เล่ห์รักเล่ห์เสน่หา
เล่ห์เหลี่ยมมีไว้ใช้กับคนรอบกาย
แต่หัวใจ...ใช้เพียงเล่ห์รักเท่านั้น
แต่หัวใจ...ใช้เพียงเล่ห์รักเท่านั้น
Tags: พฤกษ์ หทัยภัทร บุษบาฮาวาย
ตอน: ตอนที่ 18
ตอนที่ 18
ความเหน็ดเหนื่อยของพฤกษ์มีมาให้หทัยภัทรแอบเห็นใจอีกหนก็เมื่อเวลาเกือบ 3 ทุ่มของคืนนั้น ขณะที่พากันกลับมาจากรับประทานอาหารและหทัยภัทรก็ขนซื้อขนมขบเคี้ยวมาจากร้านสะดวกซื้อถุงเบ้อเริ่ม พฤกษ์ที่ล้มตัวลงนอนเอกเขนกได้แค่ไม่ถึง 5 นาที ก็ถูกดิษย์โทร.ตามให้กลับไปยังไซด์งานอีก
“ผมจะไปไซด์งาน คุณอยู่คนเดียวได้ไหม”
ทันทีที่วางสาย พฤกษ์ก็หันไปเอ่ยถามเอากับคนที่นั่งจ้องจอทีวีตาไม่กระพริบ เวลาขณะนั้นแม้จะยังไม่ดึกมากสำหรับชีวิตคนกรุง หากแต่บ้านนอกเช่นนี้เวลาหลัง 2 ทุ่มผู้คนก็แทบไม่ออกจากบ้านกันแล้ว
“เอ่อ...มีอะไรเหรอคะ”
“มีปัญหาที่นั่นนิดหน่อย”
พอพฤกษ์เอ่ยถึงปัญหา หทัยภัทรก็นึกไปถึงคำพูดของพฤกษ์ที่บอกว่าทุกคนกำลังตามแก้และมันเกิดขึ้นเพราะฝีมือพี่ชายของเธอ
“คือฉันหมายถึงปัญหาอะไรน่ะค่ะ พี่วินทำอะไรไว้อีก”
สายตาที่มองมาด้วยความใคร่รู้ ทว่าสีหน้าเจ้าของกลับดูไม่ดีเอาเสียเลยในสายตาพฤกษ์ ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะยกมุมปากขึ้นยิ้ม จริง ๆ เขาก็ชอบนะที่เธอสงบเสงี่ยม แต่ถ้าบ่อยเกินไปก็เกรงว่าจะบั่นทอนสุขภาพใจของเขาให้อ่อนแอลง
“ไม่เกี่ยวกับพี่ชายคุณหรอก เมื่อตอนหัวค่ำหลังจากที่เราออกมาแล้วคนงานแทงกัน ตอนนี้ตำรวจกำลังสอบปากคำอยู่”
“ตายจริง แล้ว...เป็นอะไรมากไหมคะ”
“ก็ยังไม่รู้เหมือนกัน แต่มีคนพาส่งโรงพยาบาลแล้ว”
จริง ๆ แล้วดิษย์แค่โทรศัพท์มารายงานให้ทราบแค่นั้น และเขาก็กำลังจัดการทุกอย่างอยู่ แต่สำหรับพฤกษ์ ในเมื่อได้รู้ว่ามีเหตุการณ์ไม่สู้ดีเกิดขึ้น หากไม่ไปร่วมรับรู้ด้วยตนเองและคอยแต่ฟังข่าวจากทางโทรศัพท์ คงไม่ทำให้เขาสามารถหลับตาลงได้อย่างเป็นสุข
“ขอฉันไปด้วยได้ไหมคะ”
ความกระตือรือร้นของหทัยภัทรที่มีสังเกตได้จากคำขอพร้อมการกดรีโมทปิดทีวีที่ตนเองกำลังทุ่มความสนใจอยู่ ทำให้พฤกษ์ถึงกับหยุดมือที่เริ่มต้นหยิบของใช้จำเป็นใส่กระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ต
“มันดึกแล้ว อย่าไปเลย”
“เพิ่งจะ 3 ทุ่มเอง ยังไม่ดึกหรอกค่ะ”
“ในกรุงเทพน่ะยังไม่ดึกหรอก แต่ที่นี่มันทั้งมืดและเงียบเลย อยู่รอที่นี่แหละ ถ้าง่วงก็นอนหลับซะ ผมคงไปไม่นาน”
แม้จะไม่รู้ว่าคืนนี้จะมีเรื่องอะไรอย่างอื่นให้ทำต่อจากการไปพบเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่พฤกษ์ก็อยากให้ความหวังแก่คนที่กำลังจะถูกทิ้งให้อยู่เพียงลำพัง ตัวเขาเองวันนี้ทั้งวันก็วุ่นอยู่หน้างาน ร้อนและเหนื่อยจนเมื่อสักครู่ตาก็แทบปิดเพราะความเพลีย ฉะนั้นความคาดหวังที่มีเขาเองก็ปรารถนาให้มันเป็นเช่นนั้นด้วย
“ถ้างั้นฉันจะคอยคุณ”
คิ้วหนาเลิกขึ้นพร้อมรอยยิ้มที่จุดอยู่มุมปากในทันทีที่ได้ยินคำพูดของหญิงสาว จะว่าไปตั้งแต่เขาบอกว่าพี่ชายเธอทิ้งปัญหาอะไรเอาไว้และเขาจำเป็นต้องมาเกี่ยวข้องด้วยในฐานะอะไรบ้าง ท่าทีของหทัยภัทรก็ดูจะสงบเสงี่ยมลงไปเยอะทีเดียว
“ไม่ต้องคอยหรอก ถ้ารู้ว่าคุณคอย ขากลับผมคงขับรถเหมือนเหาะ”
หทัยภัทรค้อนให้กับคำพูดของพฤกษ์นิดหนึ่ง แต่ก็แค่นิดเดียวเท่านั้นก่อนจะแสร้งบอกให้เขารีบไป เพราะบัดนี้คนที่กำลังเดินผ่านหน้าเธอไปยังประตูห้อง กำลังหันหน้ามามองอย่างเป็นจริงเป็นจัง
“ไม่คอยแล้วค่ะ คุณรีบไปเถอะ”
แล้วหทัยภัทรก็ได้ยินเพียงเสียงหัวเราะหึ ๆ ดังมา ก่อนบานประตูที่ถูกดึงให้เปิดออกนั้นจะกลับปิดลง
ความกังขาและสับสนใจเกี่ยวกับตัวพฤกษ์ รวมไปถึงคำว่า ‘เมีย’ ที่เขาหยิบยกมาใช้กับเธอ ทำให้สมองของหทัยภัทรเฝ้าขบคิดถึงหนทางที่จะพิสูจน์ความจริง ถ้าเขาทำกิริยาโหด หยาบ เถื่อนให้เห็นเป็นอาจิณ เธอคงไม่ลังเลที่จะเชื่อว่าถูกเขาล่วงเกินด้วยความเห็นแก่ตัวไปแล้ว แต่นี่...แม้สักครั้งเขาก็ยังไม่เคยทำให้เห็น จะให้เธอคล้อยตามง่าย ๆ ได้อย่างไร
อีกอย่าง...เธอแทบไม่รู้สึกด้วยซ้ำว่าถูกล่วงเกิน แต่เพราะกิริยาที่ไม่ได้โหดหยาบเถื่อนของเขานั่นเอง ที่ทำให้ความคิดของหทัยภัทรแตกออกเป็นสองฝักสองฝ่าย หรือเขาจะปฏิบัติต่อเธอด้วยความนุ่มนวลอ่อนโยน คิดมาถึงตรงนี้ ใบหน้าเรียวก็ร้อนฉ่าพาลให้นึกตำหนิตนเองที่คิดอะไรเหลวไหลไปไกล
หทัยภัทรใช้ช่วงเวลาที่อยู่เพียงลำพังนี้ นอนพังพาบคุยโทรศัพท์กับคุณอมราผู้เป็นแม่ เธอยังคงต้องบังคับตัวเองให้ใช้น้ำเสียงเริงร่าตลอดการสนทนาที่กินเวลายาวนานร่วมครึ่งชั่วโมง ก่อนจะวางสายพร้อมความวิตกกังวลที่คลายลงเพราะวิภาตยังไม่ได้ทิ้งร้างไปค้างคืนที่ไหน
ขณะกำลังอาบน้ำชำระร่างกาย ความคิดที่อยากจะลองใจพฤกษ์ก็บังเกิด หทัยภัทรไม่รู้หรอกว่ามันจะส่งผลดีหรือร้ายต่อตัวเธอเอง แต่ในเมื่อจิตใจมีคำถามมากมายให้เฝ้าครุ่นคิดทว่าคำตอบกลับหาไม่ได้ เธอจึงจำเป็นต้องขอลองดูสักตั้ง
หากเขาเป็นคนดีจริง การลองใจในครั้งนี้ก็จะทำให้เธอสามารถใช้ชีวิตอยู่ใกล้กับเขาได้อย่างสบายใจ แต่หากผลออกมาตรงข้าม เธอก็คงต้องสู้ยิบตาหาทางเอาตัวรอดจากภาวะหน้าสิ่วหน้าขวานให้ได้
การรอคอยของหทัยภัทรเป็นไปด้วยความลุ้นระทึกตลอดเวลาร่วม 3 ชั่วโมง ในขณะที่สรรพสิ่งรอบตัวเงียบกริบเพราะเวลาขณะนั้นกำลังจะล่วงเข้าสู่วันใหม่ แล้วเสียงไขกุญแจที่ชวนให้หัวใจวายก็ดังแทรกขึ้นท่ามกลางความสงัด
แม้ร่างบางจะสะดุ้งเฮือก ทว่าเจ้าตัวกลับข่มใจนอนระทวยตะแคงหน้าปิดตาแน่นิ่ง กางเกงขาสั้นเลยเข่านั้นดูไม่ชวนให้ค้นหาเท่าเสื้อผ้าชีฟองอันแนบกายเน้นส่วนเว้าส่วนโค้ง ที่สำคัญเจ้าของจงใจรั้งคอเสื้อให้ต่ำลงจนเนินเนื้อสีขาวโผล่ให้เห็น แม้จะทำใจลำบากกว่าจะจัดฉากได้ถึงขนาดนี้ แต่เธอก็ต้องลอง
พฤกษ์กลับมาจากไซด์งานพร้อมความเครียดปริมาณหนึ่ง กฎที่ตั้งไว้ว่าห้ามก่อการทะเลาะวิวาท ทำให้เขาต้องตัดสินใจไล่คนงานทั้งคู่ออกจากงาน โดยไม่สนว่าฝ่ายใดผิดหรือฝ่ายใดถูก ทว่าเมื่อเอาข้อบังคับนั้นมาใช้เข้าจริง ๆ คนที่ไม่สบายใจกลับเป็นเขาเสียเอง
พอแสงไฟในห้องสว่างวาบขึ้น สายตาคู่คมก็กวาดมองไปยังเตียงนอนก่อนเป็นอันดับแรก เวลาป่านนี้เขาก็ไม่ได้หวังว่าหทัยภัทรจะอยู่รอ ซึ่งพอได้เห็นเธอนอนนิ่งอยู่บนเตียง พฤกษ์ก็ถึงกับคลี่ยิ้มพลางส่ายหน้า
ร่างบางที่เขาเคยหอบหิ้วขึ้นบนคอนโดมาแล้วและรู้ดีว่าไม่ได้ผอมแห้งราวแผ่นกระดานทอดกายอยู่อีกฝั่งทว่าหันหน้าเข้ากลางเตียง ทำให้คนที่เตรียมถอดเสื้อแจ็คเก็ตออกจากตัวหายใจสะดุด เนินเนื้อผุดผ่องที่มองเห็นกระจ่างตาพากันมาเบียดโชว์อยู่ที่คอเสื้อแหลมลึก แม้จะไม่ได้ตั้งใจมอง แต่ก็ไม่ยากที่จะเห็น
มือหนาพาดเสื้อแจ็คเก็ตลงบนพนักเก้าอี้เพียงแผ่วเบา ลำคอที่เกิดแห้งผากขึ้นมาในทันใด ทำให้เขาถึงกับเผลอตัวบีบพนักเก้าอี้นั้นแรง ๆ ความคิดแตกออกเป็นหลายทางไม่ว่าจะปลุกเธอขึ้นมาทำอะไรให้หายเครียด อาบน้ำอีกรอบให้ร่างกายคลายร้อน หรือระเห็จตัวเองลงไปคลุกกับพื้นพรมหลบภาพสามมิติที่ชวนให้เลือดในกายสูบฉีดรุนแรง
“วันนี้มันเป็นวันอะไรกันวะ”
พฤกษ์บ่นงึมงำเอากับตัวเองพลางหัวเราะหึ ๆ เขากำลังเครียดอยู่นะ แต่ก็ไม่คิดเลยว่าความเครียดที่ตนแบกกลับมาด้วยจะถูกซ้ำเติมให้ยิ่งหนักข้อขึ้นกว่าเดิมอีก
มือหนาคว้าหมอนสีขาวสะอาดตาที่ยังเหลืออยู่อีกใบหนึ่งขึ้นมาจากเตียง ก่อนจะโยนตุ๊บลงบนพื้นแล้วทอดกายนอนก่ายหน้าผาก นึกไปถึงคำพูดของดิษย์ที่เป็นห่วงว่าคืนนี้เขากับหทัยภัทรจะอยู่กันอย่างไรแล้วก็อยากหัวเราะ เพราะฝ่ายนั้นสบประมาทเขาเอาไว้ว่าคงไม่กล้าทำอะไรเธอ และบัดนี้เขาก็ไม่กล้าทำเช่นว่าจริง ๆ
แต่อนิจจา...คนที่เพลียกับงานมาทั้งวันกลับนอนเบิกตาโพลงอยู่ร่วมครึ่งชั่วโมง แม้จะปิดไฟแล้วข่มตาให้หลับ ทว่าภาพความขาวเนียนผุดผ่องแถมกลิ่นหอมละมุนละไมที่โชยมาเข้าจมูกขณะก้มตัวไปหยิบหมอนก็ยังติดจมูกมาไม่รู้หาย สุดท้ายพฤกษ์ก็จำเป็นต้องไปสงบสติอารมณ์อยู่ใต้ฝอยน้ำ
เสียงปิดประตูห้องน้ำแล้วตามไปด้วยเสียงน้ำไหลซ่า ๆ ทำให้คนที่แสร้งนอนทอดกายล่อตะเข้จำศีลอย่างหทัยภัทรถึงกับปิดปากหัวเราะ เธอไม่ได้เยาะพฤกษ์ หากแต่นึกขำตัวเองเพราะก่อนจะล้มตัวลงนอน เธอก็หมายตาเอาไว้ทั้งโคมไฟ ที่เขี่ยบุหรี่หรือแม้กระทั่งขวดน้ำที่จงใจนำมาวางไว้ใกล้มือ ก่อนบทสรุปจะออกมาว่าไม่มีความจำเป็นต้องพึ่งพาสิ่งของเหล่านั้นและจากนี้ไปคงนอนหลับอย่างสบายใจไปทุกคืน
“อ้าว เมื่อกี้คุณหลับอยู่ไม่ใช่เหรอ”
ประตูห้องน้ำเปิดผลัวะออกพร้อมกับคำถามของคนที่มีเพียงผ้าขนหนูสีขาวพันกาย ทำให้หทัยภัทรซึ่งเตรียมสอดกายเข้าใต้ผ้าห่มตกใจจนแทบทำอะไรไม่ถูก
“คะ?...อ๋อ...ฉันคงนอนเล่นเพลินไปจนลืมห่มผ้าค่ะ แอร์มันเย็น คุณกลับมานานแล้วเหรอคะ”
“เพิ่งมาถึง อากาศข้างนอกมันอบอ้าวจนเหนียวตัวก็เลยไปอาบน้ำอีกรอบ”
เรียวปากอิ่มถูกเข้าของเม้มเข้าหากันจนแน่นพร้อมกิริยาก้มหน้าซ่อนนัยน์ตาโตที่พราวระริกด้วยเกือบจะหลุดเสียงหัวเราะออกมา
“อ้าว...แล้วหมอนของคุณล่ะคะ”
เมื่อข่มใจกลั้นกิริยาขบขันนั้นได้หทัยภัทรก็แสร้งทำเป็นเอ่ยถามถึงหมอนอีกใบที่ไม่ได้อยู่ประจำที่ของมัน คนถูกถามทำหน้าเหรอหรา ก่อนจะสาวเท้ายาว ๆ ไปก้มตัวหยิบมันขึ้นมาจากพื้นเพื่อวางลงในที่ ๆ มันควรจะอยู่
“คุณนอนดิ้นจนทำมันหล่นลงบนพื้นล่ะสิ ระวังจะตกเตียงไม่รู้ตัว”
หทัยภัทรไม่แย้งคำกล่าวหาของพฤกษ์แม้แต่คำเดียว ถือว่าความไว้เนื้อเชื่อใจที่เกิดขึ้นนั้นพอจะกลบการโกหกคำโตของเขาได้สนิท เธอสอดกายเข้าใต้ผ้าห่มแล้วล้มตัวลงนอนพลางดึงมันขึ้นคลุมถึงคอ
“ราตรีสวัสดิ์นะคะ”
“อ้าว...จะหลับแล้วเหรอ”
“ค่ะ ก็มันดึกแล้ว”
“หืม...แปลว่ายังไงมันดึกแล้ว”
“เอ่อ...ก็ฉันเห็นว่าเวลามันเกือบตีหนึ่งแล้วนี่คะ ฉันง่วงแล้ว”
จู่ ๆ คนที่ยังเปลือยกายท่อนบนก็ก้าวเท้ามาโน้มตัวถามอยู่ใกล้ ๆ หทัยภัทรเกรงว่าตัวเองจะหลุดพิรุธออกไปจึงรีบเอ่ยบอก แม้พฤกษ์จะขมวดคิ้วหนาเข้าหากันและดูเหมือนไม่ค่อยจะปักใจเชื่อนัก แต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก นอกจากเดินไปหยิบชุดนอนออกมาจากกระเป๋าแล้วแต่งตัวไปเงียบ ๆ
จนกระทั่งเตียงนอนอีกฝั่งยุบตัวเพราะน้ำหนักที่กดทับลงมา หทัยภัทรที่นอนหันหลังแถมพันกายตัวเองเอาไว้จนแน่นหนาก็หันขวับไปมอง ซึ่งการได้เห็นเขานอนเอามือก่ายหน้าผาก เธอก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“งานของคุณเรียบร้อยดีหรือเปล่าคะ”
“ก็เรียบร้อยดี”
น้ำเสียงที่ฟังดูค่อนข้างลังเล ทำให้หทัยภัทรเลือกที่จะถามต่อแทนการรับรู้แล้วข่มตาหลับไปเสียเฉย ๆ เหมือนที่ตั้งใจแต่แรก
“ทางตำรวจว่าไงบ้างคะ”
“ไม่รู้สิ ผมให้รายละเอียดไปเพราะเกี่ยวข้องเป็นนายจ้างและเป็นเจ้าของสถานที่ในเวลานี้แค่นั้น ที่เหลือผมยกให้เป็นหน้าที่ของตำรวจ”
“พวกเขามีปัญหากันเหรอคะ แล้วเป็นคนไทยด้วยกันเองหรือว่าพม่า”
ความอยากรู้อยากเห็น ทำให้หทัยภัทรพลิกกายหันหน้ามาทางพฤกษ์ ซึ่งฝ่ายนั้นก็เต็มใจจะเล่าให้ฟังโดยไม่ได้นึกเบื่อหรือรำคาญแต่อย่างใด
“ก็กินเหล้าเมาด้วยกันทั้งคู่ ว่าแต่...ทำไมคุณรู้ล่ะว่ามีคนงานพม่าด้วย”
“มาลี เอ่อ...คนงานหญิงที่ช่วยซักผ้าให้เป็นคนเล่าให้ฟังค่ะ”
“เป็นพม่ากับคนไทย โชคดีที่เป็นแรงงานต่างด้าวขึ้นทะเบียน ขืนเป็นแรงงานเถื่อน ผมกับนายดิษย์คงต้องได้ยุ่งกันอีก”
“แล้วคนเจ็บเป็นใครคะ คนไทยหรือพม่า เขาเป็นยังไงบ้าง”
“เป็นคนงานพม่า เย็บไป 18 เข็ม ส่วนอีกคนเจ็บแค่เล็กน้อยแต่ก็ไปโรงพยาบาลด้วยกันทั้งคู่นั่นแหละ”
“โห...เย็บตั้งหลายเข็ม ฟังดูน่ากลัวจัง คงต้องหยุดงานหลายวันนะคะกว่าจะหายแล้วกลับมาทำงานตามเดิมได้”
“ไม่รู้เหมือนกันว่าต้องอยู่โรงพยาบาลกี่วัน แต่ก็ไม่มีใครรอให้เขากลับมาทำงานหรอก”
“คะ? คุณหมายความว่าไงคะ”
“ก็เราเปิดโอกาสให้เขาไปหางานทำใหม่”
“แปลว่าคุณไล่เขาออกเหรอคะ”
“คงทำนองนั้น บริษัทเราตั้งกฎเอาไว้แล้วว่าห้ามก่อการทะเลาะวิวาทไม่ว่ากรณีใด ๆ ทั้งสิ้น ผมไม่ได้ไล่ใครคนใดคนหนึ่งออกแค่ฝ่ายเดียว แต่ผมให้ออกทั้งคู่”
คำพูดของพฤกษ์ที่สื่อให้เห็นว่าเขากำลังเล่นบทโหดให้เธอดู ทำให้หทัยภัทรที่ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมถึงคอ ต้องกำมันเอาไว้จนแน่น เธอบอกไม่ได้ว่าตนเองคิดถูกหรือผิด แต่คนที่กำลังสอดกายเข้าใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันและกระเถิบมาใกล้ ก็ปลุกความหวาดหวั่นในใจเธอให้ตื่นโพลงขึ้นมาอีกหน
“เอ่อ...ฉันอยากรู้แค่นี้แหละค่ะ ดึกแล้ว ขอตัวหลับต่อนะคะ”
ใบหน้าคมที่แลดูสดชื่นเพราะเพิ่งอาบน้ำมาแถมเขายังโน้มตัวเข้ามาใกล้จนกลิ่นสบู่โชยมาเข้าจมูกของหทัยภัทร ทำให้เธออยากยุติการสนทนากับเขาลงแต่เพียงเท่านี้ แต่ก็ช่างน่าตำหนิตัวเองเสียจริงที่ทำอะไรไม่แนบเนียน
“ทำตาใสแจ๋วเป็นตาตั๊กแตนอย่างนี้ คุณง่วงนอนแล้วจริง ๆ เหรอ หืม...”
“ง่วงแล้วจริง ๆ ค่ะ”
คำถามพร้อมกิริยาเกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าผากของเธอออกให้ ทำให้หทัยภัทรรู้สึกเหมือนตนเองกำลังหายใจติดขัด เธอยืนยันด้วยน้ำเสียงที่พยายามบังคับให้ดูหนักแน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยแอบหวังอยู่ลึก ๆ ว่าพฤกษ์จะยอมเชื่อ แต่ทว่า...
“แต่ผมยังไม่ง่วง อยู่คุยเป็นเพื่อนกันก่อนสิ เล่าให้ฟังบ้างว่าที่บ้านคุณเป็นยังไง เผื่อวันที่ผมพาคุณกลับไปส่งบ้าน จะได้ไม่งงเป็นไก่ตาแตก”
“จะพาไปส่งพรุ่งนี้เลยไหมคะ”
“ทำไม...”
คนที่ทิ้งตัวลงนอนผงกศีรษะขึ้นพลางเอ่ยถาม นัยน์ตาคมจับจ้องใบหน้าเรียวของหญิงสาวแล้วยิ้มบาง ๆ
“ก็ถ้าไม่ได้คิดจะพาไปส่งพรุ่งนี้ ค่อยเล่าให้ฟังวันอื่นก็ได้นี่คะ”
“เป็นงั้นไป เมื่อตอนที่ผมกลับไปไซด์งาน ยายแพร เอ่อ...ผมหมายถึงน้องสาวของผม โทร.มา”
แพรพิไลโทรศัพท์มาบ่นเสียยาวยืดเรื่องที่เขาเบี้ยวไม่ยอมกลับบ้านเมื่อค่ำวาน ที่สำคัญแม่ของเขาก็ยังฝากคำบ่นมาให้อีกเป็นกระบุงโกย ทั้ง ๆ ที่อ้างเรื่องงาน แต่คนเป็นน้องสาวกลับแย้งว่าดิษย์ก็อยู่ที่นี่ พฤกษ์จึงไม่มีความจำเป็นต้องทิ้งบริษัทมาอยู่ด้วยอีกคน และเขาก็ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะจัดการอย่างไรดี ที่ไม่อยากให้ดิษย์กลับเข้ากรุงเทพเพราะมีเหตุผลส่วนตัวนั่นก็เป็นอีกเรื่องที่น่าคิด
“น้องสาวผมโทร.มาต่อว่าเรื่องที่ผมเบี้ยวไม่กลับบ้านเมื่อวาน แล้ววันนี้ก็คอยอยู่อีกทั้งวัน”
น้ำเสียงยามเมื่อเอ่ยถึงน้องสาวของพฤกษ์นั้นเป็นไปด้วยความอ่อนโยนจนคนฟังนึกอยากเห็นหน้า หทัยภัทรอยากจะคิดว่าเธอคงสวยเพราะพฤกษ์เองก็มีโครงหน้าที่ดูดีสะกดสายตาคนมองได้แบบไม่ยาก
“แล้วไหนจะแม่ของผมอีกที่ฝากคำบ่นมาให้ บางที...อีกวันหรือสองวันนี้เราอาจจะต้องได้กลับเข้ากรุงเทพ”
เรื่องที่แพรพิไลโทร.มาตัดพ้อว่าเขาไม่รักษาคำพูดนั้น พฤกษ์เองคิดว่าคงเคลียร์ได้ไม่ยาก ที่สำคัญคือหากหยิบยกงานที่มีปัญหาขึ้นมากล่าวอ้าง ทุกคนก็ต้องยอมรับฟัง แต่สำหรับคนเป็นแม่ของเขานี่สิ แค่รู้ว่าเขาเคยไปทานข้าวกับเมทินี หลัง ๆ มาก็ชักจะพูดถึงเธอบ่อยขึ้น หนนี้เขาไม่ได้กลับบ้านทั้งที่รับปากแล้วเป็นมั่นเหมาะ นางก็ถึงกับฝากคำบ่นมาให้ น่ากลัวจะมีเบื้องหน้าเบื้องหลังอะไรแอบแฝงสักอย่างแน่ ๆ
“ถ้าคุณกลับกรุงเทพ ฉันอยู่ที่นี่ก็ได้ค่ะ”
“หืม...คุณอยู่คนเดียวได้แน่เหรอ”
“ถึงฉันจะอยู่ที่นี่หรือกลับกรุงเทพกับคุณ ฉันก็เข้าบ้านไปหาแม่ไม่ได้อยู่ดี อย่าว่าแต่กลับบ้านเลยค่ะ ป่านนี้ที่โรงแรมก็คงเตรียมหาคนใหม่มาทำงานแทนฉันแล้ว ถ้ากลับกรุงเทพเมื่อไหร่ ฉันก็คงกลายเป็นคนตกงานเมื่อนั้น”
“ก็ดีแล้วไง จะได้อยู่ด้วยกันไปนาน ๆ ไม่ต้องไปไหน”
คำพูดที่ดังมาจากพฤกษ์ซึ่งยังคงใช้มือลูบเส้นผมของเธอไปมาเพียงเบา ๆ ทำให้หัวใจของหทัยภัทรแอบกระตุกกับความหมายที่แฝงอยู่ แม้อยากจะถามว่าให้อยู่ในฐานะอะไรแต่จิตใจที่แกว่งไกวก็ไม่กล้าพอ
“ฉันอยู่ว่าง ๆ ไม่ได้หรอกค่ะ เพราะต้องทำงานหาเงินเลี้ยงแม่เลี้ยงตัวเอง”
ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าชีวิตของหทัยภัทรนั้นน่าสงสาร มีพี่ชายที่พอจะพึ่งพิงได้แต่ก็กลับกลายเป็นตรงกันข้าม ทว่าพอได้ยินเธอพูดออกมาว่ามีภาระต้องรับผิดชอบอย่างไรบ้าง พฤกษ์กลับสะท้อนใจจนเงียบไปเลย
การเป็นเสาหลักของครอบครัว เลี้ยงทุกคนให้อยู่อย่างสุขสบาย พฤกษ์รู้ว่าไม่ใช่งานง่าย ๆ เขาเองอาจจะไม่เดือดร้อนเพราะกิจการของบริษัทมีผลกำไรปีละหลายสิบล้านบาท แต่สำหรับหทัยภัทรเล่า...เธอจะลำบากลำบนเพียงใด คิดแล้วก็แค้นวิภาตไม่หาย
“คิดไว้หรือเปล่าว่าจะไปทำอะไร”
“เป็นเซลค่ะ”
“อะไรนะ”
คำตอบที่ได้รับ น้ำเสียงที่ดูเริงร่ามีชีวิตชีวาเมื่อกล่าวถึงงานที่เคยสร้างรายได้ให้ตนเองมากกว่าเงินเดือนประจำ ทำให้พฤกษ์หันขวับไปมองเสี้ยวหน้าของคนพูดด้วยความแปลกใจ
“ก็ทำเหมือนที่คุณเคยเห็นไงคะ เสนอขายสินค้า ได้เปอร์เซ็นต์ รายได้ดีกว่าทำงานประจำอีก ถ้าไม่ได้ทำงานประจำ ก็จะมีเวลาทำมากขึ้น รายได้ก็คงเยอะกว่าที่เคยได้”
“ถ้าเห็นว่ารายได้ดีแล้วทำไมถึงไม่ลาออกจากงานประจำเสียล่ะ วิ่งรอกทำไมเหนื่อยจะตาย”
“ก็...ใช่ค่ะ พีอาร์โรงแรมเงินเดือนหมื่นกว่า แต่ก็เป็นงานที่ทำแล้วสบายใจ”
“เจ้านายดีงั้นสิ?”
พฤกษ์เอ่ยถามเสียงสูง พยายามเก็บความไม่ชอบใจของตนเองเอาไว้ เพราะรู้ดีว่าจิรกรที่หทัยภัทรสัมผัสกับจิรกรที่เขาเคยเห็นเป็นคนละคนกัน
“ค่ะ ดีจนทำให้ต้องบอกตัวเองให้อยู่ช่วยทำงานไปนาน ๆ”
พฤกษ์ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งเมื่อเห็นรอยยิ้มที่ระบายบาง ๆ อยู่บนใบหน้าเรียวของเธอ เขาขัดใจนะแต่ทำอะไรได้ไม่มากไปกว่าหาทางให้เธอหยุดสรรเสริญคนที่มีดีแค่เปลือกนอก ด้วยวิธีที่ละมุนละม่อมในแบบฉบับของเขา
“ถ้ารู้จักกันไปนานกว่านี้ คุณก็จะรู้ว่าผมดีกว่าเจ้านายคุณอีก”
“จริงเหรอคะ”
“จริง”
รอยยิ้มของหทัยภัทรเปิดกว้าง ตาโตเหลือบมองดูคนที่มาโน้มกายอยู่ใกล้ ๆ ก่อนรอยยิ้มที่กระจ่างตานั้นจะค่อย ๆ เจื่อนลง เมื่อรับรู้ว่าพฤกษ์เองก็กำลังทอดสายตาที่เปล่งประกายกล้ามาสบกันพอดี
“เอ่อ...ฉันว่าเราหลับกันเถอะค่ะ คือ...มันดึกแล้ว”
กลีบปากอิ่มเอ่ยบอกอย่างติด ๆ ขัด ๆ แม้ไม่รู้ว่าเธอเป็นอะไรแต่พฤกษ์เองก็เผลอก้มหน้าลงไปแตะเรียวปากนุ่มละมุนนั้นอย่างลืมตัว
มือเรียวของหทัยภัทรกำปมผ้าห่มเอาไว้จนแน่น ขณะร่างหนาพลิกกายมาเท้าข้อศอกคร่อมไหล่ของเธอเอาไว้แล้วคลุกเคล้าลิ้มชิมประหนึ่งต้องมนต์จนทนไม่ไหว
โลกของหทัยภัทรกำลังหมุนคว้าง จุมพิตวาบหวามปลุกความปั่นป่วนในช่องท้องให้ก่อตัว พฤกษ์จะทำให้เธอขาดอากาศหายใจไหม เสียงคำถามดังแทรกเสียงหัวใจที่รัวระทึก เธอไม่มีคำตอบให้นอกจากพยายามปล่อยกายในสภาพเบาหวิวต้านคลื่นอารมณ์ที่โหมกระหน่ำ
“พอ...แล้วค่ะ”
เสียงใสเอ่ยบอกอย่างเหนื่อยหอบ มือเรียวละจากปมผ้าห่มไปยันอกกว้างของคนที่กำลังไล้เรียวปากไปยังซอกคอโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
พฤกษ์กระแทกลมหายใจออกมาแรง ๆ ทีหนึ่ง ก่อนจะยกมือขึ้นเกลี่ยเส้นผมที่ปรกลงมาบนหน้าผากมน มองกลีบปากอิ่มแดงระเรื่อนั้นแล้วถอนหายใจอีกเฮือกแล้วนิ่งอยู่ ความหวานละมุนที่เคยได้สัมผัสและครั้งนี้ก็ให้ความรู้สึกไม่ต่างกันทำให้เขาไม่นึกอยากจะหยุดเลยให้ตาย
“ไปนอนตรงที่ของคุณสิคะ”
มือเรียวที่ยันอยู่ตรงอกกว้างขยับเขย่า ประหนึ่งต้องการเรียกสติที่เตลิดไปจากตัวของพฤกษ์ให้กลับมา ตาโตที่ปรือฉ่ำอยู่เมื่อครู่มองเขาอย่างหวาด ๆ น่ากลัวว่าใจของเธอคงกระเจิงไปไกลกว่าพฤกษ์เสียอีก
“ไปสิคะ”
เสียงใสเร่งเร้าปลุกให้พฤกษ์คลี่ยิ้มมุมปาก หากเขาแกล้งโน้มตัวฉกเรียวปากลงไปหาอีกหน เธอคงไม่ยอมให้เขาตักตวงความหอมหวานซ่านทรวงเหมือนคราแรกอีกแน่ ๆ
“งั้นก็หลับเถอะ ฝันดีนะ”
พอร่างหนานั้นยอมเคลื่อนกายออกหางพร้อมคำอำลาสำหรับค่ำคืนที่ความหวามไหวเร้นกายอยู่ หทัยภัทรก็ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมจนถึงคออีกหน ร่างอรชรพลิกตะแคงมองพฤกษ์ตาไม่กระพริบ ที่เชื่อว่าเธอจะสามารถอยู่ใกล้กับเขาได้อย่างปลอดภัยนั้น เห็นทีจะไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์เสียแล้ว
กระทั่งแสงจากโคมไฟถูกทำให้มืดดับพร้อม ๆ กับความเงียบอันปราศจากความเคลื่อนไหวใด ๆ ได้แผ่เข้าปกคลุม หทัยภัทรจึงบอกตัวเองให้ข่มตาหลับ เธอคงไม่รู้หรอกว่าเจ้าของร่างหนาที่นอนคว่ำหน้าแน่นิ่งอยู่ที่อีกฝั่งหนึ่งของเตียงนอนกว้างนั้น ต้องกัดฟันกล้ำกลืนความรู้สึกตื่นตัวที่ตีตื้นเต็มปรี่นั้นด้วยความยากลำบากเพียงใด
ความเหน็ดเหนื่อยของพฤกษ์มีมาให้หทัยภัทรแอบเห็นใจอีกหนก็เมื่อเวลาเกือบ 3 ทุ่มของคืนนั้น ขณะที่พากันกลับมาจากรับประทานอาหารและหทัยภัทรก็ขนซื้อขนมขบเคี้ยวมาจากร้านสะดวกซื้อถุงเบ้อเริ่ม พฤกษ์ที่ล้มตัวลงนอนเอกเขนกได้แค่ไม่ถึง 5 นาที ก็ถูกดิษย์โทร.ตามให้กลับไปยังไซด์งานอีก
“ผมจะไปไซด์งาน คุณอยู่คนเดียวได้ไหม”
ทันทีที่วางสาย พฤกษ์ก็หันไปเอ่ยถามเอากับคนที่นั่งจ้องจอทีวีตาไม่กระพริบ เวลาขณะนั้นแม้จะยังไม่ดึกมากสำหรับชีวิตคนกรุง หากแต่บ้านนอกเช่นนี้เวลาหลัง 2 ทุ่มผู้คนก็แทบไม่ออกจากบ้านกันแล้ว
“เอ่อ...มีอะไรเหรอคะ”
“มีปัญหาที่นั่นนิดหน่อย”
พอพฤกษ์เอ่ยถึงปัญหา หทัยภัทรก็นึกไปถึงคำพูดของพฤกษ์ที่บอกว่าทุกคนกำลังตามแก้และมันเกิดขึ้นเพราะฝีมือพี่ชายของเธอ
“คือฉันหมายถึงปัญหาอะไรน่ะค่ะ พี่วินทำอะไรไว้อีก”
สายตาที่มองมาด้วยความใคร่รู้ ทว่าสีหน้าเจ้าของกลับดูไม่ดีเอาเสียเลยในสายตาพฤกษ์ ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะยกมุมปากขึ้นยิ้ม จริง ๆ เขาก็ชอบนะที่เธอสงบเสงี่ยม แต่ถ้าบ่อยเกินไปก็เกรงว่าจะบั่นทอนสุขภาพใจของเขาให้อ่อนแอลง
“ไม่เกี่ยวกับพี่ชายคุณหรอก เมื่อตอนหัวค่ำหลังจากที่เราออกมาแล้วคนงานแทงกัน ตอนนี้ตำรวจกำลังสอบปากคำอยู่”
“ตายจริง แล้ว...เป็นอะไรมากไหมคะ”
“ก็ยังไม่รู้เหมือนกัน แต่มีคนพาส่งโรงพยาบาลแล้ว”
จริง ๆ แล้วดิษย์แค่โทรศัพท์มารายงานให้ทราบแค่นั้น และเขาก็กำลังจัดการทุกอย่างอยู่ แต่สำหรับพฤกษ์ ในเมื่อได้รู้ว่ามีเหตุการณ์ไม่สู้ดีเกิดขึ้น หากไม่ไปร่วมรับรู้ด้วยตนเองและคอยแต่ฟังข่าวจากทางโทรศัพท์ คงไม่ทำให้เขาสามารถหลับตาลงได้อย่างเป็นสุข
“ขอฉันไปด้วยได้ไหมคะ”
ความกระตือรือร้นของหทัยภัทรที่มีสังเกตได้จากคำขอพร้อมการกดรีโมทปิดทีวีที่ตนเองกำลังทุ่มความสนใจอยู่ ทำให้พฤกษ์ถึงกับหยุดมือที่เริ่มต้นหยิบของใช้จำเป็นใส่กระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ต
“มันดึกแล้ว อย่าไปเลย”
“เพิ่งจะ 3 ทุ่มเอง ยังไม่ดึกหรอกค่ะ”
“ในกรุงเทพน่ะยังไม่ดึกหรอก แต่ที่นี่มันทั้งมืดและเงียบเลย อยู่รอที่นี่แหละ ถ้าง่วงก็นอนหลับซะ ผมคงไปไม่นาน”
แม้จะไม่รู้ว่าคืนนี้จะมีเรื่องอะไรอย่างอื่นให้ทำต่อจากการไปพบเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่พฤกษ์ก็อยากให้ความหวังแก่คนที่กำลังจะถูกทิ้งให้อยู่เพียงลำพัง ตัวเขาเองวันนี้ทั้งวันก็วุ่นอยู่หน้างาน ร้อนและเหนื่อยจนเมื่อสักครู่ตาก็แทบปิดเพราะความเพลีย ฉะนั้นความคาดหวังที่มีเขาเองก็ปรารถนาให้มันเป็นเช่นนั้นด้วย
“ถ้างั้นฉันจะคอยคุณ”
คิ้วหนาเลิกขึ้นพร้อมรอยยิ้มที่จุดอยู่มุมปากในทันทีที่ได้ยินคำพูดของหญิงสาว จะว่าไปตั้งแต่เขาบอกว่าพี่ชายเธอทิ้งปัญหาอะไรเอาไว้และเขาจำเป็นต้องมาเกี่ยวข้องด้วยในฐานะอะไรบ้าง ท่าทีของหทัยภัทรก็ดูจะสงบเสงี่ยมลงไปเยอะทีเดียว
“ไม่ต้องคอยหรอก ถ้ารู้ว่าคุณคอย ขากลับผมคงขับรถเหมือนเหาะ”
หทัยภัทรค้อนให้กับคำพูดของพฤกษ์นิดหนึ่ง แต่ก็แค่นิดเดียวเท่านั้นก่อนจะแสร้งบอกให้เขารีบไป เพราะบัดนี้คนที่กำลังเดินผ่านหน้าเธอไปยังประตูห้อง กำลังหันหน้ามามองอย่างเป็นจริงเป็นจัง
“ไม่คอยแล้วค่ะ คุณรีบไปเถอะ”
แล้วหทัยภัทรก็ได้ยินเพียงเสียงหัวเราะหึ ๆ ดังมา ก่อนบานประตูที่ถูกดึงให้เปิดออกนั้นจะกลับปิดลง
ความกังขาและสับสนใจเกี่ยวกับตัวพฤกษ์ รวมไปถึงคำว่า ‘เมีย’ ที่เขาหยิบยกมาใช้กับเธอ ทำให้สมองของหทัยภัทรเฝ้าขบคิดถึงหนทางที่จะพิสูจน์ความจริง ถ้าเขาทำกิริยาโหด หยาบ เถื่อนให้เห็นเป็นอาจิณ เธอคงไม่ลังเลที่จะเชื่อว่าถูกเขาล่วงเกินด้วยความเห็นแก่ตัวไปแล้ว แต่นี่...แม้สักครั้งเขาก็ยังไม่เคยทำให้เห็น จะให้เธอคล้อยตามง่าย ๆ ได้อย่างไร
อีกอย่าง...เธอแทบไม่รู้สึกด้วยซ้ำว่าถูกล่วงเกิน แต่เพราะกิริยาที่ไม่ได้โหดหยาบเถื่อนของเขานั่นเอง ที่ทำให้ความคิดของหทัยภัทรแตกออกเป็นสองฝักสองฝ่าย หรือเขาจะปฏิบัติต่อเธอด้วยความนุ่มนวลอ่อนโยน คิดมาถึงตรงนี้ ใบหน้าเรียวก็ร้อนฉ่าพาลให้นึกตำหนิตนเองที่คิดอะไรเหลวไหลไปไกล
หทัยภัทรใช้ช่วงเวลาที่อยู่เพียงลำพังนี้ นอนพังพาบคุยโทรศัพท์กับคุณอมราผู้เป็นแม่ เธอยังคงต้องบังคับตัวเองให้ใช้น้ำเสียงเริงร่าตลอดการสนทนาที่กินเวลายาวนานร่วมครึ่งชั่วโมง ก่อนจะวางสายพร้อมความวิตกกังวลที่คลายลงเพราะวิภาตยังไม่ได้ทิ้งร้างไปค้างคืนที่ไหน
ขณะกำลังอาบน้ำชำระร่างกาย ความคิดที่อยากจะลองใจพฤกษ์ก็บังเกิด หทัยภัทรไม่รู้หรอกว่ามันจะส่งผลดีหรือร้ายต่อตัวเธอเอง แต่ในเมื่อจิตใจมีคำถามมากมายให้เฝ้าครุ่นคิดทว่าคำตอบกลับหาไม่ได้ เธอจึงจำเป็นต้องขอลองดูสักตั้ง
หากเขาเป็นคนดีจริง การลองใจในครั้งนี้ก็จะทำให้เธอสามารถใช้ชีวิตอยู่ใกล้กับเขาได้อย่างสบายใจ แต่หากผลออกมาตรงข้าม เธอก็คงต้องสู้ยิบตาหาทางเอาตัวรอดจากภาวะหน้าสิ่วหน้าขวานให้ได้
การรอคอยของหทัยภัทรเป็นไปด้วยความลุ้นระทึกตลอดเวลาร่วม 3 ชั่วโมง ในขณะที่สรรพสิ่งรอบตัวเงียบกริบเพราะเวลาขณะนั้นกำลังจะล่วงเข้าสู่วันใหม่ แล้วเสียงไขกุญแจที่ชวนให้หัวใจวายก็ดังแทรกขึ้นท่ามกลางความสงัด
แม้ร่างบางจะสะดุ้งเฮือก ทว่าเจ้าตัวกลับข่มใจนอนระทวยตะแคงหน้าปิดตาแน่นิ่ง กางเกงขาสั้นเลยเข่านั้นดูไม่ชวนให้ค้นหาเท่าเสื้อผ้าชีฟองอันแนบกายเน้นส่วนเว้าส่วนโค้ง ที่สำคัญเจ้าของจงใจรั้งคอเสื้อให้ต่ำลงจนเนินเนื้อสีขาวโผล่ให้เห็น แม้จะทำใจลำบากกว่าจะจัดฉากได้ถึงขนาดนี้ แต่เธอก็ต้องลอง
พฤกษ์กลับมาจากไซด์งานพร้อมความเครียดปริมาณหนึ่ง กฎที่ตั้งไว้ว่าห้ามก่อการทะเลาะวิวาท ทำให้เขาต้องตัดสินใจไล่คนงานทั้งคู่ออกจากงาน โดยไม่สนว่าฝ่ายใดผิดหรือฝ่ายใดถูก ทว่าเมื่อเอาข้อบังคับนั้นมาใช้เข้าจริง ๆ คนที่ไม่สบายใจกลับเป็นเขาเสียเอง
พอแสงไฟในห้องสว่างวาบขึ้น สายตาคู่คมก็กวาดมองไปยังเตียงนอนก่อนเป็นอันดับแรก เวลาป่านนี้เขาก็ไม่ได้หวังว่าหทัยภัทรจะอยู่รอ ซึ่งพอได้เห็นเธอนอนนิ่งอยู่บนเตียง พฤกษ์ก็ถึงกับคลี่ยิ้มพลางส่ายหน้า
ร่างบางที่เขาเคยหอบหิ้วขึ้นบนคอนโดมาแล้วและรู้ดีว่าไม่ได้ผอมแห้งราวแผ่นกระดานทอดกายอยู่อีกฝั่งทว่าหันหน้าเข้ากลางเตียง ทำให้คนที่เตรียมถอดเสื้อแจ็คเก็ตออกจากตัวหายใจสะดุด เนินเนื้อผุดผ่องที่มองเห็นกระจ่างตาพากันมาเบียดโชว์อยู่ที่คอเสื้อแหลมลึก แม้จะไม่ได้ตั้งใจมอง แต่ก็ไม่ยากที่จะเห็น
มือหนาพาดเสื้อแจ็คเก็ตลงบนพนักเก้าอี้เพียงแผ่วเบา ลำคอที่เกิดแห้งผากขึ้นมาในทันใด ทำให้เขาถึงกับเผลอตัวบีบพนักเก้าอี้นั้นแรง ๆ ความคิดแตกออกเป็นหลายทางไม่ว่าจะปลุกเธอขึ้นมาทำอะไรให้หายเครียด อาบน้ำอีกรอบให้ร่างกายคลายร้อน หรือระเห็จตัวเองลงไปคลุกกับพื้นพรมหลบภาพสามมิติที่ชวนให้เลือดในกายสูบฉีดรุนแรง
“วันนี้มันเป็นวันอะไรกันวะ”
พฤกษ์บ่นงึมงำเอากับตัวเองพลางหัวเราะหึ ๆ เขากำลังเครียดอยู่นะ แต่ก็ไม่คิดเลยว่าความเครียดที่ตนแบกกลับมาด้วยจะถูกซ้ำเติมให้ยิ่งหนักข้อขึ้นกว่าเดิมอีก
มือหนาคว้าหมอนสีขาวสะอาดตาที่ยังเหลืออยู่อีกใบหนึ่งขึ้นมาจากเตียง ก่อนจะโยนตุ๊บลงบนพื้นแล้วทอดกายนอนก่ายหน้าผาก นึกไปถึงคำพูดของดิษย์ที่เป็นห่วงว่าคืนนี้เขากับหทัยภัทรจะอยู่กันอย่างไรแล้วก็อยากหัวเราะ เพราะฝ่ายนั้นสบประมาทเขาเอาไว้ว่าคงไม่กล้าทำอะไรเธอ และบัดนี้เขาก็ไม่กล้าทำเช่นว่าจริง ๆ
แต่อนิจจา...คนที่เพลียกับงานมาทั้งวันกลับนอนเบิกตาโพลงอยู่ร่วมครึ่งชั่วโมง แม้จะปิดไฟแล้วข่มตาให้หลับ ทว่าภาพความขาวเนียนผุดผ่องแถมกลิ่นหอมละมุนละไมที่โชยมาเข้าจมูกขณะก้มตัวไปหยิบหมอนก็ยังติดจมูกมาไม่รู้หาย สุดท้ายพฤกษ์ก็จำเป็นต้องไปสงบสติอารมณ์อยู่ใต้ฝอยน้ำ
เสียงปิดประตูห้องน้ำแล้วตามไปด้วยเสียงน้ำไหลซ่า ๆ ทำให้คนที่แสร้งนอนทอดกายล่อตะเข้จำศีลอย่างหทัยภัทรถึงกับปิดปากหัวเราะ เธอไม่ได้เยาะพฤกษ์ หากแต่นึกขำตัวเองเพราะก่อนจะล้มตัวลงนอน เธอก็หมายตาเอาไว้ทั้งโคมไฟ ที่เขี่ยบุหรี่หรือแม้กระทั่งขวดน้ำที่จงใจนำมาวางไว้ใกล้มือ ก่อนบทสรุปจะออกมาว่าไม่มีความจำเป็นต้องพึ่งพาสิ่งของเหล่านั้นและจากนี้ไปคงนอนหลับอย่างสบายใจไปทุกคืน
“อ้าว เมื่อกี้คุณหลับอยู่ไม่ใช่เหรอ”
ประตูห้องน้ำเปิดผลัวะออกพร้อมกับคำถามของคนที่มีเพียงผ้าขนหนูสีขาวพันกาย ทำให้หทัยภัทรซึ่งเตรียมสอดกายเข้าใต้ผ้าห่มตกใจจนแทบทำอะไรไม่ถูก
“คะ?...อ๋อ...ฉันคงนอนเล่นเพลินไปจนลืมห่มผ้าค่ะ แอร์มันเย็น คุณกลับมานานแล้วเหรอคะ”
“เพิ่งมาถึง อากาศข้างนอกมันอบอ้าวจนเหนียวตัวก็เลยไปอาบน้ำอีกรอบ”
เรียวปากอิ่มถูกเข้าของเม้มเข้าหากันจนแน่นพร้อมกิริยาก้มหน้าซ่อนนัยน์ตาโตที่พราวระริกด้วยเกือบจะหลุดเสียงหัวเราะออกมา
“อ้าว...แล้วหมอนของคุณล่ะคะ”
เมื่อข่มใจกลั้นกิริยาขบขันนั้นได้หทัยภัทรก็แสร้งทำเป็นเอ่ยถามถึงหมอนอีกใบที่ไม่ได้อยู่ประจำที่ของมัน คนถูกถามทำหน้าเหรอหรา ก่อนจะสาวเท้ายาว ๆ ไปก้มตัวหยิบมันขึ้นมาจากพื้นเพื่อวางลงในที่ ๆ มันควรจะอยู่
“คุณนอนดิ้นจนทำมันหล่นลงบนพื้นล่ะสิ ระวังจะตกเตียงไม่รู้ตัว”
หทัยภัทรไม่แย้งคำกล่าวหาของพฤกษ์แม้แต่คำเดียว ถือว่าความไว้เนื้อเชื่อใจที่เกิดขึ้นนั้นพอจะกลบการโกหกคำโตของเขาได้สนิท เธอสอดกายเข้าใต้ผ้าห่มแล้วล้มตัวลงนอนพลางดึงมันขึ้นคลุมถึงคอ
“ราตรีสวัสดิ์นะคะ”
“อ้าว...จะหลับแล้วเหรอ”
“ค่ะ ก็มันดึกแล้ว”
“หืม...แปลว่ายังไงมันดึกแล้ว”
“เอ่อ...ก็ฉันเห็นว่าเวลามันเกือบตีหนึ่งแล้วนี่คะ ฉันง่วงแล้ว”
จู่ ๆ คนที่ยังเปลือยกายท่อนบนก็ก้าวเท้ามาโน้มตัวถามอยู่ใกล้ ๆ หทัยภัทรเกรงว่าตัวเองจะหลุดพิรุธออกไปจึงรีบเอ่ยบอก แม้พฤกษ์จะขมวดคิ้วหนาเข้าหากันและดูเหมือนไม่ค่อยจะปักใจเชื่อนัก แต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก นอกจากเดินไปหยิบชุดนอนออกมาจากกระเป๋าแล้วแต่งตัวไปเงียบ ๆ
จนกระทั่งเตียงนอนอีกฝั่งยุบตัวเพราะน้ำหนักที่กดทับลงมา หทัยภัทรที่นอนหันหลังแถมพันกายตัวเองเอาไว้จนแน่นหนาก็หันขวับไปมอง ซึ่งการได้เห็นเขานอนเอามือก่ายหน้าผาก เธอก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“งานของคุณเรียบร้อยดีหรือเปล่าคะ”
“ก็เรียบร้อยดี”
น้ำเสียงที่ฟังดูค่อนข้างลังเล ทำให้หทัยภัทรเลือกที่จะถามต่อแทนการรับรู้แล้วข่มตาหลับไปเสียเฉย ๆ เหมือนที่ตั้งใจแต่แรก
“ทางตำรวจว่าไงบ้างคะ”
“ไม่รู้สิ ผมให้รายละเอียดไปเพราะเกี่ยวข้องเป็นนายจ้างและเป็นเจ้าของสถานที่ในเวลานี้แค่นั้น ที่เหลือผมยกให้เป็นหน้าที่ของตำรวจ”
“พวกเขามีปัญหากันเหรอคะ แล้วเป็นคนไทยด้วยกันเองหรือว่าพม่า”
ความอยากรู้อยากเห็น ทำให้หทัยภัทรพลิกกายหันหน้ามาทางพฤกษ์ ซึ่งฝ่ายนั้นก็เต็มใจจะเล่าให้ฟังโดยไม่ได้นึกเบื่อหรือรำคาญแต่อย่างใด
“ก็กินเหล้าเมาด้วยกันทั้งคู่ ว่าแต่...ทำไมคุณรู้ล่ะว่ามีคนงานพม่าด้วย”
“มาลี เอ่อ...คนงานหญิงที่ช่วยซักผ้าให้เป็นคนเล่าให้ฟังค่ะ”
“เป็นพม่ากับคนไทย โชคดีที่เป็นแรงงานต่างด้าวขึ้นทะเบียน ขืนเป็นแรงงานเถื่อน ผมกับนายดิษย์คงต้องได้ยุ่งกันอีก”
“แล้วคนเจ็บเป็นใครคะ คนไทยหรือพม่า เขาเป็นยังไงบ้าง”
“เป็นคนงานพม่า เย็บไป 18 เข็ม ส่วนอีกคนเจ็บแค่เล็กน้อยแต่ก็ไปโรงพยาบาลด้วยกันทั้งคู่นั่นแหละ”
“โห...เย็บตั้งหลายเข็ม ฟังดูน่ากลัวจัง คงต้องหยุดงานหลายวันนะคะกว่าจะหายแล้วกลับมาทำงานตามเดิมได้”
“ไม่รู้เหมือนกันว่าต้องอยู่โรงพยาบาลกี่วัน แต่ก็ไม่มีใครรอให้เขากลับมาทำงานหรอก”
“คะ? คุณหมายความว่าไงคะ”
“ก็เราเปิดโอกาสให้เขาไปหางานทำใหม่”
“แปลว่าคุณไล่เขาออกเหรอคะ”
“คงทำนองนั้น บริษัทเราตั้งกฎเอาไว้แล้วว่าห้ามก่อการทะเลาะวิวาทไม่ว่ากรณีใด ๆ ทั้งสิ้น ผมไม่ได้ไล่ใครคนใดคนหนึ่งออกแค่ฝ่ายเดียว แต่ผมให้ออกทั้งคู่”
คำพูดของพฤกษ์ที่สื่อให้เห็นว่าเขากำลังเล่นบทโหดให้เธอดู ทำให้หทัยภัทรที่ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมถึงคอ ต้องกำมันเอาไว้จนแน่น เธอบอกไม่ได้ว่าตนเองคิดถูกหรือผิด แต่คนที่กำลังสอดกายเข้าใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันและกระเถิบมาใกล้ ก็ปลุกความหวาดหวั่นในใจเธอให้ตื่นโพลงขึ้นมาอีกหน
“เอ่อ...ฉันอยากรู้แค่นี้แหละค่ะ ดึกแล้ว ขอตัวหลับต่อนะคะ”
ใบหน้าคมที่แลดูสดชื่นเพราะเพิ่งอาบน้ำมาแถมเขายังโน้มตัวเข้ามาใกล้จนกลิ่นสบู่โชยมาเข้าจมูกของหทัยภัทร ทำให้เธออยากยุติการสนทนากับเขาลงแต่เพียงเท่านี้ แต่ก็ช่างน่าตำหนิตัวเองเสียจริงที่ทำอะไรไม่แนบเนียน
“ทำตาใสแจ๋วเป็นตาตั๊กแตนอย่างนี้ คุณง่วงนอนแล้วจริง ๆ เหรอ หืม...”
“ง่วงแล้วจริง ๆ ค่ะ”
คำถามพร้อมกิริยาเกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าผากของเธอออกให้ ทำให้หทัยภัทรรู้สึกเหมือนตนเองกำลังหายใจติดขัด เธอยืนยันด้วยน้ำเสียงที่พยายามบังคับให้ดูหนักแน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยแอบหวังอยู่ลึก ๆ ว่าพฤกษ์จะยอมเชื่อ แต่ทว่า...
“แต่ผมยังไม่ง่วง อยู่คุยเป็นเพื่อนกันก่อนสิ เล่าให้ฟังบ้างว่าที่บ้านคุณเป็นยังไง เผื่อวันที่ผมพาคุณกลับไปส่งบ้าน จะได้ไม่งงเป็นไก่ตาแตก”
“จะพาไปส่งพรุ่งนี้เลยไหมคะ”
“ทำไม...”
คนที่ทิ้งตัวลงนอนผงกศีรษะขึ้นพลางเอ่ยถาม นัยน์ตาคมจับจ้องใบหน้าเรียวของหญิงสาวแล้วยิ้มบาง ๆ
“ก็ถ้าไม่ได้คิดจะพาไปส่งพรุ่งนี้ ค่อยเล่าให้ฟังวันอื่นก็ได้นี่คะ”
“เป็นงั้นไป เมื่อตอนที่ผมกลับไปไซด์งาน ยายแพร เอ่อ...ผมหมายถึงน้องสาวของผม โทร.มา”
แพรพิไลโทรศัพท์มาบ่นเสียยาวยืดเรื่องที่เขาเบี้ยวไม่ยอมกลับบ้านเมื่อค่ำวาน ที่สำคัญแม่ของเขาก็ยังฝากคำบ่นมาให้อีกเป็นกระบุงโกย ทั้ง ๆ ที่อ้างเรื่องงาน แต่คนเป็นน้องสาวกลับแย้งว่าดิษย์ก็อยู่ที่นี่ พฤกษ์จึงไม่มีความจำเป็นต้องทิ้งบริษัทมาอยู่ด้วยอีกคน และเขาก็ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะจัดการอย่างไรดี ที่ไม่อยากให้ดิษย์กลับเข้ากรุงเทพเพราะมีเหตุผลส่วนตัวนั่นก็เป็นอีกเรื่องที่น่าคิด
“น้องสาวผมโทร.มาต่อว่าเรื่องที่ผมเบี้ยวไม่กลับบ้านเมื่อวาน แล้ววันนี้ก็คอยอยู่อีกทั้งวัน”
น้ำเสียงยามเมื่อเอ่ยถึงน้องสาวของพฤกษ์นั้นเป็นไปด้วยความอ่อนโยนจนคนฟังนึกอยากเห็นหน้า หทัยภัทรอยากจะคิดว่าเธอคงสวยเพราะพฤกษ์เองก็มีโครงหน้าที่ดูดีสะกดสายตาคนมองได้แบบไม่ยาก
“แล้วไหนจะแม่ของผมอีกที่ฝากคำบ่นมาให้ บางที...อีกวันหรือสองวันนี้เราอาจจะต้องได้กลับเข้ากรุงเทพ”
เรื่องที่แพรพิไลโทร.มาตัดพ้อว่าเขาไม่รักษาคำพูดนั้น พฤกษ์เองคิดว่าคงเคลียร์ได้ไม่ยาก ที่สำคัญคือหากหยิบยกงานที่มีปัญหาขึ้นมากล่าวอ้าง ทุกคนก็ต้องยอมรับฟัง แต่สำหรับคนเป็นแม่ของเขานี่สิ แค่รู้ว่าเขาเคยไปทานข้าวกับเมทินี หลัง ๆ มาก็ชักจะพูดถึงเธอบ่อยขึ้น หนนี้เขาไม่ได้กลับบ้านทั้งที่รับปากแล้วเป็นมั่นเหมาะ นางก็ถึงกับฝากคำบ่นมาให้ น่ากลัวจะมีเบื้องหน้าเบื้องหลังอะไรแอบแฝงสักอย่างแน่ ๆ
“ถ้าคุณกลับกรุงเทพ ฉันอยู่ที่นี่ก็ได้ค่ะ”
“หืม...คุณอยู่คนเดียวได้แน่เหรอ”
“ถึงฉันจะอยู่ที่นี่หรือกลับกรุงเทพกับคุณ ฉันก็เข้าบ้านไปหาแม่ไม่ได้อยู่ดี อย่าว่าแต่กลับบ้านเลยค่ะ ป่านนี้ที่โรงแรมก็คงเตรียมหาคนใหม่มาทำงานแทนฉันแล้ว ถ้ากลับกรุงเทพเมื่อไหร่ ฉันก็คงกลายเป็นคนตกงานเมื่อนั้น”
“ก็ดีแล้วไง จะได้อยู่ด้วยกันไปนาน ๆ ไม่ต้องไปไหน”
คำพูดที่ดังมาจากพฤกษ์ซึ่งยังคงใช้มือลูบเส้นผมของเธอไปมาเพียงเบา ๆ ทำให้หัวใจของหทัยภัทรแอบกระตุกกับความหมายที่แฝงอยู่ แม้อยากจะถามว่าให้อยู่ในฐานะอะไรแต่จิตใจที่แกว่งไกวก็ไม่กล้าพอ
“ฉันอยู่ว่าง ๆ ไม่ได้หรอกค่ะ เพราะต้องทำงานหาเงินเลี้ยงแม่เลี้ยงตัวเอง”
ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าชีวิตของหทัยภัทรนั้นน่าสงสาร มีพี่ชายที่พอจะพึ่งพิงได้แต่ก็กลับกลายเป็นตรงกันข้าม ทว่าพอได้ยินเธอพูดออกมาว่ามีภาระต้องรับผิดชอบอย่างไรบ้าง พฤกษ์กลับสะท้อนใจจนเงียบไปเลย
การเป็นเสาหลักของครอบครัว เลี้ยงทุกคนให้อยู่อย่างสุขสบาย พฤกษ์รู้ว่าไม่ใช่งานง่าย ๆ เขาเองอาจจะไม่เดือดร้อนเพราะกิจการของบริษัทมีผลกำไรปีละหลายสิบล้านบาท แต่สำหรับหทัยภัทรเล่า...เธอจะลำบากลำบนเพียงใด คิดแล้วก็แค้นวิภาตไม่หาย
“คิดไว้หรือเปล่าว่าจะไปทำอะไร”
“เป็นเซลค่ะ”
“อะไรนะ”
คำตอบที่ได้รับ น้ำเสียงที่ดูเริงร่ามีชีวิตชีวาเมื่อกล่าวถึงงานที่เคยสร้างรายได้ให้ตนเองมากกว่าเงินเดือนประจำ ทำให้พฤกษ์หันขวับไปมองเสี้ยวหน้าของคนพูดด้วยความแปลกใจ
“ก็ทำเหมือนที่คุณเคยเห็นไงคะ เสนอขายสินค้า ได้เปอร์เซ็นต์ รายได้ดีกว่าทำงานประจำอีก ถ้าไม่ได้ทำงานประจำ ก็จะมีเวลาทำมากขึ้น รายได้ก็คงเยอะกว่าที่เคยได้”
“ถ้าเห็นว่ารายได้ดีแล้วทำไมถึงไม่ลาออกจากงานประจำเสียล่ะ วิ่งรอกทำไมเหนื่อยจะตาย”
“ก็...ใช่ค่ะ พีอาร์โรงแรมเงินเดือนหมื่นกว่า แต่ก็เป็นงานที่ทำแล้วสบายใจ”
“เจ้านายดีงั้นสิ?”
พฤกษ์เอ่ยถามเสียงสูง พยายามเก็บความไม่ชอบใจของตนเองเอาไว้ เพราะรู้ดีว่าจิรกรที่หทัยภัทรสัมผัสกับจิรกรที่เขาเคยเห็นเป็นคนละคนกัน
“ค่ะ ดีจนทำให้ต้องบอกตัวเองให้อยู่ช่วยทำงานไปนาน ๆ”
พฤกษ์ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งเมื่อเห็นรอยยิ้มที่ระบายบาง ๆ อยู่บนใบหน้าเรียวของเธอ เขาขัดใจนะแต่ทำอะไรได้ไม่มากไปกว่าหาทางให้เธอหยุดสรรเสริญคนที่มีดีแค่เปลือกนอก ด้วยวิธีที่ละมุนละม่อมในแบบฉบับของเขา
“ถ้ารู้จักกันไปนานกว่านี้ คุณก็จะรู้ว่าผมดีกว่าเจ้านายคุณอีก”
“จริงเหรอคะ”
“จริง”
รอยยิ้มของหทัยภัทรเปิดกว้าง ตาโตเหลือบมองดูคนที่มาโน้มกายอยู่ใกล้ ๆ ก่อนรอยยิ้มที่กระจ่างตานั้นจะค่อย ๆ เจื่อนลง เมื่อรับรู้ว่าพฤกษ์เองก็กำลังทอดสายตาที่เปล่งประกายกล้ามาสบกันพอดี
“เอ่อ...ฉันว่าเราหลับกันเถอะค่ะ คือ...มันดึกแล้ว”
กลีบปากอิ่มเอ่ยบอกอย่างติด ๆ ขัด ๆ แม้ไม่รู้ว่าเธอเป็นอะไรแต่พฤกษ์เองก็เผลอก้มหน้าลงไปแตะเรียวปากนุ่มละมุนนั้นอย่างลืมตัว
มือเรียวของหทัยภัทรกำปมผ้าห่มเอาไว้จนแน่น ขณะร่างหนาพลิกกายมาเท้าข้อศอกคร่อมไหล่ของเธอเอาไว้แล้วคลุกเคล้าลิ้มชิมประหนึ่งต้องมนต์จนทนไม่ไหว
โลกของหทัยภัทรกำลังหมุนคว้าง จุมพิตวาบหวามปลุกความปั่นป่วนในช่องท้องให้ก่อตัว พฤกษ์จะทำให้เธอขาดอากาศหายใจไหม เสียงคำถามดังแทรกเสียงหัวใจที่รัวระทึก เธอไม่มีคำตอบให้นอกจากพยายามปล่อยกายในสภาพเบาหวิวต้านคลื่นอารมณ์ที่โหมกระหน่ำ
“พอ...แล้วค่ะ”
เสียงใสเอ่ยบอกอย่างเหนื่อยหอบ มือเรียวละจากปมผ้าห่มไปยันอกกว้างของคนที่กำลังไล้เรียวปากไปยังซอกคอโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
พฤกษ์กระแทกลมหายใจออกมาแรง ๆ ทีหนึ่ง ก่อนจะยกมือขึ้นเกลี่ยเส้นผมที่ปรกลงมาบนหน้าผากมน มองกลีบปากอิ่มแดงระเรื่อนั้นแล้วถอนหายใจอีกเฮือกแล้วนิ่งอยู่ ความหวานละมุนที่เคยได้สัมผัสและครั้งนี้ก็ให้ความรู้สึกไม่ต่างกันทำให้เขาไม่นึกอยากจะหยุดเลยให้ตาย
“ไปนอนตรงที่ของคุณสิคะ”
มือเรียวที่ยันอยู่ตรงอกกว้างขยับเขย่า ประหนึ่งต้องการเรียกสติที่เตลิดไปจากตัวของพฤกษ์ให้กลับมา ตาโตที่ปรือฉ่ำอยู่เมื่อครู่มองเขาอย่างหวาด ๆ น่ากลัวว่าใจของเธอคงกระเจิงไปไกลกว่าพฤกษ์เสียอีก
“ไปสิคะ”
เสียงใสเร่งเร้าปลุกให้พฤกษ์คลี่ยิ้มมุมปาก หากเขาแกล้งโน้มตัวฉกเรียวปากลงไปหาอีกหน เธอคงไม่ยอมให้เขาตักตวงความหอมหวานซ่านทรวงเหมือนคราแรกอีกแน่ ๆ
“งั้นก็หลับเถอะ ฝันดีนะ”
พอร่างหนานั้นยอมเคลื่อนกายออกหางพร้อมคำอำลาสำหรับค่ำคืนที่ความหวามไหวเร้นกายอยู่ หทัยภัทรก็ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมจนถึงคออีกหน ร่างอรชรพลิกตะแคงมองพฤกษ์ตาไม่กระพริบ ที่เชื่อว่าเธอจะสามารถอยู่ใกล้กับเขาได้อย่างปลอดภัยนั้น เห็นทีจะไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์เสียแล้ว
กระทั่งแสงจากโคมไฟถูกทำให้มืดดับพร้อม ๆ กับความเงียบอันปราศจากความเคลื่อนไหวใด ๆ ได้แผ่เข้าปกคลุม หทัยภัทรจึงบอกตัวเองให้ข่มตาหลับ เธอคงไม่รู้หรอกว่าเจ้าของร่างหนาที่นอนคว่ำหน้าแน่นิ่งอยู่ที่อีกฝั่งหนึ่งของเตียงนอนกว้างนั้น ต้องกัดฟันกล้ำกลืนความรู้สึกตื่นตัวที่ตีตื้นเต็มปรี่นั้นด้วยความยากลำบากเพียงใด
บุษบาฮาวาย
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 เม.ย. 2556, 07:45:37 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 เม.ย. 2556, 07:45:37 น.
จำนวนการเข้าชม : 1919
<< ตอนที่ 17 | ตอนที่ 19 >> |
ผักหวาน 30 เม.ย. 2556, 09:40:46 น.
อีตาคุณพฤกษ์จะต้องอาบน้ำรอบ 3 ในคืนนี้หรือเปล่านเนี่ย
อีตาคุณพฤกษ์จะต้องอาบน้ำรอบ 3 ในคืนนี้หรือเปล่านเนี่ย
mhengjhy 30 เม.ย. 2556, 11:01:42 น.
55 คุณพฤกษ์อดทนต่อไป สู้ๆ น้าาาา
55 คุณพฤกษ์อดทนต่อไป สู้ๆ น้าาาา
phugan 30 เม.ย. 2556, 18:21:04 น.
อดทนเข้าไว้นะคุณพฤกษ์....
อดทนเข้าไว้นะคุณพฤกษ์....