วังวนรัก
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ๖ แขกสำคัญ
มันเป็นช่วงเวลาที่ย่ำแย่ที่สุดของหญิงสาว ลลินภัทรคิดขณะแวกม่านในห้องนอนมองลงไปยังคู่หนุ่มสาวที่เดินเคียงข้างกันอยู่ด้านล่าง ไม่รู้จะต้องทนอยู่ในสภาพแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน ทำอย่างไรจึงหลุดพ้นไม่จากมันได้เสียที
ห้าวันแล้วหลังกลับจากพักผ่อนทางใต้ จะไม่คิดไม่แค้นทำใจให้ว่างเปล่า เลิกอ่อนไหวต่อภาวะรอบข้างที่นำความเจ็บปวดมาอยู่เป็นเนืองนิตย์
แต่เธอมันแค่ปุทุชนธรรมดา ซึ่งมีชีวิตเวียนว่ายอยู่ในวังวนของความรู้สึกไม่นิ่งสงบ เป็นไปได้อย่างไรที่จะทิ้ง ความรัก โลภ โกรธ หลง ลงได้หมดรวดเร็วเพียงชั่วครู่ชั่วยาม
แต่อย่างไรก็เชื่อว่าหากเวลาผ่านไปสักหน่อย บาดแผลทางความรู้สึกนี้คงจะเยียวยาตัวมันเองให้ดีขึ้นได้ หญิงสาวทิ้งม่านปิดลงในที่สุด เดินกลับมานั่งลงบนเก้าอี้นวม ถอนหายใจยาวๆ เพื่อจะได้รู้สึกผ่อนคลายขึ้นบ้าง
ก๊อก... ก๊อก... ก๊อก... เสียงเคาะด้านนอกดังขึ้นพร้อมเสียงผู้เยี่ยมเยียนอาวุธโสที่คุ้นเคยกันดี
“ยายเอื้อย ย่าเข้าไปนะ” คุณหญิงอรดีร้องบอกหลานสาว ก่อนเปิดประตูซึ่งทราบกันดีว่าไม่ได้ลงล็อกไว้ ก่อนร่างสมส่วนจากการรักษาสุขภาพเป็นอย่างดีเยื้องย่างเข้ามาจับจองที่นั่งบนเก้าอี้นุ่มข้างลลินภัทร
“วันหยุดไม่ออกไปไหนหรือเรา”
“กำลังคิดอยู่ค่ะ พักนี้รู้สึกโชคไม่ดี อยากเก็บตัวเงียบอยู่ที่บ้านสักพัก ไว้ดีขึ้นแล้วคงออกไปสังสรรค์กับพวกเชอร์รี่นะคะ”
“งั้นดีเลย ถ้าวันนี้ไม่ได้ไปไหน ตอนเย็นอยู่ทานข้าวเย็นกับย่านะ มีแขกสำคัญจ๊ะ”
“แขกสำคัญ? ใครกันคะ เพื่อนที่สมาคมคุณย่าหหรือเปล่า”
“ไม่ใช่หรอกจ๊ะ แต่เป็นว่าเอื้อยแต่งตัวสวยๆ ไว้แล้วกัน เสื้อยืดกางเกงขาสั้นแบบนี้ไม่เอานะ ย่าขายขี้หน้าเขา” แนะหลายอย่างผู้มากประสบการณ์คิด
“โธ่... เดี๋ยวนี้เขาเน้นเป็นธรรมชาติสบายๆ แต่จริงใจนะคะ”
“ทำอย่างย่าว่าเถอะน่า ไอ้สบายของแกไม่เห็นมันจะเข้าท่า แต่งตัวดีสะอาดสะอ้าน น่าดูใครเห็นเขาจะได้ประทับใจ”
“ประทับใจเอื้อยนี่นะ หลานคุณย่าอีกคนก็มีรายนั้นเขาอาจประทับใจมากกว่าก็ได้นะ ลองถ้าเป็นพวกเจ้าระเบียบ คุณนายแสนเนี๊ยบหัวโบราณด้วยแล้ว คนนี้เห็นทีจะตรงสเป๊ก อย่างเอื้อยน่ะหรือค่ะ ใครเขาจะมายีระ”
“มีแล้วกันน่า แกก็อย่าดูถูกตัวเองให้มากนักเลย ใช่ว่าคนในโลกนี้เขาจะรสนิยมเป็นพิมพ์เดียวกันเสียเสมอไป เอาว่าคราวนี้ย่าเลือกแก ไว้เป็นหน้าเป็นตาให้”
“ว้าว วันนี้เห็นทีฝนคงจะตกห่าใหญ่ คุณหญิงย่าคิดจะยกย่องให้หลายคนนี้เป็นหน้าเป็นตากับเขาด้วย”
“ย่าหวังแล้วยังมาประชดอีก เสียน้ำใจกันะ”
“โอ๋ๆ ปลื้มตังหากละคะ ร้อยวันพันปีจะมีอย่างนี้สักที เอาว่าเอื้อยแต่งตัวดีๆ ลงไปทานดินเนอร์ด้วยแล้วกัน ไว้ใจได้ไม่ทำให้คุณย่าแน่นอน”
“เยี่ยมจ๊ะหลาน”
“อารมณ์ดีมากจากไหนค่ะเนี่ย คุณย่าพูดจ๊ะจ๋ากับหลานคนนี้เป็นด้วย” ลลินภัทรระบายยิ้มออดอ้อน คุณหญิงเก่งแต่เอื้อมมือไปลูบศีรษะหลายสาวอย่าง
“เอาละ ถ้าอย่างนั้นย่าไปก่อนนะ มาบอกแค่นี้แหละ ...อย่าลืมละ แต่งตัว ทำกริยาดีๆ จะได้เป็นหน้าเป็นตาให้ย่าได้กับเขาบ้าง”
“ค๊า คุณหญิงอรดี” เสียงใสขานรับ ก่อนจะเดินไปส่งผู้เป็นย่าที่ประตู
หกโมงเศษของวันเย็นนั้น ร่างระหงในชุดแซกสั้นไหล่กว้างสีขาวลงบันไดมาชั้นล่าง ได้ยินเสียงพูดคุยดังลอดมาจากห้องโถง คิดว่าแขกคงมาแล้วจึงเดินไปสมทบ หากไปถึงที่นั่นกลับพบว่าแขกคนสำคัญของคุณหญิงอรดีนั้น คือผู้ชายอันตรายที่เธอปรารถนาแยกตัวออกห่างมากที่ในเวลานี้ พฤหัสอยู่โซฟาฝั่งตรงข้ามก้องภพ ซึ่งมีมณีมัชญ์และบุตรสาวนั่งอยู่ด้วย
ลลินภัทรตั้งท่าจะชักเท้ากลับ หากประมุขของบ้านเห็นเธอเข้าเสียก่อน รีบร้องทักทานหลานสาวคนสำคัญโดยเร่งด่วน
“หลานเอื้อย มาพอดีเลยลูก มานี่สิมา นั่งกับย่า”
“...”
“มานี่” ภายใต้สุ่มเสียงน่าฟัง สตรีสูงวัยสบตากับหญิงสาวเป็นนัยบอกว่านั่นคือคำสั่ง ลลินภัทรเลิกคิ้วอย่างลำบากใจ หากเมื่อก้าวเข้ามาในห้องแล้วจะถอยหลังกลับทั้งที่ทุกคนเจอเธอแล้ว ก็ช่างเหมือนคนขี้คลาดปะไร จึงตัดสินใจเดินเข้าไป นั่งโซฟาตัวกลางใกล้ย่าของเธอ
“ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายการเงินของโรงแรมน่ะจ๊ะ เรียนจบมาลุกงานปีเดียวก็ได้เคลื่อนขั้น นี่อย่าหาเส้นอะไรกันเลยนะ แกพัฒนาของแกเอง”
“ครับ ตอนอยู่ที่เกาะกันน้องเอื้อยเขาเหมือนจะห่วงงานที่โรงแรมน่าดู โชคดีของอาก้องที่มีลูกสาวทั้งสวยแล้วก็ขยันแบบนี้”
“คุณ!” ลลินภัทรหันไปจิกสายตาใส่เจ้าของร่างสูงใหญ่ ก็เขาดันบอกคุณหญิงอรดีเสียหมดเปลือกว่าไปเที่ยวด้วยกัน ทั้งที่เธอเพียรพยามปฏิเสธผู้เป็นย่ามาตลอด
“ยังไงต้องขอโทษคุณหญิงด้วยนะครับ ที่ตอนหุนหันพาหลานสาวไปโดยที่ไม่ได้บอกกล่าวเอาก่อน”
“จ๊ะ แหม... เรื่องนั้นก็ไม่ได้ถือสาหาความอะไรหรอก ไอ้ฉันมันก็ไม่ใช่คนหวงหลานสาว”
“ว่าแต่พ่อพฤกษ์เถอะ ในเมื่อเราก็ดองกันแล้ว เรียกคุณหญิงมันดูห่างเหินไปหรือเปล่า เรียกย่าเฉยๆ เหมือนหนูอ้ายกับยายเอื้อยเขาก็ได้”
“ถ้าจะกรุณา ...ครับคุณย่า”
“ดีสิ คราวนี้ถือว่าฉันมีหลานชายเพิ่มขึ้นอีกคน ใช่ไหม... ยายเอื้อย เราน่ะได้พี่ชายกับเขาแล้วนะ”
“ตั้งแต่พ่อแม่เสีย และนอกจากมัญช์ ตาพฤกษ์เขาก็ตัวคนเดียวละคะ ญาติผู้ใหญ่ที่พอจะเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรได้ด่วนจากไปเสียหมด ถ้าคุณแม่จะกรุณาให้แกเป็นหลานอีกคน มัญช์ก็ดีใจค่ะ”
“โอ๊ย... จะต้องกรุณาอะไรกันละมัชญ์ หลานชายคุณก็เหมือนหลานผมกับคุณแม่นั้นแหละ” ก้องเกียรติโอบไหล่ภรรยาคนใหม่ พร้อมรอยยิ้มมีความสุข
“พี่หนึ่ง” ร่างบางซึ่งนั่งเงียบอยู่นานลุกและเดินเร็วๆไปยังคุณหมอหนุ่มผู้มาใหม่ ก่อนจูงมือกันเดินเข้ามาสมทบ “พี่พฤกษ์ นี่พี่หนึ่งค่ะ ศัลยแพทย์คนเก่งของบ้านหลังนี้”
“สวัสดีครับ” ปฎิมากล่าวกับญาติผู้พี่ของคนรัก หลังเดินไปนั่งลงยังเก้าอี้ตัวที่ว่างอยู่ใกล้พฤหัส
“ครับ ยินดีที่ได้รู้จัก น้องอ้ายมาเล่าถึงคุณบ่อยๆ ดีใจที่วันนี้ได้เจอตัวจริงสักที”
“อีกหน่อยอ้ายจบพยาบาลก็ได้ทำงานที่เดียวกับพี่หนึ่งค่ะ” สาวน้อยฉอเลอะ ถึงตอนนี้ลลินภัทรทำหน้าหงิก หมั่นไส้สาวน้องต่างแม่เสียเต็มประดา ความรู้สึกอึดอัดและทรมาน ทุกครั้งที่อดีตคนรักกับหล่อนหัวเราะต่อกระซิกมีความสุขกันต่อหน้า มันเป็นอารมณ์หดหู่เจ็บปวดที่ไม่สามารถบรรยายเป็นคำพูดออกมาได้ถูก
“จ๊ะ บัณฑิตอยากได้อะไรเป็นของขวัญหือ”
“อะไรก็ได้ค่ะ พี่พฤกษ์ให้มาอ้ายเต็มใจรับหมด”
“นั่นน่ะสิ หนูอ้ายใกล้รับปริญญาแล้ว เห็นทีคงต้องเลี้ยงฉลองกันเสียหน่อย หรือยังไงพ่อก้อง” คุณหญิงสาวหันไปปรึกษาบุตรชาย
“เอาสิครับคุณแม่ อีกสามเดือนใช่ไหมยายอ้าย”
“ค่ะ ปิ้งบาบีคิวกันในครอบครัวก็ได้นะคะ อบอุ่นดี ...แต่ว่า พูดถึงเรื่องปิ้งๆ ย่างๆ ชักหิวแล้วสิคะ มีใครท้องร้องเหมือนอ้ายบ้างหรือเปล่า”
“แย่จริง มัวแต่คุยกันเสียเพลิน ไม่ดูเวลาอาหารบ้างเลย ไปๆ วันนี้สั่งทำมื้อพิเศษไว้น่ะจ๊ะ อาหารทะเลทานได้ใช่ไหมจ๊ะพ่อพฤกษ์”
“ได้ครับ ผมทานง่ายอยู่แล้ว”
สตรีวัยหกสามยืนขึ้น ก่อนทั้งหมดจะลุกตามเจ้าหล่อนไปยังห้องรับประทานอาหาร มื้อเย็นที่ครึกครื้นขึ้นจากวันก่อนๆ ด้วยมีแขกอีกคนอย่างพฤหัส ศิลาธนิก มาร่วมด้วย
ลลินภัทรนั่งตรงข้ามชายหนุ่ม บ่อยครั้งที่ถูกสายตาคมกริบของเขาจ้องมองมา แววลึกซึ้งแฝงนัยเจ้าเล่ห์แสนร้ายจนเธอเองยังนึกหวั่น กวาดสายตาไปที่อื่น หากเลวร้ายยิ่งกว่าเมื่อพบอีกคู่คอยเอาอกเอาใจตักอาหารให้กันอยู่ จึงเลือกจะก้มหน้าก้มตาจัดการกับอาหารพยามไม่สนใจไม่มองใครใดทั้งสิ้น
“น้องเอื้อยไม่เห็นทานปลาเลยล่ะครับ” พฤหัสเอ่ยขึ้นหลังจากเห็นเธอเอื้อมไปตักอาหารไกลๆ โดยหาได้สนใจเจ้าปลานิ่งมะนาวจานโตตรงหน้าเลย
“ยายเอื้อยไม่ชอบเนื้อปลาตั้งแต่เด็กแล้วละตาพฤกษ์ บังคับให้ทานทีไรเจ้าตัวเป็นต้องเอาออกมาทุกที แต่เดี๋ยวนี้ดีขึ้นหน่อยแล้วนะ แกเริ่มทานปลาทะเลบางอย่างได้บ้าง” ก้องเกียรกล่าวแทนบุตรสาว
“งั้นตักนี่ให้แล้วกันนะครับ” สวมบทสุภาพแสนดีตักกับซึ่งเธอยุ่งย่ามกับมันบ่อยที่สุดมาให้ ลลินภัทรเลิกสบตากับคนช่างวางตัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ขอบคุณ” ทุกคนที่โต๊ะยกเว้นคุณหญิงอรดีหันมองเธอเป็นตาเดียว ด้วยความแปลกใจไม่นึกว่าคำพูดดังกล่าวจะหลุดออกจากปากสาวร้ายอย่างเธอได้ โดยเฉพาะต่อเครือญาติของแม่เลี้ยงซึ่งไม่กินเส้นกันเสียด้วย
“ดูคุณพฤกษ์กับเอื้อยจะเข้ากันได้ดีนะ” ปฏิมา
“จริงๆ เรารู้จักกันก่อนหน้านี้แล้วละครับ พึ่งกลับมาจากเที่ยวด้วยกันไม่นาน ก็เลยทำให้... สนิทสนมมากขึ้น” เสียงห้าวเน้นหนักที่ประโยคหลังเป็นพิเศษ
“รู้จักกันเมื่อไร ไม่เห็นเอื้อยเล่าให้พี่ฟังบ้างเลย”
“ก็ ...ช่วงที่พี่หนึ่งห่างๆ กับเอื้อยไงค่ะ เราไม่มีเวลาได้พูดคุยได้เจอกันเหมือนเก่า เรื่องของเอื้อยในตอนนั้นพี่คงจะรู้ไม่หมดแน่” ได้ทีตอกกลับไปให้สาสมกับความไม่ดูดายตลอดมาที่เขามอบให้เธอ ก่อนตักเนื้อปลาจานอาหารตรงหน้าไปให้เขา “ฉันไม่กินปลา แต่หวังว่าคุณคงชอบนะคะคุณพฤกษ์ โต๊ะนี้เห็นทีคงจะมีแต่คุณเท่านั้นที่สนใจว่าฉันอยากกินอะไรไม่อยากกินอะไร”
“ครับ” เจ้าของใบหน้าคมคาย เหยียดยิ้ม เริ่มเข้าใจจับต้นสายปลายเหตุ
นายปฏิมา คนนี้สินะ มีอิทธิพลต่อเธอน่าดู เหอะ... หมอหนุ่มจบใหม่ดีกว่าเขาตรงไหน? หลงกันจริง ทั้งเธอแลเลัลนาญาติผู้น้องเขาก็ด้วย ดีละ ใช้นายคนนี้เป็นเครื่องมือดึงลลินภัทรมาสิโรราบกับเขาให้ได้ มีเยื้อใยกันดีนักนี่นะ
“ฉันโทรหาตั้งหลายครั้ง ทำไมเธอไม่รับสาย” ร่างสูงใหญ่เดินมาหาลลินภัทร ซึ่งกำลังยืนมองกอดออกอยู่ด้านหลังสระว่ายน้ำ ซึ่งสร้างขึ้นกลางสวนบาลีปีกซ้าย ภายนอกบ้านวรนันท์ ไม่ห่างของตัวตึกมากนัก
“ไม่ว่าง” เจ้าตัวตอบ ยังคงมองนิ่งยังจุดเดิมไม่อยากละความสนใจมายังเขา
“ไม่ว่าง? หรือกลัวฉันจนไม่กล้าคุยกันแน่ ไม่เก่งจริงนี่”
“คุณพฤกษ์!” ร่างระหงเบี่ยงกายมาเผอิญหน้า ในขณะที่เขาก็ก้าวไปใกล้อีก ผลจากการขยับชิดเกินควรส่งผลให้ลลินภัทรเสียหลักทำท่าหายหลังดี ที่แขนแกร่งเข้าโอบรอบเอวบางไว้ไม่ให้เธอตกลงไปในสระน้ำ
“ระวังหน่อยสิ มัวแต่ยืนใจลอยอยู่นั้นแหละ เดี๋ยวก็ได้ลงไปว่ายอยู่ในสระน้ำคนเดียวตั้งแต่หัวค่ำหรอก”
“เพราะคุณนั้นแหละ ทำให้ฉันเกือบหายหลัง”
“อ้าว โทษกันเสียอย่างนั้น ฉันช่วยเธออยู่นะ” พฤหัสกระชับอ้อมกอด “หน้าตาไม่ค่อยดีเลย เป็นทุกข์มากนักหรือไง”
“ก็สมใจพวกคุณแล้วหนิ ต้องการเห็นฉันในสภาพแบบนี้ไม่ใช่หรือ อย่ามาใส่หน้ากากทำเป็นหวังดีต่อหน้าคนอื่น ”
“ฉันใส่หน้ากากที่ไหน เป็นห่วงเธอจริงๆ ตังหาก ...เพราะผู้ชายคนนั้นใช่ไหมต้นเหตุของปัญหาทั้งหมด”
“ถ้าเขาเป็นปัญหาจริงๆ พวกคุณคงไม่แผนกันจับฉันไปหรอก”
“ตอนแรกฉันยังไม่รู้ ได้ยินแต่อามัญช์เล่ามา อาวานให้ทำอะไรก็ต้องทำ”
“ปล่อยฉันได้แล้ว ไม่อยากฟังคำแก้ตัว คุณพูดไปก็เท่านั้นมันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาหรอก”
“ทำไมจะไม่ช่วย นี่แหละเป็นการแก้ไขปัญหาพฤติกรรมเลวร้ายของเธอได้ตรงประเด็นที่สุดแล้ว อยากลืมนายนั่นไหมละหรือจะแก้แค้น ฉันจะช่วยได้นะ ไถ่โทษที่เคยทำให้เธอลำบากไง”
“เริ่มจากน้องคุณก่อนเป็นไง”
“ผู้หญิงหน้าโง่” เขาแล้วก็ปล่อยพันธนาการจากร่างระหงลงฉับพลัน ทำให้ลลินภัทรที่ไม่ทันตั้งตัวแทบหายหลังเสียหลักไปอีกครั้ง ดีที่ครานี้ขยันกายรวดเร็วเรียกการทรงตัวไว้ได้ทัน ขณะพฤหัสขบกรามอย่างเหลืออดเหลือทน
“หลงผู้ชายไม่รู้จนไม่ลืมหูลืมตา จะบอกให้รู้ไว้นะ เรื่องแบบนี้ตบข้างเดียวมันไม่ดังหรอก ถ้าน้องอ้ายชอบแต่นายนั่นไม่เอาเสียอย่าง เธอคงไม่กลายเป็นหมาหัวเน่าแบบนี้หรอก”
“ไอ้...!” จากประสบการณ์ไม่สู้ดีนัก จึงชะงักคำพูดไว้ไม่กล้าด่าว่าเขาแรงนัก
“อะไรจ๊ะคนสวย ขึ้นไอ้ขึ้นอีอีกแล้วหรือนี่ ลืมที่เคยเตือนไว้วันก่อนแล้วใช่ไหม”
“ขอโทษ...”
“ออกไปข้างนอกับฉันก่อน แล้วจะยกโทษให้”
“ไปไหน”
“ไม่พาเธอไปฆ่าแล้วกันน่า หน้าตาเธอดูเครียดๆ ไม่อยากไปผ่อนคลายบ้างหรือไง”
“ไปคุณมันไม่น่าไว้ใจนี่นา ไม่เอาหรอก ไม่กล้าเสี่ยงอะไรอีกแล้ว คราวก่อนยังเข็ดไม่หาย กล้ามาแบล็คเมล์
ดัดหลังฉันได้ เจ็บใจชะมัด”
“โธ่ นั่นมันอดีตไปแล้วน่า ชวนเพื่อนเธอมาด้วยกันได้ จะพาไปสังสรรค์กับพวกเพื่อนฉัน สนใจไหมละ หรืออยากเก็บตัวอยู่คนเดียวให้โรคประสาทกินแบบนี้ก็แล้วแต่”
“เพื่อนฉันเป็นตำรวจ” เธอบอก หากคนฟังกลับหัวเราะออกมาอย่างไม่ยีระ
“เป็นก็เป็นสิ เธอจะพาไปหมดโรงพักเลยก็ได้ฉันไม่ว่า แต่มีผู้หญิงมาด้วยสักคนก็ดี งานจะได้ไม่กร่อย”
“ไม่ใช่ปาร์ตี้มั่วยาแน่นะ”
“เอาเกียรติของศิลาธนิกเป็นประกันเลยครับ คนอย่างนายพฤกษ์ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับของแบบนี้อยู่แล้ว รับรองงานจบจะพามาส่งบ้านอย่างปลอดภัย จะไปหรือไม่ไป”
“ก็ได้ ที่ไหนละ ขอฉันโทรเรียกเพื่อนก่อน” หญิงสาวบอก ก่อนแนะให้เขารอเธอซึ่งไปบอกกล่าวแก่พ่อและย่าออกไปข้างนอก ทว่าชายหนุ่มอาสาจะตามเข้ามาในบ้านวรนันท์ด้วย แล้วก็ขออนุญาตคุณหญิงอรดีและก้องเกียรติแทนเธอเสร็จสรรพ รับปากหมั่นเหมาะว่าจะดูแลและส่งเธอกลับบ้านอย่างดิบดี
แม้จะหมั่นไส้ท่าทีออกหน้าออกตาเอาใจผู้ใหญ่ของเขาอยู่บ้าง แต่ก็อุ่นใจว่าพฤหัสคงไม่ได้พาเธอไปฆ่าแกงที่ไหนแน่นอน เพราะถ้าคิดทำจริงผู้ต้องสงสัยจะเป็นใครไปเสียไม่ได้นอกจากเจ้าตัวเองนั่นแหละ
เนื่องจากไม่ได้นัดหมาดกันล่วงหน้า หญิงสาวโทรไปหาเพื่อนสนิทสี่ห้าคนในกลุ่ม ปรากฏว่ารายที่ว่างพอจะเป็นเพื่อนเธอได้มีเพียงคนเดียวในเวลานี้ สลิสา หรือสาลี่ เพื่อนสาววัยยี่สิบสอง
ซึ่งเธอเปรียบเสมียนคู่สหายของลลินภัทรสมัยเรียนทั้งมัธยมและมหาวิทยาลัย เห็นรถโฟล์กสวาเกนสีเขียวอ่อนรถอยู่ยังลานรถของร้านอาหารชื่อดัง จึงเดินนำพฤหัสเข้าไปเคาะกระจกเรียกคนด้านในออกมา
“อุ๊ย! พาใครมาด้วยนั้นน่ะ แฟนใหม่หรือ” ประโยคแรก หลังจากสลิสาลงมาจากรถ เอ่ยทักเธอหากสายตามองชายอีกที่มาด้วย แววกระหายใคร่รู้อย่างไม่ปกปิด
“ที่ไหนละ แค่...” ลัลนาไม่รู้จะจัดเขาอยู่ในฐานะใดเมื่อเพื่อน ร้อนถึงพฤหัสต้องออกหน้าทักทาย
“สวัสดีครับ”
“สวัสดีค่ะ สาค่ะ เป็นเพื่อนยายเอื้อย” เจ้าตัวบอกยิ้มๆ
“พฤกษ์ครับ ยินดีที่ได้รู้จัก”
“เช่นกันค่ะ เอ่อ... ถ้าฉันจำไม่ผิด คุณคือ พฤหัส ศิลาธนิก ใช่หรือเปล่า”
“ครับ ดีใจที่คุณสาจำผมได้ ไม่ขี้หลงขี้ลืมเหมือนใครบ้างคน” พูดพลางเหลียวมายังหญิงสาวข้างกาย ซึ่งบัดนี้กำลังเลิกคิ้วมองไปยังจุดหมายซึ่งเขาบอกว่าเป็นที่สังสรรค์
“ไหนละคุณ ร้านปิดนี่นา” ลลินภัทรแสร้งไม่รู้ไม่ชี้ ถามเขา
“เราปิดร้ายฉลองกัน ไปเถอะ ป่านนี้คงมากันใกล้ครบแล้ว” พูดจบก็เดินนำสองสาวเข้าไปด้านในร้านอาหารสไตล์ผับ ครั้นประตูร้านซึ่งขึ้นป้ายว่าปิด หากภายในกลับมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่ง พร้อมดนตรีดังคลอ ตามจุดต่างๆ มีถาดอาหารบุฟเฟ่ต์เรียงรายหน้าตาน่ารับประทานนัก
“เฮ้ ไอ้พฤกษ์ ทางนี้” ชายคนหนึ่งโบกมือเรียกพฤหัสบริเวณด้านซ้ายมุมลึกของร้าน ซึ่งตรงนั้นกลุ่มชายหนุ่มหกถึงเจ็ดคนนั่งอยู่ยังชุดโต๊ะสั้นๆและเก้าอี้นวมติดกัน ยาวล้อมเป็นทรงตัวยู ไม่รอช้าพฤหัสตรงเข้าไปหาพวกเขาพร้อมด้วยลลินภัทรและสลิสา
“ว้าวๆ วันนี้ควงสองคนเลยหรือวะ” หนึ่งในนั้นทักขึ้น เมื่อทั้งสามนั่งลงบนยังแถวเก้าอี้ฝั่งซ้าย จนร้อนถึงสลิลาต้องเอ่ยแก้ต่างให้กับตัวเองเป็นการด่วน
“ไม่ใช่ฉันนะ ยังโสดอยู่ค่ะ แค่มาเป็นเพื่อนยายเอื้อมเท่านั้น” เจ้าตัวบอกยิ้มๆ
“จริงหรือนี่ ผมเองก็โสดครับ” หนุ่มหน้าตาหล่อเหลานั่งอยู่กลางที่ฝากตรงข้ามกล่าวสำทับ ก่อนทั้งสองจะสบตากันอย่างรู้นัย ลลินภัทรเป็นต้องกระทุ้งแขนเตือนเพื่อนคาสโนวี่ของเธอเพื่อเรียกสติ ไม่ให้หลงกลเออออกับพวกพ้องของพฤหัสด้วยหวั่นใจในความไม่ปลอดภัยของสลิลา
“แกอย่าหลงไว้ใจนะ พวกนี้เสือสิงปีศาจทั้งนั้น” บอกเสียงเบา หากคนหูดีที่นั่งอยู่ใกล้เธอกลับบังเอิญได้ยินเข้าจนได้
“หืม!” พฤหัสแกล้งกระแอมในลำคอ จนลลินภัทรต้องผละต่างจากเพื่อนสาว
“ถ้าอย่างนั้น แสดงว่าคงเป็นคุณคนสวยข้างๆ สินะ” หนุ่มหล่อคนนั้นทักทานต่อไป “สวัสดีครับ ผมกีรนัย เรียกสั้นๆ ว่า นัยก็ได้ครับ ยินดีที่รู้จักคุณผู้หญิงทั้งสอง”
“ยินดีเช่นกันค่ะ แต่ฉันไม่ใช่...” ยังไม่ได้เอ่ยแก้ความใดๆ คนตัวโตพลันรวบไหล่เธอเข้าไปแนบชิง ก่อนประกาศกร้าวอย่างไม่คิดเกรงอกเกรงใจคนในอ้อมแขน
“นี่ลลินภัทร พี่สาวต่างแม่ของน้องอ้าย ตอนนี้เรากำลังคบหากันอยู่ เพราะฉะนั้นห้ามยุ่ง ห้ามมาทำเจ้าชู้วอแวกับเธอเป็นอันขาด โดยเฉพาะมึง ไอ้นัย” บอกเพื่อน แถมยังก้มลงมาสั่งการที่ข้างหูห้ามปราบมิให้เธอปฏิเสธอีก
“เฮ้ย อะไรวะ ทำไมมาป้ายโคลนใส่กูละนี่ เสียเครดิตหมด ...ผมจริงใจนะครับ ไม่คิดยุ่งกับแฟนเพื่อนแน่นอน” ประโยคหลังไม่เจตนาสื่อให้ใครอื่น นอกจากสลิลาเพียงคนเดียว เพราะเขาเองนั้นสนอกสนใจ แม่สาวเปรี้ยวหน้าตาราวตุ๊กตาคนนี้อยู่ไม่น้อย
“เสือผู้หญิงอย่างมึงนี่นะจริงใจ ไม่ไหว คนก่อนน่ะเคลียกันเรียบร้อยแล้วหรือ”
“ต่างคนต่างอยู่แล้วโว้ย ไอ้พฤกษ์นี่ ไอ้เพื่อนชั่ว แทนที่จะส่งเสริมกัน พูดเหมือนกูเลวร้าย เคยไปฉุดคราลูกสาวใครเขาอย่างนั้นแหละ”
“ถึงฉุดมาแต่จริงใจจริงจังด้วย กูว่าดีกว่าพวกมาแบบนุ่มนวลเข้าตามตรอกออกตามประตู แต่สุดท้ายกลับลงเลหลายใจเป็นไหนๆ ”
“หลายใจที่ไหน ใครหลายใจ กูมีใจเดียวนี่ อย่ามาใส่ร้ายนะไอ้พฤกษ์”
“ก็ไม่ได้ว่ามึงเสียหน่อย ร้อนตัวทำไมวะ กูกำลังพูดถึงคนอื่น” เขารู้สึกของแรงดิ้นของร่างบางที่ยังคงโอบไว้ จึงยอมปล่อยเจ้าตัวเป็นอิสระแต่โดยดี ครั้นสังเกตเห็นใบซีดเผือกของหญิงสาว ที่เริ่มริมบรั่นดีบนโต๊ะใส่แก้วแล้วยกขึ้นดื่มโดยไม่สนใจใครอื่น
“ไม่ใช่กูแน่นะมึง เกือบวางมวยกันแล้วไม่ละ” กีรนัยชูกำปั้นข่มขู่เพื่อนรัก ด้วยเขาและพฤหัสเป็นสหายนักเรียนไทยในต่างแดนหลายปี คุ้นเคยนิสัยใจคออีกฝ่ายเป็นอย่างดี น้อยครั้งจะผิดใจกันในเพราะเรื่องเล็กน้อย มีเพียงเอะอะบ้างตามประสาคนเปิดเผย
บุตรชายเจ้าของห้างสรรพสินค้าดังมีสาขาหลายแห่งในจังหวัดต่างๆ เช่นกีรนัย ตระหนักดีว่าเพื่อนตาย จริงใจและซื่อสัตย์นั้น หายากในสังคมซึ่งแฝงไปด้วยผลประโยชน์อย่างทุกวันนี้เต็มที
โชคดียังมีพฤหัสหรือไอ้พฤกษ์สหายยามยากที่เขาพอจะฝากผีฝากไข้ไว้ได้ ชายหนุ่มริมเหล้าใส่แก้วแล้วส่งให้เพื่อนเป็นการไล่โทษที่โวยวายเมื่อครู่ ครั้นเห็นสลิสาเดินออกไปตักอาหาร จึงรีบลุกตามหมายตีสนิททำคะแนนกับสาวมั่นเจ้าเสน่ห์คนนี้เสียหน่อย
เพลงใหม่เริ่มต้นในจังหวะที่เร็วขึ้น มีหลายคนในโต๊ะออกไปสนุกกับดนตรีที่ฟลอร์เต้นรำ เหลือเพียงลลินภัทร พฤหัสและเพื่อนสนิทของเขาอีกสองสามคน กำลังพูดคุยกับชายหนุ่มเรื่องแวดวงกีฬาที่สนใจ ด้วยเพราะมีความชื่นชอบคล้ายๆ กัน จึงได้อรรถรสถูกคอพอสมควร
“นี่แม่คุณ เหล้านะไม่ใช่น้ำเปล่า กรอกเอากรอกเอาอย่างนั้นเดี๋ยวก็ได้สำลักตายหรอก” ครู่หนึ่ง พฤหัสหันมาเตือนหญิงสาวข้างกาย เมื่อหันเหความสนใจกลับมายังคงเห็นเธอดื่มเจ้าบรั่นดีอยู่เช่นเดิม และเหมือนจะเพิ่มปริมาณในแก้วมากขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ
“ยุ่งนา คนกำลังกลุ้ม” ออกปากไล่ ด้วยแอลกอฮอล์ขนาดหนักที่เริ่มออกฤทธิ์ในร่างกาย หากคนถูกไล่ไม่ได้ใยดี ใกล้เธอเข้าไปอีก
“กลุ้มเรื่องอะไรไหนบอกมาสิ ฉันจะได้ช่วยแก้ ไม่ใช่ระบายเอาในทางผิดๆ แบบนี้”
“ฉันแค่ดื่มฉลองให้กับความซวยของตัวเอง มันผิดตรงไหน”
“ผิดตรงที่ฉันไม่ชอบผู้หญิงขี้เมาไง หัดทำตัวให้เป็นกุลสตรีเสียบ้างสิ”
“กุลสตรี เป็นยังไง?”
“ก็ผู้หญิงที่กริยามารยาทเรียบร้อย มีเหตุผล อย่างน้องอ้าย รายนั้นบุหรี่เหล้าไม่เคยแตะ พูดจาน่ารักอ่อนหวาน เขาเป็นแบบนี้ตั้งแต่เด็ก เผอิญที่บ้านฉันสอนมาดี”
“เหอะ เพราะอบรมขัดเกลากันมาแต่เล็กๆ นี่เลย ให้ตายสิ ฉันอยากรู้นักพวกคุณสอนมันด้วยหรือเปล่า ว่าไอ้การแย่งผู้ชายของคนอื่น มันเป็นพฤติกรรมของกุลสตรีหน้าด้าน”
“เธอ! ตกลงพาลเพราะเรื่องนี้ใช่ไหม ไอ้หมอผ่าศพนั้นสินะ มันมีอะไรสู้ฉันได้ ...ทำตัวพาโลวุ่นวายมากๆ เข้าเถอะ ระวังจะได้เป็นเหมือนในข่าว”
“ข่าวอะไรของคุณ”
“นายแพทย์กับแพทย์หญิงคนรักที่หายตัวไปลึกลับไง เขาหายไปไหนคงจะเดาเองได้นะ”
“บ้าหรือ” คนเถียงหน้าหน้าแดง ทั้งกรุ่นโกรธและเคมีในตัวชักหนักข้อ ทำให้มึน สมองตื้อหัวหมุนชอบกล “ไม่ต้องมาซ้ำเติมเลย ไหนบอกจะช่วยไง ตอนนี้คุณกำลังเดินข้ามคนล้มอยู่นะ”
“ไหนๆ ผู้ชายเขาก็ไม่ได้รักชอบเธอ ตัดใจเสียเถอะ อายุยังน้อยถ้ามัวแต่ใช้ชีวิตด้วยความอาฆาตชิงชังแบบนี้ไร้ประโยชน์เสียเวลาเปล่า ฉันเชื่อว่ามันต้องดีขึ้นกว่านี้แน่ ถ้าเธอตัดใจและอโหสิ เข้าใจที่พูดไหม”
“ไม่ใช่พระไม่ต้องมาเทศน์ ถ้าทำได้จริงป่านนี้ฉันคงปล่อยวางเข้าวัดบวชไปนานแล้ว ...อย่างคุณน่ะ ได้ข่าวว่าใช้ผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าเลยหนิ พวกคาสโนว่าจะไปรู้อะไร ความรักนะคะ ไม่ใช่เล่นขายของ คิดจะเลิกก็เลิกได้ง่ายๆ”
“เพราะฉันไม่เคยรักใครน่ะสิ ฉันถึงไม่เจ็บ จะรักไปทำไม ในเมื่อมันทำให้เราเป็นทุกข์บ้าบอได้ถึงขนาดนี้”
“เออ จริงเนอะ จะรักไปทำไม ถ้าความรักมันกลายเป็นมีดกลับมาทำร้ายเราเอง” เสียงที่พูดเหมือนจะเปลี่ยนโทนเพี้ยนไปจากเก่า หากในความรู้สึกคนฟัง มันกลับเซ็กซี่มีเสน่ห์ไม่น้อย
“คิดได้แล้วหนิ นึกว่ามัวแต่หลงผู้ชายจนขาดสติ”
“คิดได้แต่ทำไม่ได้ ยังไงละถึงจะไม่มีความรัก กลายเป็นคนใจหินแบบคุณ”
“มาอยู่ใกล้ๆ ฉันสิ แล้วจะสอนให้ คบกับฉัน จะเป็นคนดึงเธอจากวังวนเลวร้ายนี้เอง”
“...”
“ว่าไง ไม่เคยต้องมาตอแยใครมากเท่าเธอเลยนะ”
“ก็ได้ ไหนๆ ฉันไม่มีอะไรต้องเสียแล้วหนิ แล้วบอกไว้ก่อนนะ ฉันคบกับคุณ แต่จะไม่เกี่ยวข้องญาติดีกับอาคุณเป็นอันขาด”
“โอเค...” เจ้าของใบหน้าคมยิ้มพราย ก่อนเอื้อมแขนเข้าโอบให้หญิงสาวเอนซบลงที่ไหล่กว้างของเขา โดยลลินภัทรไม่ได้มีท่าทีขัดขืนแต่อย่างใด “หายเมาแล้ว อย่าลืมที่พูดไว้ก็แล้วกัน”
“ฉันไม่ได้เมานะ แค่มึน สมองตื้อนิดหน่อยเท่านั้น สติส่วนใหญ่ยังมีอยู่ครบ”
“หึ เธอนี่มีหลายอย่างที่ทำให้ฉันทึ่งรู้ไหม เพื่อนฉันดื่มเก่งก็เยอะแต่ไม่เคยเห็นใครคอแข็งเท่าเธอเลย และถึงฉันจะไม่ชอบผู้หญิงขี้เมาก็เถอะ อย่างไรยังอยากอยู่ใกล้เธออยู่ดี ไม่รู้ทำไมสิน่า”
“เพราะว่า ฉันเป็นตัวปัญหาละมั้ง”
“นั่นสินะ คงจะใช่ ...แม่ตัวปัญหาของฉัน”
ห้าวันแล้วหลังกลับจากพักผ่อนทางใต้ จะไม่คิดไม่แค้นทำใจให้ว่างเปล่า เลิกอ่อนไหวต่อภาวะรอบข้างที่นำความเจ็บปวดมาอยู่เป็นเนืองนิตย์
แต่เธอมันแค่ปุทุชนธรรมดา ซึ่งมีชีวิตเวียนว่ายอยู่ในวังวนของความรู้สึกไม่นิ่งสงบ เป็นไปได้อย่างไรที่จะทิ้ง ความรัก โลภ โกรธ หลง ลงได้หมดรวดเร็วเพียงชั่วครู่ชั่วยาม
แต่อย่างไรก็เชื่อว่าหากเวลาผ่านไปสักหน่อย บาดแผลทางความรู้สึกนี้คงจะเยียวยาตัวมันเองให้ดีขึ้นได้ หญิงสาวทิ้งม่านปิดลงในที่สุด เดินกลับมานั่งลงบนเก้าอี้นวม ถอนหายใจยาวๆ เพื่อจะได้รู้สึกผ่อนคลายขึ้นบ้าง
ก๊อก... ก๊อก... ก๊อก... เสียงเคาะด้านนอกดังขึ้นพร้อมเสียงผู้เยี่ยมเยียนอาวุธโสที่คุ้นเคยกันดี
“ยายเอื้อย ย่าเข้าไปนะ” คุณหญิงอรดีร้องบอกหลานสาว ก่อนเปิดประตูซึ่งทราบกันดีว่าไม่ได้ลงล็อกไว้ ก่อนร่างสมส่วนจากการรักษาสุขภาพเป็นอย่างดีเยื้องย่างเข้ามาจับจองที่นั่งบนเก้าอี้นุ่มข้างลลินภัทร
“วันหยุดไม่ออกไปไหนหรือเรา”
“กำลังคิดอยู่ค่ะ พักนี้รู้สึกโชคไม่ดี อยากเก็บตัวเงียบอยู่ที่บ้านสักพัก ไว้ดีขึ้นแล้วคงออกไปสังสรรค์กับพวกเชอร์รี่นะคะ”
“งั้นดีเลย ถ้าวันนี้ไม่ได้ไปไหน ตอนเย็นอยู่ทานข้าวเย็นกับย่านะ มีแขกสำคัญจ๊ะ”
“แขกสำคัญ? ใครกันคะ เพื่อนที่สมาคมคุณย่าหหรือเปล่า”
“ไม่ใช่หรอกจ๊ะ แต่เป็นว่าเอื้อยแต่งตัวสวยๆ ไว้แล้วกัน เสื้อยืดกางเกงขาสั้นแบบนี้ไม่เอานะ ย่าขายขี้หน้าเขา” แนะหลายอย่างผู้มากประสบการณ์คิด
“โธ่... เดี๋ยวนี้เขาเน้นเป็นธรรมชาติสบายๆ แต่จริงใจนะคะ”
“ทำอย่างย่าว่าเถอะน่า ไอ้สบายของแกไม่เห็นมันจะเข้าท่า แต่งตัวดีสะอาดสะอ้าน น่าดูใครเห็นเขาจะได้ประทับใจ”
“ประทับใจเอื้อยนี่นะ หลานคุณย่าอีกคนก็มีรายนั้นเขาอาจประทับใจมากกว่าก็ได้นะ ลองถ้าเป็นพวกเจ้าระเบียบ คุณนายแสนเนี๊ยบหัวโบราณด้วยแล้ว คนนี้เห็นทีจะตรงสเป๊ก อย่างเอื้อยน่ะหรือค่ะ ใครเขาจะมายีระ”
“มีแล้วกันน่า แกก็อย่าดูถูกตัวเองให้มากนักเลย ใช่ว่าคนในโลกนี้เขาจะรสนิยมเป็นพิมพ์เดียวกันเสียเสมอไป เอาว่าคราวนี้ย่าเลือกแก ไว้เป็นหน้าเป็นตาให้”
“ว้าว วันนี้เห็นทีฝนคงจะตกห่าใหญ่ คุณหญิงย่าคิดจะยกย่องให้หลายคนนี้เป็นหน้าเป็นตากับเขาด้วย”
“ย่าหวังแล้วยังมาประชดอีก เสียน้ำใจกันะ”
“โอ๋ๆ ปลื้มตังหากละคะ ร้อยวันพันปีจะมีอย่างนี้สักที เอาว่าเอื้อยแต่งตัวดีๆ ลงไปทานดินเนอร์ด้วยแล้วกัน ไว้ใจได้ไม่ทำให้คุณย่าแน่นอน”
“เยี่ยมจ๊ะหลาน”
“อารมณ์ดีมากจากไหนค่ะเนี่ย คุณย่าพูดจ๊ะจ๋ากับหลานคนนี้เป็นด้วย” ลลินภัทรระบายยิ้มออดอ้อน คุณหญิงเก่งแต่เอื้อมมือไปลูบศีรษะหลายสาวอย่าง
“เอาละ ถ้าอย่างนั้นย่าไปก่อนนะ มาบอกแค่นี้แหละ ...อย่าลืมละ แต่งตัว ทำกริยาดีๆ จะได้เป็นหน้าเป็นตาให้ย่าได้กับเขาบ้าง”
“ค๊า คุณหญิงอรดี” เสียงใสขานรับ ก่อนจะเดินไปส่งผู้เป็นย่าที่ประตู
หกโมงเศษของวันเย็นนั้น ร่างระหงในชุดแซกสั้นไหล่กว้างสีขาวลงบันไดมาชั้นล่าง ได้ยินเสียงพูดคุยดังลอดมาจากห้องโถง คิดว่าแขกคงมาแล้วจึงเดินไปสมทบ หากไปถึงที่นั่นกลับพบว่าแขกคนสำคัญของคุณหญิงอรดีนั้น คือผู้ชายอันตรายที่เธอปรารถนาแยกตัวออกห่างมากที่ในเวลานี้ พฤหัสอยู่โซฟาฝั่งตรงข้ามก้องภพ ซึ่งมีมณีมัชญ์และบุตรสาวนั่งอยู่ด้วย
ลลินภัทรตั้งท่าจะชักเท้ากลับ หากประมุขของบ้านเห็นเธอเข้าเสียก่อน รีบร้องทักทานหลานสาวคนสำคัญโดยเร่งด่วน
“หลานเอื้อย มาพอดีเลยลูก มานี่สิมา นั่งกับย่า”
“...”
“มานี่” ภายใต้สุ่มเสียงน่าฟัง สตรีสูงวัยสบตากับหญิงสาวเป็นนัยบอกว่านั่นคือคำสั่ง ลลินภัทรเลิกคิ้วอย่างลำบากใจ หากเมื่อก้าวเข้ามาในห้องแล้วจะถอยหลังกลับทั้งที่ทุกคนเจอเธอแล้ว ก็ช่างเหมือนคนขี้คลาดปะไร จึงตัดสินใจเดินเข้าไป นั่งโซฟาตัวกลางใกล้ย่าของเธอ
“ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายการเงินของโรงแรมน่ะจ๊ะ เรียนจบมาลุกงานปีเดียวก็ได้เคลื่อนขั้น นี่อย่าหาเส้นอะไรกันเลยนะ แกพัฒนาของแกเอง”
“ครับ ตอนอยู่ที่เกาะกันน้องเอื้อยเขาเหมือนจะห่วงงานที่โรงแรมน่าดู โชคดีของอาก้องที่มีลูกสาวทั้งสวยแล้วก็ขยันแบบนี้”
“คุณ!” ลลินภัทรหันไปจิกสายตาใส่เจ้าของร่างสูงใหญ่ ก็เขาดันบอกคุณหญิงอรดีเสียหมดเปลือกว่าไปเที่ยวด้วยกัน ทั้งที่เธอเพียรพยามปฏิเสธผู้เป็นย่ามาตลอด
“ยังไงต้องขอโทษคุณหญิงด้วยนะครับ ที่ตอนหุนหันพาหลานสาวไปโดยที่ไม่ได้บอกกล่าวเอาก่อน”
“จ๊ะ แหม... เรื่องนั้นก็ไม่ได้ถือสาหาความอะไรหรอก ไอ้ฉันมันก็ไม่ใช่คนหวงหลานสาว”
“ว่าแต่พ่อพฤกษ์เถอะ ในเมื่อเราก็ดองกันแล้ว เรียกคุณหญิงมันดูห่างเหินไปหรือเปล่า เรียกย่าเฉยๆ เหมือนหนูอ้ายกับยายเอื้อยเขาก็ได้”
“ถ้าจะกรุณา ...ครับคุณย่า”
“ดีสิ คราวนี้ถือว่าฉันมีหลานชายเพิ่มขึ้นอีกคน ใช่ไหม... ยายเอื้อย เราน่ะได้พี่ชายกับเขาแล้วนะ”
“ตั้งแต่พ่อแม่เสีย และนอกจากมัญช์ ตาพฤกษ์เขาก็ตัวคนเดียวละคะ ญาติผู้ใหญ่ที่พอจะเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรได้ด่วนจากไปเสียหมด ถ้าคุณแม่จะกรุณาให้แกเป็นหลานอีกคน มัญช์ก็ดีใจค่ะ”
“โอ๊ย... จะต้องกรุณาอะไรกันละมัชญ์ หลานชายคุณก็เหมือนหลานผมกับคุณแม่นั้นแหละ” ก้องเกียรติโอบไหล่ภรรยาคนใหม่ พร้อมรอยยิ้มมีความสุข
“พี่หนึ่ง” ร่างบางซึ่งนั่งเงียบอยู่นานลุกและเดินเร็วๆไปยังคุณหมอหนุ่มผู้มาใหม่ ก่อนจูงมือกันเดินเข้ามาสมทบ “พี่พฤกษ์ นี่พี่หนึ่งค่ะ ศัลยแพทย์คนเก่งของบ้านหลังนี้”
“สวัสดีครับ” ปฎิมากล่าวกับญาติผู้พี่ของคนรัก หลังเดินไปนั่งลงยังเก้าอี้ตัวที่ว่างอยู่ใกล้พฤหัส
“ครับ ยินดีที่ได้รู้จัก น้องอ้ายมาเล่าถึงคุณบ่อยๆ ดีใจที่วันนี้ได้เจอตัวจริงสักที”
“อีกหน่อยอ้ายจบพยาบาลก็ได้ทำงานที่เดียวกับพี่หนึ่งค่ะ” สาวน้อยฉอเลอะ ถึงตอนนี้ลลินภัทรทำหน้าหงิก หมั่นไส้สาวน้องต่างแม่เสียเต็มประดา ความรู้สึกอึดอัดและทรมาน ทุกครั้งที่อดีตคนรักกับหล่อนหัวเราะต่อกระซิกมีความสุขกันต่อหน้า มันเป็นอารมณ์หดหู่เจ็บปวดที่ไม่สามารถบรรยายเป็นคำพูดออกมาได้ถูก
“จ๊ะ บัณฑิตอยากได้อะไรเป็นของขวัญหือ”
“อะไรก็ได้ค่ะ พี่พฤกษ์ให้มาอ้ายเต็มใจรับหมด”
“นั่นน่ะสิ หนูอ้ายใกล้รับปริญญาแล้ว เห็นทีคงต้องเลี้ยงฉลองกันเสียหน่อย หรือยังไงพ่อก้อง” คุณหญิงสาวหันไปปรึกษาบุตรชาย
“เอาสิครับคุณแม่ อีกสามเดือนใช่ไหมยายอ้าย”
“ค่ะ ปิ้งบาบีคิวกันในครอบครัวก็ได้นะคะ อบอุ่นดี ...แต่ว่า พูดถึงเรื่องปิ้งๆ ย่างๆ ชักหิวแล้วสิคะ มีใครท้องร้องเหมือนอ้ายบ้างหรือเปล่า”
“แย่จริง มัวแต่คุยกันเสียเพลิน ไม่ดูเวลาอาหารบ้างเลย ไปๆ วันนี้สั่งทำมื้อพิเศษไว้น่ะจ๊ะ อาหารทะเลทานได้ใช่ไหมจ๊ะพ่อพฤกษ์”
“ได้ครับ ผมทานง่ายอยู่แล้ว”
สตรีวัยหกสามยืนขึ้น ก่อนทั้งหมดจะลุกตามเจ้าหล่อนไปยังห้องรับประทานอาหาร มื้อเย็นที่ครึกครื้นขึ้นจากวันก่อนๆ ด้วยมีแขกอีกคนอย่างพฤหัส ศิลาธนิก มาร่วมด้วย
ลลินภัทรนั่งตรงข้ามชายหนุ่ม บ่อยครั้งที่ถูกสายตาคมกริบของเขาจ้องมองมา แววลึกซึ้งแฝงนัยเจ้าเล่ห์แสนร้ายจนเธอเองยังนึกหวั่น กวาดสายตาไปที่อื่น หากเลวร้ายยิ่งกว่าเมื่อพบอีกคู่คอยเอาอกเอาใจตักอาหารให้กันอยู่ จึงเลือกจะก้มหน้าก้มตาจัดการกับอาหารพยามไม่สนใจไม่มองใครใดทั้งสิ้น
“น้องเอื้อยไม่เห็นทานปลาเลยล่ะครับ” พฤหัสเอ่ยขึ้นหลังจากเห็นเธอเอื้อมไปตักอาหารไกลๆ โดยหาได้สนใจเจ้าปลานิ่งมะนาวจานโตตรงหน้าเลย
“ยายเอื้อยไม่ชอบเนื้อปลาตั้งแต่เด็กแล้วละตาพฤกษ์ บังคับให้ทานทีไรเจ้าตัวเป็นต้องเอาออกมาทุกที แต่เดี๋ยวนี้ดีขึ้นหน่อยแล้วนะ แกเริ่มทานปลาทะเลบางอย่างได้บ้าง” ก้องเกียรกล่าวแทนบุตรสาว
“งั้นตักนี่ให้แล้วกันนะครับ” สวมบทสุภาพแสนดีตักกับซึ่งเธอยุ่งย่ามกับมันบ่อยที่สุดมาให้ ลลินภัทรเลิกสบตากับคนช่างวางตัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ขอบคุณ” ทุกคนที่โต๊ะยกเว้นคุณหญิงอรดีหันมองเธอเป็นตาเดียว ด้วยความแปลกใจไม่นึกว่าคำพูดดังกล่าวจะหลุดออกจากปากสาวร้ายอย่างเธอได้ โดยเฉพาะต่อเครือญาติของแม่เลี้ยงซึ่งไม่กินเส้นกันเสียด้วย
“ดูคุณพฤกษ์กับเอื้อยจะเข้ากันได้ดีนะ” ปฏิมา
“จริงๆ เรารู้จักกันก่อนหน้านี้แล้วละครับ พึ่งกลับมาจากเที่ยวด้วยกันไม่นาน ก็เลยทำให้... สนิทสนมมากขึ้น” เสียงห้าวเน้นหนักที่ประโยคหลังเป็นพิเศษ
“รู้จักกันเมื่อไร ไม่เห็นเอื้อยเล่าให้พี่ฟังบ้างเลย”
“ก็ ...ช่วงที่พี่หนึ่งห่างๆ กับเอื้อยไงค่ะ เราไม่มีเวลาได้พูดคุยได้เจอกันเหมือนเก่า เรื่องของเอื้อยในตอนนั้นพี่คงจะรู้ไม่หมดแน่” ได้ทีตอกกลับไปให้สาสมกับความไม่ดูดายตลอดมาที่เขามอบให้เธอ ก่อนตักเนื้อปลาจานอาหารตรงหน้าไปให้เขา “ฉันไม่กินปลา แต่หวังว่าคุณคงชอบนะคะคุณพฤกษ์ โต๊ะนี้เห็นทีคงจะมีแต่คุณเท่านั้นที่สนใจว่าฉันอยากกินอะไรไม่อยากกินอะไร”
“ครับ” เจ้าของใบหน้าคมคาย เหยียดยิ้ม เริ่มเข้าใจจับต้นสายปลายเหตุ
นายปฏิมา คนนี้สินะ มีอิทธิพลต่อเธอน่าดู เหอะ... หมอหนุ่มจบใหม่ดีกว่าเขาตรงไหน? หลงกันจริง ทั้งเธอแลเลัลนาญาติผู้น้องเขาก็ด้วย ดีละ ใช้นายคนนี้เป็นเครื่องมือดึงลลินภัทรมาสิโรราบกับเขาให้ได้ มีเยื้อใยกันดีนักนี่นะ
“ฉันโทรหาตั้งหลายครั้ง ทำไมเธอไม่รับสาย” ร่างสูงใหญ่เดินมาหาลลินภัทร ซึ่งกำลังยืนมองกอดออกอยู่ด้านหลังสระว่ายน้ำ ซึ่งสร้างขึ้นกลางสวนบาลีปีกซ้าย ภายนอกบ้านวรนันท์ ไม่ห่างของตัวตึกมากนัก
“ไม่ว่าง” เจ้าตัวตอบ ยังคงมองนิ่งยังจุดเดิมไม่อยากละความสนใจมายังเขา
“ไม่ว่าง? หรือกลัวฉันจนไม่กล้าคุยกันแน่ ไม่เก่งจริงนี่”
“คุณพฤกษ์!” ร่างระหงเบี่ยงกายมาเผอิญหน้า ในขณะที่เขาก็ก้าวไปใกล้อีก ผลจากการขยับชิดเกินควรส่งผลให้ลลินภัทรเสียหลักทำท่าหายหลังดี ที่แขนแกร่งเข้าโอบรอบเอวบางไว้ไม่ให้เธอตกลงไปในสระน้ำ
“ระวังหน่อยสิ มัวแต่ยืนใจลอยอยู่นั้นแหละ เดี๋ยวก็ได้ลงไปว่ายอยู่ในสระน้ำคนเดียวตั้งแต่หัวค่ำหรอก”
“เพราะคุณนั้นแหละ ทำให้ฉันเกือบหายหลัง”
“อ้าว โทษกันเสียอย่างนั้น ฉันช่วยเธออยู่นะ” พฤหัสกระชับอ้อมกอด “หน้าตาไม่ค่อยดีเลย เป็นทุกข์มากนักหรือไง”
“ก็สมใจพวกคุณแล้วหนิ ต้องการเห็นฉันในสภาพแบบนี้ไม่ใช่หรือ อย่ามาใส่หน้ากากทำเป็นหวังดีต่อหน้าคนอื่น ”
“ฉันใส่หน้ากากที่ไหน เป็นห่วงเธอจริงๆ ตังหาก ...เพราะผู้ชายคนนั้นใช่ไหมต้นเหตุของปัญหาทั้งหมด”
“ถ้าเขาเป็นปัญหาจริงๆ พวกคุณคงไม่แผนกันจับฉันไปหรอก”
“ตอนแรกฉันยังไม่รู้ ได้ยินแต่อามัญช์เล่ามา อาวานให้ทำอะไรก็ต้องทำ”
“ปล่อยฉันได้แล้ว ไม่อยากฟังคำแก้ตัว คุณพูดไปก็เท่านั้นมันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาหรอก”
“ทำไมจะไม่ช่วย นี่แหละเป็นการแก้ไขปัญหาพฤติกรรมเลวร้ายของเธอได้ตรงประเด็นที่สุดแล้ว อยากลืมนายนั่นไหมละหรือจะแก้แค้น ฉันจะช่วยได้นะ ไถ่โทษที่เคยทำให้เธอลำบากไง”
“เริ่มจากน้องคุณก่อนเป็นไง”
“ผู้หญิงหน้าโง่” เขาแล้วก็ปล่อยพันธนาการจากร่างระหงลงฉับพลัน ทำให้ลลินภัทรที่ไม่ทันตั้งตัวแทบหายหลังเสียหลักไปอีกครั้ง ดีที่ครานี้ขยันกายรวดเร็วเรียกการทรงตัวไว้ได้ทัน ขณะพฤหัสขบกรามอย่างเหลืออดเหลือทน
“หลงผู้ชายไม่รู้จนไม่ลืมหูลืมตา จะบอกให้รู้ไว้นะ เรื่องแบบนี้ตบข้างเดียวมันไม่ดังหรอก ถ้าน้องอ้ายชอบแต่นายนั่นไม่เอาเสียอย่าง เธอคงไม่กลายเป็นหมาหัวเน่าแบบนี้หรอก”
“ไอ้...!” จากประสบการณ์ไม่สู้ดีนัก จึงชะงักคำพูดไว้ไม่กล้าด่าว่าเขาแรงนัก
“อะไรจ๊ะคนสวย ขึ้นไอ้ขึ้นอีอีกแล้วหรือนี่ ลืมที่เคยเตือนไว้วันก่อนแล้วใช่ไหม”
“ขอโทษ...”
“ออกไปข้างนอกับฉันก่อน แล้วจะยกโทษให้”
“ไปไหน”
“ไม่พาเธอไปฆ่าแล้วกันน่า หน้าตาเธอดูเครียดๆ ไม่อยากไปผ่อนคลายบ้างหรือไง”
“ไปคุณมันไม่น่าไว้ใจนี่นา ไม่เอาหรอก ไม่กล้าเสี่ยงอะไรอีกแล้ว คราวก่อนยังเข็ดไม่หาย กล้ามาแบล็คเมล์
ดัดหลังฉันได้ เจ็บใจชะมัด”
“โธ่ นั่นมันอดีตไปแล้วน่า ชวนเพื่อนเธอมาด้วยกันได้ จะพาไปสังสรรค์กับพวกเพื่อนฉัน สนใจไหมละ หรืออยากเก็บตัวอยู่คนเดียวให้โรคประสาทกินแบบนี้ก็แล้วแต่”
“เพื่อนฉันเป็นตำรวจ” เธอบอก หากคนฟังกลับหัวเราะออกมาอย่างไม่ยีระ
“เป็นก็เป็นสิ เธอจะพาไปหมดโรงพักเลยก็ได้ฉันไม่ว่า แต่มีผู้หญิงมาด้วยสักคนก็ดี งานจะได้ไม่กร่อย”
“ไม่ใช่ปาร์ตี้มั่วยาแน่นะ”
“เอาเกียรติของศิลาธนิกเป็นประกันเลยครับ คนอย่างนายพฤกษ์ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับของแบบนี้อยู่แล้ว รับรองงานจบจะพามาส่งบ้านอย่างปลอดภัย จะไปหรือไม่ไป”
“ก็ได้ ที่ไหนละ ขอฉันโทรเรียกเพื่อนก่อน” หญิงสาวบอก ก่อนแนะให้เขารอเธอซึ่งไปบอกกล่าวแก่พ่อและย่าออกไปข้างนอก ทว่าชายหนุ่มอาสาจะตามเข้ามาในบ้านวรนันท์ด้วย แล้วก็ขออนุญาตคุณหญิงอรดีและก้องเกียรติแทนเธอเสร็จสรรพ รับปากหมั่นเหมาะว่าจะดูแลและส่งเธอกลับบ้านอย่างดิบดี
แม้จะหมั่นไส้ท่าทีออกหน้าออกตาเอาใจผู้ใหญ่ของเขาอยู่บ้าง แต่ก็อุ่นใจว่าพฤหัสคงไม่ได้พาเธอไปฆ่าแกงที่ไหนแน่นอน เพราะถ้าคิดทำจริงผู้ต้องสงสัยจะเป็นใครไปเสียไม่ได้นอกจากเจ้าตัวเองนั่นแหละ
เนื่องจากไม่ได้นัดหมาดกันล่วงหน้า หญิงสาวโทรไปหาเพื่อนสนิทสี่ห้าคนในกลุ่ม ปรากฏว่ารายที่ว่างพอจะเป็นเพื่อนเธอได้มีเพียงคนเดียวในเวลานี้ สลิสา หรือสาลี่ เพื่อนสาววัยยี่สิบสอง
ซึ่งเธอเปรียบเสมียนคู่สหายของลลินภัทรสมัยเรียนทั้งมัธยมและมหาวิทยาลัย เห็นรถโฟล์กสวาเกนสีเขียวอ่อนรถอยู่ยังลานรถของร้านอาหารชื่อดัง จึงเดินนำพฤหัสเข้าไปเคาะกระจกเรียกคนด้านในออกมา
“อุ๊ย! พาใครมาด้วยนั้นน่ะ แฟนใหม่หรือ” ประโยคแรก หลังจากสลิสาลงมาจากรถ เอ่ยทักเธอหากสายตามองชายอีกที่มาด้วย แววกระหายใคร่รู้อย่างไม่ปกปิด
“ที่ไหนละ แค่...” ลัลนาไม่รู้จะจัดเขาอยู่ในฐานะใดเมื่อเพื่อน ร้อนถึงพฤหัสต้องออกหน้าทักทาย
“สวัสดีครับ”
“สวัสดีค่ะ สาค่ะ เป็นเพื่อนยายเอื้อย” เจ้าตัวบอกยิ้มๆ
“พฤกษ์ครับ ยินดีที่ได้รู้จัก”
“เช่นกันค่ะ เอ่อ... ถ้าฉันจำไม่ผิด คุณคือ พฤหัส ศิลาธนิก ใช่หรือเปล่า”
“ครับ ดีใจที่คุณสาจำผมได้ ไม่ขี้หลงขี้ลืมเหมือนใครบ้างคน” พูดพลางเหลียวมายังหญิงสาวข้างกาย ซึ่งบัดนี้กำลังเลิกคิ้วมองไปยังจุดหมายซึ่งเขาบอกว่าเป็นที่สังสรรค์
“ไหนละคุณ ร้านปิดนี่นา” ลลินภัทรแสร้งไม่รู้ไม่ชี้ ถามเขา
“เราปิดร้ายฉลองกัน ไปเถอะ ป่านนี้คงมากันใกล้ครบแล้ว” พูดจบก็เดินนำสองสาวเข้าไปด้านในร้านอาหารสไตล์ผับ ครั้นประตูร้านซึ่งขึ้นป้ายว่าปิด หากภายในกลับมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่ง พร้อมดนตรีดังคลอ ตามจุดต่างๆ มีถาดอาหารบุฟเฟ่ต์เรียงรายหน้าตาน่ารับประทานนัก
“เฮ้ ไอ้พฤกษ์ ทางนี้” ชายคนหนึ่งโบกมือเรียกพฤหัสบริเวณด้านซ้ายมุมลึกของร้าน ซึ่งตรงนั้นกลุ่มชายหนุ่มหกถึงเจ็ดคนนั่งอยู่ยังชุดโต๊ะสั้นๆและเก้าอี้นวมติดกัน ยาวล้อมเป็นทรงตัวยู ไม่รอช้าพฤหัสตรงเข้าไปหาพวกเขาพร้อมด้วยลลินภัทรและสลิสา
“ว้าวๆ วันนี้ควงสองคนเลยหรือวะ” หนึ่งในนั้นทักขึ้น เมื่อทั้งสามนั่งลงบนยังแถวเก้าอี้ฝั่งซ้าย จนร้อนถึงสลิลาต้องเอ่ยแก้ต่างให้กับตัวเองเป็นการด่วน
“ไม่ใช่ฉันนะ ยังโสดอยู่ค่ะ แค่มาเป็นเพื่อนยายเอื้อมเท่านั้น” เจ้าตัวบอกยิ้มๆ
“จริงหรือนี่ ผมเองก็โสดครับ” หนุ่มหน้าตาหล่อเหลานั่งอยู่กลางที่ฝากตรงข้ามกล่าวสำทับ ก่อนทั้งสองจะสบตากันอย่างรู้นัย ลลินภัทรเป็นต้องกระทุ้งแขนเตือนเพื่อนคาสโนวี่ของเธอเพื่อเรียกสติ ไม่ให้หลงกลเออออกับพวกพ้องของพฤหัสด้วยหวั่นใจในความไม่ปลอดภัยของสลิลา
“แกอย่าหลงไว้ใจนะ พวกนี้เสือสิงปีศาจทั้งนั้น” บอกเสียงเบา หากคนหูดีที่นั่งอยู่ใกล้เธอกลับบังเอิญได้ยินเข้าจนได้
“หืม!” พฤหัสแกล้งกระแอมในลำคอ จนลลินภัทรต้องผละต่างจากเพื่อนสาว
“ถ้าอย่างนั้น แสดงว่าคงเป็นคุณคนสวยข้างๆ สินะ” หนุ่มหล่อคนนั้นทักทานต่อไป “สวัสดีครับ ผมกีรนัย เรียกสั้นๆ ว่า นัยก็ได้ครับ ยินดีที่รู้จักคุณผู้หญิงทั้งสอง”
“ยินดีเช่นกันค่ะ แต่ฉันไม่ใช่...” ยังไม่ได้เอ่ยแก้ความใดๆ คนตัวโตพลันรวบไหล่เธอเข้าไปแนบชิง ก่อนประกาศกร้าวอย่างไม่คิดเกรงอกเกรงใจคนในอ้อมแขน
“นี่ลลินภัทร พี่สาวต่างแม่ของน้องอ้าย ตอนนี้เรากำลังคบหากันอยู่ เพราะฉะนั้นห้ามยุ่ง ห้ามมาทำเจ้าชู้วอแวกับเธอเป็นอันขาด โดยเฉพาะมึง ไอ้นัย” บอกเพื่อน แถมยังก้มลงมาสั่งการที่ข้างหูห้ามปราบมิให้เธอปฏิเสธอีก
“เฮ้ย อะไรวะ ทำไมมาป้ายโคลนใส่กูละนี่ เสียเครดิตหมด ...ผมจริงใจนะครับ ไม่คิดยุ่งกับแฟนเพื่อนแน่นอน” ประโยคหลังไม่เจตนาสื่อให้ใครอื่น นอกจากสลิลาเพียงคนเดียว เพราะเขาเองนั้นสนอกสนใจ แม่สาวเปรี้ยวหน้าตาราวตุ๊กตาคนนี้อยู่ไม่น้อย
“เสือผู้หญิงอย่างมึงนี่นะจริงใจ ไม่ไหว คนก่อนน่ะเคลียกันเรียบร้อยแล้วหรือ”
“ต่างคนต่างอยู่แล้วโว้ย ไอ้พฤกษ์นี่ ไอ้เพื่อนชั่ว แทนที่จะส่งเสริมกัน พูดเหมือนกูเลวร้าย เคยไปฉุดคราลูกสาวใครเขาอย่างนั้นแหละ”
“ถึงฉุดมาแต่จริงใจจริงจังด้วย กูว่าดีกว่าพวกมาแบบนุ่มนวลเข้าตามตรอกออกตามประตู แต่สุดท้ายกลับลงเลหลายใจเป็นไหนๆ ”
“หลายใจที่ไหน ใครหลายใจ กูมีใจเดียวนี่ อย่ามาใส่ร้ายนะไอ้พฤกษ์”
“ก็ไม่ได้ว่ามึงเสียหน่อย ร้อนตัวทำไมวะ กูกำลังพูดถึงคนอื่น” เขารู้สึกของแรงดิ้นของร่างบางที่ยังคงโอบไว้ จึงยอมปล่อยเจ้าตัวเป็นอิสระแต่โดยดี ครั้นสังเกตเห็นใบซีดเผือกของหญิงสาว ที่เริ่มริมบรั่นดีบนโต๊ะใส่แก้วแล้วยกขึ้นดื่มโดยไม่สนใจใครอื่น
“ไม่ใช่กูแน่นะมึง เกือบวางมวยกันแล้วไม่ละ” กีรนัยชูกำปั้นข่มขู่เพื่อนรัก ด้วยเขาและพฤหัสเป็นสหายนักเรียนไทยในต่างแดนหลายปี คุ้นเคยนิสัยใจคออีกฝ่ายเป็นอย่างดี น้อยครั้งจะผิดใจกันในเพราะเรื่องเล็กน้อย มีเพียงเอะอะบ้างตามประสาคนเปิดเผย
บุตรชายเจ้าของห้างสรรพสินค้าดังมีสาขาหลายแห่งในจังหวัดต่างๆ เช่นกีรนัย ตระหนักดีว่าเพื่อนตาย จริงใจและซื่อสัตย์นั้น หายากในสังคมซึ่งแฝงไปด้วยผลประโยชน์อย่างทุกวันนี้เต็มที
โชคดียังมีพฤหัสหรือไอ้พฤกษ์สหายยามยากที่เขาพอจะฝากผีฝากไข้ไว้ได้ ชายหนุ่มริมเหล้าใส่แก้วแล้วส่งให้เพื่อนเป็นการไล่โทษที่โวยวายเมื่อครู่ ครั้นเห็นสลิสาเดินออกไปตักอาหาร จึงรีบลุกตามหมายตีสนิททำคะแนนกับสาวมั่นเจ้าเสน่ห์คนนี้เสียหน่อย
เพลงใหม่เริ่มต้นในจังหวะที่เร็วขึ้น มีหลายคนในโต๊ะออกไปสนุกกับดนตรีที่ฟลอร์เต้นรำ เหลือเพียงลลินภัทร พฤหัสและเพื่อนสนิทของเขาอีกสองสามคน กำลังพูดคุยกับชายหนุ่มเรื่องแวดวงกีฬาที่สนใจ ด้วยเพราะมีความชื่นชอบคล้ายๆ กัน จึงได้อรรถรสถูกคอพอสมควร
“นี่แม่คุณ เหล้านะไม่ใช่น้ำเปล่า กรอกเอากรอกเอาอย่างนั้นเดี๋ยวก็ได้สำลักตายหรอก” ครู่หนึ่ง พฤหัสหันมาเตือนหญิงสาวข้างกาย เมื่อหันเหความสนใจกลับมายังคงเห็นเธอดื่มเจ้าบรั่นดีอยู่เช่นเดิม และเหมือนจะเพิ่มปริมาณในแก้วมากขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ
“ยุ่งนา คนกำลังกลุ้ม” ออกปากไล่ ด้วยแอลกอฮอล์ขนาดหนักที่เริ่มออกฤทธิ์ในร่างกาย หากคนถูกไล่ไม่ได้ใยดี ใกล้เธอเข้าไปอีก
“กลุ้มเรื่องอะไรไหนบอกมาสิ ฉันจะได้ช่วยแก้ ไม่ใช่ระบายเอาในทางผิดๆ แบบนี้”
“ฉันแค่ดื่มฉลองให้กับความซวยของตัวเอง มันผิดตรงไหน”
“ผิดตรงที่ฉันไม่ชอบผู้หญิงขี้เมาไง หัดทำตัวให้เป็นกุลสตรีเสียบ้างสิ”
“กุลสตรี เป็นยังไง?”
“ก็ผู้หญิงที่กริยามารยาทเรียบร้อย มีเหตุผล อย่างน้องอ้าย รายนั้นบุหรี่เหล้าไม่เคยแตะ พูดจาน่ารักอ่อนหวาน เขาเป็นแบบนี้ตั้งแต่เด็ก เผอิญที่บ้านฉันสอนมาดี”
“เหอะ เพราะอบรมขัดเกลากันมาแต่เล็กๆ นี่เลย ให้ตายสิ ฉันอยากรู้นักพวกคุณสอนมันด้วยหรือเปล่า ว่าไอ้การแย่งผู้ชายของคนอื่น มันเป็นพฤติกรรมของกุลสตรีหน้าด้าน”
“เธอ! ตกลงพาลเพราะเรื่องนี้ใช่ไหม ไอ้หมอผ่าศพนั้นสินะ มันมีอะไรสู้ฉันได้ ...ทำตัวพาโลวุ่นวายมากๆ เข้าเถอะ ระวังจะได้เป็นเหมือนในข่าว”
“ข่าวอะไรของคุณ”
“นายแพทย์กับแพทย์หญิงคนรักที่หายตัวไปลึกลับไง เขาหายไปไหนคงจะเดาเองได้นะ”
“บ้าหรือ” คนเถียงหน้าหน้าแดง ทั้งกรุ่นโกรธและเคมีในตัวชักหนักข้อ ทำให้มึน สมองตื้อหัวหมุนชอบกล “ไม่ต้องมาซ้ำเติมเลย ไหนบอกจะช่วยไง ตอนนี้คุณกำลังเดินข้ามคนล้มอยู่นะ”
“ไหนๆ ผู้ชายเขาก็ไม่ได้รักชอบเธอ ตัดใจเสียเถอะ อายุยังน้อยถ้ามัวแต่ใช้ชีวิตด้วยความอาฆาตชิงชังแบบนี้ไร้ประโยชน์เสียเวลาเปล่า ฉันเชื่อว่ามันต้องดีขึ้นกว่านี้แน่ ถ้าเธอตัดใจและอโหสิ เข้าใจที่พูดไหม”
“ไม่ใช่พระไม่ต้องมาเทศน์ ถ้าทำได้จริงป่านนี้ฉันคงปล่อยวางเข้าวัดบวชไปนานแล้ว ...อย่างคุณน่ะ ได้ข่าวว่าใช้ผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าเลยหนิ พวกคาสโนว่าจะไปรู้อะไร ความรักนะคะ ไม่ใช่เล่นขายของ คิดจะเลิกก็เลิกได้ง่ายๆ”
“เพราะฉันไม่เคยรักใครน่ะสิ ฉันถึงไม่เจ็บ จะรักไปทำไม ในเมื่อมันทำให้เราเป็นทุกข์บ้าบอได้ถึงขนาดนี้”
“เออ จริงเนอะ จะรักไปทำไม ถ้าความรักมันกลายเป็นมีดกลับมาทำร้ายเราเอง” เสียงที่พูดเหมือนจะเปลี่ยนโทนเพี้ยนไปจากเก่า หากในความรู้สึกคนฟัง มันกลับเซ็กซี่มีเสน่ห์ไม่น้อย
“คิดได้แล้วหนิ นึกว่ามัวแต่หลงผู้ชายจนขาดสติ”
“คิดได้แต่ทำไม่ได้ ยังไงละถึงจะไม่มีความรัก กลายเป็นคนใจหินแบบคุณ”
“มาอยู่ใกล้ๆ ฉันสิ แล้วจะสอนให้ คบกับฉัน จะเป็นคนดึงเธอจากวังวนเลวร้ายนี้เอง”
“...”
“ว่าไง ไม่เคยต้องมาตอแยใครมากเท่าเธอเลยนะ”
“ก็ได้ ไหนๆ ฉันไม่มีอะไรต้องเสียแล้วหนิ แล้วบอกไว้ก่อนนะ ฉันคบกับคุณ แต่จะไม่เกี่ยวข้องญาติดีกับอาคุณเป็นอันขาด”
“โอเค...” เจ้าของใบหน้าคมยิ้มพราย ก่อนเอื้อมแขนเข้าโอบให้หญิงสาวเอนซบลงที่ไหล่กว้างของเขา โดยลลินภัทรไม่ได้มีท่าทีขัดขืนแต่อย่างใด “หายเมาแล้ว อย่าลืมที่พูดไว้ก็แล้วกัน”
“ฉันไม่ได้เมานะ แค่มึน สมองตื้อนิดหน่อยเท่านั้น สติส่วนใหญ่ยังมีอยู่ครบ”
“หึ เธอนี่มีหลายอย่างที่ทำให้ฉันทึ่งรู้ไหม เพื่อนฉันดื่มเก่งก็เยอะแต่ไม่เคยเห็นใครคอแข็งเท่าเธอเลย และถึงฉันจะไม่ชอบผู้หญิงขี้เมาก็เถอะ อย่างไรยังอยากอยู่ใกล้เธออยู่ดี ไม่รู้ทำไมสิน่า”
“เพราะว่า ฉันเป็นตัวปัญหาละมั้ง”
“นั่นสินะ คงจะใช่ ...แม่ตัวปัญหาของฉัน”
ตรีชวา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 พ.ค. 2554, 20:20:38 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 พ.ค. 2554, 20:20:38 น.
จำนวนการเข้าชม : 1635
<< ๕ แบล็คเมล์ | ๗ งานเลี้ยง >> |
lovemuay 30 พ.ค. 2554, 22:23:57 น.
หาข้ออ้างมาให้นางเอกยอมคบด้วยจนได้นะ อิอิ
หาข้ออ้างมาให้นางเอกยอมคบด้วยจนได้นะ อิอิ