ดาวปาฏิหาริย์
เพราะ 'เธอ' ประสบอุบัติเหตุตอนที่อยู่กับเขา
สิตะจึงต้องรับผิดชอบ
ปากบอกไม่ชอบหน้า แต่ว่ากลับปรารถนาจะอยู่ใกล้ๆ
การเดินทาง 'หนี' คนร้ายที่ทำลายชีวิต กลับทำให้เขาค้นพบปาฏิหาริย์ในชีวิตที่ค้นหามานาน
Tags: เกาหลีใต้

ตอน: ดาวปาฏิหาริย์ บทที่ 30



หนุ่มชาวสวนร่างสูงใหญ่ในเสื้อยีนส์สีซีด มองน้องสาวที่กำลังวุ่นวายอยู่กับการต่อสายหาใครบางคนริมสระว่ายน้ำ ท่ามกลางแสงตะวันของวันใหม่ที่สาดส่องลงมาพอดี

“หายป่วยแล้วหรือเรา ถึงได้มาเดินตากแดดอย่างนี้” พี่ชายเอ่ยทักด้วยความแปลกใจ เมื่อเห็นสีหน้าสดใสของน้องสาว เมื่อวานยังนอนซม ทำไมวันนี้ถึงเปลี่ยนเป็นคนละคนได้

“หายแล้วค่ะพี่อิ่ม ออกมารับแดดเสียบ้าง ร่างกายจะได้รับวิตามินไง” ดาวประกายในเสื้อยืดลายการ์ตูนกับกางเกงยีนส์ขาสั้นตอบพร้อมรอยยิ้ม แต่เขากลับขมวดคิ้ว

“มีอะไรพิเศษหรือเปล่า”

“คะ?”

“อะไรที่ทำให้ดาวหายป่วยไวอย่างนี้”

“ไม่มีอะไรหรอกพี่อิ่ม วัยรุ่น ร่างกายก็ฟื้นตัวเร็วอย่างนี้แหละ” หญิงสาวตอบโดยไม่สบตา ไม่กล้าเล่าว่าเมื่อคืนเธอไปรู้ ไปเห็นอะไรมาบ้าง

เรื่องน้องชายของสิตะพาย้อนไปดูอดีต ไม่มีทางที่คนปกติจะเชื่อง่ายๆ เธอเองก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นเรื่องจริงหรือแค่ฝัน แต่ไม่ว่าอย่างไร วันนี้เธอก็ตัดสินใจได้แล้ว

“แล้วนี่ดาวจะโทรหาใคร”

คำถามของพี่ทำให้เธอสะดุ้ง ก่อนคิดข้อแก้ตัวได้อย่างรวดเร็ว “อ๋อ...โทรหาจูน จะบอกมันว่าหายป่วยแล้ว”

“หายแล้วก็ดีจะได้กลับบ้านกัน... บ่ายนี้เลยดีไหม”

“ไม่!!!” เผลอปฏิเสธเสียงแข็งทำให้หมื่นอาสามองด้วยความสงสัย ต้องรีบหาคำอธิบายเป็นพัลวัน “ไม่วันนี้ได้ไหม มึนๆ หัวอยู่เลยพี่อิ่ม ขอนอนที่นี่อีกสักคืนนะ... นะคะ พี่อิ่ม นะ”

ยามไม่มีเรื่องให้กังวลใจอย่างเรื่องของสิตะ หมื่นอาสาก็พร้อมตามใจน้องสาวต่างสายเลือดคนนี้เสมอ

“ได้ แต่พี่ไม่แน่ใจนะว่าแม่เราจะรอได้ไหม รู้ว่าเราไม่สบายก็อยากจะมาหา ยังไงก็โทรไปหาน้าเดือนบ้างนะ ท่านจะได้ไม่ต้องห่วง”

“ค่ะพี่อิ่ม... พี่อิ่มเข้าบ้านไปก่อนนะ เดี๋ยวดาวขอคุยโทรศัพท์อีกแปปนึง เมื่อกี้ยังโทรไม่ติดเลย”

หมื่นอาสาพยักหน้าอย่างไม่ติดใจ และเมื่ออยู่ตามลำพัง ดาวประกายก็กดเบอร์ล่าสุดอีกครั้ง

รอสายไม่นานก็มีคนรับ แต่ไม่ใช่เสียงทุ้มต่ำจากผู้ชายที่คุ้นเคย

“สวัสดีค่ะ นั่นใช่โทรศัพท์ของคุณสิตะหรือเปล่าคะ” เธอกรอกเสียงลงไป เบา...เพื่อไม่ให้พี่ชายที่เข้าบ้านไปแล้วได้ยิน

“ใช่ค่ะ คุณดาวประกายใช่ไหมคะ ฉันเทียนแก้วเอง”

“อ้าว คุณเทียน!!!”

“คุณสิตะประชุมอยู่น่ะค่ะ คุณมีอะไรหรือเปล่าคะ”

“อ๋อ ก็... คือฉันอยากคุยกับเขาน่ะค่ะ ให้เขาโทรกลับได้ไหมคะ”

“อาจจะอีกนานนะคะ คุณสิตะไม่อยู่นาน มีเรื่องต้องคุยหลายเรื่อง มีอะไรจะฝากไว้ไหมละคะ”

“ถ้าอย่างนั้นบอกเขาว่า ฉันรู้ความจริงหมดแล้ว ฉันอยากเจอเขา อยากคุยกับเขาค่ะ ฝากคุณเทียนช่วยบอกด้วยนะคะ ถ้าเขาประชุมเสร็จเมื่อไร ให้โทรมาหาฉันด้วยนะคะ”

“ได้ค่ะ แล้วฉันจะบอก”



ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ดาวประกายก็ได้รับข้อความจากสิตะ เขาบอกว่าวันนี้ยุ่งมาก แต่อยากเจอเธอมากเหมือนกัน จะให้เทียนแก้วมารับที่บ้าน ให้เธอออกมารอแต่อย่าให้ใครรู้... ตรงคำสั่งหลังนี่แหละที่ทำให้เธอแปลกใจ ทำไมจะบอกใครไม่ได้ แต่เมื่อคิดไปคิดมา บางทีเขาคงเกรงว่าหมื่นอาสาจะกีดกันการพบหน้า เหมือนตอนอยู่เกาหลี

หญิงสาวจึงไม่เตรียมตัวอะไรมากมาย รอจนบ่ายโมง..เวลาที่พี่ชายออกไปทำธุระที่ปันปรีดาฝากมา รีบแต่งตัวและออกมายืนรอที่ประตูด้านหน้า อึดใจเดียวเท่านั้นรถญี่ปุ่นคันเล็กที่มีเทียนแก้วเป็นขับก็ปราดมารับ เหมือนฝ่ายนั้นคอยอยู่นานแล้ว ดาวประกายไม่คิดอะไรมากตอนที่ก้าวขึ้นไปนั่ง แต่เมื่อรถเคลื่อนตัวออกไปเท่านั้น เสียงหนึ่งก็กระซิบมากับสายลม

‘อย่าลืมนะดาวประกาย ตั้งสติให้ดี ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น สติเท่านั้นที่จะช่วยหล่อนได้’



ภายในห้องทำงานสีขาวของทาวน์โฮมแถบชานเมือง... ที่พักที่ซื้อไว้สำหรับหลบเลี่ยงการเผชิญหน้ากับพ่อ ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ผู้เป็นเจ้าของนั่งหน้าเครียดอยู่บนเก้าอี้ไม้ ใกล้กระจกบานกว้างที่ทำให้ทั่วทั้งห้องสว่าง โดยฝั่งตรงข้ามคือบอดี้การ์ดคู่ใจและตำรวจหนุ่มผู้คุ้นเคย

“คนร้ายที่คุณดาวประกายได้ให้ปากคำไว้ โดนฆ่าปิดปากก่อนหน้าที่เราจะไปถึงไม่กี่ชั่วโมง เท่ากับว่าตอนนี้เราไม่มีพยานที่จะสาวไปถึงนายใหญ่ ถึงเราจะเก็บโทรศัพท์ของผู้ตายได้ รู้ว่ามันติดต่อใครบ้าง แต่ก็ยังไม่พอจะเป็นหลักฐานอยู่ดี” สารวัตรเสกสาระที่มีใบหน้าดุดันเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง กับอีกฝ่ายที่เพิ่งกลับมาจากเกาหลีเมื่อคืน “แล้วเรื่องของคุณเป็นยังไง อนณเล่าให้ฟังว่าคุณโดนทำร้าย...สองครั้ง?”

“ใช่ โดนลอบยิงที่ภูเขา แล้วก็บุกมาทำร้ายที่ห้องนอน”

“อนณบอกว่าคุณสงสัยนักสืบที่พ่อคุณส่งมา ชื่อเทียนแก้วใช่ไหม ทำไมเหรอครับ ทำไมคุณถึงสงสัยเธอ ในเมื่อเรื่องที่คุณโดนพวกนั้นตามล่า เป็นเพราะคุณพยายามรื้อฟื้นเหตุการณ์เมื่อ 8 ปีที่แล้ว คดีที่ถูกสรุปว่าเป็นอุบัติเหตุ ทั้งที่จริงรถโดนตัดสายเบรกแล้วก็โดนไล่ยิง หรือว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นคนของไอ้พวกนั้นด้วย”

สิตะถอนหายใจเพราะไม่รู้คำตอบเช่นกัน อนณที่กำลังง่วนอยู่กับบางอย่างบนหน้าจอโน้ตบุ๊คจึงเงยหน้าเอ่ยบ้าง

“ผมเช็คประวัติของคุณเทียนตามที่คุณคมน์ส่งมาให้แล้วนะครับ เธอเป็นลูกสาวคนเดียวของครอบครัว พ่อแม่หย่ากัน เธออยู่กับแม่ที่ทำอาชีพค้าขาย ต้องช่วยแม่หาเงินตั้งแต่เด็ก... ดูเป็นปกติทุกอย่าง นอกเสียจาก”

“จาก!?!...” สิตะและเสกสาระเอ่ยถามพร้อมกัน

“เธอลาออกจากคณะแพทยศาสตร์ตอนอยู่ปีสอง ก่อนย้ายไปอยู่กับญาติที่ต่างจังหวัด”

“แล้วมันผิดปกติยังไง” หนุ่มร่างสูงใหญ่เป็นคนถามด้วยความแปลกใจ อนณจึงเฉลย

“เรื่องนี้ไม่มีเขียนไว้ในใบประวัติ แต่ผมโทรไปถามจากอาจารย์ที่คณะของเธอว่าทำไมเธอถึงลาออก... เธอบอกเพื่อนว่ามีปัญหาเรื่องการเงิน แต่ความจริงแล้วแม่เธอเสีย”

“แม่เสีย? แล้วเกี่ยวอะไรกับคุณสิตะ” สารวัตรก็ยังปะติดปะต่อเรื่องไม่ได้อยู่ดี

“แม่ของคุณเทียนเสียเพราะถูกรถชน... ปีเดียวกับที่คุณสิตะเกิดอุบัติเหตุ”

แค่นั้น เหตุแห่งแรงจูงใจก็เหมือนจะถูกโยนโครมใหญ่ลงตรงหน้า แต่สิตะยังไม่ทันจะเอื้อนเอ่ยวาจา เสียงโทรศัพท์ของอนณก็ร้องเตือนว่ามีข้อความเข้า

ตอนแรกบอดี้การ์ดหนุ่มเกือบจะไม่สนใจเพราะคิดว่าเป็นข้อความโฆษณาสินค้าที่ชอบส่งมารบกวน แต่ลางสังหรณ์ก็ทำให้เขาหยิบสมาร์ทโฟนของตัวเองขึ้นมาดู พอรู้ว่าเป็นเบอร์ที่ไม่ได้บันทึกไว้ คิ้วเข้มก็ขมวดเข้าหากันด้วยความแปลกใจ และทันทีที่รูปถ่ายซึ่งถูกแนบมาปรากฏแก่สายตา ร่องรอยเคร่งเครียดก็ปรากฏบนใบหน้าใต้หนวดเคราจนสิตะต้องเอ่ยถาม

“มีอะไรหรืออนณ”

“คุณสิตะดูเองดีกว่าครับ” เขาบอกด้วยเสียงเครียด ก่อนยื่นโทรศัพท์ให้เจ้านายอย่างรวดเร็ว สิตะมองภาพนั้นด้วยความแปลกใจ... หญิงสาวร่างบางที่นอนสลบไสลอยู่บนพื้น เห็นเพียงเสี้ยวหน้าก็รู้ว่าเป็นใคร ลมหายใจของเขาแทบขาดหายไปในทันทีที่ได้อ่านข้อความด้านล่าง

…ดาวประกายอยู่กับฉัน รีบมา…

“ใคร? ใครส่งมา”

“ไม่ทราบครับ ลองโทรกลับนะครับ”

อนณไม่รอให้เจ้านายอนุญาต เขาต่อสาย แต่ไม่มีใครรับ

“นี่ดาวประกายแน่หรือครับ เห็นหน้าไม่ชัดนะ มีใครวางแผนอะไรหรือเปล่า” เสกสาระตั้งข้อสังเกตเมื่อได้เห็นรูปถ่าย แต่สิตะส่ายหน้า

“ตอนผ่าตัด เธอโดนตัดผม ตอนนี้ผมก็ยังขึ้นไม่เท่าเดิม รอยแหว่งนี่ ไม่ใช่คนอื่นแน่”

“แล้วทำไมถึงส่งเข้ามือถืออนณ ไม่ส่งหาคุณ”

“โทรศัพท์ผมหายตั้งแต่ลงจากเครื่อง”

“นั่นก็แปลว่าคนส่งต้องรู้ว่าคุณไม่มีโทรศัพท์ หรือพยายามส่งไปแล้วแต่คุณไม่ตอบ แล้วที่ให้ตามไป ได้บอกหรือเปล่าว่าที่ไหน” นายตำรวจถาม อนณรีบพิจารณารูปที่ถูกส่งมา

“พื้นปูน มีฝุ่น ไม่น่าใช่บ้าน ข้างหลังเป็นระเบียง มองลงไปน่าจะกว้าง ลักษณะเหมือนโรงยิม”

“ไฟเพดานอะลูมิเนียมแบบนี้มักใช้ในโรงงาน หรือจะเป็นโกดังอะไรสักอย่าง”

ข้อมูลที่อนณและเสกสาระช่วยกันวิเคราะห์ ทำให้สิตะนึกออกทันที

“โกดังเก็บหนังสือของสำนักพิมพ์ที่บางนา”

ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ผุดลุกขึ้นด้วยความร้อนใจ พลอยทำให้ชายหนุ่มอีกสองคนลุกตาม แต่เสกสาระก็เอ่ยขึ้นก่อนที่สิตะจะผลุนผลันทำอะไร

“ผมว่ามันทะแม่งๆ นะ เหมือนจงใจล่อคุณ”

สิตะพยักหน้า รู้ว่าไม่ปลอดภัยสำหรับตัวเอง แต่เขาจะปล่อยให้ดาวประกายตกอยู่ในอันตรายได้อย่างไร

“ยังไงผมก็ต้องไป”



“เออ ดีมาก ถ้าเรียบร้อยแล้วก็ลงมือได้เลย!!!”

คำสั่งเสียงเหี้ยมที่ดังลอดประตูไม้ออกมา ทำให้ลูกสาวที่เพิ่งกลับถึงเมืองไทยชะงักทันทีที่ได้ยิน

เพราะมัวแต่ทะเลาะพิพัฒน์ยามย้อนกลับไปหา ทำให้เธอออกจากเกาหลีช้ากว่าสิตะและดาวประกายเกือบวัน แต่อย่างไรเสียเธอก็มาทันได้ยินคำสั่งที่ผิดคำสัญญาของพ่อ ดังนั้นสาวร่างบางระหงจึงผลักประตูเข้าไปโดยไม่ขออนุญาต

“พ่อจะจัดการอะไรคะ” เธอร้องถามก่อนทักทาย ทำให้บิดาซึ่งยืนคุยโทรศัพท์อยู่ริมหน้าต่างภายในห้องทำงานที่บ้าน หันมองด้วยความประหลาดใจ

“พู่!?! กลับมาเมื่อไร”

“ก็เมื่อตอนที่พ่อบอกว่าลงมือได้เลยนั่นแหละค่ะ พ่อจะลงมืออะไรคะ ไหนพ่อสัญญาว่าจะไม่ยุ่งกับสิแล้วก็คุณอาสาธิตแล้วไง”

“พ่อก็ไม่ได้ทำอะไรพวกมัน”

“แล้วที่พ่อพูด....”

ชัชวาลยักไหล่ อย่างไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ “พ่อสัญญากับพู่ว่าจะไม่ทำอะไรพวกมัน แต่ไม่ได้บอกนี่ ว่าจะไม่ทำกับของของพวกมัน พู่ไม่ต้องมาห่วงเรื่องของพ่อหรอก เอาเรื่องของเราก่อนดีกว่า ถ้าคุณพิพัฒน์โกรธที่เราหายไปกับผู้ชายคนอื่นจนปฏิเสธการแต่งงานขึ้นมา สัญญาที่เรามีก็ถือเป็นโมฆะนะ”

“พ่อ?”

“พู่คงรู้แล้วว่าควรทำตัวยังไง ไปเอาใจพิพัฒน์ให้มากๆ ถ้าไม่อยากให้ไอ้สิมันเดือดร้อน”

“พ่อ? ทำไมพ่อถึงใจร้ายอย่างนี้ พู่ถามจริงๆ เถอะค่ะ พ่อจงเกลียดจงชังอะไรสิกับคุณอาสาธิตเขานักหนา จึงต้องตามฆ่ากันอย่างนี้ พ่อไม่กลัวกฎหมาย ก็น่าจะกลัวกฎแห่งกรรมบ้างนะคะ”

“กฎแห่งกรรม!?! นี่ไง เวรรกรรมที่มันสมควรได้รับ พวกมันทำฉันก่อน” พ่อเปลี่ยนสรรพนามเมื่ออารมณ์คุกรุ่น ขณะที่ดวงตาฉายชัดถึงความเกลียดชัง

“บอกพู่ได้ไหมคะว่า พวกเขาเคยทำอะไรพ่อ”

“ไอ้สาธิตมันขโมยของของฉัน”

“ขโมย? แค่นั้นเหรอคะ ถึงกับต้องฆ่าแกงกัน”

“ไม่ใช่แค่นั้น แต่คนอย่างมันไม่เคยสำนึก มันทำผิด แต่กลับได้ดี ในเมื่อเวรกรรมไม่เห็นทำอะไรมันสักที ฉันก็ต้องลงมือเอง… แกไม่ต้องมาทำหน้าอย่างนั้น ถ้าคิดว่าฉันเลว ก็ต้องโทษมันนั่นแหละที่ทำให้ฉันเป็นแบบนี้ แล้วถ้าแกอยากรู้ว่ามันเคยทำอะไรไว้ ก็ให้ไปถามมันเอง ถ้ามันยอมสารภาพ ยอมมากราบขอขมาฉัน ฉันอาจจะเลิกจองเวรกับมัน แต่ถ้ามันยังลอยหน้าลอยตาเสวยสุขต่อไป ฉันก็จะตามจองล้างจองผลาญมันไปอย่างนี้แหละ”

“พ่อ....” ช่อชมพูครางออกมาด้วยเสียงเบาหวิว รับรู้ได้ว่าความเกลียดชังฝังลึกในหัวใจของพ่อเกินที่เธอจะเยียวยาเสียแล้ว หญิงสาวรู้สึกหดหู่จนไม่อาจพูดอะไรได้อีก

ถ้าคนดีหนึ่งคนต้องกลายเป็นฆาตกรเพราะความเคืองแค้น เราควรโยนความผิดไปที่ใคร... การกระทำของคนอื่น หรือจิตใจที่อ่อนแอของตัวเอง

เธอจะไม่ยอมเป็นเหมือนพ่อเด็ดขาด






----------------------------
มาลุ้นกันต่อค่ะว่าเรื่องจะเป็นยังไง ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ



ปลายสี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 เม.ย. 2556, 00:10:09 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 เม.ย. 2556, 00:10:09 น.

จำนวนการเข้าชม : 1311





<< ดาวปาฏิหาริย์ บทที่ 29   ดาวปาฏิหาริย์ บทที่ 31 >>
goldensun 29 เม.ย. 2556, 10:45:13 น.
เป็นเรื่องเลย ดาว ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยแท้ๆ
เทียนร่วมมือกับพ่อพู่แน่ๆ สงสัยจัง แม่เทียนอยู่ตรงไหนของอุบัติเหตุ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account