เพทายพ่ายตะวัน
เมื่อเธอคือ กุหลาบแดง แห่ง "เรือนกุหลาบ" และเขาคือ ศัลยแพทย์ ผู้มีฝีปากเชือดเฉือนยิ่งกว่ามีดผ่าตัด..ยุทธการปราบพยศครั้งนี้..มีหัวใจเป็นเดิมพัน!
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่๑๒ ความจริงหลังฉาก ๑/๒

เพทายเพิ่งวางสายโทรศัพท์จากคนใกล้ชิดรายล่าสุดลงเมื่อครู่ พออาการของบิดาค่อยดีขึ้นเป็นลำดับ คุณตระการเริ่มรู้สึกตัวขยับมือ..กระดิกนิ้ว แม้เพียงน้อยก็สร้างกำลังใจของบุตรสาวให้เพิ่มขึ้นจากเดิมอีกหลายเท่า แม้ยังไม่ลืมตาตื่นมาคุยกับหล่อน หากก็มีสัญญาณบางอย่างบอกว่าอีกไม่นานชายสูงวัยจะตื่นเต็มตา มอบรอยยิ้มอ่อนโยนให้กับหล่อนได้ดังเดิม สัญญาณนั้นคืออาการเพ้อ กระสับกระส่าย พลิกตัวไปมาในบางขณะ หลายคำหญิงสาวฟังไม่ถนัดว่าผู้เป็นพ่อหมายถึงอะไร แต่คำๆเดียวแม้หลุดออกมาจากริมฝีปากแห้งผากเพียงไม่กี่ครั้ง ก็มีอิทธิพลมากพอจะทำให้หญิงสาวกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่

“เพ..ลูกเพ”

คุณตระการมีอาการเพ้อถึงบุตรสาวทุกคน และคนที่ถูกเอ่ยชื่อบ่อยที่สุดคือ..พี่เขียว หรือ มรกต พี่สาวคนโตแห่งเรือนกุหลาบผู้หายสาบสูญไปจากบ้านเมื่อหลายปีก่อน ข้อนี้เอง..สร้างความประหลาดใจให้กับเพทายอย่างยิ่ง คนไม่ได้เจอกันตั้งนาน เหตุใดจึงยังนึกถึงแม้ขณะสติสัมปชัญญะไม่บริบูรณ์อย่างในเวลานี้..แถมยังนึกถึงบ่อยจนเกินหน้าเกินตาสมาชิกในบ้านคนอื่นๆ ราวกับผู้เป็นพ่อเพิ่งติดต่อ พูดคุยกับมรกตเมื่อไม่นานมานี้...คนเดียวที่คุณตระการไม่เคยเอ่ยถึงคือ คุณหญิงนารี ศรีภรรยา ผู้ซึ่งจริตนิสัยต่างกันราวฟ้ากับเหว..และเป็นเหตุให้ครอบครัวไม่ได้เป็นครอบครัวที่สมบูรณ์เหมือนบ้านอื่นๆจนถึงทุกวันนี้

แม้แต่หลานสาวนอกไส้อย่าง..แพรวา คุณตระการก็ไม่ลืมเพ้อถึง ข้อนี้เป็นเพียงประการเดียวที่ทำให้เพทายรู้สึกหงุดหงิด อดีตบางอย่างมันฝังใจและเจ็บปวดทุกครั้งเมื่อยามระลึกถึง แม้พี่สาวนอกคอกผู้นั้นจะจากกับหล่อนด้วยดีในคืนวันแต่งงานของมุกดา น้องสาวคนสุดท้อง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าลึกๆแล้ว ความขุ่นเคือง บาดหมาง ยังคงคุกกรุ่นอยู่ในใจไม่จางไปเสียทีเดียว..ให้หล่อนอารมณ์ดี หัวเราะรื่นเริงเมื่อได้ยินชื่อของคนที่เคยทำร้ายน้องสาวผู้บริสุทธิ์ดุจไข่มุกงามของครอบครัวน่ะหรือ..ถ้าทำได้ก็ไม่ใช่หล่อนแล้วล่ะ!

“เราจะเข้าไปเยี่ยมคุณลุงเย็นนี้แหละ ลงเครื่องแล้วจะรีบไปหาเลย..รอก่อนนะ ดูแลจิตใจตัวเองให้ดีด้วย เราเป็นห่วง”
คือคำสัญญา และประโยคบอกความห่วงใยในฐานะเพื่อนสนิท ทันทีที่หญิงสาวได้แจ้งข่าวร้ายของพ่อหล่อนให้นลัศฟังผ่านโทรศัพท์เมื่อครู่นี้ สูติแพทย์หนุ่มมีธุระต้องไปประชุมงานที่ยุโรปตั้งแต่สัปดาห์ก่อน มีกำหนดกลับเช้าตรู่วันนี้พอดี พอรู้ข่าวเขาก็ไม่รีรอเสียเวลาไปกับเรื่องสำคัญอื่น..เรื่องของเพทายสำคัญยิ่งสำหรับชายหนุ่มเสมอ
หากทว่าเป็นความสำคัญในฐานะเพื่อนผู้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม เพทายมีบุญคุณกับเขา พอๆกับที่เขาเคยมีส่วนยื่นมือมาช่วยเวลาหล่อนเดือดร้อนในหลายๆครั้ง

หญิงสาวควรจะดีใจที่วันนี้ความเป็นเพื่อนรักยังคงเหมือนเดิม..เสมอต้นเสมอปลาย ทว่าความรู้สึกซ่อนเร้นบางประการยังไม่เหือดหายไปจากความทรงจำ หล่อนพยายามห้ามใจตัวเองไม่ให้รู้สึก ‘พิเศษ’ เกินกว่าเพื่อนสนิทในยามอยู่ใกล้ และได้พูดคุยกับนลัศ นับแต่วันที่เขาประกาศตัวแฟนสาวอย่างปรียดา ผู้เพียบพร้อม เหมาะสมกันราวกิ่งทองใบหยก หล่อนพยายามทำใจเรื่อยมา และถึงขั้นบังคับตัวเองให้ตัดใจจากความรู้สึกซ่อนเร้นชนิดนั้นเด็ดขาด ในวันฉลองมงคลสมรสที่หาดใหญ่คราวนั้น

กำแพงของศีลธรรมบังคับให้หล่อนต้องควบคุมจิตใจตนเองให้ได้ ไม่ว่าจะยากเย็นแค่ไหนก็ตาม หญิงสาวรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากแล้ว..ที่ไม่ได้บอกความรู้สึกแท้จริงของตนออกไปให้เพื่อนรับรู้ ดีใจที่ไม่เคยหลุดปากอย่างในหนังรักแห่งปีเรื่องหนึ่งว่า ‘เพื่อน..ฉันรักแกว่ะ’ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างหล่อนกับนลัศอาจจะเปลี่ยนไป ชนิดที่ทำให้มองหน้ากันไม่ติดอีกเลย

เช้านี้เป็นวันแรกซึ่งเพทายพอจะทำใจให้สดชื่น มีสติรับมือกับปัญหาได้แล้ว จึงค่อยๆทยอยแจ้งข่าวคุณตระการให้เพื่อนฝูง ผู้ใกล้ชิดทั้งหลายได้รับรู้ เริ่มตั้งแต่เมรี เจ้าของ wedding studio เพื่อนคู่หูของหล่อน เพื่อนร่วมงานที่ยังติดต่อกันอยู่ ..เพื่อนสมัยเรียนที่เพิ่งนัดมีตติ้งกันไปไม่กี่สัปดาห์ก่อน กระทั่ง..นลัศ คนสุดท้ายที่เพิ่งวางสายไป หล่อนไม่ได้นึกถึงเขาเป็นคนสุดท้ายหรอก..เพียงแต่อยากระบาย อยากพูดคุยกับเขาให้นานโดยไม่ต้องเร่งร้อนตัดบทต่างหาก

สำหรับคนในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็น คุณหญิงนารี ผู้เป็นมารดา..ไพลิน พี่สาวคนเดียวที่เหลืออยู่ และมุกดาน้องเล็กของบ้านกับกวินสามีหล่อน เพทายได้แจ้งข่าวร้ายให้ทราบตั้งแต่วันแรกที่เกิดอุบัติเหตุเรียบร้อยแล้ว สมาชิกในครอบครัวทุกคนทยอยกับมาเยี่ยมเยือนประมุขแห่งเรือนกุหลาบพร้อมของเยี่ยมไข้มากมาย ทันทีที่การผ่าตัดเสร็จสิ้น และด้วยเหตุว่า..คุณตระการยังไม่ฟื้นคืนสติ ไม่สามารถลุกขึ้นมาพูดคุยกับใครได้ ทุกคนจึงฝากฝังให้เพทายดูแลเฝ้าสังเกตอาการบิดาอย่างใกล้ชิด ส่วนคนอื่นๆ หากเสร็จจากภารกิจส่วนตัว การงานที่ต้องรับผิดชอบเมื่อใด ก็จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาเยี่ยมเยือนอีกครั้งไม่ขาดระยะ

อย่างเช้าวันนี้ไพลินกับคุณหญิงนารีก็แวะมาให้กำลังใจเพทายและคนป่วยอีกครั้ง เพิ่งกลับออกไปไม่ถึงชั่วโมงนี้เอง
“แล้วพี่จะมาเยี่ยมอีกหลังโรงเรียนเลิก..ทำใจดีๆไว้นะ คุณพ่อจะได้รับกำลังใจจากเธอด้วย พี่เชื่อว่าท่านต้องหายดี ตื่นมาคุยกับเธอเร็วๆนี้แน่” คือคำปลอบโยนอันแสนอบอุ่นจริงใจจากพี่สาวคนรอง คุณหญิงนารีนั้นได้แต่ยิ้มฝืดฝืน พูดอะไรไม่ออก เพทายเชื่อว่ามารดายังรักและเป็นห่วงบิดาไม่น้อย เพียงแต่ความหมางเมินที่มีต่อกันมายาวนานเกินไป เลยทำให้รู้สึกกระดากหากต้องแสดงอาการร่ำไรรำพันเสมือนหนุ่มสาวแรกรัก

เพทายทอดสายตามองสภาพบิดาบนเตียงผู้ป่วย ยามนี้คุณตระการดูดีกว่าวันแรกมาก ใบหน้าเริ่มมีสีเลือด เนื้อหนังแลชุ่มชื่นผ่องใส ระบบไหลเวียนโลหิตที่เริ่มคืนสู่ภาวะปกติ ท่อช่วยหายใจถูกถอดออกไปแล้ว มีหน้ากากพลาสติกใสครอบจมูกปากให้ออกซิเจนในปริมาณที่พอเหมาะ สายระโยงรยางค์ตามท่อนแขนทั้งสองลดน้อยลง ยากระตุ้นความดันโลหิตถูกถอดออกไปแล้วเช่นกัน

พ่อของหล่อนกำลังจะฟื้นคืนสติในเร็วๆนี้..ศิระยืนยันกับหล่อนเช่นนั้น
ศิระ..หล่อนเพิ่งพบเขาเมื่อเช้า เดินมาถึงเตียงคนไข้ก็เห็นเขากำลังยืนสั่งงานพยาบาลไอซียูพลางจดบันทึกอะไรบางอย่างลงบนกระดาษในแฟ้มโลหะ หน้าตาเคร่งขรึมผิดปกติ พอเงยหน้าขึ้นมาพบหล่อน ชายหนุ่มได้แต่ส่งยิ้มจืดเจื่อนทักทาย เขาสงบปากสงบคำลงไปถนัดใจ

“เพื่อนคุณเต้นี่เป็นคนรักษาคำพูดดีนะคะ..เขาให้คุณมาแทนใช่ไหม?” คำถามนั้น..ภาพที่เห็นตรงหน้าก็ตอบในตัวมันเองอยู่แล้ว เพียงแต่หล่อนอยากถามเพื่อความแน่ใจ ศิระพยายามยิ้มปลอบ ทำเสียงอ้อมแอ้มบอก
“มันกำลังโมโห..แต่อีกเดี๋ยวก็หาย เชื่อผมเถอะ”
เพทายยิ้มเฝื่อน รู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรมาจุกในอก ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องแคร์ ในเมื่อผู้ชายตรงหน้า ก็มีความสามารถไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน..แถมยังมีจรรยาบรรณมากกว่าเขาเสียอีก หล่อนรู้ว่าศิระแค่พูดปลอบให้หล่อนสบายใจเท่านั้นเอง..ความจริงเขาอาจกำลังสะกดจิตตัวเองให้เชื่อสิ่งที่ตัวเองพูด ทั้งๆที่รู้ว่าอาจเป็นไปไม่ได้
“มีคนไข้ชื่อ นาวาอากาศเอกตระการ วิจิตร อยู่ที่นี่ไหมคะ?” เสียงกังวานใสของใครคนหนึ่ง กระตุกความสนใจเพทายในฉับพลัน หญิงสาวหลุดจากภวังค์ความคิดชั่วขณะ หันขวับมามองตามเสียง ซึ่งคาดว่ามีทิศทางมาจากบริเวณเคาน์เตอร์พยาบาลในไอซียู
ภาพที่เห็นยืนยันชัดเจน ความทรงจำของหล่อนยังคงแม่นยำ
น้ำเสียงแบบนั้นมีเพียงคนเดียว..แพรวา!
พี่สาวต่างสายเลือดเหมือนจะรู้ตัวว่ากำลังถูกจ้องมอง หล่อนหมุนตัวกลับมา ได้ยินแว่วๆจากพยาบาลว่าบุคคลที่ถูกถามถึงนอนอยู่บนเตียงถัดจากเคาน์เตอร์ไปทางด้านซ้ายมือ ดีไซเนอร์สาวเจ้าของห้องเสื้อโด่งดังถอดแว่นกันแดดสีชาออกจากใบหน้ารูปไข่ ประกายตาจัดจ้าในกรอบคมเคียวรูปหงส์มองตรงมายังหญิงสาวร่างเล็ก ท่าทางมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว..นัยน์ตาคนทั้งสองสอดประสานกัน อารมณ์หลากหลายฉายชัดอยู่ในเงานิลเนตรคู่คม
นิ่งอึ้งกันไปพักใหญ่ สุดท้ายแพรวาก็ตัดสินใจก้าวเดินแช่มช้าเข้ามายังเตียงผู้ป่วย ยิ้มเก๋จุดประกายตรงมุมปากอิ่มเต็มทั้งสองข้าง
“สวัสดีจ้ะน้องเพ..คุณลุงเป็นยังไงบ้าง?”
เสียงกังวานหวานลอดผ่านริมฝีปากทรงกระจับเคลือบลิปสติกสีทันสมัย ดีไซเนอร์สาวพยายามควบคุมน้ำเสียงให้เหมือนคนในครอบครัวทักทายไถ่ถามกันอย่างมีไมตรีจิต เรื่องราวในอดีต ณ เรือนกุหลาบแห่งนั้น..หล่อนพยายามนึกให้เป็นบทเรียนสอนใจ ถึงแม้แยกตัวไปอยู่เพียงลำพังที่คอนโดของตนเสียนานแล้ว ทว่าหญิงสาวก็ยังแวะเวียนมาเยี่ยมคุณหญิงนารีผู้มีศักดิ์เป็นป้าอยู่เนืองๆ อย่างน้อยเดือนละครั้ง
“สวัสดีค่ะ” เพทายประนมมือไหว้ตามมารยาท หากแต่ไม่มีรอยยิ้มต้อนรับเหมือนอีกฝ่าย หล่อนเป็นคนประเภทไม่ชอบทำอะไรตรงข้ามกับความรู้สึก ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ ถึงแม้ไม่ได้รู้สึกเกลียดพี่สาวคนสวยผู้นี้แล้วก็ตาม จะให้ญาติดีด้วยจริงๆ คงต้องใช้เวลาอีกนานทีเดียว
“พี่ทราบข่าวจากคุณป้า..เมื่อเช้านี้เอง”แพรวาตอบคำถามจากสายตาของน้องสาว เนตรกลมสวยคู่นั้นยังบอกความนัยได้ดีไม่เปลี่ยน แม้ไม่ต้องเอ่ยวาจาใดๆ
เพทายพยักหน้ารับรู้ หล่อนยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่คิดจะเชื้อเชิญแขกคนสำคัญให้นั่งพักดื่มน้ำ หรือพูดคุยกันมากกว่านี้
ผู้หญิงตรงหน้าไม่เปลี่ยนไปจากเดิมในแง่ของรูปลักษณ์งามสง่าภายนอก แพรวายังมีเสน่ห์จัดจ้าน ดวงหน้ายาวรีสีน้ำผึ้งอ่อนกับนัยน์ตาคมเฉี่ยว เรือนร่างงดงาม สูงโปร่ง โดดเด่นไม่ต่างจากนางพญา ชุดกระโปรงสีโอรสแนบเนื้อไว้แขนข้างเดียวยาวระดับเข่า แม้ไม่มีลวดลายฉูดฉาด แต่ด้วยความมีรสนิยมชั้นเลิศ เลือกหยิบจับเครื่องประดับชิ้นเล็กชิ้นน้อยมาประกอบเข้าด้วยกัน และมาอยู่บนเรือนร่างของดีไซเนอร์สาว ก็เลยยิ่งส่งให้งามไร้ที่ติ ดึงดูดสายตาทั้งเพศเดียวกันและเพศตรงข้ามได้อย่างยิ่งยวด

ทว่าในแง่ของจิตใจซึ่งเคยมืดดำ..เวลานี้เพทายเริ่มสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลง แสงสว่างเรืองรองแห่งกระแสจิตมีรัศมีเปล่งประกายจนหล่อนรู้สึกได้ ทั้งน้ำเสียงขณะพูด แววตาที่มองมา หญิงสาวเสมือนเป็นคนใหม่ ไม่ผิดไปจากเดิมเสียทีเดียว..แต่สังเกตเห็นแนวโน้มของการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น

“คุณลุงเป็นยังไงบ้าง..ท่านรู้สึกตัวหรือยัง?” แพรวาถามซ้ำอย่างใจเย็น เมื่อเห็นน้องสาวเอาแต่จับจ้องหล่อนด้วยความพินิจพิเคราะห์ ไม่เอ่ยอะไรสักคำ
“พอขยับมือบ้าง พลิกตัวในบางที แต่ยังไม่ลืมตา..ยังคุยไม่รู้เรื่อง” เพทายตอบ..หางเสียงเริ่มอ่อนลง ไม่แข็งกระด้างเหมือนทีแรก “หมอบอกว่า..อีกไม่นานคุณพ่อก็ตื่น ตอนนี้ท่านดีขึ้นมากแล้ว ชีพจรเริ่มคงที่ ไม่ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ ไม่ต้องให้ยามากเหมือนวันแรกๆ”
“โล่งอกไปทีนะ..ขอให้ท่านฟื้นตัวในเร็ววัน”แพรวาคลี่ยิ้มกระจ่าง สบายใจขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“พี่เอาของมาเยี่ยม..ฝากให้ท่านด้วยนะ” ดีไซเนอร์สาวยื่นกระเช้าผลไม้ให้กับเพทาย ก่อนจะกล่าวคำอำลาอย่างคนที่รู้ตัวดีว่าขืนอยู่นานกว่านี้ รังแต่จะสร้างความอึดอัดใจให้อีกฝ่าย
“พี่ไม่รบกวนเราแล้วล่ะ...เป็นกำลังใจให้นะจ๊ะ ขอให้คุณลุงหายไวๆ”
เพทายยังไม่ทันเอ่ยอะไร พี่สาวต่างสายเลือดก็ส่งยิ้มละไมให้หล่อนเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหันหลังเดินจากไปในเวลาอันรวดเร็ว
นักวางแผนก้มลงมองกระเช้าในมือ ยืนอึ้งอยู่ท่าเดิมนานพอสมควร รู้ตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงแหบห้าวของคนบนเตียงพร้อมกับเสียงขยับตัวกระทบโลหะบริเวณแนวกั้น
“ลูกเพ..เมื่อกี้ใครมาเยี่ยมพ่อ?”
เพทายหันขวับมาทันที หล่อนอ้าปากค้างเมื่อเห็นผู้เป็นพ่อพยายามยันกายลุกขึ้นในท่านั่ง นัยน์ตาลุ่มลึกอย่างคนผ่านโลกมามากเบิกกว้าง มองตรงมายังบุตรสาวแน่วนิ่ง อากัปกิริยาทั้งหมดล้วนบอกชัดเจน..สติสัมปชัญญะของคุณตระการฟื้นคืนกลับมาแล้ว ในบัดนี้
“คุณพ่อ!!” เสียงของเพทายดังเผื่อแผ่ไปยังเตียงผู้ป่วยรอบข้าง ล่วงเลยไปถึงพยาบาลซึ่งกำลังนั่งทำงานกันหน้าดำคร่ำเครียดอยู่ในเคาน์เตอร์
“ก็พ่อน่ะซี..นึกว่าใครกัน” คุณตระการหัวเราะทั้งที่เสียงยังแหบ ลำคอแห้งผาก นัยน์ตาทอดมองหญิงสาวด้วยความเอ็นดู ยกมือข้างหนึ่งขึ้นถอดหน้ากากพลาสติกสำหรับให้ออกซิเจนออกจากใบหน้า
“คุณพ่อฟื้นแล้ว..ฟื้นตั้งแต่เมื่อไหร่คะ คุณพ่อแกล้งเพนี่นา”
ท้ายประโยคน้ำเสียงตัดพ้อเล็กน้อย หน้าตา ท่าทางของพ่อหล่อน เหมือนคนเพิ่งฟื้นไข้เสียที่ไหน คุณตระการน่าจะรู้สึกตัวเสียตั้งนานแล้ว ทว่าแกล้งทำเป็นหลับสนิทแนบเนียนเหมือนคนไม่ได้สติ
“ไหงมาว่าพ่อยังงั้น..เจ้าลูกคนนี้” ผู้เป็นบิดาทำเสียงฮึ่มฮั่มในลำคอก่อนขยาย “พ่อก็แค่อ่อนเพลีย ไม่มีแรงลุก อยากนอนพักเอาแรงสักหน่อย..ตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่ต้องคุยกับลูกอีกยาว”

เพทายเลิกคิ้วฉงนกับคำอธิบายนั้น..แล้วหล่อนก็ยิ่งงุนงงหนักกว่าเดิม เมื่อได้ยินคุณตระการเอ่ยในประโยคถัดมา
“มีความจริงบางอย่างที่ลูกควรรู้..จะได้ทบทวนตัวเองเสียใหม่”


----------
ขอบคุณสำหรับการติดตามจากนักอ่านที่น่ารักทุกท่านนะคะ

บทนี้มีเอ่ยถึงตัวละครจากเรื่อง "เรือนกุหลาบ" มากพอสมควร ไม่รู้มีใครจำกันได้บ้างหรือเปล่า:)

ตอบคอมเม้นจากบทที่ ๑๑

@คุณsai : ต้องให้มีคนเกลียดบ้างอะไรบ้าง เดี๋ยวชัดเจนจะเป็นผีเน่าอยู่คนเดียว หุหุ
@คุณกานต์นวีร์ : สงสารหมอเต้สุดๆ
@คุณหมีสีชมพู : รู้สึกช่วงนี้จะเริ่มมีคนเข้าข้างชัดเจนมากกว่าเพทาย นางเอกของเรากำลังจะกลายเป็นนางร้ายในไม่ช้า ส่วนเรื่องหมอเต้ คงต้องบอกว่าหมอศัลย์รพ.นี้แรงดีไม่มีตกพอๆกันเลย
@คุณwii : เพทายตัวจริงอยู่ตรงนี้นี่เอง อิอิ ไม่ต้องไปหาที่ไหนไกล ชีวิตจริงหลีกเลี่ยงที่จะเจอคนแบบที่คุณเล่าให้ฟังค่อนข้างยากค่ะ มีอยู่เกลื่อนกลาดไปหมด ยิ่งสูงยิ่งหนาว อีโก้แรงกันไป ขึ้นอยู่กับว่าใครจะมีจุดยืน เลือกมีชีวิตแบบไหนก็แล้วแต่จะเลือก
@คุณmhengjhy : จะว่าน่ากลัวก็ไม่เชิงค่ะ ขึ้นอยู่กับอารมณ์ สถานการณ์ และทรงผม 55 เหมือนจะไม่เกี่ยว



ศิลาริน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 เม.ย. 2556, 15:13:38 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 เม.ย. 2556, 15:13:38 น.

จำนวนการเข้าชม : 1460





<< บทที่ ๑๑ รางวัลตอบแทนยกที่ ๒ ๒/๒   บทที่๑๒ ความจริงหลังฉาก ๒/๒ >>
wii 29 เม.ย. 2556, 19:33:19 น.
เฮ้อก็นะ ใครๆเค้าก็มีปัญหากันทั้งนั้นเเหละ เเต่อีตาหมอที่รักษาพ่อของหนูเพก็ไม่ไหว เอาปัญหาของตัวเองมาตัดสินปัญหาของคนอื่นได้ไง


ศิลาริน 29 เม.ย. 2556, 19:40:07 น.
@คุณwii : งานนี้ต้องบอกว่า "คุณมีเหตุผลของคุณ..ผมมีหัวใจของผมก็พอแล้ว" รึเปล่าคะ ^^


กานต์นวีร์ 30 เม.ย. 2556, 00:01:58 น.
หมอชัดเจนหานไปหนายยยยยย
แต่แบบว่า แอบค้างอ่ะ อยากรู้ความจริงแล้ว


ศิลาริน 30 เม.ย. 2556, 03:07:14 น.
@คุณกานต์นวีร์ : รอความจริงอีกเดี๋ยวนะคะ หมอชัดเจนอยู่แถวๆนี้แหละ:)


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account