ้นพลางร่ำไห้ พฤกษ์มองท่าทีร้าวรานนั้นด้วยความเจ็บปวดในใจ เธอพูดถูกทุกอย่าง ไม่ว่าใครก็ตามต่างล้วนไม่มีสิทธิในชีวิตคนอื่นทั้งสิ้น ต่อให้คน ๆ นั้นจะถูกแลกมาด้วยอำนาจเงินสูงลิบลิ่วก็ตาม

หยาดน้ำใสไหลรินลงตามหางตา ขณะเจ้าของมิไยจะกรีดมันทิ้ง บาดความรู้สึกพฤกษ์ให้หดหู่เสียยิ่งนัก ยอมรับว่าน้อยใจที่เสียทั้งเงินแถมถูกตราหน้าว่าหน่วงเหนี่ยวกักขัง เขาถอนหายใจออกมาอีกหน ก่อนจะแตะปลายนิ้วไล้หยาดน้ำตาให้เบา ๆ

“คุณลำบากใจนักหรือที่ต้องอยู่กับผม การต้องอยู่ใกล้ผมมันเป็นความทุกข์อันใหญ่หลวงของคุณหรือไง คุณก็รู้ดีอยู่แล้วว่าพี่ชายคุณเป็นยังไง และที่สำคัญสิ่งที่คุณรู้นั่นยังน้อยนิดถ้าเทียบกับทั้งหมดที่ผมรู้”

“แต่ถึงยังไงมันก็ไม่เกี่ยวกับคุณไม่ใช่เหรอคะ”

“มันก็ไม่เกี่ยวหรอกถ้าพี่ชายคุณไม่ใช่ลูกน้องผม ความเสียหายทั้งหมดมันไม่ได้เกิดกับบริษัทผม อ้อ...แล้วก็รู้เอาไว้เสียด้วยว่าที่ต้องถ่อกันมาถึงนี่ก็เพราะฝีมือพี่ชายคุณนั่นแหละ”

พฤกษ์เอ่ยออกมาเสียงขุ่น เพราะดูเหมือนหทัยภัทรจะโยนความผิดข้อหาแส่ไม่เข้าเรื่องมาให้เต็ม ๆ แต่เขาก็เคืองเธอเป็นจริงเป็นจังไม่ลง ด้วยน้ำเสียงกึ่ง ๆ ตำหนินั้นได้เปลี่ยนเป็นความสงสัยใคร่รู้เสียแล้ว

“เขาทำอะไรอีกเหรอคะ”

“คุณอย่ารู้เลยว่าพี่ชายคุณทำอะไรไว้บ้าง รู้แค่ว่าตอนนี้ผมกับคนอื่น ๆ ในบริษัทกำลังตามแก้ปัญหากันอยู่ ถ้าคุณอยากจะช่วยก็รบกวนอยู่อย่างสงบและอย่าสร้างปัญหาเพิ่มก็พอ ผมสัญญานะว่าคุณต้องได้กลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมที่เคยเป็นแน่ ๆ และถ้าถึงวันนั้นผมจะพาคุณไปส่งจนถึงบ้านด้วยตัวเอง”

หทัยภัทรอยากถามออกมาเสียยิ่งนักว่าเมื่อไหร่จึงจะถึงวันนั้น แต่ประกายตาที่แฝงความเหน็ดเหนื่อยเคร่งเครียดซึ่งฉายวาบออกมาขณะบอกว่าทุกคนในบริษัทกำลังตามแก้ปัญหาที่พี่ชายของเธอเป็นคนก่อ ความละอายใจก็ถ่วงปากของเธอเอาไว้จนหนักหน่วงเสียแล้ว

ดังนั้นแทนที่จะดึงดันตัดพ้อต่อว่าเขาเช่นเดิมต่อไปอีก หทัยภัทรจึงได้แต่บอกตัวเองให้ยอมรับสภาพ ไหน ๆ ก็เคยรู้สึกแล้วว่าเขาเป็นคนดี เรื่องที่เขาใช้ความเจ้าเล่ห์หลอกล่อให้เธอตกเป็นของเขานั้นจะจริงหรือไม่ เธอก็ค่อยพิสูจน์ไปก็แล้วกัน



บุษบาฮาวาย
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 เม.ย. 2556, 22:56:26 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 เม.ย. 2556, 23:04:24 น.

จำนวนการเข้าชม : 1512





<< ตอนที่ 16   ตอนที่ 18 >>
ผักหวาน 30 เม.ย. 2556, 09:34:38 น.
พี่ก่อ น้องสางหนี้แทน


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account